ริมระเบียงรับลมโชย > สุนทรียสนทนา - ไดอะล็อก (Dialogue)

สุนทรียสนทนา กับ สันติสุข ครอบครัว ( สิบวันเปลี่ยนชีวิต )

<< < (2/2)

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :45: อนุโมทนาครับพี่มด ขอบคุณครับผม^^

มดเอ๊กซ:
ตอนที่  ๔ : ก้าวย่างอย่างมั่นคงกับวงไดอะล็อคที่มีชีวิต


ตามกันอยู่หลายครั้งเลยกว่าจะทำให้ปอมาได้ในครั้งที่สี่  เพื่อความสบายใจ เราให้เค้าเปิดเพลงวัยรุ่นได้ตามใจ ซึ่งก็ทำให้ปอมีส่วนร่วมในวงนี้มากขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก จนมาถึงจุดหนึ่ง เราก็คุยลงลึกกันมากขึ้นในชีวิตของแต่ละคน ปอยกมือถามว่า ในวงไดอะล็อคนี้เรื่องที่พูดไปถือเป็นความลับได้ไหม ทุกคนเห็นว่า ถ้าผู้พูดต้องการให้เก็บเป็นความลับก็ยินดีทำให้เช่นนั้น ปอก็เริ่มพูดในสิ่งที่เค้าเก็บไว้ เป็นปัญหาคาใจ ที่ผ่านมาเค้ามีเรื่องราวในชีวิตเกิดขึ้นมากมาย เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ แม้แต่พ่อแม่ ถ้ารู้เข้าจะต้องเกิดเรื่องราวใหญ่โตแน่ๆ เค้ากลัวมาก แล้วก็ขี้เกียจฟังคำบ่นว่าที่จะตามมาอีกมากมาย  พวกเรารับฟังอย่างเข้าใจและเห็นใจ เป็นเรื่องราวที่วัยรุ่นส่วนใหญ่เคยผ่านมาแล้ว แต่มันก็ร้ายแรงพอดูในช่วงวัยขณะนั้น ยากที่จะผ่านพ้นไปได้โดยลำพัง ผมกับโอเปิ้นก็ให้ความเห็นแบบที่ไม่เป็นการชี้นำ เป็นแต่เพียงมุมมองของเรา ส่วนการตัดสินใจจะเป็นอย่างไร ก็ให้เค้าเป็นคนเลือกเอง


ส่วนกิ๊บก๊าบ ก็ได้ฟังเรื่องราวที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจที่น่าจดจำและพึงระวังตัวเองต่อไป ปรากฏว่าเสียงสะท้อนหลังจากจบวงคราวนี้ ปอบอกว่า เค้ารู้สึกสบายใจมากที่มีพื้นที่แบบนี้ให้เค้าได้พูดคุย มีคนรับฟังเค้าโดยไม่ด่าหรือต่อว่าในสิ่งที่เค้าทำผิดพลาดไป แม้ปัญหายังไม่ถูกแก้ แต่เค้ามีแรงใจที่จะเดินหน้าต่อไป แล้วก็อยากจะมาร่วมไดอะล็อคกับพวกเราอีกในทุกๆครั้ง กิ๊บก๊าบก็บอกว่า ได้รู้จักพี่ชายในอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วก็อยากเป็นกำลังใจให้ ไม่ว่าจะทำผิดพลาดมากเท่าไร ยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้องกันเสมอ ส่วนผมกับโอเปิ้นก็ดีใจมาก ที่วงไดอะล็อคในห้องนอนของเราถือกำเนิดขึ้นแล้วอย่างแน่นแฟ้น และได้สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับพวกเราอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว


ครั้งที่ห้าก็น่าจดจำไม่น้อย พอดีคืนนั้นผมไปงานแต่งงานของเพื่อนเลยกลับมาดึกหน่อย พอถึงห้องก็พบว่าน้องๆนั่งรออยู่แล้ว แต่ไม่ได้รอเปล่า เอาไพ่รัมมี่มานั่งเล่นกันระหว่างรอ พอจะเริ่มวงไดอะล็อค ปอตัวแสบก็บอกว่า พี่ เล่นไปคุยไปก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องพิธีรีตองเลย โอเปิ้นก็ขัดทันที ไม่ได้นะ มันไม่มีสมาธิหรอก กิ๊บก๊าบว่า อยากเล่นต่อนะ สนุกดี ไว้ไดอะล็อควันหลังแล้วกัน ว่าแล้วทุกคนก็หันมามองหน้าผม ผมนิ่งคิดอยู่พักนึง แล้วก็เลยตัดสินใจลองทำอะไรใหม่ๆ โดยบอกว่า ลองตามที่ปอเสนอก่อนไหม ถ้าทำได้ก็ทำไปพร้อมกัน ถ้าทำไม่ได้ก็จะได้รู้ว่าไม่ได้ สุดท้ายเราก็เลยได้ “ไดอะล็อคในวงไพ่” ขึ้นมา


จริงอยู่ที่ว่าการคุยครั้งนั้น ไม่ค่อยได้เนื้อหาสาระเท่าใดนัก แต่เมื่อให้ทุกคนพูดสะท้อนในรอบสุดท้ายก่อนจบวงสนทนาครั้งนั้น ทุกคนผ่อนคลายและสนุกมากที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมแทบไม่เชื่อหูเมื่อปอพูดว่า สิ่งที่ผมได้ในวันนี้นะพี่ ผมได้เห็นตัวเอง ลุ้นไพ่ตอนจั่ว เห็นความโลภอยากเอาชนะ แล้วก็ความไม่พอใจเมื่อไพ่ที่จั่วมาไม่ได้เรื่อง รู้สึกวันนี้จะได้แค่นี้ แต่เราพูดคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆมัวแต่ลุ้นไพ่ งั้นคราวหน้าไม่ต้องแล้วก็ได้พี่  โห... ฟังปอพูดแล้วผมก็ตะลึง ที่ปอมองจิตอารมณ์ของตัวเองออกได้ขนาดนี้ เค้าทำวิปัสสนาโดยไม่รู้ตัว แถมเกิดปัญญาด้วย แค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วครับสำหรับคืนนี้


นี่ก็เป็นตัวอย่างห้าครั้งแรกในการเติบโตของไดอะล็อคในห้องนอนของพวกเรา อาจเรียกได้ว่าไดอะล็อคในแต่ละครั้งของพวกเรา มีสีสันรสชาติไม่ซ้ำแบบกันเลย มันมีชีวิตเป็นของมันเอง และต่อแต่นั้นมาทุกคนก็จะคอยถามหา นัดเวลาให้ตรงกันเพื่อจะจัดไดอะล็อคให้ได้ในทุกอาทิตย์ ก็ได้ไม่ตลอดนัก เพราะอาจไม่ว่างตรงกันบ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ผ่านพ้นเดินทางร่วมกันมาสี่เดือนแล้วตั้งแต่ ส.ค. 50 จนถึงปัจจุบัน พ.ย. 50 เป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่ความสัมพันธ์ของเราแนบแน่นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

มดเอ๊กซ:
ตอนที่ ๕ : แนะนำเพื่อนร่วมวง


เพื่อให้ผู้อ่านได้พอมองภาพออก ว่าพวกเราที่แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกันแต่กลับมีความแตกต่างกันมากเพียงใด ด้วยความหลากหลายทั้งทาง วัยวุฒิ คุณวุฒิ ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ก็ยิ่งแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่ง่ายเลยที่เราจะเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริงในการสนทนาในวงไดอะล็อค ไม่เถียงหรือทะเลาะกันก็นับว่าโชคดีแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการถอดเทปจากวงไดอะล็อคของพวกเรา ก่อนจะเริ่ม เราจะขอให้เราแนะนำตัวแบบใหม่ คือ แนะนำซึ่งกันและกัน เลือกคนในวงขึ้นมาหนึ่งคน และแนะนำตัวเค้าแบบที่ว่า คนที่เหลือในวงไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อน ทั้งในแง่บวกและลบ ในมุมมองที่เราเห็นและรู้จัก ใครจะแนะนำใครก่อนก็ได้ ใครพร้อมแล้วอยากเริ่มก่อน เชิญ...


ปอ : งั้นผมก่อนนะ เลือก กิ๊บก๊าบแล้วกัน สำหรับกิ๊บนะครับ อายุ 20 ปี เป็นลูกพี่ลูกน้องของปอ ตอนนี้เรียนปี 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือทุกชนิด โดยเฉพาะนิยาย กิ๊บบอกว่า ตั้งแต่เด็กเกิดมาเป็นหลานคนเล็ก เป็นผู้หญิงคนเดียว โดนคาดหวัง โดนเปรียบเทียบเสมอ พอทำไม่ได้ดังในผู้ใหญ่ หันไปทางไหนก็โดนดุโดนบ่นจนคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา เป็นส่วนเกินของครอบครัว แม้จะอาศัยอยู่ในครอบครัวใหญ่แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลก หมกตัวอยู่ในห้องนอนได้ทั้งวัน ชอบอยู่คนเดียว มีความสุขในโลกส่วนตัว
กิ๊บชอบใช้ของแบรนด์เนม มีรองเท้าหลายสิบคู่ กระเป๋าถืออีกหลายสิบใบ ใช้เงินเพื่อซื้อความสุขตามความพอใจของตัวเอง เป้าหมายในชีวิตที่กิ๊บใฝ่ฝันก็คือ ได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้แต่ถือว่าเกิดมาคุ้มค่าแล้ว เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบทำงานบ้านให้ผู้ชายแล้วก็เป็นคนขี้วีนด้วยครับ ใช้ได้เลย คือถ้าไม่รู้จักกันไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน ก็ขอวีนไว้ก่อน ชอบโวยวาย เสียงดัง ไม่รู้จะโวยวายทำไม ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ถ้าได้รู้จักแล้ว มีความชอบพอคุยถูกคอกัน เค้าก็จะดีมากนะ จะเอาใจใส่ ยกเราให้เป็นที่หนึ่งเลย ดูแลเราได้ดีทีเดียว แล้วก็มีเรื่องน่าชื่นชมคือ เป็นคนเรียนเก่ง ดูแววแล้วว่า อนาคตน่าจะพึ่งพาเค้าได้นะ (หัวเราะ) จบครับ


กิ๊บก๊าบ : จะแนะนำพี่อ๊บค่ะ อายุ 27 ปีเป็นทหารเรือเพิ่งเรียนจบ ป.โท ด้านบริหารการจัดการ ที่วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดล พี่อ๊บเป็นพี่ชายคนโตของบ้านเรา ซึ่งบ้านเรามีสมาชิกเด็กๆรวมกัน 6 คน เป็นคนที่สมัยก่อน ต้องแบกรับภาระในการดูแลน้องๆ เอาใจใส่ตลอดเวลา เป็นข้อที่น่าชื่นชม ถึงแม้ว่าจะน่ารำคาญบ้าง ด้วยความที่ไปเรียนทหารมา ทำให้เป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย มาตรฐานสูงในทุกๆด้าน ก็กลับนำมาใช้กับที่บ้านด้วยความหวังดีจนกลายเป็นเจ้าบงการ ทำให้เรามีช่วงเวลาที่ห่างเหินกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้วความเป็นพี่น้อง ก็ทำให้เรากลับมาหากัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน

พี่อ๊บเป็นผู้ชายที่ ดูภายนอกเหมือนนุ่มนิ่ม อ่อนแอ ไม่อะไรกับใคร แต่ภายในกลับมีความมุ่งมั่น เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถ้าจะทำอะไรแล้ว จะเต็มที่และทำมันได้ดีเสมอ เค้าเคยบอกว่า ก่อนหน้านี้เป้าหมายในชีวิตอยากเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีเงินเยอะๆจะได้มาช่วยเหลือผู้คน ถ้ามีเงินแล้วเราก็จะใช้เงินเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่มาช่วงหลังมานี้ พี่อ๊บเปลี่ยนตัวเองไปมาก เค้าไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิตอีกต่อไป เลิกวางแผนให้ชีวิต เค้าบอกว่า อยากใช้ชีวิตในวันนี้ให้ดีก็พอ แค่ใช้ชีวิตอย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ทำนองนี้ ถ้าในชีวิตมีวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นกำไร ให้ทำอะไรเพื่อคนอื่นได้มากขึ้น เป็นคนที่เป็นที่รักในหมู่คนเสมอ พูดยังไงดี คือมีเสน่ห์มากๆในกลุ่มคน แต่ก็มักจะหน้าแตกเสมอเวลาอยู่กับพี่น้อง สำหรับเราแล้ว พี่อ๊บเป็นพี่ชายที่ดีมากๆ และจะชื่นชมยินดี ถ้าจะมีใครสักคนมาร่วมชื่นชมพี่ชายร่วมกับเรา จบค่ะ


อ๊บ : งั้นแนะนำโอเปิ้น  คือเค้าเป็นน้องชายอ๊บ อายุ 25 ปี เป็นหมอที่กำลังเรียนต่อเฉพาะทางจิตเวช ที่รามาฯ โอเปิ้นนี่เป็นคนที่ฝักใฝ่ในธรรมะมาตั้งแต่เด็ก จะคอยชักจูงเราให้หันมาพัฒนาตัวตนภายในเสมอ ก็มีความเกื้อกูลซึ่งกันละกันมาตั้งแต่เด็ก เป้าหมายในชีวิตของเค้าคือ ไม่กลับมาเกิดอีก นี่ทำให้เค้าไม่คิดจะมีครอบครัว หรือมีลูก ตอนนี้ก็ตั้งใจถือศีลและกินมังสวิรัติตลอดชีวิต ชอบช่วยเหลือคนอื่น ไม่สะสมสิ่งของ ไม่ค่อยเห็นเค้าอยากได้อะไรเลย เค้าเป็นคนสนใจคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นก็จะไม่ค่อยสนใจดูแลตัวเอง ก็จะมีเรื่องให้ผู้ใหญ่ดุเสมอ ในเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยส่วนตัว แล้วเมื่อไปสนใจผู้คนมากมาย บางครั้งก็จะหลงลืมคนใกล้ตัวไป ทำให้เค้าเหล่านั้นน้อยใจเอาได้ง่ายๆคิดว่าเราไม่ใส่ใจเค้า เดาว่าโอเปิ้นจำวันเกิดของคนในบ้านไม่ได้เลย อันนี้ก็ต้องพึงระวัง


โอเปิ้นทำประโยชน์ให้คนกลุ่มใหญ่ได้มาก เป็นผู้นำ แต่นำโดยที่คนอื่นไม่รู้สึกว่าถูกนำ โอเปิ้นจะนำในลักษณะการโน้มน้าว แล้วก็มองกว้าง หยิบยื่นในสิ่งที่เหมาะสมให้แต่ละคนได้ดี โอเปิ้นพูดไม่เก่ง พูดช้า พูดติดๆขัดๆ แต่ว่า ถ้าเราอดทนและช้าลงในการฟัง เช่นในวงไดอะล็อค ก็จะได้อะไรจากโอเปิ้นเยอะ ในฐานะพี่ก็ยากที่จะมองน้องได้ลึกๆ เพราะเราก็จะถือตัวว่ารู้มากกว่า ข่มเค้าอยู่ในที ยกเว้นในวงเช่นนี้ เราเปิดใจฟังและได้รู้จักเค้าจริงๆ รู้สึกภูมิใจมากที่มีน้องเก่ง และเป็นกัลยาณมิตรที่ดีมาก คอยเกื้อหนุนกอดคอกันร่วมทำโปรเจคหลายอย่างทั้งในบ้านนอกบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าเพื่อนแท้ก็คือน้องชายคนนี้แหละไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ก็อยากให้ฝึกความละเอียดมากขึ้นแต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ที่เป็นอยู่ก็มีข้อดีมากอยู่แล้ว จบครับ


โอเปิ้น : สุดท้ายผมก็ขอแนะนำน้องปอ อายุ 21 ปี จบ ปวส. วิทยาลัยเทคนิคเซนต์จอห์น เป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ข้อลำบากคือผมไปเรียนต่อหมอที่หาดใหญ่นานถึง 7 ปี ก็เลยไม่ได้ใกล้ชิดปอนัก ก็คงแนะนำได้เท่าที่รู้จัก เป็นข้อมูลในช่วงเด็ก และในช่วงปัจจุบันหลังจากกลับมาที่นี่ไม่นาน ปอเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ อาศัยอยู่ในแฟลตแถวคลองเตย มีเพื่อนเล่นเป็นเด็กสลัม ปอมีสังคมที่แตกต่างจากพวกเรามาก ตอนเด็กๆชอบถูกด่าว่าโง่ เลยไม่ค่อยรักในการเรียนเท่าไหร่ พอโตขึ้นมา ปอก็เต็มที่ในการใช้ชีวิตวัยรุ่น นอน6โมงเช้าทุกวัน ทั้งดื่มเหล้าสูบบุหรี่และเที่ยวกลางคืน ให้เลิกกับแฟนได้แต่อย่ามาให้เลิกกินเหล้า อยู่กับเพื่อนฝูงเป็นส่วนใหญ่ มีความสุขกับชีวิตแบบนั้น


ปอบอกว่า อยากใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด กินเที่ยวใช้เงินให้เต็มที่ในระหว่างที่ยังมีแรงทำได้ แม้ต้องเป็นมะเร็งตายตอนอายุสี่สิบก็ถือว่าใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ไม่ได้อยากอยู่ไปจนแก่ แต่ข้อดีที่เห็นมานานคือ ปอเป็นคนที่อ่อนน้อมกับผู้คน จิตใจอ่อนโยน แล้วก็สร้างความแปลกใจให้กับผมเสมอ มีการเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างมากเมื่อเข้าวงไดอะล็อค แม้ว่าเค้ามีพื้นฐานมาจากสลัม คบเพื่อนเกเร  สนใจแต่วัตถุนิยมอย่างชัดเจน แต่ตัวตนของปอกลับไม่ถูกกลืนหายไปในสังคมแบบนั้น ปอดูแลตัวเองอย่างดี เปิดใจรับเรื่องใหม่ๆเสมอ ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองจากความคิดที่อยู่ขั้วตรงข้าม ไม่ได้กำหนดชีวิตให้เป็นไปในแนวทางเดียว ที่ผ่านมาเค้าเริ่มมองออกมาในแง่มุมอื่น เริ่มเห็นว่าความสุขอาจจะไม่ต้องไปหาที่ไหน อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างไร แม้จะไม่ชัดเจนนักก็ตาม แต่ก็เห็นในศักยภาพตรงนั้นของปอ ก็รู้สึกดีใจที่เห็นน้องพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงนี้ จบครับ

มดเอ๊กซ:
ตอนที่ ๖ : ถักทออย่างกลมกลืน สอดสานอย่างลื่นไหล สายใยในครอบครัว



อ๊บ : เราทำไดอะล็อคกันมาเกือบทุกอาทิตย์จนถึงวันนี้ อยากให้แชร์ประสบการณ์ว่า ได้อะไรกันบ้าง      ทั้งกับตัวเอง และความสัมพันธ์ในครอบครัว แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร ใครพร้อมที่พูด เชิญ...


โอเปิ้น : สิ่งที่โอเปิ้นได้ มันเปิดโลกทัศน์ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนเราก็มั่นใจอยู่ว่า เรารู้จักโลกใบนี้มากแล้ว เราคิดว่าเราสามารถสร้างสันติภาพได้ด้วยมือเราเอง เริ่มจากตัวเรา แค่เรามีสันติในใจก็เพียงพอแล้ว ที่จะเริ่มสันติภาพให้โลกนี้ได้ เป็นข้อสรุปที่มั่นใจมากๆ มีความคาดหวังว่า เราต้องทำได้ แต่หลังจากที่มาเข้าวงไดอะล็อคเล็กๆวงนี้ เราได้รับฟังอย่างตั้งใจกับความเห็นที่แตกต่าง แล้วเราก็เห็นว่า หลายสิ่งที่เราคิดมันก็แตกต่างกันคนละขั้ว มันทำให้เรายอมรับความเป็นไปของโลกมากขึ้น ว่าที่เราคาดหวังว่า สันติภาพของโลกมันหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็เป็นหน้าตาที่มาจากตัวเราคนเดียว  ซึ่งมันไม่มีทางจะไปถึงตรงนั้นได้เพราะว่า เอาแค่ความคุ้มในชีวิตของแต่ละคนมันก็ไปคนละเรื่องกันแล้ว แล้วเราจะไปคาดหวังอะไรกับสันติภาพในความหมายของเราว่ามันจะเป็นเหมือนของคนอื่น แล้วคนอื่นเค้าจะต้องการเหมือนเรารึเปล่า เอาแค่ไดอะล็อคในบ้าน เราก็สามารถเข้าใจโลกใบนี้ได้มากขึ้นอีกเยอะ อย่างที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน จบครับ


ปอ : การที่ได้เข้าวงไดอะล็อค ทำให้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้มากขึ้น ได้รู้ว่าเค้าคิดอะไร ว่าพี่น้องเราปัจจุบันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คิดกันแบบไหน ได้เรียนรู้เรื่องราวในครอบครัวมากมาย เมื่อก่อนไม่เคยรับรู้ว่า พี่น้องเค้าอยู่กันยังไง แต่การได้มาไดอะล็อคกันอาทิตย์ละครั้ง ทำให้รู้ว่า พี่ๆกับกิ๊บไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย โดยที่ปอไม่รู้เลย แล้วการที่มานั่งคุยกันอย่างนี้มันทำให้เรากลับไปแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิตของเราได้ด้วย ทำให้มันผ่านพ้นไปได้ดี เราได้เรียนรู้ ทั้งจาก หมอ ทหาร นิสิตจุฬา ว่าเค้าคิดกันยังไง  ก็มีความสุขมากที่ได้มานั่งคุยกับพี่น้อง ได้มาเจอหน้ากันซักอาทิตย์ละครั้งก็ยังดี จบครับ


กิ๊บก๊าบ : สำหรับกิ๊บก๊าบนะ นอกจากการสานสัมพันธ์กับครอบครัวแล้ว มันเป็นการพัฒนาความคิดและยกระดับจิตใจเราอีกด้วย ให้เราละความเป็นตัวตนมากขึ้น ละความเป็นใหญ่ ที่โลกจะต้องหมุนรอบตัวเราตลอดเวลา เปลี่ยนเป็น เราลองหมุนตามโลกดูบ้าง มันสร้างมุมมองใหม่ๆให้กับชีวิต แม้ว่ากิ๊บก๊าบไม่เคยคาดหวังอะไรเลย แค่อยากมานั่งกินขนมแล้วก็คุยกับพี่น้องก็ดีแล้ว แต่สิ่งที่ได้กลับมา มันกลับได้นอกเหนือจากสิ่งที่เราคาดคิดมาก วันนี้กิ๊บก๊าบรู้สึกว่า เรามีครอบครัวแล้ว มันแปลกดี ปกติรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวบนโลก แต่วันนี้เรามีครอบครัวแล้ว ขอบคุณไดอะล็อคแล้วกันค่ะ


อ๊บ : ของพี่อ๊บก็มีสองประเด็น ประเด็นแรกคือ นอกจากเราจะพัฒนาตัวเองแล้ว เรายังเห็นคนอื่นพัฒนา โดยที่มันเป็นมุมมองใหม่เลย แต่ก่อนเราคิดว่า การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลง เราน่าจะมีส่วนในการแนะนำเค้า ช่วยเหลือเค้าให้เค้าคิดได้ แต่ว่าเรากลับพบว่า หลายๆครั้งเราเหนื่อยมาก และเค้าก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง หรือต้องการ แต่ด้วยวิธีการง่ายๆอย่างไดอะล็อคเนี่ย เราเปิดกว้างให้เค้าลองผิดลองถูกและหาคำตอบด้วยตัวเอง มันกลับทำให้เค้าเติบโตขึ้น แล้วก็ยืนได้ด้วยขาของเค้าเองโดยไม่ต้องพึ่งพา แล้วเราก็ผ่อนคลาย รู้สึกว่า เออ มันมีวิธีเติบโตแบบนี้ด้วยเหรอ ในขณะเดียวกันเราก็เติบโตไปพร้อมกับเค้าด้วย


ประเด็นที่สองคือในเรื่องของความสัมพันธ์ เช่นเดียวกัน การที่เรามานั่งแชร์ความรู้สึก บอกอะไรลึกๆข้างใน มันทำให้เกิดการเชื่อมต่อกัน กำแพงหลายๆอย่างมันหายไป แล้วก็เหมือนว่า ความรักที่เราไขว่คว้าจากคนภายนอก อย่างน้อยก็ช่วงนี้ เราไม่ได้ต้องการอีกต่อไป เราอยู่กับพี่น้อง ความสุขมันถูกเติมเต็ม ความรักมันเต็มเปี่ยมอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ในครอบครัวก็เช่นกัน ถ้าเรามีกันและกันแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาความสุขจากภายนอกอีกต่อไปรึเปล่า


กิ๊บก๊าบ : ไดอะล็อคมันบ้าดีนะ ใครหนอ คิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ ให้คนมานั่งคุยกัน แต่เรากลับได้อะไรกลับมามากมาย มันทำให้เกิดสภาวะอะไรซักอย่าง ที่เป็นปฎิสัมพันธ์กันระหว่างคนในวง ในเรื่องไร้สาระไม่เป็นเรื่อง เนื้อเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้แต่เราก็มีความสุขกับมัน มันเป็นการสร้างและเติมเต็มความสุขโดยที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เป็นความสุขที่ไม่ต้องได้มาจากวัตถุ จากเงิน มันแปลกดี ตลกดี ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว มันเป็นผลพลอยได้ เพราะเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสานสัมพันธ์ครอบครัว อื่นๆที่ได้ก็เป็นกำไรจากการที่เราได้มานั่งคุยกันเท่านั้นเอง


อีกอย่างนึง มนุษย์ทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง มีมุมมองที่คิดว่าดีที่สุดของตัวเอง เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะไปตัดสินใครได้ว่า ความคิดของเราดีที่สุดสำหรับคนทั้งโลก แค่เวลาสั้นๆกับวงเล็กๆที่ตรงนี้ กับวงใหญ่ข้างนอก แม้จะเป็นเรื่องที่เราเคยรู้มาก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะได้รู้สึกเข้าใจกับมันจริงๆก็วันนี้แหละ แค่คนสี่คนที่อยู่กันตรงนี้ เกิดมาไล่เลี่ยกัน ใช้ชีวิตมาด้วยกัน ยังไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งเดียวกันเหมือนกันได้ ฉะนั้นคนทั้งโลกร้อยพ่อพันแม่ เค้าก็คงไม่สามารถมีมุมมองใดๆที่เป็นมุมมองเดียวกันเสมอได้ เท่านี้เป็นสิ่งที่กิ๊บก๊าบได้จริงๆจังๆในวงไดอะล็อค จบค่ะ


โอเปิ้น : การที่เราทำไดอะล็อค เราได้เห็นการเติบโตของน้องๆ สิ่งนี้ทำให้เราเกิดความสบายใจมากๆ บ่อยครั้งที่ผู้ใหญ่ มักจะบ่น บ่น บ่น เกี่ยวกับพฤติกรรมของน้องๆที่มันขัดหูขัดตา เค้าไม่เคยถามว่าเพราะอะไร แต่ก็มาบ่น มาสรุปว่า ทำตัวแบบนี้ ชีวิตข้างหน้าแย่แน่นอน ไม่ไหว ไม่ได้เรื่อง ถ้าเค้ามาบ่นให้เราฟังตอนนี้ เราสามารถมั่นใจว่า น้องเราจะมีความสุขได้ น้องเราไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก เราสามารถสร้างความมั่นใจให้ผู้ใหญ่ได้ด้วยว่า อ๋อ เรื่องนั้นเหรอครับ เคยคุยกันแล้ว จริงๆแล้ว น้องเค้าคิดอย่างนี้ มีความตั้งใจอย่างนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ สำหรับน้องๆสองคน โอเปิ้นช่วยดูแลให้ คือโอเปิ้นได้คุยกับน้องอยู่ประจำทุกอาทิตย์


เอ้า ถ้าได้ฟังอย่างนี้ ผู้ใหญ่ก็สบายใจขึ้น เพราะเค้าไม่เคยคุยกับเด็กเลย พอเราบอกว่าคุยกันทุกอาทิตย์ เค้าก็ต้องเชื่อว่าเรารู้จริง ไม่ได้มั่วนิ่ม ถ้าเทียบกันเราไม่ได้คุยกันเลย ก็กลายเป็นว่าเราก็พลอยกังวลไปด้วย ว่าที่เค้าพูดมาไม่เคยรู้เรื่องเลย ครั้นเราจะไปบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกครับ เราก็ไม่มั่นใจ แต่การที่ได้คุยกันแบบนี้ ต่อให้เราไปรับรู้เรื่องใดมา อยู่ดีๆผู้ใหญ่มาบอกว่า เนี่ย น้องไปทำอะไรที่ไม่ดีมา เรามีภาพของน้องที่เรานั่งคุยกันมา เราจะมีความไว้ใจและวางใจว่า ครับ เค้ามีเหตุผลที่ดีบางอย่างที่ต้อง ทำอย่างนั้น มันมีความสุขนะ ที่เราเชื่อใจกันได้ จบครับ


อ๊บ : อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พี่อ๊บมองว่าการไดอะล็อค คือการจำลองโลก มาอยู่ในครอบครัว เรามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทุกๆด้าน แต่เราก็ยังเป็นมิตรต่อกัน ในที่นี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นพี่น้องกัน เลยจำเป็นต้องเป็นมิตร แต่เพราะเรากำลังเรียนรู้ ความคิด ความรู้สึกของอีกฝ่าย เรายอมรับอย่างที่เค้าเป็นได้จริงๆ ลองคิดดูว่า คนกินเหล้าสูบบุหรี่กับคนที่ไม่ดื่มไม่สูบมานั่งคุยกันได้อย่างที่ไม่โทษกัน คนที่บูชาเงินคือพระเจ้ากับคนที่มีอะไรยกให้เค้าหมด มานั่งคุยกันได้ในวงเล็กๆอย่างเข้าใจยอมรับกัน มันจะเป็นอย่างไร ก็เลยมองว่า นี่เป็นจุดเล็กๆที่ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น มันเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากอีกฝ่าย ถ้ามีวงแบบนี้ แล้วมันเกิดขึ้นรอบๆตัวเรามากขึ้น มันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพของสังคมหรือของโลกด้วยรึเปล่า

มดเอ๊กซ:
บทส่งท้าย : กระบวนการเรียนรู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและที่สิ้นสุด


อ๊บ : ชวนให้เช็คเอาท์คนละคำสองคำเพื่อให้ไดอะล็อควันนี้จบอย่างสมบูรณ์ครับ


ปอ : สำหรับคืนนี้สนุกมากเลย เราคุยกันตั้งแต่ปอมาถึง 5โมงครึ่ง ตอนนี้อีก 15นาทีจะสี่ทุ่มแล้ว นานมากๆ แต่ก็สนุกที่สุดเท่าที่เคยคุยมาในวงไดอะล็อค โดยที่ไม่ต้องเล่นไพ่ด้วย จบครับ


กิ๊บก๊าบ : สำหรับกิ๊บก๊าบ ในครั้งนี้มันแปลกดี จริงๆทุกๆครั้งก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คราวนี้ก็เช่นกัน มันหาไม่ได้จากการคุยที่ไหนและกับใคร มันเป็นความทรงจำดีๆที่เราทำร่วมกันระหว่างพี่น้อง การคุยกันวันนี้มีเรื่องเยอะแยะ ไม่รู้ว่าไปได้ยังไง แต่มันก็ไปได้ แล้วก็มาจบที่อีกเรื่องนึงที่ไม่เกี่ยวกันเลย เหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ไปช้าๆ แล้วก็หมุนๆ แล้วก็ลงจอดอย่างสวยงาม วันนี้มันเป็นแบบนั้น ตื่นเต้น สนุก ตลก ขำ เป็นการคุยที่ครบทุกอรรถรส และประทับใจไม่แพ้ครั้งแรกที่ได้รู้จักไดอะล็อคเลย


โอเปิ้น : มันก็คล้ายๆที่กิ๊บก๊าบว่าเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา แต่ที่ต่างออกไปก็คือ ถ้าเราสี่คนไปเล่นรถไฟเหาะแล้วลงมา ก็ไม่อาจจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรจริงๆ แต่ว่าในวงไดอะล็อคเราสามารถจะรับเค้าเข้ามาทั้งหมด เข้าใจเค้าจริงๆ และมีความสุขที่มีประสบการณ์ร่วมกันได้แบบจริงๆ


อ๊บ : ก็มองเห็นความมีเสน่ห์ของไดอะล็อคมานาน วันนี้ก็ตอกย้ำว่า ความสุขที่เราต้องการ อาจจะไม่ต้องไปเสียเงินเพื่อทำอะไร แค่ได้มานั่งพูดคุยกัน เป็นตุเป็นตะได้หลายชั่วโมง ก็มีความสุข ได้สัมพันธภาพ ได้การพัฒนาตัวตนภายใน แถมสิ่งที่แปลกๆก็คือเราจะไม่รู้ว่ามันจะเริ่มยังไง และจบยังไง อันนี้คือความสนุกและเสน่ห์ของวงไดอะล็อค แล้วมันก็มีชีวิตของมันเองในทุกๆครั้ง


ครับ เห็นถึงความแตกต่างหลากหลายของครอบครัวเราไหมครับ นี่ยังขาดอีก2 คน คือ น้องณัฐ อายุ 13 ปี เรียนชั้น ม.1 บ้านอยู่แถว นนทบุรี กับ กบ พี่ชายกิ๊บก๊าบ อายุ 26 ปีซึ่งเป็นนักบินทหารอากาศ ไปอยู่กองบินที่เชียงใหม่ แน่นอนว่า เรายังไม่สามารถเชื้อเชิญทั้งสองคนเข้ามาในวงไดอะล็อคได้ในตอนนี้ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พวกเราก็ไม่ละความพยายามหรอกครับ นอกจากนั้นในอนาคต เรายังวางแผนกันว่า พอรวบรวมเด็กๆในบ้านมาได้หมดแล้ว ต่อไปก็อาจเริ่มเชิญ พ่อๆแม่ๆเข้ามาร่วมวงด้วย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาครับ ผู้ใหญ่ก็ยังจับตาดูพวกเราอยู่ว่าทำอะไรกัน นั่งคุยกันแบบนี้มันจะได้เรื่องหรือไม่


แต่เท่าที่มีกันสี่คนตอนนี้ การได้พูดคุยกันทุกอาทิตย์ ด้วยเรื่องไร้สาระ ความรักและความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเรื่องใดๆ เรานัดกันไปนั่งร้านกาแฟบ้าง ไปดูหนังร่วมกันบ้าง เป็นกิจกรรมที่ทุกคนยินดีที่ได้มาเจอกัน ก็อยากให้ครอบครัวอื่นๆได้ลองนำสุนทรียสนทนาไปใช้กัน เริ่มวงเล็กๆในห้องนอน สักสองสามคน ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกันแบบพวกเราไงครับ แล้วก็มาแลกเปลี่ยนกันว่าครอบครัวของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะเปิดกระทู้รอไว้ในวงน้ำชานะครับ เอาล่ะ...มาจนถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ผมจะขออนุญาตท่านผู้อ่านเรียกสภาวะแบบนี้ว่าเป็น สันติสุขในครอบครัวได้รึยังครับ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version