แสงธรรมนำใจ > ดอกบัวโพธิสัตว์

มิลินทปัญหา

<< < (61/78) > >>

ต๊ะติ้งโหน่ง:
 :25: :25: :25:

ปาฎิหารย์ของพระอรหันต์   เป็นเพราะเทวดาแลมนุษย์ บันดาลอ่า

บัณฑิตย่อมรู้จริง  ไม่งมงาย อ่า



ฐิตา:

ปัญหาที่ ๓ ถามถึงการสำเร็จธรรมของบุคคล

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกที่ปฏิบัติชอบได้ธรรมาภิสมัยเหมือนกันทั้งนั้นหรือ? "
" ขอถวายพระพร บางพวกก็ได้ บางพวกก็ไม่ได้ "
" ใครได้ ใครไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร พวกที่ไม่ได้นั้น มีอยู่หลายจำพวกด้วยกัน คือ

เดรัจฉาน ๑
เปรต ๑
มิจฉาทิฏฐิ ๑
ผู้ลวงโลก ๑

ผู้ฆ่ามารดา ๑
ผู้ฆ่าบิดา ๑
ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๑
ผู้ทำสังฆเภท ๑ ( ทำสงฆ์ให้แตกกัน )

ผู้ทำโลหิตุปบาท ๑ ( ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต )
ผู้เป็นไถยสังวาส ๑
ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑
ผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ๑

ผู้มีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัว ๑
บัณเฑาะก์ ๑ (กระเทย)
อุภโตพยัญชนก ๑ ( คนสองเพศ )
เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ๑
พวกเหล่านี้ถึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ธรรมาภิสมัย"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคล ๑๕ จำพวกเบื้องต้น เป็นพวกทำผิด จะได้ธรรมาภิสมัยหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่จำพวกที่ ๑๖ คือเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนี้แหละเป็นปัญหา เพราะเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ยังไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มานะ มิจฉาทิฏฐิ อรติกามวิตกอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรมดาผู้ที่ห่างไกลจากิเลส สมควรจะรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ ไม่ใช่หรือ ? "

พระนาคเสนอธิบายว่า
" ขอถวายพระพร ข้อนี้ขอจงทรงฟังเหตุผล คือถ้าเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ รู้จักเกิดราคะ โทสะ โมหะ รู้จักมัวเมาในสิ่งที่ควรมัวเมา รู้จักยินดี ไม่ยินดี รู้จักนึกถึงกุศลอกุศล ก็จักมีธรรมาภิสมัยได้ แต่เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนั้น จิตมีกำลังน้อย ส่วนพระนิพพานเป็นของใหญ่ ของหนัก จึงไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดนิพพานได้ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังน้อย ไม่อาจยกภูเขาสิเนรุราชได้ฉันนั้น หรือเปรียบเหมือนหยาดน้ำอันเล็กน้อย ไม่อาจซึมไปทั่วแผ่นดินใหญ่ได้ หรือเปรียบเหมือนเปลวไฟเล็กน้อยไม่อาจทำให้สว่างทั่วโลกได้ หรือเปรียบเหมือนตัวหนอนไม่อาจกลืนช้างได้ฉะนั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าแก้มานี้ โยมเข้าใจดีแล้ว"

ฐิตา:

ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความไม่เจือทุกข์แห่งพระนิพพาน

" ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานมีสุขอย่างเดียว หรือมีทุกข์เจือปน? "
" ขอถวายพระพร นิพพานมีสุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลย"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่เชื่อว่านิพพานมีสุขอย่างเดียว โยมเชื่อว่า นิพพานเจือทุกข์ ที่ว่านิพพานเจือทุกข์เพราะมีเหตุอยู่
คือพวกแสวงหานิพพาน ย่อมเดือดร้อนกายใจมีการกำหนดซึ่งการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร อดหลับอดนอน มีการบีบคั้นอายตนะ มีการสละทรัพย์ ญาติมิตรสหายที่รัก
ส่วนพวกที่หาความสุขในทางโลก ย่อมได้รื่นเริงบันเทิงใจด้วยกามคุณ ๕ คือตาก็ได้เห็นรูปที่สวยงาม หูก็ได้ฟังเสียงเพราะ ๆ จมูกก็ได้สูดดมกลิ่นหอม ๆ ลิ้นก็ได้รับรสอร่อย กายก็ได้ถูกต้องสัมผัสที่ให้เกิดความสุข ใจก็นึกถึงแต่อารมณ์ที่ให้เกิดความสุข
ผู้ละสิ่งที่ชอบอย่างไรก็ตาม จะให้เกิดความสุขทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ เสียแล้ว ย่อมได้รับแต่ความทุกข์ทางกายทางใจ
มาคันทิยปริพาชก ได้ติเตียนสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " พระสมณโคดม เป็นผู้กำจัดความเจริญ " ดังนี้ไม่ใช่หรือ เหตุอันนี้แหละ โยมจึงกล่าวว่า นิพพานเจือทุกข์ "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" ดูก่อนมหาบพิตร นิพพานไม่เจือทุกข์เลย นิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ข้อที่พระองค์ตรัสว่า นิพพานเป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่ทุกข์ของนิพพาน เป็นทุกข์ของการจะทำให้สำเร็จนิพพาน ต่างหาก คือการทำให้สำเร็จนิพพานในเบื้องต้นนั้นเป็นทุกข์ ส่วนนิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ขอถามมหาบพิตรว่า ความสุขในราชสมบัติของพระราชาทั้งหลายมีอยู่หรือ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ราชสุขนั้นเจือด้วยทุกข์ไม่ใช่หรือ ?"
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ก็พระราชาทั้งหลาย เมื่อปลายแดนพระราชอาณาเขตเกิดกำเริบขึ้น ต้องห้อมล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ข้าราชการ พลทหาร เสด็จไปปราบ ต้องลำบากด้วยเหลือบ ยุง ลม แดด ลำบากด้วยการเดินทาง ต้องสู้รบกัน ต้องหยั่งลงสู่ความสงสัยในชีวิต เหตุใดจึงว่าราชสุขไม่เจือทุกข์? "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน นั่นไม่ใช่ราชสุข เป็นส่วนเบื้อนต้นแห่งการที่จะได้ราชสุขต่างหากพระราชาทั้งหลายย่อมได้ราชสุขด้วยความทุกข์ เวลาได้แล้วก็ได้เสวยราชสุข อันราชสุขไม่เจือทุกข์ ราชสุขอย่างหนึ่ง ทุกข์ก็อย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน "

พระนาคเสนจึงกล่าวต่อไปว่า
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร นิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ไม่เจือทุกข์เลย ส่วนพวกแสวงหานิพพาน ย่อมทำให้กายใจเร่าร้อนลำบากด้วยการยืน เดิน นั่ง นอน อาหาร ตัดความสุขทางอายตนะเสีย ทำให้กายใจลำบาก แต่เมื่อได้นิพพานแล้ว ก็ได้เสวยสุขอย่างเดียว เหมือนพระราชาทั้งหลาย เมื่อกำจัดข้าศึกศัตรูได้สิ้นแล้ว ก็ได้เสวยราชสุขอย่างเดียวฉะนั้น เป็นอันว่า นิพพานเป็นสุขอย่างเดียวไม่เจือทุกข์เลย นิพพานก็อย่างหนึ่ง ทุกข์ก็อย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ขอได้ทรงสดับเหตุอย่างอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือพวกอาจารย์ที่มีศิลปะ ย่อมมีความสุขในศิลปะไม่ใช่หรือ? "

" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" สุขในศิลปะนั้น เจือทุกข์บ้างไหม ? "
" ไม่เจือเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" เหตุใดพวกเรียนศิลปะ จึงต้องเอาใจใส่ต่ออาจารย์ ด้วยการกราบไหว้ การลุกรับ การตักน้ำ การปัดกวาด การให้ไม้สีฟันและน้ำบ้วนปาก การกินเดนอาจารย์ การนวดฟั้นขัดสีให้อาจารย์ การปฏิบัติเอาใจอาจารย์ นอนก็ไม่เป็นสุข กินก็ไม่เป็นสุข ทำให้กายใจเดือดร้อน ? "
" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนั้นไม่ใช่สุขในศิลปะ เป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการแสวงหาศิลปะต่างหาก พวกอาจารย์แสวงหาศิลปะได้ด้วยความทุกข์ แต่ล้วนก็ได้เสวยสุขในศิลปะ สุขในศิลปะไม่เจือทุกข์เลย ทุกข์อย่างหนึ่งสุขในศิลปะก็อีกอย่างหนึ่ง "

" เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
" เอาละ พระผู้เป็นเจ้า เป็นอันโยมรับว่าเป็นจริงอย่างนั้น"

ฐิตา:

   ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องนิพพานโดยรูปพรรณสัณฐาน"

   ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพาน แต่พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้รูปหรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานนั้นได้ด้วย อุปมา หรือเหตุ หรือปัจจัย หรือนัยอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือไม่ ? "
   " ไม่ได้ มหาบพิตร เพราะนิพพานไม่มีของเปรียบ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้โยมยังไม่ปลงใจ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอ้างเหตุให้โยมเข้าใจก่อน"
   " ขอถวายพระพร ได้...อาตมภาพขอถามว่ามหาสมุทรมีอยู่หรือไม่? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้ามีอยู่ถามมหาบพิตรว่า น้ำในมหาสมุทรมีเท่าไร สัตว์ในมหาสมุทรมีเท่าไร มหาบพิตรจะตอบเขาว่ากระไร ?"
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้ามีผู้ถามโยมอย่างนี้โยมก็จะตอบเขาว่า ถามสิ่งที่ไม่ควรถาม ปัญหานี้เป็นของควรพักไว้ไม่ใช่ควรจำแนก ใคร ๆ ไม่ควรถาม "
   " เพราะเหตุไร มหาบพิตร จึงต้องทรงตอบเขาอย่างนี้ ตามที่ถูกมหาบพิตรควรตอบเขาว่า น้ำในมหาสมุทรมีอยู่เท่านั้น สัตว์ในมหาสมุทรมีอยู่เท่านี้ไม่ใช่หรือ ? "
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่อาจตอบอย่างนั้นได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาเหลือวิสัย โยมจะทำอย่างไร ? "

   " เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตรแต่ว่า ผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิต อาจคำนวณได้ว่าน้ำและสัตว์ในมหาสมุทรมีอยู่เท่านั้น แต่ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย ขอได้โปรดทรงสดับเหตุอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเทพเจ้าชื่อว่าอรูปกายิกา ( อรูปพรหม ) ในจำพวกเทพมีอยู่หรือ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " มหาบพิตรอาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัยหรือประมาณ แห่งพวกเทพจำพวกอรูปกายิกาเหล่านั้น โดยอุปมา หรือด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย ด้วยนัย ได้หรือไม่? "
   " ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า "
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นพวกเทพอรูปกายิกาที่ไม่มีรูปร่างปรากฏ ก็ไม่มีน่ะซิ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าไม่มิใครอาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย หรือประมาณ แห่งเทพเจ้าเหล่านั้นได้ด้วยอุปมา เหตุ ปัจจัยหรือนัยได้ "

   " ขอถวายพระพร เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร"

   แสดงคุณแห่งนิพพาน
   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่านิพพานเป็นสุขอย่างเดียวก็จงพักไว้ แต่ว่าไม่มีใครอาจชี้รูป สัณฐาน วัย หรือประมาณแห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา เหตุ ปัจจัย หรือนัย ก็คุณของนิพพานพอจะเทียบกับสิ่งอื่นได้ เพียงแต่จะชี้ให้เห็นได้สักเล็กน้อยด้วยอุปมามีอยู่หรือ? "
   " เมื่อว่าโดยย่อก็มีอยู่ มหาบพิตร "

   " ดีแล้ว พระคุณเจ้าข้า โยมขอฟังการแสดงเพียงบางส่วนแห่งคุณของนิพพาน ขอได้โปรดแสดงให้โยมดับความร้อนใจอยากจะฟัง เหมือนกับการดับความร้อนด้วยน้ำเย็นหรือด้วยลมอ่อน ๆ ฉะนั้นเถิด "
   " ขอถวายพระพร ดอกปทุมมีคุณ ๑ น้ำมีคุณ ๒ ยาดับพิษงูมีคุณ ๓ มหาสมุทรมีคุณ ๔ โภชนะมีคุณ ๕ อากาศมีคุณ ๑๐ แก้วมณีมีคุณ ๓ จันทน์แดงมีคุณ ๓ เนยใสมีคุณ ๓ ยอดศีรีมีคุณ ๕ คุณแห่งสิ่งเหล่านี้พอเปรียบเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้"

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือ ดอกปทุมที่ว่ามีคุณ ๑ นั้น ได้แก่น้ำไม่ติดค้างอยู่ได้ เหมือนกับนิพพานไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส "
   " ข้าแต่พระนาคเสน น้ำมีคุณ ๒ เป็นอย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร น้ำมีคุณ ๒ คือความเย็น ๑ การดับความร้อน ๑ ทั้งสองประการนี้ พอเปรียบเทียบกับนิพพานอันเป็นของเย็น เป็นของดับความร้อนคือกิเลสได้ อนึ่ง น้ำอันเย็นนั้น ยังกำจัดความเศร้าหมองในร่างกาย และความกระหายความเร่าร้อนได้ เหมือนกับนิพพานอันกำจัดความกระหาย คือตัณหาทั้ง ๓ ได้ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า คุณแห่งยาดับพิษงูมี ๓ นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือยาดับพิษงู ย่อมเป็นเครื่องดับพิษ เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายเหมือนกับนิพพานอันดับพิษคือกิเลส และยาดับพิษงูทำให้หมดโรค เหมือนกับนิพพานทำให้สิ้นทุกข์ทั้งปวง ยาดับพิษงูเป็นของไม่ตายเหมือนกับนิพพานอันเป็นของไม่ตายฉะนั้น"

   " ข้าแต่พระนาคเสน คุณแห่งมหาสมุทร ๔ ที่พอจะเปรียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือ มหาสมุทรเป็นของบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากซากศพทั้งหลาย ก็เปรียบเหมือนกับนิพพานอันว่างเปล่าจากกิเลสทั้งหลาย ๑ มหาสมุทรใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้จักเต็มด้วยน้ำที่ไหลมาจากที่ทั้งปวง เหมือนกับนิพพานอันเป็นของใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้จักเต็มด้วยสรรพสัตว์ฉะนั้น ๑ มหาสมุทรอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ใหญ่ ๆ เหมือนกับนิพพานอันเป็นที่อยู่ของผู้มีคุณใหญ่คือผู้สิ้นกิเลสแล้วฉะนั้น ๑ มหาสมุทรย่อมเจือไปด้วยดอกไม้ คือลูกคลื่นหาประมาณมิได้ เหมือนกับนิพพานอันเต็มไปด้วยดอกไม้ คือวิชชา วิมุตติ อันบริสุทธิ์หาประมาณมิได้ฉะนั้น ๑ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า โภชนะที่คุณ ๕ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาโภชนะ ย่อมทรงไว้ซึ่งอายุ ทำให้เจริญกำลัง ทำให้เกิดวรรณะระงับความกระวนกระวาย กำจัดความหิวของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับนิพพานอันทรงไว้ซึ่งอายุ ด้วยการกำจัดชรามรณะเสีย ทำให้เจริญกำลังคือฤทธิ์ ให้เกิดวรรณะคือศีล ระงับความกระวนกระวายคือกิเลสทั้งปวง กำจัดซึ่งความหิวคือทุกข์ทั้งปวงฉะนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า อากาศมีคุณ ๑๐ พอจะเทียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คืออากาศไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักเคลื่อน ไม่รู้จักปรากฏ กดขี่ไม่ได้ โจรขโมยไม่ได้ ไม่อิงอาศัยอะไร เป็นที่ไปแห่งนก ไม่มีเครื่องกั้งกาง ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับนิพพานฉะนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า แก้วมณีมีคุณ ๓ ซึ่งพอจะเปรียบเทียบกันกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือแก้วมณี ให้สำเร็จความปรารถนา ๑ ทำให้ร่าเริงใจ ๑ ทำให้สว่าง ๑ ฉันใด นิพพานก็ให้สำเร็จความปรารถนา ทำให้ร่าเริงใจ ทำให้สว่างฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า จันทน์แดงมีคุณ ๓ พอจะเทียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือธรรมดาจันทน์แดงย่อมเป็นของหาได้ยาก ๑ มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นอื่นเสมอ ๑ และเป็นที่สรรเสริญแห่งคนทั้งหลาย ๑ ฉันใด นิพพานก็เป็นของหาได้ยาก มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นอื่นเสมอ เป็นที่สรรเสริญแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลายฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า เนยใสมีคุณ ๓ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาเนยใส ย่อมมีสีดี มีรสดี มีกลิ่นดี ฉันใด นิพพานก็มีสี คือคุณดี มีรสคือไม่รู้จักตาย มีกลิ่นคือศีลฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ยอดศีรีมีคุณ ๕ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   "ขอถวายพระพร คือยอดศีรีเป็นของสูง เป็นของไม่หวั่นไหว ขึ้นได้ยาก ไม่เป็นที่งอกงามแห่งพืชทั้งปวง พ้นจากการยินดียินร้าย เหมือนกับนิพพานฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า การที่แก้มาแล้วนี้เป็นการถูกต้องดีทั้งนั้น"

ฐิตา:

  ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการกระทำให้แจ้งนิพพาน

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพานไม่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันไม่ใช่เกิดแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด ไม่ใช่ว่าจักเกิด ก็ผู้ที่ปฏิบัติชอบย่อมได้สำเร็จนิพพานมีอยู่ ผู้นั้นสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว หรือว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จ ? "

   พระนาคเสนตอบว่า
   " ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จ เป็นแต่ว่า นิพพานธาตุนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบก็สำเร็จนิพพานธาตุนั้น"

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าทำปัญหานี้ให้ปกปิดเลย จงแสดงออกให้แจ่มแจ้งเถิด สิ่งใดที่ผู้มีฉันทะอุตสาหะ ได้ศึกษาแล้วในเรื่องนิพพาน ขอจงบอกสิ่งนั้นทั้งสิ้น เพราะในเรื่องนิพพานนั้น ประชุมชนสงสัยกันอยู่มาก ขอจงทำลายความสงสัย อันเป็นเหมือนลูกศร ที่ฝังอยู่ในดวงใจของคนทั้งหลายเถิด พระผู้เป็นเจ้า "

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version