Departures : ของขวัญแห่งการจากลา ปกติเวลาที่ผมดูหนังในเยอรมัน หนังที่เข้าโรงมักจะกลายเป็นหนังเก่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเมืองไทย แต่เมื่อเดือนที่แล้วผมได้กลับบ้านเพื่อพักผ่อน และก็มีโอกาสได้ดูหนังแบบพร้อม ๆ กับคนที่เมืองไทย และคิดว่าจะมีโอกาสได้รีวิวหนังแบบไม่เชยกับเขาสักหน่อย จนแล้วจนรอด ผมก็ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนหนังกลายเป็นหนังเก่าจนได้ หรือว่าอะไร ๆ ในสมัยนี้ดูจะเก่าเร็วไปเสียหมด แต่ผมว่าหนังดี ๆ ดูยังไงก็ไม่เก่านะ
ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง
Departures (Okuribito) เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ดูหนังเรื่อง
นางไม้ แต่เนื่องจากหนังเรื่องนางไม้เป็นหนังที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีโรงหนังเปิดฉายเพียงไม่กี่โรงใน กทม. และเปิดฉายเพียงรอบเดียวคือ 2 ทุ่มครึ่ง ผมเลยต้องหาหนังดูฆ่าเวลาระหว่างที่รอหนังเรื่องนางไม้เข้าโรง แล้วผมก็เหลือบตาไปเห็นหนังฟอร์มจิ๋ว ที่มีรูปใบมะกอกแปะอยู่ตรงโปสเตอร์โฆษณา ทำให้รู้ว่าเป็นหนังได้รับรางวัลประเภทไร้คนดู (
6 internatioanals 9 domestic) ผมจึงตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังสัญชาติญี่ปุ่นความยาวกว่า 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ ดูแล้วไม่ผิดหวังแม้แต่น้อยครับ
โปรดระวัง สปอยล์เล็กน้อยถึงปานกลาง !
Departures เป็นเรื่องราวของ Daigo Kobayashi หนุ่มนักเชลโล่ ผู้ไม่ประสบความสำเร็จในความฝันการเป็นนักเชลโล่ในวงออเคสตร้าที่เขาตั้งเอาไว้ จึงตัดสินใจทิ้งชีวิตนักดนตรีที่โตเกียว เดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมภรรยาผู้น่ารัก ในเมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกัน เขามีอาชีพใหม่แบบไม่ตั้งใจ เป็นอาชีพที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก และเป็นที่รังเกียจขยะแขยงของคนในสังคม นั่นคืออาชีพ
"ยกศพลงโลง" อาชีพที่ว่าทำให้เขามีประสบการณ์แปลกใหม่ และหลาย ๆ สิ่งในชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป ...
โดยรวม Departures เป็นหนังที่มีลายละเอียดในตัวหนังมายมายให้คนดูได้จดจำ ทุก ๆ ฉากของหนังทุกฉาก ถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้อย่างลึกซึ้งและมีมิติ เมื่อพูดถึงความสามารถและบทบาทของนักแสดงแต่ละคนแล้ว ต้องบอกเลยครับว่า ทุกคนในหนังแสดงได้ดีมาก แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ในหนังที่แทบไม่มีบทพูดใด ๆ เลย และปรากฏตัวออกมาเพียง 3 ฉาก ก็สามารถแสดงออกทางสายตา ได้ดียิ่งกว่าการพูดออกมานับพันคำ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้จึงกวาดรางวัลจากเทศกาลหนังต่าง ๆ มาอย่างล้นหลาม
อาชีพยกศพลงโลง อาชีพใหม่ของ Daigo เดิมทีนั้นเป็นหน้าที่ของญาติพี่น้องของผู้ตาย ที่ต้องทำพิธีกรรมทำความสะอาดศพเพื่อเป็นการอำลาผู้ตาย ก่อนที่จะยกศพลงโลง แล้วให้สัพเหร่อทำหน้าที่ของตนเองต่อไป แต่ด้วยความซับซ้อนของพิธีกรรม ที่ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการทำความสะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ศพโดยที่ไม่ให้คนอื่นเห็นผิวหนัง ทำให้มีคนทำพิธีกรรมนี้ได้น้อยลง จนต้องมีมืออาชีพมารับจ้างเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมในที่สุด และเนื่องจากเป็นพิธีกรรมที่ผู้คนให้ความสำคัญ และทั้งเมืองมีบริษัทที่รับทำหน้าที่นี้เพียงบริษัทเดียว การยกศพลงโลง จึงเป็นอาชีพที่เข้าข่าย
"งานสบายรายได้ดี" ด้วยภาระการหาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเองและภรรยา Daigo จึงตัดสินใจประกอบอาชีพดังกล่าวด้วยเหตุผลทางด้านการเงินแปบไม่เต็มใจ และปิดเป็นความลับไม่ให้ภรรยารู้เพราะความอับอาย
อาชีพยกศพลงโลงไม่ต่างจากอาชีพที่ได้ชื่อว่า
"หากินกับศพ" อาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับจากการยอมรับจากสังคมมากนัก อาชีพใหม่ของ Daigo จึงได้นำพาปัญหาเข้ามาสู่ชีวิตของ Daigo ทั้งเรื่องสังคมและครอบครัว แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างก็ทำให้ Daigo มีความผูกพันธ์กับอาชีพใหม่ของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ความขัดแย้งของเรื่องราวเริ่มก่อตัว และมีมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ ไปกับพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัว จนมาถึงจุดแตกหัก ที่ Daigo ต้องเลือกระหว่าง ... กับอาชีพที่ Daigo ไม่ได้ชอบแม้แต่น้อย ไม่มีเกียรติ และนับวันจะสร้างปัญหาให้มีมากขึ้น การตัดสินใจไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้การตัดสินใจของ Daigo กลายเป็นเรื่องน่าหนักใจ
เรื่องได้ดำเนินต่อไปพร้อม ๆ กับการนำเสนอความสำคัญของอาชีพเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครให้ความเคารพ และความสนใจ การถ่ายทอดความรู้สึก ความผูกพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตาย ผ่านพิธีกรรมที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะเกินความจำเป็น แต่กลับกลายเป็นของขวัญแห่งการจากลาที่มีความหมายและความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ
หลาย ๆ ครั้งหนังได้นำเสนอมุมมองของผู้คนที่มีต่อผู้มีอาชีพเกี่ยวกับศพ ว่าเป็นคนที่สกปรก เพราะคลุกคลีกับศพซึ่งเป็นของสกปรก แต่แล้วเรื่องราวของหนังก็เดินทางมาถึงจุดหักเหอีกครั้ง เมื่อหนังได้ตั้งคำถามขึ้นว่า หากศพนั้นคือร่างกายที่ไร้ชีวิตของคนที่มีความผูกพันธ์กับคุณ คุณจะรู้สึกว่าศพนั้นสกปรกหรือไม่ ? และหนังก็ให้คำตอบต่อคำถามดังกล่าวอย่างไร้ข้อกังขา ด้วยฉากที่ไร้คำพูดใด ๆ ความยาวไม่ถึงสองนาที
ไม่เพียงแต่มุมมองต่ออาชีพและพิธีกรรมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่านั้น ที่ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของหนัง เรื่องราวของครอบครัวหลากหลายรูปแบบ ถูกนำมาเล่าอย่างพิถีพิถัน ความรัก ความผูกพันธ์ ความขัดแย้ง การปรับความเข้าใจ การให้อภัย การคืนดี ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ได้รับการนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ เพราะเรื่องราวทั้งหมดถูกเรียงร้อยเข้ากับ
"ความตาย" และ
"พิธีกรรมของคนตาย"มุมมองหนึ่งในหนังเรื่องนี้ที่ผมชอบมาก ๆ คือ แม้ความตายจะพรากคนที่รัก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัว) ให้จากไปอย่างไม่หวนกลับ แต่ความตายไม่อาจขวางกั้นความผูกพันธ์ และการปรับความเข้าใจระหว่างกันได้ และไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการให้อภัย
Departures เป็นหนังที่เล่นกับความตาย พิธีกรรม และครอบครัวได้อย่างสวยงามและลงตัว ด้วยมุมมองที่แตกต่างและอบอุ่น เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ และอยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน
Departures - Trailer http://www.combiolaw.de/blog/899/page/0