ผู้เขียน หัวข้อ: ความยิ่งใหญ่ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  (อ่าน 4477 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ท่านบรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าแล้ว แม้สิ้นเวลาไปหนึ่งกัป
คือตั้งแต่โลกอุบัติขึ้น แล้วย่อยยับกลับเป็นหมอกเพลิงอีกครั้ง
สิ้นเวลาไปนานขนาดนั้นแล้ว ก็ยังพรรณา คุณความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หมด
 
เพราะฉะนั้นมนุษย์ธรรมดา เลิกพูดกัน
จะพรรณาคุณความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แต่เพียงส่วนน้อยนิด
อุปมาเหมือนคำถามว่า
ดวงอาทิตย์มีประโยชน์อย่างไร ?
 
เด็กเล็กก็คงตอบว่า
ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่เรา ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์โลกก็คงมืดตื้อ เราก็คงมองไม่เห็นแสงสว่างทั้งโลก
เด็กโต อาจอธิบายเพิ่มว่า ดวงอาทิตย์ให้ความอบอุ่นให้พลังงานแก่เราด้วย
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็สามารถพรรณาคุณความดีได้มากขึ้น
 
ยิ่งนักวิทยาศาสตร์ ก็ยิ่งขยายความได้มาก ตั้งแต่เป็นโซล่าเซลล์ รวมทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่นำมาใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น
ช่วยในการปรุงอาหารในพืช เช่นนี้เป็นต้น
ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ที่มีปัญญามากก็ย่อมสามารถชี้แจงรายละเอียด ขยายความได้มากด้วย
 
จากหลักฐานในพระไตรปิฎก พระอรหันต์ด้วยกัน ท่านก็ยังพรรณาคุณความดี
หรือความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าได้ไม่เท่ากัน พระสารีบุตร
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ท่านสามารถพรรณาได้มากที่สุดมากมายเหลือเกิน
จนเราท่องจำได้ไม่หมด แต่ถึงกระนั้น พระสารีบุตร ก็ยังกล่าวไว้ว่า
คำพรรณาคุณความดีของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราจำได้ไม่หมดนั้น
ฟังให้ดีนะ
 
พระสารีบุตร ท่านอุปมาว่า
คุณความดีของพระพุทธเจ้าที่ท่านยกขึ้นมาพรรณา เปรียบได้กับจำนวนน้ำในแม่น้ำสายใหญ่ ๆ หรือทะเลที่ไหลผ่านจากรูเข็ม ที่หย่อนในห้วงน้ำนั้น ๆ
 
นึกดูนะ แม่น้ำสายใหญ่กว้างที่สุดลูกหูลูกตา หยิบเข็มมาเล่มหนึ่ง แล้วเอาก้นจุ่มลงไป น้ำที่กำลังไหล
ท่านบอกว่า
คุณความดีที่ท่านพรรณานี้ อุปมาเหมือนน้ำที่ไหลผ่านรูเข็มเท่านั้น นอกนั้นก็ไหลไปเต็มแม่น้ำอีกมากมายจนเกินปัญญาที่จะบรรยาย
 
เพราะฉะนั้น เมื่อหลวงพ่อจะอธิบายเรื่อง
"ความยิ่งใหญ่ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" หลวงพ่อก็คงบรรยายได้เพียงไอน้ำสักนิดที่ต้องเอาแว่นขยายมาส่อง ขยายแล้ว ขยายอีก ไม่รู้ว่ากี่ล้านเท่าจึงจะมองเห็น
 
แต่ถึงกระนั้น หลวงพ่อก็จะพยายามขยายความให้เต็มที่ เพื่อให้พวกเราเข้าใจว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีคุณความดีเกินไปกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา
 
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะได้นับถือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอย่างหมดใจแล้วตั้งใจทุ่มเททำความดี
ตามที่พระองค์ท่านทรงสั่งสอนโดยไม่ลังเล ทำอย่างนี้จึงจะเอาตัวรอด
 
ต่อไปนี้หลวงพ่อจะได้กล่าวถึง ศาสดาของศาสนาต่าง ๆ ในเชิงเปรียบเทียบ ไม่ใช่เพื่อการประชันแข่งขัน
เพราะทุกศาสดาในโลกล้วนสอนให้คนทำดี
และในทุกศาสนาต้องมีดี จึงได้มีผู้นับถือสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
 
หลวงพ่อเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเรา รวมทั้งพวกเราในปัจจุบันด้วย
มีความฉลาดเฉลียวรู้จักจัดแง่มุมมองได้อย่างถูกต้องเพียงใดศาสดาแห่งพุทธศาสนา
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งพุทธศาสนานั้น หลักฐานในพระไตรปิฎก บันทึกไว้ว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้น ในกัป หลายพระองค์แล้ว
แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน
ซึ่งมีประจักษ์พยาน หลักฐานต่าง ๆ
 
 




 
 
 
การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิใช่ภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเล่าไว้ชัดเจนว่า
 
พระองค์ท่านทรงบำเพ็ญเพียร สร้างบารมี มาแล้วถึงถึง 20 อสงไขย กับแสนกัป
 
การสร้างบารมีหรือการสะสมความดีนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ก็อาจพากเพียรทำความดีได้
ทุกคนที่นั่งตามศาลาใต้โคนไม้ หรืออยู่ที่ใดก็ตาม
ถ้าสะสมความดี ใจก็จะใสสว่างขึ้น ครั้งอาจสว่างเท่าหิ่งห้อย สะสมความดีมากขึ้น
ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนามากขึ้นใจก็จะใส และสว่างมากขึ้น
เหมือนดวงดาว สะสมความดียิ่งขึ้นใจก็จะสว่าง
 
เหมือนพระจันทร์สะสมความดีต่อไปอีก ความสว่างจะเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ไม่ร้อน
ยิ่งสว่าง ยิ่งเย็นตา เย็นใจ
แล้วปรากฏสว่างออกมาทั้งตัว หน้าตา ผิวพรรณ ผ่องใส เห็นได้ชัดเจน
 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสะสมความดีด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
ครบถ้วนข้ามภพข้ามชาติตลอดมา ความดีที่สะสมไว้จึงกลั่นเป็นบุญเป็นบารมีมากขึ้นตามลำดับ
 
 
 
เทพอัญเชิญ
 
ภาวะความเป็นเทพ เป็นพรหมในสวรรค์นั้น เกิดจากการบำเพ็ญบุญสะสมความดี ขัดเกลากิเลสตามลำดับขั้น เมื่อละโลกแล้วจึงได้เกิดเป็นเทวดา พรหม
แต่เทวดาก็ยังไม่หมดกิเลส พอถึงเวลาเทวดาหมดบุญก็เหมือนหมดเสบียง ต้องกลับมาเกิดอีก ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แต่เทวดาก็รู้ว่า
 
ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าพระพุทธศาสนาสูญไปจากโลกแล้ว
ก็จะไม่มีผู้ชี้วิธีทำความดีให้
ตัวเองก็ระลึกชาติไม่ได้
เพราะว่าเวลามาเกิด ต้องผ่านระยะเด็กวิธีทำความดีในชาติที่แล้วก็ลืม
พอเป็นผู้ใหญ่ก็นึกไม่ออกว่าจะทำความดีอย่างไร
 
เมื่อไม่มีพระพุทธเจ้ามาชี้แนะ ก็จะไม่ได้ทำความดี มิหนำซ้ำเผลอไปทำความชั่วเข้า เลยต้องตกนรก
เทวดาบนสวรรค์ผวาไปตาม ๆ กัน เพราะเทวดารู้ตัวว่า
 
ถ้าหมดบุญลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ ในขณะที่ไม่มีพระพุทธเจ้า มาคอยชี้ทางให้ ก็จะตกนรกเหมือนพรรคพวกที่ไปรุ่นแรก ๆ แน่นอน
เทวดาอกสั่นขวัญแขวนกลัวจะตกนรกเหมือนกัน
 
แล้วจะแก้ไขอย่างไร
ประชุมกันทีเดียว
เวลานั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
 
เนื่องจากท่านสร้างบารมีไว้มาก มีพระบริสุทธิ์คุณอันยิ่งใหญ่
ใจท่านใสสว่างมาก จนกายก็ใสสว่าง ปรากฏเป็นรัศมีออกจากตัว
รุ่งโรจน์สว่างจนเทพ เทวดา พรหม ทุกหนทุกแห่ง
มองเห็นได้ รู้ได้ทันทีว่า
บารมีของท่าน พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เทวดาจังพร้อมใจกันไปทูลเชิญ
 
"พระพุทธเจ้าข้าถึงเวลาแล้ว โลกเวลานี้วุ่นวายนักขออัญเชิญพระองค์ไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
โปรดสัตว์โลกเถิด แล้วพวกข้าพเจ้าก็จะขอตามลงไปปฏิบัติธรรมในสำนักของท่านด้วย"
 
กราบอ้อนวอนอัญเชิญท่านลงไปจุติในโลกมนุษย์ เพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์โลก
 
การเชิญนี้มิได้มาเชิญทีละคนสองคนนะ เทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด พร้อมใจกันมาอัญเชิญทีเดียว
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลือกเกิดอย่างไร
มีธรรมดาอยู่ว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อบารมีเต็มที่แล้ว เทพเทวดาจะอัญเชิญท่านลงมาเกิดในโลกมนุษย์
แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจุติลงมาทันทีนะ เพราะท่านเลือกเกิดได้
ท่านจะเลือกเกิดในโอกาส ที่จะให้ประโยชน์ สูงสูดแก่มวลมนุษย์
 
ฟังให้ดีนะ ประเด็นนี้ อย่าเชื่อใคร่นะว่าเลือกเกิดไม่ได้ คนเราถ้ามีความดีมีบุญบารมีในตัวมากพอแล้ว
 
เลือกเกิดได้ทั้งสิ้นเหมือนเศรษฐีคนมีเงินจะซื้อของอะไรก็ได้ดังใจ ถ้าไม่ถูกใจไม่มีประโยชน์ก็ไม่ซื้อ
 
ถ้าถูกใจแล้วมีเงินซะอย่าง ซื้ออะไรก็ซื้อได้
แต่คนจนไม่มีเงิน จึงเลือกซื้อไม่ได้ ต้องรอเขาแจกไม่มีสิทธิเลือก
คนมีบุญมาก เทวดาอัญเชิญมาเกิด เลือกเกิดได้ คนมีบุญน้อย ๆ บาปมาก ๆ ต้องชิงกันมาเกิดชิงจริง ๆ นะ
ถ้าปฎิสนธิวิญญาณไหน ช้าไปหน่อย ถูกกรรมาชั่วตัดรอนชิงไม่ทัน อาจเข้าท้องหมู หมา กา ไก่ ไปก็ได้!
 
พวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ได้มาปฏิบัติธรรมเช่นนี้ก็แสดงว่าพื้นฐานเดิมดีอยู่แล้ว
เขาเชิญมาเกิดแล้ว ก็สร้างความดีกันต่อไป ถึงยังไม่หมดกิเลส ก็มีโอกาสได้รับเชิญมางวดหน้า
ไม่งั้นจับพลัดจับพลู ชาติหน้าไม่ได้รับเชิญ ต้องไปชิงกับเขาก็จะยุ่ง
 
พระโพธิสัตว์ชาติสุดท้ายเกิดเป็นพระเวสสันดร เมื่อละโลกเป็นเทวดาชั้นดุสิต เรียกว่า สันตดุสิตเทวราช
 
เมื่อเทวดาอัญเชิญลงมาเกิด ท่านจะเลือกโดยพิจารณา จากปัจจัยต่าง ๆ ที่เรียกว่า
มหาวิโลกนะ 5 ประการ คือ
 
1.เลือกกาล
คือท่านเลือกเวลามาเกิดโดยตรวจสอบอายุเฉลี่ยของ มนุษย์ในยุคนั้น
ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะรับฟังคำสั่งสอนของท่านได้หรือไม่
 
ในยุคต้นกัป มลภาวะในโลกน้อย อายุมนุษย์ในโลกเฉลี่ย เป็นแสน ๆ ปี
ในเมื่อมนุษย์อายุยืนเป็นแสน ๆ ปี ถ้าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ แล้วสอนชาวโลกว่า
คนเราต้องเกิดแก่เจ็บตายชีวิตนี้เป็นทุกข์
มนุษย์ก็จะเถียงคอเป็นเอ็นว่า อย่ามาหลอกเลย อยู่มาตั้งแสนปี ยังไม่เห็นแก่เลย
 
ในด้านตรงกันข้าม ถ้ามนุษย์อายุเฉลี่ยต่ำมาก ๆ ก็ไม่เหมาะอีก
ถ้าสมมุติว่า มนุษย์อายุเฉลี่ยสัก 30 ปีก็ตาย
เราก็คงเป็นหนุ่มเป็นสาวกัน เมื่ออายุ 7-8 ขวบ
 
ถ้าสมมุติว่า มนุษย์อายุเฉลี่ย ๅ10 ปี มนุษย์คงเป็นหนุ่มเป็นสาว เมื่ออายุสัก 1 ปี
นึกดูก็แล้วกันพอลูกชายอายุ 1-4 ปี เป็นหนุ่มแล้ว ริกินเหล้า ริเจ้าชู้ ลูกสาวอายุ 1-2 ปี
ก็อยากแต่งงานขึ้นมาทีเดียว
 
เลยไม่ต้องทำความดีกันอะไรก็นึกไม่ออก ไม่มีเวลาที่จะเรียนธรรมะกันเลย
ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเลี้ยงลูกไม่ทันไรก็ตาย ชีวิตคงไม่ต่างจากหมาแมวในบ้านเรานี่แหละ
 
ฉะนั้นเวลาที่ท่านเลือกมาเกิด จึงเป็นระยะที่มนุษย์อายุเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 100 ปี
ถ้ามนุษย์อายุมากเกินไปหรืออายุต่ำกว่านี้ ท่านก็ไม่เกิด
 
2.เลือกทวีป
คือนิสัยของคนในแต่ละทวีปไม่เหมือนกัน บางทวีปคนขี้เกียจ บางทวีปคนขยัน ท่านก็เลือกเกิดในทวีปที่คนขยัน
 
3.เลือกประเทศ
คือแม้ในทวีปที่ผู้คนขยัน ท่านก็ยังเลือกประเทศที่อุดมสมบูรณ์เป็นอิสระ
ผู้คนมีสติปัญญามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประเทศที่แห้งแล้ง ยากจนหรือเป็นเมืองขึ้นเขา
 
4.เลือกสกุล
คือตระกูลที่ท่านจะไปเกิด ถ้ายุคนั้น ผู้คนนับถือ กษัตริย์ว่าเป็นใหญ่ ท่านก็เลือกเกิดในตระกูลกษัตริย์
ถ้าผู้คนนับถือนักบวชว่าเป็นใหญ่ ก็เกิดในตระกูลนักบวช
 
5.เลือกมารดา
คือมารดานั้นเปรียบเสมือนแม่พิมพ์ของร่างกาย
ถ้าสุขภาพร่างกายไม่ดีลูกก็อาจพิกลพิการพระองค์ท่านจึงเลือกพระมารดาด้วย
 
เมื่อได้ปัจจัยครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 5 ประการแล้ว จึงจุติมาเกิดและเนื่องจากบุญบารมีท่านมาก
เมื่อเจริญพระชนม์ในพระครรภ์พระมารดา
พระมารดาก็ไม่มีความทุกข์ ไม่ต้องแพ้ท้อง โอดโอย ทุรนทุราย
พระมารดามีแต่ความแช่มชื่นใจอยากทำบุญ อยากนั่งสมาธิ อยากรักษาศีล
 
นี่ก็คือความยิ่งใหญ่ของบรมครูของเรา ท่านแจกจ่ายความสุขสบายให้ทุกคน
ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิทีเดียว
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ปรากฏการณ์อัศจรรย์ในพระประสูติกาล
 
ด้วยอำนาจบุญที่ทำมาดีแล้ว เมื่อจุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ลักษณะของท่านก็ไม่เหมือนคนทั่วไป
ทรงลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด แข็งแรงที่สุด และได้สัดส่วนที่ดีที่สุดด้วย
และในวาระพระประสูติกาล ก็ได้มีปรากฏการณ์เป็นที่อัศจรรย์เกิดขึ้นอีกหลายประการ เช่น
 
 

 
ประการที่ 1
ด้วยลักษณะมหาบุรุษที่สมบูรณ์แข็งแรง ศูนย์ถ่วงของร่างกายจึงดีเหลือเกิน
ขณะที่พระองค์อยู่ในครรภ์พระมารดา แทนที่จะนอนคุดคู้ ขด เหมือนลูกแมว ลูกหมู
พระวรกายของพระองค์กลับนั่งสมาธิอยู่ในครรภ์พระมารดา
ครบ 10 เดือน จึงประสูติออกมา
เวลาคลอดก็ไม่เมือนคนทั่วไป ซึ่งเอาหัวออก ทำให้แม่ต้องนอนคลอด
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประสูตินั้น ไม่ทรงทำลำบากให้พระมารดาเลย พระมารดายืนคลอด
 
 

 
พอพระองค์ยืดขา หลุดจากพระครรภ์มารดาก็ทรงยืนได้ทันที
พอยืนก็ก้าวไปได้เลย เจ็ดก้าว และยังพูดได้ด้วย
คำพูดที่ท่านเปล่งออกมาทันทีที่ประสูติ เรียกว่า อาสภิวาจา
คือวาจา หรือ คำพูดที่ประกาศถึงความเป็นผู้มีความสามารถสูงสุดในโลก พระองค์ตรัสว่า
 
 
"เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ ย่อมไม่มี"


 
[/COLOR]เป็นหลักฐานได้ว่า ผู้มีบุญบารมีแก่กล้านั้นเมื่อประสูติก็สามารถพูดได้เลย
 
ประการที่ 2
เมื่อพระองค์ประสูตินั้น เทวดาทั้งหลายต่างพากันมารอรับและดูแลอารักขา คนอื่น ๆ มองไม่เห็น
มีแต่พระมารดาเท่านั้นที่เห็นชัดว่า มีเทวดาเข้ามารับ เทวดาเหล่านี้ คือ
เทวดาที่ไปอัญเชิญพระองค์มาประสูตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อเชิญลงมาแล้วก็เลยตามมาดูแลอารักขาด้วย
 
เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ เท้ายังไม่ถึงดิน ก็มีเทพบุตรทั้ง 4 มารองรับ พระองค์ท่านไว้
แล้วทูลกับพระมารดาว่า
"พระแม่เจ้าจงพอพระทัยเถิด บุตรอันมีศักดาใหญ่ของพระแม่เจ้าเกิดแล้ว"
 

 
 
ยิ่งกว่านั้น เวลาพระองค์ประสูติ พระวรกายของพระองค์ยังสะอาดหมดจด ไม่เปื้อนด้วยเลือด เมือกหนอง
อย่างคนธรรมดา นับเป็นผู้สะอาดหมดจด
เหมือนอย่างเอาแก้วมณีวางบนผ้าเนื้อเกลี้ยงแก้วนั้นไม่เปื้อนผ้า และผ้าก็ไม่เปื้อนแก้วอย่างนั้น
 
ประการที่ 3
เมื่อประสูติแล้วปรากฏว่ามีท่อน้ำธารน้ำอุ่น เกิดขึ้นกลางอากาศให้ได้สรงทีเดียว ถามว่าเกิดจาก
บุญอะไร
ตอบว่า บุญที่ท่านไม่เคยหวงน้ำดื่มน้ำใช้ข้ามภพข้ามชาติมานั่นแหละ
 
ถึงคราวประสูติ บุญก็ตามมา มีน้ำตกกลางอากาศหลั่งไหลเป็นน้ำฝน ที่เหมาะแก่ทารก
เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างยิ่ง
 
ประการที่ 4
ทันทีที่ประสูติก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้า สว่างชนิดที่เรียกว่า
แม้นรกที่มืดมิดก็ยังสว่าง ด้วยรัศมีที่เกิดจากการประสูติ
ยิ่งกว่านั้นแผ่นดินก็ยังไหวด้วย
สำหรับพวกเรา ถึงไม่ได้เท่าผงธุลีของพระองค์ แต่ว่าเมื่อเกิดมาแล้วได้
เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพร้อมต่อการปฏิบัติธรรม
และมีเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อการปฏิบัติธรรมให้พร้อม
ก็นับว่าเป็นการดีไม่น้อยอยู่แล้ว สำหรับการสร้างบารมีต่อไปภายหน้า
 
ผู้ที่สะสมบุญบารมีอย่างเต็มที่ เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
เวลาเกิดนอกจากจะมีปรากฏการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นดังนี้แล้ว
ยังมีลักษณะพระวรกายที่สมบูรณ์งามสง่าเป็นเลิศ ซึ่งเรียกว่า "ลักษณะมหาบุรุษ" อีกด้วย
 
ลักษณะมหาบุรุษ
 
พวกเราเคยสังเกตไหมว่า นักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรงนั้นเกิดจากฝึกซ้อม ซ้อมวิ่งบ้าง ซ้อมยกลูกน้ำหนักบ้าง
รวมทั้งการฝึกท่าบริหารต่าง ๆ เมื่อซ้อมมาก ๆ สุขภาพร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรง
การฝึกออกกำลังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้ฉันใด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะที่บำเพ็ญบารมีอยู่ ท่านก็พากเพียรฝึกซ้อมเป็นประจำ
แต่การฝึกซ้อมออกกำลังของท่าน ไม่ใช่การซ้อมยกตุ้มน้ำหนัก
แต่เป็นการยกมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ทรงยกใจของพระองค์ให้พ้นจากกิเลส
และยกใจคนทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ ยกใจคนทั้งหลายให้พอใจในการทำความดี
 
ทรงบริหารจิตใจของพระองค์เช่นนั้น ข้ามภพ ข้ามชาติ อันยาวนาน บุญบารมีจากการที่ยกใจมนุษย์
ให้พ้นบาปพ้นจากกิเลสนี้เอง
จึงทำให้ท่านได้ลักษณะมหาบุรุษ คือ
ลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดที่มนุษยชาติ จะพึงมีพึงเป็นได้ และเป็น
ลักษณะที่เหมาะแก่การทำความดีทุกรูปแบบ
 
รูปร่างลักษณะของเรานี้ ความจริงพิการทั้งนั้น แต่พวกเราคุ้นกับสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงเคยชิน
หน้าเรา จมูกเราปากเรา มีแต่ความพิการ บางคนก็เห็นชัดมาก บางคนชัดน้อย เช่น
มือของเรา นิ้วก้อยเล็กนิดเดียว คิดว่าน่ารักจริง ๆแล้ว นั่นแหละ นิ้วง่อย
บางคนว่าสวยจนขนาดนางงามงานวัด หรือมิสยูนิเวอร์สเชียวนะ แต่พอไปเทียบกับรูปร่าง
มาตรฐานแล้ว ง่อยกันทั้งนั้น พิการทั้งนั้นแหละ
รู้ได้อย่างไรว่า ง่อยพิการ ค่อย ๆ ฝึกไป เมื่อเห็นพระธรรมกายภายในตัวแล้ว
เอาตัวของเราไปเทียบ จึงจะเห็นว่าตัวเรานี่แหละ พิการ
 
 





 
 
 
ลักษณะมหาบุรุษมีอยู่ 32 ประการ คือ
 
1. มีพื้นเท้าสม่ำเสมอ
2. ฝ่าเท้ามีลายจักร มีซี่กำข้างละพัน พร้อมทั้งกงและดุม
3. มีส้นเท้ายาว
4. มีนิ้วมือและนิ้วเท้าเรียวยาว
5. มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนละมุน
6. มีลายฝ่ามือฝ่าเท้าดุจตาข่าย
7. มีข้อเท้าอยู่สูง
8. มีแข้งดุจแข้งเนื้อทราย
9. แม้ยืนไม่ย่อตัวก็สามารถแตะเข่าได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
10. มีองคชาติตั้งอยู่ในฝัก
11. มีสีกายดุจทอง คือผิวหนังดุจทอง
12. มีผิวหนังละเอียด
13. มีขนขุมละเส้น เส้นหนึ่งอยู่ขุมหนึ่ง
14. มีปลายขนช้อนขึ้น มีสีดุจดอกอัญชัญ ขึ้นเวียนขวา
15. มีกายตรงดุจพรหม
16. มีเนื้อนูนหนาในที่ 7 แห่ง
17. มีกายข้างหน้าดุจราชสีห์
18. มีหลังเต็มบริบูรณ์ไม่เป็นร่อง
19. มีทรวดทรงดุจต้นไทร คือ กายกับวาจา เท่ากัน
20. มีคอกลมเกลี้ยง
21. มีประสาทรับรสอันเลิศ
22. มีคางดุจคางราชสีห์
23. มีฟัน 40 ซี่ บริบูรณ์
24. มีฟันเรียบเสมอ
25. มีฟันสนิทชิดกัน
26. มีเขี้ยวสีขาวงาม
27. มีลิ้นใหญ่และยาว
28. มีเสียงดุจเสียงพรหม คือ เสียงไพเราะมาก
29. มีนัยน์ตาดำสนิท เหมือนสีนิล
30. มีตาบริสุทธิ์ดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
31. มีอุณาโลมที่หว่างคิ้ว ขาวอ่อนเหมือนสำลี
32. มีศรีษะรับกับกรอบหน้า
 
รายละเอียดหลวงพ่อเทศน์ไว้แล้วในเรื่องลักษณะมหาบุรุษ ไปหาอ่านเอาก็แล้วกัน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประสูติมาพร้อมกับได้ลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการครบถ้วน
ในสมัยพุทธกาลมีบางคนได้ลักษณะมหาบุรุษเหมือนกัน แต่ได้มาคนละอย่างสองอย่างเท่านั้น
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
 
 
พระสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อทรงพระเยาว์
 
ดังที่พวกเราทราบกันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ
และพระนางสิริมหามายา เมื่อประสูติออกมาในฐานะโอรสกษัตริย์ พระสิทธัตถะราชกุมารจึงได้รับการอุ้มชูทนุถนอมสะดวกสบายทุกอย่าง
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อย่างที่โอรสกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะพึ่งได้รับ
พระองค์ตรัสเล่าว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เป็นสุขุมาลชาติ คือได้รับการบำรุง
ปรนเปรออย่างเหลือล้น ดังเราจะเล่าให้ฟัง
ภิกษุทั้งหลาย เขาขุดสระ 3 สระในวังแห่งบิดาของเรา สระหนึ่งปลูกอุบลคือบัวเขียว สระหนึ่งปลูกปทุมคือ
บัวหลวง สระหนึ่งปลูกบุณทริกคือบัวขาว เพื่อประโยชน์แก่เรา"
 
พวกเราที่นั่ง ๆ อยู่ที่นี้ สมัยเด็ก ๆ เคยกระโดดน้ำในคลองในแม่น้ำเล่นกันบ่อย ๆ
มีพ่อคนไหนที่ขุดสระให้ลูก 3 สระบ้างไหม คงไม่มี
พระสิทธัตถะทรงได้รับการบำรุงบำเรอ ไม่เช่เพียงเท่านี้ ดังที่ทรงกล่าวว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ว่าจันทน์ อย่างเดียวที่มาแต่เมืองกาสี แม้ผ้าโพกเสื้อผ้านุ่งห่ม
ก็ล้วนมาแต่เมืองกาสี เมืองกาสีเป็นเมืองที่มี
แก่นจันทน์และผ้านุ่ง ผ้าห่มชั้นดีที่สุดในยุดนั้น"
 
แสดงว่าพระสิทธัตถะได้รับการบำรุงบำเรอด้วยของหอม คือแก่นจันทน์อันยอดเยี่ยม
และทรงภัสตราภรณ์อันวิเศษสุดแห่งยุคด้วย
"ภิกษุทั้งหลาย เขาคอยกั้นเศวตฉัตรให้เรา ด้วยหวังว่าความหนาว ความร้อน ละอองหญ้า หรือน้ำค้าง
อย่าได้ถูกต้องเรา ทั้งกลางวันกลางคืน"
 
พระสิทธัตถะราชกุมารได้รับการทนุถนอมอย่างดีที่สุด ตัวเลือด ตัวเหลือบสิ้น ยุงไม่มีทางได้แตะ ได้ตอมทีเดียว
 
"ภิกษุทั้งหลาย มีประสาทสำหรับเรา 3 หลัง
หลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว หลังหนึ่งสำหรับฤดูร้อน และหลังหนึ่งสำหรับฤดูฝน เราอยู่บนประสาทสำหรับฤดูฝนตลอด 4 เดือน
ให้เขาบำเรออยู่ด้วยดนตรีอันปราศจากบุรุษไม่ลงจากประสาทเลย
ทั้งประสาทมีแต่สตรีสาวสวยที่เขาคัดแล้วทั้งนั้น"
แสดงว่าพระราชบิดาต้องการจะให้พระองค์ตกอยู่ในกามสุข
"ภิกษุทั้งหลาย ในวังของบิดาเรา เขาให้ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีเจือด้วยเนื้อแก่ทาสและคนงาน
แต่ที่อื่นให้ข้าวปลายเกวียนกับน้ำต้มกับพวกทาสและคนไข้"
 
โดยทั่วไปชาวเมืองมีแต่ข้าวปลายเกวียน คือข้าวที่หัก ๆ คล้ายข้าวกล้องข้าวปลายข้าวนั้นแหละ แต่ที่วังของพระองค์ให้ข้าวอย่างดีแก่ทาสและคนงานซึ่งแสดงว่า
แม้แต่ทาสและคนงานยังได้กินของดี ๆ อย่างนี้
ฉะนั้นสำหรับพระองค์เองอาหารที่เสวยแต่ละมื้อ ย่อมมีความวิเศษยอดเยี่ยม
ถ้าเป็นพวกเราคงสุขสำราญเพลิดเพลินไปเลย
 
ทรงพิจารณาสภาวะโลก
 
ถึงแม้ว่าพระสิทธัตถะราชกุมาร จะได้รับการปรนเปรอให้ได้รับความสุขทางโลกเพียบพร้อมด้วย
รูป รส กลิ่น เสียงอันเลอเลิศ แต่ก็ไม่ได้ทรงมัวเมาด้วยพระปัญญาธิคุณอันยิ่งใหญ่
กลับทรงพิจารณาสภาวะที่แท้จริงของโลก ของชีวิตย่างลึกซึ้ง
 
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเพียบพร้อมด้วยการได้ตามใจตัวเช่นนี้
มีการได้รับการประคบประหงม ความคิดก็ยังเกิดแก่
เราว่า ปุถุชนที่มิได้ยินได้ฟัง ทั้งที่ตัวเองจะต้องแก่ ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ แต่ครั้นเห็นคนอื่นแก่ ก็นึกอิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเสียเลย ถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน
จะต้องแก่ ไม่ข้ามพ้นความ แก่ไปได้ แต่ว่าเมื่อจะต้องแก่ ไม่พ้นความแก่ไปได้แล้ว
จะมาลืมตัวอิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน เมื่อเห็นคนอื่นแก่นั้นไม่เป็นการสมควรแก่เรา"
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราได้พิจารณาเช่นนี้แล้ว ความมัวเมาในความหนุ่มของเราก็หายไปสิ้น"
 
ฟังให้ดีนะ
คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่ท่านได้รับการประคบประหงมอย่างดี ก็ยังเกิดความคิดพิจารณาได้ไม่มีความมัวเมาเลย
 
คนที่มัวเมามิได้นึกถึงความแก่ชรา เมื่อผู้เฒ่าทำอะไรงกเงิ่น ก็รำคาญ ไม่อยากเข้าใกล้ เขาอยากรวมกลุ่มกับคนหนุ่มคนสาวมากกว่า ไม่ได้นึกถึงว่า
เขาเองก็จะต้องแก่อย่างนี้ จะต้องมีความงุ่มงามอย่างนี้
ฉะนั้นไม่ควรรังเกียจผู้เฒ่าผู้ชราเลย
 
ใครที่คิดว่า เรานี่ยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่เข้าวัดเร็วไปละก็อย่าคิดนะ
หลวงพ่อฝึกสมาธิตั้งแต่อายุ 16 ปี นั่งไปแล้วนึกไป โอ้โฮเมื่อยจริง ๆ เลย
โอ๊ย...ทำไมเมื่อยอย่างนี้นะเรา เอาละนั่งคิดไปเรื่อย ๆ พออายุมากคงหายเมื่อยเอง
เดี๋ยวนี้อายุ 47 ปี ฝึกสมาธิได้ 30 ปี พบแล้วว่าระยะที่เมื่อยน้อยที่สุดคือ เมื่ออายุ 16 ปีนั่นเอง
 
เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่า ผมยังหนุ่ม ฉันยังสาวอยู่ ยังไม่ค้องเข้าวัดหรอก ยิ่งโง่ใหญ่เลย นับวันจะมีแต่เมื่อยมากขึ้นมีแต่งุ่มง่ามมากขึ้น
แต่สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากพระองค์พิจารณาเช่นนี้
ฉะนั้นความมัวเมาในความหนุ่มสาวพวกเรานี่ ท่านไม่มีเลย
เพราะอะไร
เพราะท่านฝึกพระองค์ข้ามภพข้ามชาติดีแล้ว ท่านยังพิจารณาต่อไปอีกว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนที่มิได้ยิน ได้ฟังธรรม ทั้ง ๆ ที่จะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไม่ได้
ครั้นเห็นคนอื่นเจ็บไข้ ก็อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเลยว่าถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน
จะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ แต่ว่าเมื่อจะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้แล้ว
จะมาลืมตัว อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน
เมื่อเห็นคนอื่นเจ็บไข้นั้น ไม่เป็นการสมควรแก่เราเลย"
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราพิจารณาได้เช่นนี้ ความมัวเมาในความไม่มีโรคของเรา ก็หายไปหมดสิ้น"
 
ในชีวิตทั่วไปหลาย ๆ คนก็ได้เห็นพรรคพวก เพื่อนฝูงที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาแล้ว
บางคนพอรู้ว่าเมียเป็นมะเร็งก็ทิ้งเลยเตรียมหาใหม่ดีกว่า
บางคนพี่น้องกัน พอป่วยก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ดูแล ยกเว้นคนไม่กี่คนที่ดูแลด้วยความรักความสงสารอยากให้หายเร็ว ๆ อย่าป่วยไข้ต่อไปอีกเลย
 
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงเห็นคนอื่นเจ็บไข้ ก็กลับย้อนมาดูตัวเองว่า
 
เออ..เราก็เลือดเนื้อ เหมือนกับคนอื่นมีโอกาสจะป่วยไข้เหมือนคนอื่นได้
เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร จะต้องรีบปฏิบัติธรรมเร็ว ๆ ก่อนที่ความป่วย ความไข้จะมาถึง ไม่บอกว่าฉันยังแข็งแรงอยู่ เอาเถอะ ไว้แก่ ๆ หน่อยแล้วค่อยนั่งสมาธิ
 
สำหรับเรื่องนี้ หลวงพ่อมีเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง มีโยมน้าคนหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคยกัน
พอหลวงพ่อบวชก็ชวนแกเข้าวัด
"โยมน้า เข้าวัดเถอะ อย่างน้อยวันพระไปถือศีล 8 นะ ถืออุโบสถศีล"
โยมน้าก็บอกว่า "มีงานต้องรีบทำอย่างหนึ่ง อีกสักปีสองปีก็จะเสร็จ เสร็จเมื่อไรก็จะเข้าวัด"
รุ่งขึ้นอีกปีก็เตือนว่า "น้าได้เริ่มไปถือศีลบ้างหรือยัง ไปเดือนละครั้งก็ยังดี" โยมน้า หน้าจ๋อยเลย
ท่าน! โยมน้าหมดสิทธิ์เสียแล้ว ชาตินี้ อ้าว! ทำไมล่ะ
โยมน้าตอบว่า
"หมอตรวจว่าเป็นเบาหวาน น้ำตาลสูงมาก อายุขนาดนี้รักษาหายยาก
เป็นเบาหวานน้ำตาลในเลือดสูง ๆ อย่างนี้ให้อดอาหารมือเย็น
น้ำตาลในเลือดอาจตกฮวบฮาบ อาจช็อคตายได้
 
ดูนะ โอกาสที่จะทำความดีมีอยู่ไม่มากนักหรอก
ฉะนั้นใครที่อายุ 30,40 ปีแล้วไม่ถือศีล 8 ผลัดกับหลวงพ่อนั้นผลัดได้นะแต่ผลัดกับยมบาล ผลัดไม่ได้นะ
เตือนไว้ก่อน รีบ ๆ รักษาศีลเสียนะ ศีล 8 ก็ดี ศีล 5 ก็ดี การฝึกสมาธิก็ดี การให้ทาน การปฏิบัติธรรมทุกรูปแบบก็ดี
รีบทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่โรคจะถามหา
 
พระสิทธัตถะราชกุมายังทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนที่ไม่ได้ยินได้ฟัง ทั้งที่ตัวเองจะต้องตายไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ครั้นเห็นคนอื่นตายก็อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเลย
ถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน จะต้องตาย ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
แต่ว่าเมื่อจะต้องตายไม่ล่วงพ้นความตายไปได้แล้วจะมาลืมตัวอิดหนาระอาใจสะอิดสะเอียน
เมื่อเห็นคนอื่นตายนั้น ไม่เป็นการสมควรแก่เรา
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราได้พิจารณาเช่นนี้ ความมัวเมาในชีวิต ความเป็นอยู่ของเรา ก็หายไปสิ้น"
 
บางคน งานศพไม่ไป เพราะอ้าวว่าไปแล้วเศร้าหมอง
แต่ตรงกันข้ามนะ เมื่อก่อนหลวงพ่อบวช
คุณยายอาจารย์อนุญาติให้หลวงพ่อไปงานได้ 2 งานคือ
1. งานศพ
2. งานบวช
 
เพราะอะไร
เพราะการพิจารณาถึงศพก็ดี พิจารณาความตายก็ดี ถ้าพิจารณาเป็นแล้ว จะเกิดประโยชน์ ได้ข้อคิดมากคือ
ได้คิดว่าไม่ช้าเราก็ตายที่โกรธกันไว้ ไม่รู้จะโกรธไปทำไม ที่โลภโกยเอาไว้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้
จะอิจฉาตาร้อน จะเลื่อยเขาเก้าอี้ จะแทงกันสับหลังทำไมก็เหนื่อยเปล่า ร้อนใจเปล่า
 
สำหรับพระภิกษุ มีวิธีปฏิบัติอยู่หมวดหนึ่ง เรียกว่า กัมมัฏฐาน คือ
การนึกถึงศพด้วยการพิจรณาอสุภะ 10 ประการ ได้แก่
-ซากศพที่ขึ้นอืด
-ซากศพที่หนอนขึ้นแล้ว
-ซากศพที่ขาดเรี่ยราด
ฯลฯ
ให้พิจารณาเรื่อยไปจนเกิดมรณานุสติ คือ มีสติคิดถึงความตายบ่อย ๆ
และคิดในแง่มุมที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดความพากเพียร ไม่ท้อแท้
 
พระสิทธัตถะกุมารทรงได้รับความสะดวกสบาย ได้รับการบำรุงบำเรอทุกรูปแบบ
อย่างครบเครื่องเท่าที่มนุษย์ทั้งหลายจะพึงมี พึงได้และเรียกกันว่าความสุข ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเจริญพระชนม์พรรษา
 
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะมัดใจ ไม่สามารถจะมอมเมาพระองค์ได้เลย
ใจของพระองค์ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เหมือนปลาที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้บนบก
คุณธรรม และการปฏิบัติธรรมที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติคุ้นกันมานาน
คอยเตือนพระองค์อยู่ลึก ๆ ตลอดเวลา
พระองค์จึงไม่มัวเมา ในความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มัวเมาในความไม่มีโรค ไม่มัวเมาในความที่ยังไม่ตาย
 
พระองค์มีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับตรึกนึกถึงธรรมะ สมบูรณ์ด้วยสติ
ด้วยพระปัญญาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ที่สามารถเตือนพระองค์เองตลอดเวลา
 
นี่แหละคือความวิเศษสุด ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
แม้ไม่มีผู้ใดสอน ก็สามารถสอนพระองค์เองได้ สามารถเอาชนะใจของพระองค์เองได้สละโลก
 
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองถึงสภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว
ปัญญาก็เกิดขึ้นทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า
 
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่
-ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความโศกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มี ความเศร้าหมอง
โดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
 
ที่ท่านตรัสดังนี้ หมายความว่าอย่างไร
 
"ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นสิ่งที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกเศร้าเป็นธรรมดา
ภิกษุทั้งหลาย บุตรภรรยาสามีนั่นแหละ มีสภาพของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดา"
 
เข้าใจไหม ชัดเจนไหม
คราวนี้ ไม่ต้องสงสัยนะว่า ทำไมหลวงพ่อจึงต้องมาบวชนะ
ไม่รู้เอามาทำไม ทีแรกก็สวยหรอก ต่อไปก็เป็นยายพะโล้ หนักเข้าก็เป็นยายแร้งทึ้ง หนักเข้าก็แก่เป็นยายแร้งไม่ยอมทึ้ง หนักเข้าก็ไม่รู้ละ ข้างหนึ่งข้างใด ก็ตายไปข้างหนึ่ง
แล้วก็ตายไปหมดทั้งสองข้างนี่แหละ เป็นอย่างนั้น
 
แม้แต่ทาสหญิง ทาสชาย ช้าง ม้า วัว ควายทั้งหลายก็เหมือนกัน
มีแต่ความเกิดแก่เจ็บตาย แหลกทำลายไปตามกาลเวลา
แต่มนุษย์ก็ยังแสวงหากัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหา
 
สิ่งที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดามาเพิ่มเติมอีก
บางคนมาถึงวัด นั่งได้ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละ ใจจะสงบดีแล้ว ก็อยู่ไม่ได้
"หลวงพ่อ ต้องกลับแล้ว"
ทำไมละ
"เดี๋ยวต้องไปรับลูก"
นั่นแหละ สิ่งที่ถ่วงเราให้มาวัดไม่ได้ ไปหามาเอง ไปหามาทำไมละ?
 
พระองค์สรุปจากการที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย ความคิดอันนี้ได้เกิดแก่เราว่า
ทำไมหนอ เราซึ่งมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าโศกเป็นธรรมดาอยู่รอบด้านนี่
จะต้องไปแสวงหา สิ่งที่เป็นอย่างนี้อีก
ครั้นได้รู้สึกถึงโทษอันต่ำทรามของสิ่งเหล่านี้แล้ว เราพึงแสวงหานิพพาน
อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า"
 
"ภิกษุทั้งหลาย ความคิดได้เกิดขึ้นกับเราว่า ชีวิตฆราวาสนี้คับแคบเสียเหลือเกิน
เป็นทางมาแห่งธุลีคือกิเลสทั้งหลาย ส่วนการบรรพชาเป็นโอกาสว่าง
ผู้อยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ได้ส่วนเดียวโดยง่ายไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราพึงปลงผมและหนวด พร้อมผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์
เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด"
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดสินพระทัยออกบวชด้วยเหตุและผล ที่ทรงพิจารณาดีแล้วว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี
เราอาจไม่เข้าใจนัก ธุลี แปลว่าอะไร แปลว่า ฝุ่น,ผง
 
เมื่อพิจารณาความหมายจากสำนวนดังกล่าว ก็จะเห็นว่า สำหรับผู้ครองเรือน มีแต่เรื่องปวดหัว วุ่นวาย
ยุ่งไปหมด น้ำมันจะขึ้นราคา ไฟฟ้าจะแพง มีแต่เรื่องกวนใจ กวนกิเลส
ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
จึงตัดสินพระทัยออกบวช
 
"ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มมากทีเดียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ
ยังอยู่ในปฐมวัย เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังทรงก็ร้องไห้น้ำตานองอยู่
เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน
ในสมัยนั้น เรามีอายุได้สามสิบหย่อนหนึ่งโดยวัย เราได้ออกบรรพชา
แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล"
 
สรุปได้ว่า
ท่านได้พิจารณาเห็นความทุกข์ ความเดือนร้อน ความไม่แน่นอนในโลก
ถึงออกบวช เพื่อหาทางพ้นทุกข์จริง ๆ ตามพระอัธยาศัยที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติ
สะสมบารมีมาแล้วนานถึง 20 อสงไขยกับแสนกัป
ท่านไม่ได้บวชเพราะสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้หนีหนี้ใคร ไม่ใช่ทำมาหากินก็สู้เขาไม่ได้
ไม่ใช่นะ
พวกเรานั่นแหละ เหยื่อของโลก
แหม...ยังเที่ยวไม่อิ่มเลย จะให้บวชแล้ว แหม...ยังไม่ได้เที่ยวรอบโลกเลย
ก็มีเรื่องมีเหตุเรื่อย ๆ ไปละ
 
แต่พระองค์ท่านได้สมบัติทางโลก อย่างเพียบพร้อมบริบูรณ์ กลับไม่มัวเมากับโลกียสุข
เพราะเห็นว่าไม่มีสาระ
จึงทรงสละความสุขทางโลกออกบวช เพื่อแสวงหาธรรมะ แสวงหาสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน
เป็นที่ยึดที่พึ่งสูงสุดของชีวิต
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
 
 
พระสิทธัตถะราชกุมาร เมื่อทรงพระเยาว์
 
ดังที่พวกเราทราบกันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ
และพระนางสิริมหามายา เมื่อประสูติออกมาในฐานะโอรสกษัตริย์ พระสิทธัตถะราชกุมารจึงได้รับการอุ้มชูทนุถนอมสะดวกสบายทุกอย่าง
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อย่างที่โอรสกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะพึ่งได้รับ
พระองค์ตรัสเล่าว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เป็นสุขุมาลชาติ คือได้รับการบำรุง
ปรนเปรออย่างเหลือล้น ดังเราจะเล่าให้ฟัง
ภิกษุทั้งหลาย เขาขุดสระ 3 สระในวังแห่งบิดาของเรา สระหนึ่งปลูกอุบลคือบัวเขียว สระหนึ่งปลูกปทุมคือ
บัวหลวง สระหนึ่งปลูกบุณทริกคือบัวขาว เพื่อประโยชน์แก่เรา"
 
พวกเราที่นั่ง ๆ อยู่ที่นี้ สมัยเด็ก ๆ เคยกระโดดน้ำในคลองในแม่น้ำเล่นกันบ่อย ๆ
มีพ่อคนไหนที่ขุดสระให้ลูก 3 สระบ้างไหม คงไม่มี
พระสิทธัตถะทรงได้รับการบำรุงบำเรอ ไม่เช่เพียงเท่านี้ ดังที่ทรงกล่าวว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ว่าจันทน์ อย่างเดียวที่มาแต่เมืองกาสี แม้ผ้าโพกเสื้อผ้านุ่งห่ม
ก็ล้วนมาแต่เมืองกาสี เมืองกาสีเป็นเมืองที่มี
แก่นจันทน์และผ้านุ่ง ผ้าห่มชั้นดีที่สุดในยุดนั้น"
 
แสดงว่าพระสิทธัตถะได้รับการบำรุงบำเรอด้วยของหอม คือแก่นจันทน์อันยอดเยี่ยม
และทรงภัสตราภรณ์อันวิเศษสุดแห่งยุคด้วย
"ภิกษุทั้งหลาย เขาคอยกั้นเศวตฉัตรให้เรา ด้วยหวังว่าความหนาว ความร้อน ละอองหญ้า หรือน้ำค้าง
อย่าได้ถูกต้องเรา ทั้งกลางวันกลางคืน"
 
พระสิทธัตถะราชกุมารได้รับการทนุถนอมอย่างดีที่สุด ตัวเลือด ตัวเหลือบสิ้น ยุงไม่มีทางได้แตะ ได้ตอมทีเดียว
 
"ภิกษุทั้งหลาย มีประสาทสำหรับเรา 3 หลัง
หลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว หลังหนึ่งสำหรับฤดูร้อน และหลังหนึ่งสำหรับฤดูฝน เราอยู่บนประสาทสำหรับฤดูฝนตลอด 4 เดือน
ให้เขาบำเรออยู่ด้วยดนตรีอันปราศจากบุรุษไม่ลงจากประสาทเลย
ทั้งประสาทมีแต่สตรีสาวสวยที่เขาคัดแล้วทั้งนั้น"
แสดงว่าพระราชบิดาต้องการจะให้พระองค์ตกอยู่ในกามสุข
"ภิกษุทั้งหลาย ในวังของบิดาเรา เขาให้ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีเจือด้วยเนื้อแก่ทาสและคนงาน
แต่ที่อื่นให้ข้าวปลายเกวียนกับน้ำต้มกับพวกทาสและคนไข้"
 
โดยทั่วไปชาวเมืองมีแต่ข้าวปลายเกวียน คือข้าวที่หัก ๆ คล้ายข้าวกล้องข้าวปลายข้าวนั้นแหละ แต่ที่วังของพระองค์ให้ข้าวอย่างดีแก่ทาสและคนงานซึ่งแสดงว่า
แม้แต่ทาสและคนงานยังได้กินของดี ๆ อย่างนี้
ฉะนั้นสำหรับพระองค์เองอาหารที่เสวยแต่ละมื้อ ย่อมมีความวิเศษยอดเยี่ยม
ถ้าเป็นพวกเราคงสุขสำราญเพลิดเพลินไปเลย
 
ทรงพิจารณาสภาวะโลก
 
ถึงแม้ว่าพระสิทธัตถะราชกุมาร จะได้รับการปรนเปรอให้ได้รับความสุขทางโลกเพียบพร้อมด้วย
รูป รส กลิ่น เสียงอันเลอเลิศ แต่ก็ไม่ได้ทรงมัวเมาด้วยพระปัญญาธิคุณอันยิ่งใหญ่
กลับทรงพิจารณาสภาวะที่แท้จริงของโลก ของชีวิตย่างลึกซึ้ง
 
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเพียบพร้อมด้วยการได้ตามใจตัวเช่นนี้
มีการได้รับการประคบประหงม ความคิดก็ยังเกิดแก่
เราว่า ปุถุชนที่มิได้ยินได้ฟัง ทั้งที่ตัวเองจะต้องแก่ ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ แต่ครั้นเห็นคนอื่นแก่ ก็นึกอิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเสียเลย ถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน
จะต้องแก่ ไม่ข้ามพ้นความ แก่ไปได้ แต่ว่าเมื่อจะต้องแก่ ไม่พ้นความแก่ไปได้แล้ว
จะมาลืมตัวอิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน เมื่อเห็นคนอื่นแก่นั้นไม่เป็นการสมควรแก่เรา"
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราได้พิจารณาเช่นนี้แล้ว ความมัวเมาในความหนุ่มของเราก็หายไปสิ้น"
 
ฟังให้ดีนะ
คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่ท่านได้รับการประคบประหงมอย่างดี ก็ยังเกิดความคิดพิจารณาได้ไม่มีความมัวเมาเลย
 
คนที่มัวเมามิได้นึกถึงความแก่ชรา เมื่อผู้เฒ่าทำอะไรงกเงิ่น ก็รำคาญ ไม่อยากเข้าใกล้ เขาอยากรวมกลุ่มกับคนหนุ่มคนสาวมากกว่า ไม่ได้นึกถึงว่า
เขาเองก็จะต้องแก่อย่างนี้ จะต้องมีความงุ่มงามอย่างนี้
ฉะนั้นไม่ควรรังเกียจผู้เฒ่าผู้ชราเลย
 
ใครที่คิดว่า เรานี่ยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่เข้าวัดเร็วไปละก็อย่าคิดนะ
หลวงพ่อฝึกสมาธิตั้งแต่อายุ 16 ปี นั่งไปแล้วนึกไป โอ้โฮเมื่อยจริง ๆ เลย
โอ๊ย...ทำไมเมื่อยอย่างนี้นะเรา เอาละนั่งคิดไปเรื่อย ๆ พออายุมากคงหายเมื่อยเอง
เดี๋ยวนี้อายุ 47 ปี ฝึกสมาธิได้ 30 ปี พบแล้วว่าระยะที่เมื่อยน้อยที่สุดคือ เมื่ออายุ 16 ปีนั่นเอง
 
เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่า ผมยังหนุ่ม ฉันยังสาวอยู่ ยังไม่ค้องเข้าวัดหรอก ยิ่งโง่ใหญ่เลย นับวันจะมีแต่เมื่อยมากขึ้นมีแต่งุ่มง่ามมากขึ้น
แต่สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากพระองค์พิจารณาเช่นนี้
ฉะนั้นความมัวเมาในความหนุ่มสาวพวกเรานี่ ท่านไม่มีเลย
เพราะอะไร
เพราะท่านฝึกพระองค์ข้ามภพข้ามชาติดีแล้ว ท่านยังพิจารณาต่อไปอีกว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนที่มิได้ยิน ได้ฟังธรรม ทั้ง ๆ ที่จะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไม่ได้
ครั้นเห็นคนอื่นเจ็บไข้ ก็อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเลยว่าถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน
จะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ แต่ว่าเมื่อจะต้องเจ็บไข้ ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้แล้ว
จะมาลืมตัว อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน
เมื่อเห็นคนอื่นเจ็บไข้นั้น ไม่เป็นการสมควรแก่เราเลย"
"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราพิจารณาได้เช่นนี้ ความมัวเมาในความไม่มีโรคของเรา ก็หายไปหมดสิ้น"
 
ในชีวิตทั่วไปหลาย ๆ คนก็ได้เห็นพรรคพวก เพื่อนฝูงที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาแล้ว
บางคนพอรู้ว่าเมียเป็นมะเร็งก็ทิ้งเลยเตรียมหาใหม่ดีกว่า
บางคนพี่น้องกัน พอป่วยก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ดูแล ยกเว้นคนไม่กี่คนที่ดูแลด้วยความรักความสงสารอยากให้หายเร็ว ๆ อย่าป่วยไข้ต่อไปอีกเลย
 
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงเห็นคนอื่นเจ็บไข้ ก็กลับย้อนมาดูตัวเองว่า
 
เออ..เราก็เลือดเนื้อ เหมือนกับคนอื่นมีโอกาสจะป่วยไข้เหมือนคนอื่นได้
เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร จะต้องรีบปฏิบัติธรรมเร็ว ๆ ก่อนที่ความป่วย ความไข้จะมาถึง ไม่บอกว่าฉันยังแข็งแรงอยู่ เอาเถอะ ไว้แก่ ๆ หน่อยแล้วค่อยนั่งสมาธิ
 
สำหรับเรื่องนี้ หลวงพ่อมีเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่ง มีโยมน้าคนหนึ่ง ซึ่งคุ้นเคยกัน
พอหลวงพ่อบวชก็ชวนแกเข้าวัด
"โยมน้า เข้าวัดเถอะ อย่างน้อยวันพระไปถือศีล 8 นะ ถืออุโบสถศีล"
โยมน้าก็บอกว่า "มีงานต้องรีบทำอย่างหนึ่ง อีกสักปีสองปีก็จะเสร็จ เสร็จเมื่อไรก็จะเข้าวัด"
รุ่งขึ้นอีกปีก็เตือนว่า "น้าได้เริ่มไปถือศีลบ้างหรือยัง ไปเดือนละครั้งก็ยังดี" โยมน้า หน้าจ๋อยเลย
ท่าน! โยมน้าหมดสิทธิ์เสียแล้ว ชาตินี้ อ้าว! ทำไมล่ะ
โยมน้าตอบว่า
"หมอตรวจว่าเป็นเบาหวาน น้ำตาลสูงมาก อายุขนาดนี้รักษาหายยาก
เป็นเบาหวานน้ำตาลในเลือดสูง ๆ อย่างนี้ให้อดอาหารมือเย็น
น้ำตาลในเลือดอาจตกฮวบฮาบ อาจช็อคตายได้
 
ดูนะ โอกาสที่จะทำความดีมีอยู่ไม่มากนักหรอก
ฉะนั้นใครที่อายุ 30,40 ปีแล้วไม่ถือศีล 8 ผลัดกับหลวงพ่อนั้นผลัดได้นะแต่ผลัดกับยมบาล ผลัดไม่ได้นะ
เตือนไว้ก่อน รีบ ๆ รักษาศีลเสียนะ ศีล 8 ก็ดี ศีล 5 ก็ดี การฝึกสมาธิก็ดี การให้ทาน การปฏิบัติธรรมทุกรูปแบบก็ดี
รีบทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่โรคจะถามหา
 
พระสิทธัตถะราชกุมายังทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนที่ไม่ได้ยินได้ฟัง ทั้งที่ตัวเองจะต้องตายไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ครั้นเห็นคนอื่นตายก็อิดหนาระอาใจ สะอิดสะเอียน ไม่นึกถึงตัวเองเลย
ถึงตัวเราเองก็เหมือนกัน จะต้องตาย ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
แต่ว่าเมื่อจะต้องตายไม่ล่วงพ้นความตายไปได้แล้วจะมาลืมตัวอิดหนาระอาใจสะอิดสะเอียน
เมื่อเห็นคนอื่นตายนั้น ไม่เป็นการสมควรแก่เรา
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราได้พิจารณาเช่นนี้ ความมัวเมาในชีวิต ความเป็นอยู่ของเรา ก็หายไปสิ้น"
 
บางคน งานศพไม่ไป เพราะอ้าวว่าไปแล้วเศร้าหมอง
แต่ตรงกันข้ามนะ เมื่อก่อนหลวงพ่อบวช
คุณยายอาจารย์อนุญาติให้หลวงพ่อไปงานได้ 2 งานคือ
1. งานศพ
2. งานบวช
 
เพราะอะไร
เพราะการพิจารณาถึงศพก็ดี พิจารณาความตายก็ดี ถ้าพิจารณาเป็นแล้ว จะเกิดประโยชน์ ได้ข้อคิดมากคือ
ได้คิดว่าไม่ช้าเราก็ตายที่โกรธกันไว้ ไม่รู้จะโกรธไปทำไม ที่โลภโกยเอาไว้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้
จะอิจฉาตาร้อน จะเลื่อยเขาเก้าอี้ จะแทงกันสับหลังทำไมก็เหนื่อยเปล่า ร้อนใจเปล่า
 
สำหรับพระภิกษุ มีวิธีปฏิบัติอยู่หมวดหนึ่ง เรียกว่า กัมมัฏฐาน คือ
การนึกถึงศพด้วยการพิจรณาอสุภะ 10 ประการ ได้แก่
-ซากศพที่ขึ้นอืด
-ซากศพที่หนอนขึ้นแล้ว
-ซากศพที่ขาดเรี่ยราด
ฯลฯ
ให้พิจารณาเรื่อยไปจนเกิดมรณานุสติ คือ มีสติคิดถึงความตายบ่อย ๆ
และคิดในแง่มุมที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดความพากเพียร ไม่ท้อแท้
 
พระสิทธัตถะกุมารทรงได้รับความสะดวกสบาย ได้รับการบำรุงบำเรอทุกรูปแบบ
อย่างครบเครื่องเท่าที่มนุษย์ทั้งหลายจะพึงมี พึงได้และเรียกกันว่าความสุข ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเจริญพระชนม์พรรษา
 
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะมัดใจ ไม่สามารถจะมอมเมาพระองค์ได้เลย
ใจของพระองค์ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เหมือนปลาที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้บนบก
คุณธรรม และการปฏิบัติธรรมที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติคุ้นกันมานาน
คอยเตือนพระองค์อยู่ลึก ๆ ตลอดเวลา
พระองค์จึงไม่มัวเมา ในความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มัวเมาในความไม่มีโรค ไม่มัวเมาในความที่ยังไม่ตาย
 
พระองค์มีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับตรึกนึกถึงธรรมะ สมบูรณ์ด้วยสติ
ด้วยพระปัญญาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ที่สามารถเตือนพระองค์เองตลอดเวลา
 
นี่แหละคือความวิเศษสุด ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
แม้ไม่มีผู้ใดสอน ก็สามารถสอนพระองค์เองได้ สามารถเอาชนะใจของพระองค์เองได้สละโลก
 
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองถึงสภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว
ปัญญาก็เกิดขึ้นทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า
 
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่
-ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความโศกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มี ความเศร้าหมอง
โดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
 
ที่ท่านตรัสดังนี้ หมายความว่าอย่างไร
 
"ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นสิ่งที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกเศร้าเป็นธรรมดา
ภิกษุทั้งหลาย บุตรภรรยาสามีนั่นแหละ มีสภาพของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดา"
 
เข้าใจไหม ชัดเจนไหม
คราวนี้ ไม่ต้องสงสัยนะว่า ทำไมหลวงพ่อจึงต้องมาบวชนะ
ไม่รู้เอามาทำไม ทีแรกก็สวยหรอก ต่อไปก็เป็นยายพะโล้ หนักเข้าก็เป็นยายแร้งทึ้ง หนักเข้าก็แก่เป็นยายแร้งไม่ยอมทึ้ง หนักเข้าก็ไม่รู้ละ ข้างหนึ่งข้างใด ก็ตายไปข้างหนึ่ง
แล้วก็ตายไปหมดทั้งสองข้างนี่แหละ เป็นอย่างนั้น
 
แม้แต่ทาสหญิง ทาสชาย ช้าง ม้า วัว ควายทั้งหลายก็เหมือนกัน
มีแต่ความเกิดแก่เจ็บตาย แหลกทำลายไปตามกาลเวลา
แต่มนุษย์ก็ยังแสวงหากัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหา
 
สิ่งที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าหมองเป็นธรรมดามาเพิ่มเติมอีก
บางคนมาถึงวัด นั่งได้ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละ ใจจะสงบดีแล้ว ก็อยู่ไม่ได้
"หลวงพ่อ ต้องกลับแล้ว"
ทำไมละ
"เดี๋ยวต้องไปรับลูก"
นั่นแหละ สิ่งที่ถ่วงเราให้มาวัดไม่ได้ ไปหามาเอง ไปหามาทำไมละ?
 
พระองค์สรุปจากการที่ได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า
 
"ภิกษุทั้งหลาย ความคิดอันนี้ได้เกิดแก่เราว่า
ทำไมหนอ เราซึ่งมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เศร้าโศกเป็นธรรมดาอยู่รอบด้านนี่
จะต้องไปแสวงหา สิ่งที่เป็นอย่างนี้อีก
ครั้นได้รู้สึกถึงโทษอันต่ำทรามของสิ่งเหล่านี้แล้ว เราพึงแสวงหานิพพาน
อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า"
 
"ภิกษุทั้งหลาย ความคิดได้เกิดขึ้นกับเราว่า ชีวิตฆราวาสนี้คับแคบเสียเหลือเกิน
เป็นทางมาแห่งธุลีคือกิเลสทั้งหลาย ส่วนการบรรพชาเป็นโอกาสว่าง
ผู้อยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ได้ส่วนเดียวโดยง่ายไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราพึงปลงผมและหนวด พร้อมผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์
เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด"
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดสินพระทัยออกบวชด้วยเหตุและผล ที่ทรงพิจารณาดีแล้วว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี
เราอาจไม่เข้าใจนัก ธุลี แปลว่าอะไร แปลว่า ฝุ่น,ผง
 
เมื่อพิจารณาความหมายจากสำนวนดังกล่าว ก็จะเห็นว่า สำหรับผู้ครองเรือน มีแต่เรื่องปวดหัว วุ่นวาย
ยุ่งไปหมด น้ำมันจะขึ้นราคา ไฟฟ้าจะแพง มีแต่เรื่องกวนใจ กวนกิเลส
ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
จึงตัดสินพระทัยออกบวช
 
"ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มมากทีเดียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ
ยังอยู่ในปฐมวัย เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังทรงก็ร้องไห้น้ำตานองอยู่
เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน
ในสมัยนั้น เรามีอายุได้สามสิบหย่อนหนึ่งโดยวัย เราได้ออกบรรพชา
แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล"
 
สรุปได้ว่า
ท่านได้พิจารณาเห็นความทุกข์ ความเดือนร้อน ความไม่แน่นอนในโลก
ถึงออกบวช เพื่อหาทางพ้นทุกข์จริง ๆ ตามพระอัธยาศัยที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติ
สะสมบารมีมาแล้วนานถึง 20 อสงไขยกับแสนกัป
ท่านไม่ได้บวชเพราะสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้หนีหนี้ใคร ไม่ใช่ทำมาหากินก็สู้เขาไม่ได้
ไม่ใช่นะ
พวกเรานั่นแหละ เหยื่อของโลก
แหม...ยังเที่ยวไม่อิ่มเลย จะให้บวชแล้ว แหม...ยังไม่ได้เที่ยวรอบโลกเลย
ก็มีเรื่องมีเหตุเรื่อย ๆ ไปละ
 
แต่พระองค์ท่านได้สมบัติทางโลก อย่างเพียบพร้อมบริบูรณ์ กลับไม่มัวเมากับโลกียสุข
เพราะเห็นว่าไม่มีสาระ
จึงทรงสละความสุขทางโลกออกบวช เพื่อแสวงหาธรรมะ แสวงหาสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน
เป็นที่ยึดที่พึ่งสูงสุดของชีวิต
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
แสวงธรรมะ
 
ในการแสวงหาธรรมของพระองค์ ได้มีการทดลองตั้งแต่ฝึกสมาธิโดยทั่วไป ซึ่งมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว
แห่งแรกคือฝึกสมาธิกับอาฬารดาบส ได้ไปศึกษาอยู่ไม่นาน ก็รู้เท่าอาจารย์ อาฬารดาบสได้กล่าวว่า
"เป็นลาภของเราแล้วท่านผู้มีอายุ เราได้ดีแล้ว ท่านผู้มีอายุ มิเสียแรงที่ได้พบเห็นเหมือนร่วมพรหมจรรย์เช่นเดียวกับท่าน
เรารู้ธรรมะใด ท่านก็รู้ธรรมะนั้น
ท่านรู้ธรรมะใด เราก็รู้ธรรมะนั้น
เราเป็นเช่นใด ท่านก็เป็นเช่นนั้น
ท่านเป็นเช่นใด เราก็เป็นเช่นนั้น
มาเกิดท่านผู้มีอายุ เราสองคนด้วยกัน จักช่วยกันปกครองศิษย์คณะนี้ต่อไป"
 
เห็นไหม เรียนพักเดียว อาจารย์ยอมรับว่า รู้เท่ากันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในครั้งนั้น เรียนก็เก่งทันอาจารย์ อาจารย์ก็น่ารัก ใจดีด้วย ไม่กลัวลูกศิษย์ดังกว่าตัว กลับชวนให้มาช่วยกันปกครองหมู่คณะต่อไป ฟังประโยคนี้แล้วชื่นใจ
 
ฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว คนแรกที่พระองค์คิดแทนพระคุณก็คือ อาฬารดาบส
แต่ว่าน่าเสียดายอาฬารดาบสได้ตายไปก่อนหน้า 7 วันเท่านั้นเอง น่าเสียดายจริง ๆ
 
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเสด็จไปฝึกสมาธิกับอุทกดาบส ก็ได้รับคำชมเชยจากอุทกดาบส
และเชิญชวนให้อยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยปกครองลูกศิษย์ต่อไปเช่นเดียวกัน
พวกเราเองไปเรียนกับอาจารย์ บางทีก็เรียนไม่จบ ตก ๆ หล่น ๆ
 
หลวงพ่อมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออก ก็พวกเรานี่แหละบางคนมาถึง
"หลวงพ่อทำสมาธิอย่างไร"
หลวงพ่อก็สอนไป ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งใจทำไปนะ อีก 2-3 วันก็มาแล้ว
หลวงพ่อก็ดีใจ เอ้อ...คงจะเข้าถึงปฐมมรรคแล้ว แต่เปล่า!
"หลวงพ่อ ผมจะไปละ"
อ้าว...เป็นอะไรล่ะ
"โอ้ย...ผมเรียนตั้งนาน ยังไม่เห็นปฐมมรรคสักที ไปดีกว่า ไปเรียนสำนักอื่น"
 
โธ่เอ๊ย จะเรียนที่ไหนก็ต้องเรียนให้จบรู้จริงเสียก่อน ทำเหยาะ ๆ แหยะอย่างนี้ ทั้งชาติก็ไม่ได้อะไร
ดูตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราซิ ท่านไม่เคยถอยหลังเลย
 
ภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้ถึงธรรมะ 2 อย่าง คือ
 
ความไม่รู้จักสันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย และความเป็นผู้ไม่ถอยหลับ
 
ในการตั้งความเพียงนั้น เรื่องถอยหลังไม่ต้องพูดถึง พระองค์ท่านมีแต่เดินหน้าเรื่อยไป
เพราะฉะนั้นคำว่าถอยตั้งหลัก ไม่ใช่คำพูดของพ่อเรา อย่าเอามาพูดนะ
ทรงขยายความต่อไปว่า
 
"เราตั้งความเพียร คือความไม่ถอยหลัง ว่า
แม้หนังเอ็นกระดูก จักเหลืออยู่เนื้อและเลือดในสรีระ จะเหือดแห้งไปก็ตามที
เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ ด้วยกำลังของบุรุษด้วยความเพียรของบุรุษ
ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้วเรื่องจะหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย
เรานั้นได้บรรลุความตรัสรู้ เพราะความไม่ประมาท
ได้บรรลุโมกขธรรมอันไม่มีอื่นยิ่งไปกว่า เพราะความไม่ประมาท"
 
 





 
 
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พากเพียรศึกษาวิชาต่าง ๆ ทุกวิชาที่คนในยุคนั้นเชื่อกันว่า เมื่อทำแล้วจะทำให้หมดกิเลสได้
บางพวกเชื่อกันว่า ถ้าบำเพ็ญตบะโดยเปลือยกาย โดยไม่สนใจใยดีกับร่างกาย
แม้ที่สุดจะถ่ายอุจจาระ ก็ใช้มือของตนนั่นแหละ เช็ดให้เกลี้ยง ไม่ได้เอาน้ำล้าง
บางพวกก็เคร่งครัดเรื่องอาหารที่รับประทาน กล่าวคือ
 
- ถือเป็นผู้ไม่รับอาหารที่เขาร้องเชิญว่า "ท่านผู้เจริญ จงมารับอาหาร"
- ไม่รับอาหารที่เขานิมนต์ว่า "ท่านผู้เจริญ จงหยุดก่อน"
- ไม่ยินดีในอาหารที่เขานำมาเฉพาะเจาะจง ข้าวปลาอาหารที่เขาเตรียมไว้ก็ไม่รับ
- เที่ยวไปหา เปลือกไม้บ้าง หญ้าบ้าง ผักบ้าง สาหร่ายบ้าง รำข้าวบ้าง ข้าวสารหัก ๆ
พวกปลายข้าวที่เขาเลี้ยงไก่ คือ
มีความเชื่อว่า ถ้ากินอาหารไม่พิถีพิถันแล้ว กิเลสจะหมด พระองค์ท่านก็ทดลองหมด
 
แม้ที่สุด คนในยุคนั้นเชื่อว่าบริโภคขี้วัวแล้ว จะหมดกิเลส พระองค์ก็ทดลองทำตาม
ทรงบริโภคขี้วัวและหญ้าเป็นธัญญาหารบริโภค ผลไม้ที่หล่นอยู่โคนต้น
เก็บรากไม้ในป่าเป็นอาหาร เพื่อยังชีวิตบ้าง นุ่งห่มด้วยผ้าที่ทิ้งไว้กับซากศพ บางครั้งก็นุ่งห่มด้วยหญ้าคานุ่งห่มด้วยเปลือกไม้ นุ่งห่มด้วยหนังสัตว์ที่ยังมีเล็บติดอยู่
แม้ที่สุดเอาปีกนกเค้าแมวมาต่อกันทำเป็นผ้านุ่งห่มก็ยังเคยทำ
 
ทรงบำเพ็ญเพียรตามวิธีที่เชื่อถือกันในขณะนั้นทุกวิธี แต่ก็ไม่ได้ผล ทรงเล่าว่า
"เรานั้น แห้ง ๆ แล้ว ร้อนแล้ว แต่ผู้เดียว เปียกแล้วผู้เดียว อยู่ในป่าที่น่าสพรึงกลัวผู้เดียว
เป็นผู้มีกายอันเปลือยเปล่า ไม่ผิงไฟเป็นผู้แสวงหาความบริสุทธิ์อย่างนี้"
 
นอนบนหนามก็ทรงเคยมาแล้ว ไม่ได้อาบน้ำเป็นปีก็ทนได้ อยู่ในป่าลึก ๆ
คนเดียวก็ยังไม่หวั่นไหว
ในขั้นสุดท้าย ทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยา จนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทรงบรรยายว่า
"เวลาเอามือลูบหน้าท้อง มีความรู้สึกเหมือนลูบกระดูกสันหลัง เวลาเอามือลูบหลัง ก็เหมือนลูบหน้าท้อง"
 
พระองค์ทรงทดลองทุกวิธีเป็นขั้นตอน แต่ไม่สำเร็จมรรคผลอันใด
ในที่สุดทรงเลิกวิธีการต่าง ๆ เหล่านั้น
แล้วฝึกสมาธิด้วยพระองค์เองอย่างจริงจัง
 
ลองพิจารณาถึงขั้นตอนการแสวงหาธรรมะของพระองค์ ก่อนที่จะตรัสรู้ ย่อมจะเห็นว่า
พระองค์ท่าน ได้พากเพียรเพียงไร ทรงพากเพียรอย่างทุ่มเทชีวิตเข้าแลกตลอดมา
ตั้งแต่ออกบวชจนบรรลุธรรม
 
 





 
 
 
อาการแห่งการตรัสรู้ธรรม
 
เมื่อทรงเลิกบำเพ็ญทุกข์กิริยา เริ่มฉันภัตตาหาร โดยปฏิบัติสายกลาง พระวรกายก็แข็งแรงขึ้น
การพากเพียรสมาธิภาวนาก็ได้ผลดีขึ้น เพิ่มพูนพระบารมียิ่งขึ้นตามลำดับ
จนถึงวันเพ็ญกลางเดือนหก รวมเป็นระยะเวลา 6 พรรษาหลังจากทรงผนวช
 
วันที่จะตรัสรู้นั้น มีชายชาวป่าคนหนึ่ง ได้นำหญ้ากุสสะ มาปูถวายเป็นอาสนะ
ด้วยอำนาจบุญที่ทรงเคยให้ที่นั่งที่นอน สร้างบารมีมาแต่ภพในอดีต หญ้ากุสสะ หรือที่เราเข้าใจว่าเป็นหญ้าคา ก็กลายสภาพเป็นรัตนบัลลังก์
พระองค์ประทับบนรัตนบัลลังก์ แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานความเพียรว่า
"เราจักตั้งความเพียรคือ ความไม่ถอยหลังว่าแม้เนื้อและเลือดในสรีระจักเหือดแห้งไป
เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที เมื่อยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ
ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสียเป็นไม่มีเลย"
 
อธิบายความว่า แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไปก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาน
จะไม่ขอลุกจากที่นั่ง จะยอมนั่งตายไปเลย
 
พวกเราที่นั่งแล้ว แหม...ยังมืดตื้อ เจอหน้าทีไรก็ถาม
"หลวงพ่อ เมื่อไรจะเห็นพระธรรมกายสักที"
ยังหรอกโยม ก็ยังนั่งบิดอยู่หลายตลบ เดี๋ยวลุก เดี๋ยวพลิก มันก็เลยมีอาการอย่างนี้แหละ
 
ลองดูสิ จุดเทียนอธิษฐาน ไม่ถึงพระธรรมกายจะยอมตายตรงนี้ เดี๋ยวก็ได้ ฝึกต่อไปก็แล้วกันนะ
หลังอธิษฐานแล้ว พระองค์ท่านก็นั่งสมาธิเรื่อยไป จนในที่สุดใจรวมหยุดนิ่ง
ความสว่างภายในพระองค์ ก็ค่อย ๆ พัฒนาจากเห็นแสงสว่าง แต่ไม่เห็นรูป
ต่อมาเห็นแสงสว่างด้วย เห็นรูปด้วย
ทรงเข้าถึงธรรมกายละเอียดขึ้นตามลำดับจนถึงธรรมกายอรหันต์ ความสว่างภายในพระองค์
สว่างยิ่งกว่าตะวันเที่ยงอีก สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงมาเรียงอยู่ในท้องฟ้าเต็มไปหมด
(พวกเราอาจสงสัยว่า สว่างมาก ๆ แล้ว ไม่ร้อนหรือ ไม่ร้อนเลย สว่างด้วยอำนาจธรรม
ยิ่งสว่างยิ่งเย็นใจ อย่าเอาแสงสว่างทางโลกมาเปรียบ ทางโลกนั้นยิ่งสว่างยิ่งร้อน)
 
แสงสว่างในธรรมรังษี ยิ่งสว่างยิ่งเย็นเย็นเหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ ยิ่งสว่าง ยิ่งชุ่มฉ่ำหัวอกหัวใจบุพเพนิวาสานุสสติญาน
 
เมื่อความสว่างชัดขึ้น ชัดขึ้น
ก็ทรงใช้ธรรมกายอรหันต์พิจารณาถึงขันธ์ที่เคยอยู่ในชาติ ในภพก่อน ๆ ได้ตามลำดับ
ตั้งแต่หนึ่งชาติ สองชาติ สามชาติเรื่อยไปจนถึงร้อยชาติ พันชาติตลอดหลายสังวัฏกัป และหลายวิวัฏกัปว่า
 
เมื่อเราอยู่ในภพนั้น ๆ มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข และทุกข์อย่างนั้น ๆ มีอายุสิ้นสุดลงเท่านั้น ๆ
ครั้นจุติ คือ ตายจากภพนั้นแล้ว ก็ได้เกิดในภพต่อไป เมื่อเกิดใหม่ มีโคตร มีวรรณะ เสวยสุขทุกข์อย่างไร
 
ทรงตรัสว่า
"เรานั้นระลึกถึงขันธ์ห้า ที่เคยอยู่ เคยอาศัยในภพก่อน ๆ ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาหาร และลักษณะ
ดังกล่าวนี้ เป็นวิชชาที่เข้าบรรลุในยามแรกแห่งราตรี คือ
บุพเพนิวาสานุสสติญาน ญาน ความสามารถในการระลึกชาติหนหลังได้"
 
ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ในเชิงวิชาการ หลวงพ่อขอเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือ
ในทางโลก ภพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เราสามารถเอากล้องถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายวีดีโอ ถ่ายไว้ บันทึกไว้เช่นนี้
ใจของเราก็เหมือนกัน ดีกว่าฟิลม์ทั้งหลายในโลก
 
ใจของเรานั้น ใสเป็นดวง ใสกว่าดวงแก้วใส การกระทำทั้งหลาย ตลอดชีวิตของเรา ถูกบันทึกไว้ในใจ
ตลอดทั้งชาติ ฟิลม์ภาพยนตร์หรือเทปวีดีโอ ก็ยังมีคุณภาพสู้ใจเราไม่ได้
 
เมื่อชาติที่ผ่านมาแล้ว ก็บันทึกเอาไว้ ถ้าใจของเรา ยังฝึกสมาธิไม่พอ หลับตาแล้ว มันมืดตื้อ จึงไม่เห็นภาพ
ที่บันทึกไว้ ฝึกมาก ๆ เข้า ใจตกตระกอนใส ใจใสแจ๋ว หลับตาลืมตา สว่างโพลง พอ ๆ กัน
จึงมองย้อนเห็นภาพที่บันทึกไว้ในใจชัดเจนเลย เหมือนกรอภาพกลับไปในอดีต ที่เราเรียกว่า
ระลึกชาติได้ ก็ด้วยเหตุผลอย่างนี้
 
เมื่อย้อมระลึกถึงความดีที่ทำเอาไว้ อ๋อ...ความดีส่งเรามาอย่างนี้
มิน่า..เราจึงได้มาบวช มาเป็นธรรมทายาท
มาพบพร้อมหน้ากันที่วัดพระธรรมกายในวันวิสาขบูชานี่เอง
 
ถ้าย้อนกลับไปพบความดี ก็ทำให้ชื่นใจ อิ่มใจ แต่ความชั่วที่เคยทำไว้ก็ไม่หนีหายไปไหน
กรอกลับไป เดี๋ยว ๆ ก็เจอ
 
อ้าว...ไอ้ที่ทำแสบ ๆ ไว้โผล่มาให้เราเห็นแล้ว ชัดเลย ไอ้ฟันโตอย่างกับจอบที่ได้มา
ก็เพราะไปด่าเขาไว้เยอะ
อ้อ...ที่หัวล้านแดง ๆ อยู่นี่ ก็เกิดจากพูดจาล่วงเกินผู้มีศีล ผู้หลักผู้ใหญ่ไว้
 
บางคนก็ผอมจริง ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ระลึกชาติไปดู ก็ปรากฎว่า
ปากไม่ดีเหมือนกัน ชอบพูดค่อนแคะว่า
ผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ผอมบ้าง แห้งบ้าง ชาตินี้จึงต้องผอมเป็นกุ้งแห้ง
 
เมื่อระลึกชาติได้ชัดเจน จึงเกิดความกลัวบาป กลัวกรรม จะทำอะไรไม่เข้าท่า เข้าทาง ก็กลัวบาป กลัวกรรม
เพราะว่ามันตามให้ผลจริง ๆ ตามข้ามชาติแน่ะ เห็นชัดนะ
 
เมื่อระลึกชาติได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า
"นี้เป็นวิชชาที่สอง ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามแรกแห่งราตรี
เพราะฉะนั้นเมื่อวิชชาเกิดขึ้น อวิชชาก็ถูกทำลายไป เหมือนความมืดถูกทำลาย ความสว่างก็เกิดขึ้นแทน"
 
ใครบอกว่า ความสว่างเป็นกิเลส อย่าเพิ่งไปเชื่อนะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงสรรเสริญแสงสว่าง ในพระไตรปิฎก มีหลักฐานยืนยังไว้ชัด
 
จุตูปปาตญาน
เมื่อบรรลุวิชชาที่หนึ่ง คือ บุพเพนิวาสานุสสติญานแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป
 
"เรานั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน
ควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาน คือการรู้จักการเกิด การตายของสัตว์อื่น"
 
"เรามีจักขุทิพย์บริสุทธิ์กว่าจักษุของสามัญมนุษย์ ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่แล้วว่า
เลวทรามประณีตมีวรรณะดี มีวรรณะเลว มีทุกข์มีสุขอย่างไร
เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ทุกผู้เข้าถึงตามกรรมว่า
ผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ผู้ติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ประกอบการงานด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้า
เมื่อกายแตกตายไป ล้วนพากันไปสู่อบาย ทุคติ วิบากนรก"
 
เห็นไหม ท่านบอกชัดเลยนะ ลองเปรียบเทียบว่า
ถ้าเรามีไฟฉายอยู่ในมือ ก็จะส่องทาง บอกได้ว่าตรงไหนเป็นเขา
ตรงไหนเป็นบ่อ เป็นเหว เมื่อพระองค์บรรลุวิชชาที่สอง คือ
จุตูปปาตญาน มีจักขุทิพย์รู้เห็นการเกิด การตายของมนุษย์
 
และสัตว์ทุกชนิดแล้ว จึงทรงบอกได้ว่า
ไม่ว่าคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม ถ้าทำความผิดไว้ ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจาใจก็ตาม เบื้องหน้า
เมื่อแตกกาย ทำลายขันธ์แล้ว ก็จะสู่ทุคติวิบากนรก ตกนรกหมด
กายทุจริต ได้แก่ ทำความชั่ว ใช้มือเท้าปากเล็บ ไปฆ่าเขาไว้ แย่งลูกเมียเขาไป ทำลายทรัพย์ของเขาไว้
วจีทุจริต คือ พูดจาโกหกพกลม พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด
มโนทุจริต คิดละโมภ อยากได้ของเขา คิดล้างผลาญ พยาบาท คิดผิดทำนองคลองธรรม อิจฉาตาร้อน
 
"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแตกตายไปนี้ ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์"
 
เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่า สวรรค์ไม่มีก็อย่าเพิ่งเชื่อนะ
เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงยืนยันว่า มีจริง
เป็นที่ไปของคนทำความดี หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว
หลายท่านที่นั่งในที่นี้ ก็เคยเห็นว่าสวรรค์เป็นอย่างไร เทวดาเป็นอย่างไร
 
สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่มีนะ
มี
แต่เรามองไม่เห็นต่างหาก
ลองพิจารณาว่า
เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ใคร ๆ ก็ไม่รู้ ไม่เชื่อว่า มีเชื้อโรค
ในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพูดถึงเรื่องเชื้อโรคต่าง ๆ เอาไว้มาก
แต่ท่านไม่ได้เรียก "เชื้อโรค" ท่านเรียกว่า "พยาธิ"
 
พยาธิที่กินฟัน กินผมกินตา กินส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมไป ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
เรื่องพยาธินี้ทรงอธิบายว่า มีขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่ตัวโตมองเห็นได้จนเล็ก ๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อกัน จนกระทั่งเกิดกล้องจุลทรรศน์ขึ้น จึงยอมรับว่ามี
แล้วก็ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้ทุกอย่าง เห็นไหม!
 
สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็นนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี เมื่อก่อนนี้ก็ไม่เชื่อกันว่าดวงดาวเป็นโลกอีกโลกที่ต่างออกไปจากโลกที่เราอยู่
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีจักรวาลอยู่นับไม่ถ้วน เป็นอนันต์จักรวาล มีลักษณะคล้ายจักรวาลที่เราอยู่นี้
 
ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้หลักฐานทาง ดาราศาสตร์ยืนยันแล้วว่ามีจริง ๆ แต่ต้องอาศัยกล้องดูดาว เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นหมู่ดาวอะไร ๆ ต่ออะไรมากขึ้นแล้วใช่ไหม
 
อาสวักขยญาณ
 
เมื่อพระองค์ได้รู้ ได้เห็นมีวิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างปรากฎชัดขึ้น เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
พระองค์ก็อาศัยธรรมกายพิจารณาธรรมละเอียดขึ้น ประณีตขึ้นตามลำดับ
 
"เรานั้นเข้าถึงวิชชาที่ 3 แล้ว จิตตั้งมั่นมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากกิเลสเป็นธรรมชาติ จิตอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้วก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ..."
 
ฟังให้ดีนะ เวลาทำความดีใจเราเป็นดวงใส ใสอย่างแก้ว อย่างเพชร
เมื่อทำความดีครั้งหนึ่ง ใจก็สว่างวูบขึ้นทีหนึ่ง
 
ดวงสว่างนั้นนะจะเรียกว่า "ดวงบุญ" ก็ได้
ความสว่างหรือบุญที่สะสมไว้มากเข้า ๆ ก็กลั่นเป็นดวงใสยิ่งขึ้นเรียกว่า"บารมี"
 
ในด้านตรงกันข้าม
พอทำความชั่ว ใจก็มืดวูบลงความชั่วนั้นเรียกว่า "บาป" เกิดจาก"กิเลส"
 
กิเลส คือโลภโกรธหลง กิเลสที่ห่อห้มใจอยู่ชักนำให้เราทำความชั่วทางกายวาจา
พอเราทำความชั่วได้ผลเป็นบาปใจที่มีปกติสว่างก็มืดวูบลง
 
บาปนี้สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "อาสวะ"
ตรงกันข้ามบุญที่สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "บารมี"
มนุษย์ที่สะสมกิเลสไว้มาก ภาษาพระเรียกว่า "อาสวะกิเลส"
 
ทรงอธิบายถึงการบรรลุธรรมตามลำดับของพระองค์ต่อไปว่า
"เรานั้นเมื่อตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากกิเลสเป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรต่อการงานถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้วก็ น้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขยญาณ เราย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้เหตุแห่งทุกข์ คือสมุทัย
นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ คือนิโรธ
นี้ความให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ คือมรรค อันประกอบด้วยองค์ 8
เรารู้ด้วยว่า นี้เป็นอาสวะทั้งหลาย
นี้คือความดับไม่เหลือแห่งอาวสะทั้งหลาย คือ นิโรธ
 
เมื่อเรารู้อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ จิตพ้นจากกามอาสวะ คือพ้นจากกามะสวะ
ก็พ้นจากภพ แล้วอวิชชาคือความไม่รู้ทั้งหลายก็หมดไป
 
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตนี้พ้นแล้ว เรารู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว ไม่ต้องเกิดอีกแล้ว
พรหมจรรย์คือการประพฤติตัวให้ประเสริฐหมดกิเลสกับบรรลุแล้ว กิจที่จะต้องทำได้สำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นก็ไม่ได้มีอีกแล้ว
นี่เป็นวิชชา 3 ที่เราได้บรรลุแล้ว ในยามปลายแห่งราตรี"
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้นั้น ท่านเกิดความรู้ เกิดวิชชาตามลำดับคือ
ระลึกชาติของพระองค์ได้ เป็นวิชชาที่ 1 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาน เมื่อยามหนึ่ง
ระลึกชาติผู้อื่นได้ เป็นวิชชาที่ 2 คือจุตูปปาติญาน เมื่อยามสองและ
บรรลุอาสวขยญาณ เป็นวิชชาที่ 3 หมดกิเลสในระยะวันเก่าต่อกับวันใหม่
 
เมื่อรุ่งอรุณก็ตัดกิเลสทั้งหลายได้สิ้นอวิชชาถูกทำลาย วิชชาก็เกิดขึ้น ความมืดถูกทำลาย ความสว่างก็เกิดขึ้น
เป็นอาการที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญเพียรเผาบาป
 
นี่คืออาการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมเมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 6
 
ทรงค่อย ๆ ขุดคุ้ย ค่อย ๆพิจารณาพากเพียรทดลอง ค่อย ๆ กลั่นกรองเผาผลาญกิเลสจนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
แล้วยังเล่าต่อให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังทุกแง่ทุกมุมไม่ปิดปัง
เป็นข้อความจริงที่ลูกศิษย์ลูกหาประพฤติปฏิบัติตามแล้ว
ก็ได้ผลสำเร็จเช่นเดียวกับพระองค์
 
ด้วยเหตุนี้จึงมีพระอรหันต์เกิดตามขึ้นมามากมาย ต่อเนื่องกันมาเป็นสายไม่ขาดช่วงขาดตอนทรงประกาศพระศาสนา
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
เมื่อตรัสรู้แล้วก็ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ 7 สัปดาห์
ในระหว่างที่พระองค์เสวยวิมุติสุข คือความสุขอันเกิดจากการตรัสรู้ธรรมนั้น
พระองค์ทรงคำนึงถึงพระมโนปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น ในอันที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ชาวโลก
 
อยู่ตลอดเวลา จึงทรงพิจารณาแยกหมวดหมู่ธรรมะ แจกแจงรายละเอียดเตรียมไว้อย่างพร้อมมูล
เพื่อเตรียมพระองค์ทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก
 
ครั้นล่วงถึงเดือน 8
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เสด็จไปยังป่าอิสิปปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
เพื่อแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ คือนักบวช 5 รูป ซึ่งเคยติดตามอุปัฏฐากรับใช้พระองค์
ในขณะที่ทรงบำเพ็ญเพียรในระยะแรก แต่ได้ทอดทิ้งพระองค์ไป
เมื่อเห็นว่าทรงหันมาเสวยพระกระยาหารไม่ทรมานพระวรกาย
ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้น หลงเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียร
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงติดตามหาปัญจวัคคีย์จนพบ เมื่อวันเพ็ญกลางเดือน 8
ทรงทำให้ปัญจวัคคีย์เลื่อมใสในพระองค์แล้ว จึงแสดงปฐมเทศนาเรื่อง "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"
ทันทีจบพระธรรมเทศนา
อัญญาโกณทัญญะ ผู้เป็นพี่ใหญ่ ก็บรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบัน
 
พระอัญญาโกณทัญญะทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์จึงทรงประทานอุปสมบทให้โดยวิธี
"เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระอัญญาโกณทัญญะจึงเป็นพระอริยสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
ณ บัดนั้นพระธรรม พระสงฆ์จึงได้เกิดขึ้นในโลก
ในวันเพ็ญกลางเดือน 8 ที่เรียกว่า "วันอาสาฬหบูชา"
 
นับได้ว่าเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์ 3 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
 
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรแล้ว
ก็ทรงประทานโอวาทแก่พระปัญจวัคคีย์ด้วยธรรมะอันละเอียด ลุ่มลึกยิ่งขึ้นตามลำดัย
จนกระทั่งบรรลุธรรมกายโสดา เป็นพระโสดาบันทุกรูป
 
ในที่สุดเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา ในบทอนัตตลักขณสูตรเมื่อวันแรม 5 ค่ำ
พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 รูปก็บรรลุธรรมกายอรหัต สำเร็จพระอรหันต์ พร้อมกัน
 
ในเวลาต่อจากนั้นอีกไม่กี่วัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงพบกับยสกุมาร ชายหนุ่มลูกเศรษฐีผู้หนึ่ง
พระองค์ทรงเล็งเห็นจริต อัธยาศัยของเขา
จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง อนุปุพพิกถา
โปรดยสกุมาร จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง
 
ต่อมาเพื่อนของยสกุมารอีก 54 คนซึ่งล้วนเป็นลูกเศรษฐีและเป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาดีแห่งยุคนั้น
ก็ได้ตามมาฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้งหมด และได้บวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเช่นกัน
 
ฉะนั้นในยุคแรกของพระศาสนา เพียงเวลาล่วงไปไม่ถึง 3 เดือนก็มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกขึ้นถึง 61 รูป
คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 รูป พระปัญจวัคคีย์ 5 รูป พระยสกุมารและเพื่อนอีก 55 รูป
 
ทรงเผยแผ่พระศาสนา
 
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า มีพระอรหันต์จำนวนมากแล้ว จึงทรงเรียกประชุมและมอบหมาย
ให้พระอรหันต์ทั้ง 60 รูปแยกย้ายกันไปเผยแผ่พระศาสนา ไปเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ชาวโลก ทรงมีรับสั่งว่า
 
พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจารึกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชน
เพื่อความเอ็นดูแก่ชาวโลก
เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พวกเธออย่าไปทางเดียวกันถึงสองรูปนะ
 
ในการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวโลกนั้น พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางการสั่งสอนอย่างมีขั้นตอน
คือสอนตั้งแต่ง่ายไปหายาก เพราะพระองค์ปฏิบัติมาแล้ว
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองว่าอะไรง่าย อะไรยาก ไม่ข้ามขั้นตอน ไม่รวบรัด สอน
อย่างพอเหมาะพอสมกับบุคคล
เพราะพระองค์หยั่งรู้สภาพจิตของมนุษย์ว่า กำลังคิดตรึก นึกตรองอย่างไร
 
ฉะนั้นเมื่อสอนธรรมะผู้ใด ก็จะสอนตรงประเด็นที่ผู้นั้นสงสัยคลางแคลง
เมื่อเทศน์จบจึงได้ผลสำเร็จอย่างสูงจนบรรลุธรรมทุกคน
จำได้ไหม
เมื่อพวกเราสวดมนต์ทำวัตรนั้น มีบทสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งที่กล่าวว่า
 
อาทิกัลยานัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสาณกัลยานัง สาตถัง สะพยัญชะนัง
เกวะละปริปุณณัง ปะริสุทธังพรหมะจริยัง ปะกาเสสิ
 
ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า
ธรรมะอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้วนั้นงามในเบื้องต้น งามในเบื้องกลาง งามในเบื้องปลาย
งดงามลุ่มลึกไปตามลำดับ
สามารถอธิบายขยายความนำไปได้ทุกรูปแบบเป็นประโยชน์แก่ผู้นำไปปฏิบัติจริง
 
ไม่มีเลยในประวัติศาสตร์ที่ศาสดาองค์ใดในโลกจะกล้ากล่าวได้ดังนี้
มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่กล้าตรัสเช่นนี้
เพราะท่านศึกษาค้นคว้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง มิได้มีผู้ใดมาเนรมิตเสกสรรให้
 
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตั้งแต่ประกาศพระศาสนา
เมื่อพระชนมายุ 35 ปีจนกระทั่งเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 ปี เป็นเวลาทั้งหมด 45 ปีนั้น
รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก แบ่งเป็นสาระสำคัญคือ
 
ส่วนที่ 1 พระวินัย หมายถึงกฎระเบียบของพระภิกษุ 21,000 ข้อ
 
ส่วนที่ 2 พระสูตร หรือพระสุตตันตปิฎก
กล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล รวมคำเทศน์คำสอนที่มีหลักธรรม 21,000 ข้อ
 
ส่วนที่ 3 พระอภิธรรม เป็นธรรมะเบื้องสูง กล่าวถึงพัฒนาการระดับจิตใจว่า
เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าดีขึ้นอย่างไร ใช้ตรวจสอบสภาวะจิต
และยังกล่าวไว้ด้วยว่าถ้าไม่ปฏิบัติจะเลวลงอย่างไร รวม 42,000 ข้อ
 
พระไตรปิฎกในภาษาบาลีมี 45 เล่ม แปลเป็นภาษาไทยก็มี 45 เล่ม
เท่าจำนวนพรรษาที่พระพุทธเจ้า ทรงเผยแผ่พระศาสนา
 
ในการประกาศศาสนา หรือการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระองค์
ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วนั้น ทรงอุทิศเวลาตลอดพระชนม์ชีพเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก
ด้วยพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นแบบฉบับศาสดาที่วิเศษสุดในโลก
ทรงแบ่งงานของพระองค์เป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ไม่ให้น้อยหน้ากันคือ
 
ส่วนที่หนึ่ง เกี่ยวกับพระญาติ
 
ส่วนที่สอง เป็นของชาวพุทธทั้งหลาย
ซึ่งเริ่มจากบุคคลคนเดียวจนเพิ่มเป็นพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
 
ส่วนที่สาม เป็นของชาวโลกทั่วไป ซึ่งบุญบารมียังไม่แก่กล้าพอที่จะติดตามพระองค์ไปได้
พระองค์ก็เพียงโปรดเพียงสอนไปตามกำลังที่เขาจะรับได้
 
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ชาติ
ยังไม่เคยมีศาสดาองค์ใดที่แบ่งงานได้สมบูรณ์แบบดังพระองค์ท่าน
 
จนได้รับฉายา อย่างที่เราสวดมนต์สรร เสริญพระพุทธคุณอยู่ทุกวันนี้ว่า
ปุริสธรรมสาระถิ คือเป็นสารถีนักฝึกคนที่เยี่ยมที่สุดในโลก
สัตถาเทวะมนุสสานัง คือเป็นครูสอนได้ทั้งเทวดาและมนุษย์ ยังไม่มีศาสดาองค์ใดทำได้
 
แต่พระองค์ท่านก็ทำได้
 

 
เสด็จดับขันธปรินิพพาน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนขัดเกลากิเลสมนุษย์โลก
โดยไม่หยุดยั้งต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนานถึง 45 พรรษา
 
เมื่อถึงคราวจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ยังเหนือกว่าศาสดาใด ๆ ในโลก
คือทรงรู้วาระที่จะดับขันธ์ล่วงหน้าถึง 3 เดือน ทรงประกาศล่วงหน้าเลยว่า
 
สาวกทั้งหลาย อีก 3 เดือนข้างหน้าจะถึงกำหนดที่เราต้องดับขันธแล้ว
ฉะนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ผู้ใดมีอะไรสงสัยในธรรมะจงมาถามเราเถิด
 
สั่งอย่างนี้แล้วก็เสด็จออกประกาศพระศาสนาต่อไปไม่หยุดพัก เสด็จผ่านเมืองสำคัญ
แหล่งสำคัญที่มีประชาชนอยู่กันมาก ทรงเทศน์โปรดผู้ที่มีกำลังบุญพอที่จะตรัสรู้ธรรมได้
เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญ ในการประกาศพระศาสนาแทนพระองค์
 
สำหรับพระอรหันต์รุ่นแรก ๆ พระองค์ก็สั่งว่า
เมื่อเราจากพวกเธอไปแล้วเธอจะต้องจัดหมวดหมู่ธรรมะที่เราสอนไว้ให้ดี
 
พูดง่าย ๆ ก็คือ สั่งให้ทำพระไตรปิฎก เราจึงได้พระไตรปิฎกไว้เป็นหลักฐานจนถึงทุกวันนี้
ที่เหนือกว่านั้นคือ
ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงสรุปคำสอนไว้ให้อย่างยอดเยี่ยม
 
พวกเราเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม มีใครบ้างสามารถสรุปความรู้ที่เรียนมาได้ทั้งหมด
ร้อยทั้งร้อยสรุปไม่ลงหรอก เพราะรู้ไม่จริง
โดยทั่วไปความรู้ที่เกิดแก่ใครก็ตามมักพัฒนาเป็นขั้นตอนอยู่ 3 ระดับ
 
ระดับแรกเรียกว่า รู้จำ คือท่องมาบ้าง พ่อแม่บอกให้บ้าง
 
ระดับที่ 2 รู้จริง คือเมื่อเติบโตขึ้น ย่ำโลกมากเข้า มีประสพการณ์มากขึ้น
ความรู้ที่ได้มาจากระดับแรกก็เปลี่ยนจากรู้จำป็นรู้จริง
อธิบายถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ตามได้บ้าง แต่ก็มีขอบเขตจำกัด เจอของแปลกใหม่ก็มืดตื้อเหมือนกัน
 
ระดับที่ 3 รู้แจ้ง คือรู้รอบไปทั้งหมดทั้งที่มาที่ไป
รู้วิธีนี้ต้องฝึกสมาธิจนใจสงบเกิดดวงปัญญาสว่างโพลง
สามารถอธิบายขยายข้อความรู้ที่ลึกล้ำได้ ค่อย ๆ นึกแล้วจะเห็นความสว่างปรากฎขึ้น
 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้จำ รู้จริง แล้วรู้แจ้ง
แต่พวกเรารู้งู ๆ ปลา ๆ ต้องฝึกสมาธิจึงจะสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้เต็มขึ้น
 
สิ่งอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ใคร ๆ ก็ทำไม่ได้อย่างพระองค์ คือ
พระองค์ทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
แม้พละกำลังจะหมดแล้ว ก็ยังอนุญาตให้สุภัททะปริพพาชกเข้าเฝ้าถามปัญหา
และเทศน์โปรดจนได้เป็นพระอรหันต์ในคืนวันที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานนั่นเอง
 
พระอรหันต์องค์สุดท้ายในยุคพุทธกาลที่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์ คือ พระสุภัททะ
 
ความอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งที่ศาสนาอื่น ๆ ไม่มี
ก็คือการแต่งตั้งศาสดาไว้ปกครองศิษย์ต่อไป
 
ไม่มีศาสดาองค์ใดที่ทำได้รัดกุมเท่าพระองค์
ได้มีผู้ทูลถามว่า เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วจะตั้งใครเป็นศาสดาปกครองสงฆ์ต่อไป
พระองค์ทรงตอบชัดเจนดีมากว่า
ธรรมะและวินัยที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาแทนพระองค์
 
พระองค์ไม่ตั้งบุคคล
เพราะพระธรรมคำสั่งสอนทั้ง 84,000 ข้อเป็นหลักที่ดีเยี่ยมแล้ว
ศาสนาอื่น ๆ เมื่อศาสดาตายก็แบ่งกันใหญ่เพื่อปกครองสาวกแทบจะฆ่ากันตาย
ในพุทธศาสนาไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว
 
ขอฝากผู้เฒ่าทั้งหลายหัดเตรียมตัวตายไว้บ้างนะ
คือเตรียมอย่างที่พระพุทธองค์เตรียม จัดมรดกให้เรียบร้อย ยุติธรรม
 
- ลูกคนไหนนิสัยดี ไม่ดีอย่างไร ก็ทำเป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจง แนะนำตักเตือนให้ชัดเจน
- มรดกที่เป็นทรัพย์สินเขาอาจเอาไปขายกินหมด แต่มรดกคำสอนที่เป็นลายลักษณ์อักษร
แม้ตัวผู้รับตายแล้วก็ยังอยู่ตกทอดต่อไปไม่สูญหายไปเสีย
- รักลูกก็ต้องทำให้เรียบร้อยอย่างนี้
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำงานจนวินาทีสุดท้าย
 
นอกจากนั้นยังปรากฎความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ให้คนรุ่นหลังได้เคารพบูชาอีก
คือวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน
ตรงกันหมดในวันเพ็ญกลางเดือน 6 ไม่มีศาสดาใดทำได้
เรามีศาสดาที่วิเศษสุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าดิ้นรนไปหาศาสดาที่ไหนอีกเลย
 
เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อความเรียบร้อย พระองค์ยังได้สั่งถึงการถวายพระเพลิงพระสรีระของพระองค์ว่า
 
พระศพของพระองค์นั้นให้เอาผ้า เอาสำลีพัน แล้วใส่เครื่องหอมเป็นชั้น ๆ
แล้วไม่ต้องจุดไฟเพราะใครจะจุดไฟอย่างไรก็ไม่ติด
เนื่องจากพระองค์อธิษฐานไว้ว่า เมื่อถึงเวลาสมควรไฟจะเกิดสว่างพรึบขึ้นมาเอง
 
ยิ่งกว่านั้น เมื่อถวายพระเพลิงแล้วพระบรมสารีริกธาตุจะแตกออกเป็น 84,000 ชิ้น
เท่าจำนวนหัวข้อธรรมที่พระองค์
ได้ทรงสั่งสอนไว้ ให้แจกจ่ายกันให้ทั่วถึง
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
มรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
มรดกพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมาย ทั้งที่เป็นคุณธรรมและวัตถุ
 
มรดกที่เป็นคุณธรรมได้แก่ธรรมะที่พระองค์ตรัสแสดงไว้ตลอด 45 พรรษา
เป็นหมวดหมู่ที่เราเรียกว่า พระไตรปิฎก
 
มรดกที่เป็นสถาบันผู้สืบต่อพระศาสนาได้แก่สถาบันสงฆ์
ซึ่งสืบทอดต่อเนื่องกันมานาถึง 2,500 ปีเศษแล้ว โดยไม่ขาดสาย
 
มรดกในรูปที่เป็นวัตถุคือวัดวาอาราม ซึ่งมีอยู่มากมาย คงเหลือปรากฎสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ให้เป็นศูนย์รวมของผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม พระองค์ทรงมอบมรดกเหล่านี้ไว้ให้เรา
เราจึงได้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุขจนถึงทุกวันนี้
 
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า
ได้อาศัยพระพุทธศาสนา ได้อาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้รู้จักทำความดีละเว้นความชั่ว
 
อยู่เป็นสุขมาจนถึงวันนี้ แล้วได้คิดได้เตรียมอะไรตอบแทนท่านบ้าง
 
เมื่อวันที่หลวงพ่อบวช หลวงพ่อคิดอย่างนี้
 
จะบวชจะอาศัยพระศาสนา เพื่อให้เป็นสุข เพื่อให้เป็นสุข
เมื่อได้พึ่งพระศาสนาแล้ว ก็จะพยายามให้พระศาสนาได้พึ่งเราบ้าง
ด้วยการก้มหน้าก้มตาศึกษาธรรมะ เอาไว้เทศน์สอนประชาชน
จะอุทิศชีวิต อุทิศกายใจสร้างวัดขึ้นมาเพื่อให้พระศาสนาได้อาศัย
 
ใครที่รอบวชตอนแก่ใกล้ตาย พอบวชไม่นาน ก็ใส่โลง
อย่างนี้เรียกว่าอาศัยพระศาสนา แต่พระศาสนาไม่ได้อาศัยเราเลยนะ
พวกเราทั้งหลายทั้งหญิงชาย แม้จะยังไม่ได้บวช
 
แต่เมื่อได้อาศัยพระศาสนาเป็นสุขตลอดมา
ก็ขอให้ช่วยกันคิดว่าจะตอบแทนอะไรแก่พระศาสนาบ้าง เช่น
เราจะปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ให้เกิดความสุข
เมื่อมีความสุขแล้วมาช่วยกันประกาศศาสนา ชักชวนให้คนทำความดีกันต่อไป
อย่างนี้พระศาสนาได้อาศัยบ้าง
 
เรามาวัดมานั่งบนศาลา นั่งในเต้นท์ นั่งสมาธิฟังเทศน์สะดวกสบายอย่างนี้
เราอาศัยพระศาสนา ก่อนจะกลับเก็บกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย
อย่างนี้ถือว่ายอมให้ศาสนาได้อาศัยบ้าง ไม่ใช่พอฟังเทศน์จบ
 
หลวงพ่อปูเสื่อได้ ก็เก็บเองด้วยนะครับ สร้างศาลาไว้ก็ช่วยกวาดถูไว้ให้สะอาดด้วย
 
มองกว้าง ๆ เรา ฝึกใจให้ได้ว่า ได้อาศัยที่ไหน ก็ควรให้ที่นั้นได้อาศัยเรา ทั้งทางโลกและทางธรรม
คิดได้เช่นนี้แล้วชาตินี้อยู่เป็นสุขแน่นอน นึกถึงความดีของเราแล้วก็ชื่นใจ
 
ที่เราได้ให สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้พึ่งเรา
เราไม่ใช่คนรกโลก มีประโยชน์ต่อโลก นึกแล้วก็ชื่นใจ
ใจมันฟู ถึงคราวหลับตาลาโลกก็ลาอย่างมีสุข
 
พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
เมื่อได้ศึกษาประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตลอดแล้ว จะเห็นว่า
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน ทรงเป็นแบบฉบับของผู้เพียบพร้อมด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อชาวโลก คือ
 
พระบริสุทธิคุณอันยิ่งใหญ่ ด้วยการบำเพ็ญเพียรขัดเกลากิเลส สร้างความดีข้ามภพข้ามชาติอันยาวนาน
ด้วยบุญบารมี ด้วยความวิเศษบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จึงทำให้พระองค์ท่านได้จุติลงมาเป็นพระพุทธเจ้า
 
พระปัญญาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำให้ทรงพิจารณาสภาวะโลก สภาวะธรรมอย่างเที่ยงแท้
อยู่เหนือความมัวเมาของชาวโลก ทรงเลือกสละความสุขทางโลก
เพื่อแสวงหาความสุขอันเป็นอมตะ ด้วยความพากเพียรวิริยะอุตสาหะอันแรงกล้า
จนตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญานด้วยพระองค์เอง
 
พระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เมื่อตรัสรู้แล้ว แทนที่จะทรงเสวยวิมุติสุขเพียงลำพัง กลับเสียสละความสุขสงบส่วนพระองค์เผยแผ่ธรรมะแก่ชาวโลก เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทรงเมตตาโปรดสั่งสอนเวไนยสัตว์
เป็นระยะเวลาติดต่อกันถึง 45 พรรษา ตราบจนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
 
พระเกียรติประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎอย่าง ชัดเจนว่า
พระพุทธองค์ทรงเป็นแบบฉบับของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในการขัดเกลากิเลสในกมลสันดานของมนุษย์ชาติ
ทรงเป็นผู้จุดประทีปแสงสว่างให้ปรารกฎ ให้ปรากฎแก่ใจมนุษย์
ขับไล่ความไล่ความมืด ทำลายอวิชชาให้ดับสิ้นไป ส่องทางไปสู่พระนิพพาน อันเป็นอมตสุขชั่วนิรันดร์
 
ในโลกนี้จะมีศาสดาองค์ใดเล่าที่จะทรงพระคุณต่อมวลมนุษย์เทียบเท่าละอองธุลีของพระองค์ได้
ศึกษาเปรียบเทียบศาสนาด้วยเหตุผล
เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสดาของศาสนาต่าง ๆ เปรียบเทียบกันแล้ว เราก็ย่อมจะเห็นภาพแจ่มชัดว่า
 
ศาสดาท่านใดที่เทียบพร้อมไปด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่เป็นเลิศกว่าศาสดา ทั้งปวง
ศาสดาท่านใดที่มีคุณความดีแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
เมื่อเปรียบเทียบกัน ตั้งแต่ประวัติกำเนิด การค้นคว้าสัจจธรรม ตลอดจนการเผยแพร่พระศาสนา ทุกขั้นตอน
 
ประวัติกำเนิดศาสดา
 
ประวัติการบังเกิดขึ้นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่า
พระองค์ท่านได้บำเพ็ญสร้างสมความดีขัดเกลากิเลสข้ามภพข้ามชาติอันยาวนาน
ทรงความบริสุทธิ์เหนือมวลมนุษย์ทั้งหลาย ถึงพร้อมด้วยบุญบารมีทั้งปวง
จึงทรงได้บังเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในภพสุดท้ายนี้
 
มีศาสดาองค์ใดบ้าง ที่มีประวัติการบำเพ็ญเพียรสะสมความดี สร้างบุญบารมี เทียบเท่าพระองค์ท่าน
 
การศึกษาค้นคว้าธรรมะ
 
ในการศึกษาค้นคว้าสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติพระองค์ทุกรูปแบบ
ตามลำดับขั้นตอน
 
ด้วยพระปัญญาธิคุณ อันล้ำเลิศที่ทรงเห็นสภาวะที่แท้จริงของโลก
 
ด้วยพระวิริยะอุตส่าห์ ที่แลกด้วยชีวิต
 
ด้วยพระขันติ อดทนต่อความทุกข์ทรมานทั้งปวง
 
ด้วยพระปณิธาน อันแน่วแน่มั่นคง
 
พร้อมด้วยพระบารมีอันวิเศษสุด ที่สะสมมาถึงยี่สิบอสงไขยกับแสนกัป
จึงทรงบรรลุธรรมด้วยพระองค์เอง
 
มีศาสดาองค์ใดบ้างที่มีประวัติแสดงการศึกษาธรรมะเป็นขั้นตอน จนบรรลุธรรม ตรัสรู้แจ้งด้วยพระองค์เอง
ดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
 
หลักธรรมคำสั่งสอนธรรมะ
 
ถ้าจะศึกษาหลักธรรมะของศาสดาแต่ละท่าน ลองพิจารณาว่าคำสั่งสอนในศาสนาต่าง ๆ นั้น
 
- พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุด้วยผลหรือไม่
- คำสั่งสอนมีความเหมาะสมแก่บุคคลที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ อย่างไร
- การปฏิบัติตามคำสั่งสอนเหล่านั้น ได้ผลอย่างไรบ้าง
 
เราก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น
- พิสูจน์ได้ทุกกาลเวลา
- พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
- มีความลุ่มลึกเหมาะสมกับภูมิปัญญาของสัตว์โลกที่มีอัธยาศัยแตกต่างกัน
- พิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริง ตลอดเวลา
- เมื่อปฏิบัติแล้วก็ได้ผลสำเร็จ ประสพความสุข ความเจริญ ตามขอบเขตความสามารถการปฏิบัติธรรม
เกิดประโยชน์ตั้งแต่ส่วนตน ครอบครัว และส่วนรวม
 
มีธรรมะ คำสั่งสอนในศาสดาใดบ้างที่เพียบพร้อมด้วยคุณความดีทั้งปวง เสมอด้วยศาสนาพุทธ
 
ประวัติการเผยแผ่ศาสนา
 
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว แทนที่จะเสวยวิมุติสุขเฉพาะพระองค์
กลับมีน้ำพระทัยเมตตาที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ชาวโลก
เพื่อให้มนุษย์ชาติได้รับสันติสุขอันแท้จริง ดังเช่นพระองค์ท่าน
 
พระกรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ยิ่งใหญ่นักแผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกจักรวาล
 
พระองค์ท่านจึงทรงบากปั่นเผยแผ่ธรรมะคำสั่งสอนต่าง ๆ ทุกขั้นตอน โดยไม่ปิดบังหวงแหน
เพื่อโปรดสัตว์ให้ได้รับความสุขอันเป็นอมตะ จนตลอดพระชนมชีพ
 
ด้วยเหตุนี้จึงปราฎ ประจักษ์พยานชัดเจนว่า
สาวกของพระองค์ท่าน สามารถศึกษาและปฏิบัติธรรม จนหมดกิเลสตามพระองค์ท่านมากมาย
จนมีพระอรหันต์หลายรูป เช่น
พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัสสชิ พระอานนท์
พระอนุรุทธ พระปุณณมันตานี ไล่เรียงรายชื่อกันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน
ยืนยันได้ว่าหมดกิเลสแล้ว เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่าน
 
ส่วนผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ก็ได้รับความสุข ความสำเร็จตามลำดับขั้นการปฏิบัติธรรมะของตน
 
นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
ท่านทั้งหลายทราบไหมว่า ยังไม่มีศาสดาใด ๆ ในยุคปัจจุบันที่จะประกาศว่า
ลูกศิษย์ของฉันจำนวนมากมายเรียนรู้ได้สำเร็จความรู้อย่างฉันแล้ว
จึงเป็นหลักประกันได้ว่า ถ้าพวกเราทุกคนตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอย่าง
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่พระอรหันต์ในอดีตได้ปฏิบัติมาแล้ว
ก็จะทำให้พวกเรา สามารถหมดกิเลสตามพระองค์ท่านได้
 
ภาวะความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นสภาพประชาธิปไตย
ผู้ใดมีความเพียรพยายาม ขัดเกลากิเลสของตนสะสมบุญบารมีโดยไม่ย่อท้อ ถอยหลัง
ก็จะบรรลุธรรมสูงสุดได้ ตามที่พระองค์ท่านตรัสสอนไว้
 
การปฏิบัติธรรม ไม่ว่ายุคใด สมัยใด มีแต่ได้ประโยชน์ไม่สูญเปล่า พยานมีพร้อม
ตั้งแต่พุทธกาลสืบทอดมาถึงหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ไม่ขาดสาย
จนมาถึงพวกเราในยุคนี้ตามรอยบาทพระศาสดา
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
พวกเราจงภูมิใจเถิด
ที่ปู่ย่าตาทวดของเราได้เลือกนับถือศาสนาพุทธเป็นสิ่งยืนยันว่า
บรรพบุรุษของเรามีสติปัญญาไม่โง่เขลา ไม่ดื้อ ไม่โมเม
แต่เป็นผู้ที่ประกอบด้วยเหตุและผล จึงรักษาบ้าน รักษาเมือง รักษาชาติ ศาสนา
ให้เราได้อยู่สุขสบายจนถึงทุกวันนี้
 
ภูมิใจเถิดว่า บรรพบุรุษของเรามีปัญญา
สำคัญอยู่แต่ว่า เราจะสะสมปัญญาตามปู่ย่าตาทวดได้ไหม
 
สิ่งที่หลวงพ่อวิตก ก็คือพวกเราในยุคนี้ มักจะหลงตัวเองว่า
ฉันเก่งกว่าปู่ย่าตาทวด แล้วดูถูกบรรพบุรุษของเรา
 
เมื่อสมัยหลวงพ่อเป็นนิสิตนักศึกษา มองไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
ก็เลยเที่ยวแสวงหาว่า
ศาสนาไหนหนอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงสัยตามประสาเด็กๆ ว่า
ทำไมประเทศที่นับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น ...
ก็มีหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจ
แต่ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ก็มีแต่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นที่เจริญรุ่งเรือง
 
ส่วนบางประเทศกลับเป็นเมืองขึ้นชาติอื่น เยอะแยะ
เมื่อได้มีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศ ก็ได้รู้ว่า
ศาสนาอื่นไม่ได้ดีกว่าศาสนาพุทธ
 
การที่ชาวต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนายังไม่เจริญเท่าที่ควรนั้นก็คือ
 
1. ประกาศตนเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้จักคำสอนของพุทธศาสนา เรียกว่า เป็นชาวพุทธโดยทะเบียน
 
2. ศึกษาธรรมะรู้แล้ว แต่ไม่ทำ เช่น
รู้จักศีลห้า ท่องก็ได้ อาราธนาศีลก็ได้ แต่ไม่รักษา
รู้ว่าคอรัปชั่นไม่ดี แต่ก็ทำ
รู้ว่ากินเหล้าไม่ดี แต่ก็กิน
รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าดี แต่จะสวดมนต์ทบทวนคำสอนของท่านก็ขี้เกียจ
แล้วยังจะบ่นว่า เมืองไทยไม่เจริญ
 
ถามว่า ใครถ่วง
ก็คนที่ไม่รักษาศีลนั่นแหละ ถ่วงไว้
 
ถ้าใครเคยไปต่างประเทศ จะรู้ว่า เมืองไทยดีแล้ว สะดวก สบายที่สุด เรามีของดีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว
อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ บรรพบุรุษก็มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด
 
จริงอยู่ ในยุคนี้ เราอาจจะเห็นว่า มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ดีกว่าสมัยก่อน
แต่ความจริง ความฉลาดในเรื่องชีวิต ในเรื่องธรรมะ
เรายังห่างบรรพบุรุษของเรามาก ยังตามท่านไม่ทัน
เพราะฉะนั้น อย่ามัวหลงทนงตัว ภูมิใจกับเทคโนโลยีอยู่เลย ลองศึกษาเรื่องคุณธรรม
ที่ปู่ย่าตายายเรา สะสม แสวงหาไว้ดีกว่า ไม่งั้นก็อยู่ไปวัน ๆ ไม่มีบุญติดตัว
 
ในเมื่อเรามีสติปัญญา เราก็ต้องรู้จักเลือกทำความดีให้มาก ๆ แล้วเราจะเลือกเกิดได้
เรามีสติปัญญา เราเลือกผู้นำได้ เราก็เลือกเดินตามพระพุทธเจ้า
ข้อสำคัญ เมื่อเลิกทางเดินที่ดีที่สุดแล้ว เลือกผู้นำที่ดีที่สุดแล้ว ระวังอย่าหลงหลุดไปข้างทางเสีย
 
ขอให้พวกเราทั้งหลาย พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ต่างพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยใจเป็นธรรมว่า
 
พวกเราควรจะเชื่อถืออะไร ไม่เชื่ออะไร พวกเราควรจะนับถืออะไร ไม่นับถืออะไร
เมื่อพิสูจน์ได้ว่า
ไม่มีศาสดาองค์ใดในโลก จะวิเศษสุดประเสริฐสุด เทียบเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้ว
ก็ควรเคารพบูชาท่านอย่างสุดหัวใจ
 
ใครคิดอยากจะไปทัวร์ต่างประเทศ ไปกราบไหว้ผู้วิเศษก็ยกเลิกเสีย
เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศเสียเวลาเปล่า ๆ ด้วย
 
ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน ให้สมกับเป็นชาวพุทธ แล้วจะรู้เองว่า
พระธรรมคำสอนของท่าน มีคุณค่าล้ำค่าเพียงใด
สำหรับหลวงพ่อได้ติดตามรอยพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขั้นตอนอย่างนี้แล้ว
 
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม ก็จะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนไว้ทุกประการ
จะขอติดตามพระองค์ไปเข้านิพพานให้ได้
 
ประวัติศาสตร์แสดงหลักฐานไว้แล้วว่า
ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทพระองค์ท่านได้สำเร็จบรรลุธรรมมากมาย
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ผู้ทรงศีล หลวงปู่ หลวงตาของเรา
ท่านก็ได้ถวายชีวิต
ศึกษาพระธรรมสืบทอดพระศาสนาจนมาถึงพวกเราทุกวันนี้แล้ว
 
ทำไมเราจะเจริญรอยตามท่านไม่ได้
 
เมื่อได้ศึกษาด้วยเหตุผล ด้วยประจักษ์พยานแน่ชัดแล้วว่า ไม่มีศาสดาใด ๆ ในโลก
ที่จะเพียบพร้อมไปด้วยพระคุณอันยิ่งใหญ่เทียบเท่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้ว
ขอให้ภาคภูมิใจในพระบรมศาสดาของเรา
ขอให้เคารพบูชา
พระบรมศาสดาพวกเราอย่างหมดหัวใจ
ขอให้ตั้งใจทุ่มเททำความดี ตามที่พระองค์สั่งสอน โดยไม่ต้องลังเลสงสัยใด ๆทั้งสิ้น
 
เมื่อนั้น เราจะประจักษ์ใจด้วยตัวเอง ยิ่งขึ้นว่า
ไม่มีความยิ่งใหญ่ใด ๆ ในโลก จะเหนือกว่าความยิ่งใหญ่ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 
ด้วยอำนาจบารมีธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย
จงประมวลเข้าด้วยกัน เป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวปัจจัย
ส่งเสริมดลบันดาล อภิบาลคุ้มครอง ปกป้องรักษา
ให้ทุกท่านในทีนี้ จงปราศจากเสียซึ่ง สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย
สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไรใด ๆอย่าได้มาแผ้วพาน
ให้เป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงธรรมกาย บรรลุพระนิพพานได้โดยง่าย จงทุกท่านเทอญ
 
ป.ล. เนื่องจากเนื้อหาเดิมยาวมาก ผมได้นำมาส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมด
ดังนั้นหากมีเนื้อหาไม่ต่อเนื่อง หรือตกหล่นข้อความสำคัญไปบ้าง
ผมขออภัยทาน มาณ ที่นี้ ด้วยครับ



http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=16093
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
อนุโมทนาครับพี่มด :13:
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~