อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล
ประวัติของภิกษุณี
แปดคิว:
อกรณียกิจ ได้แก่ กิจที่บรรพชิตไม่พึงทำ มี ๘ อย่าง คือ
๑. ไม่พึงเสพเมถุน คือ การร่วมประเวณี
๒. ไม่พึงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้
๓. ไม่พึงทำลายชีวิตมนุษย์ให้ตกล่วงไป
๔. ไม่พึงอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน
๕. ไม่พึงมีความกำหนัดยินดีในการลูบคลำจับต้อง
๖. หากรู้ว่า ภิกษุณีรูปใดเป็นอาบัติปาราชิก ต้องโจทด้วยตนเองหรือบอกแก่หมู่คณะ
๗. ไม่พึงประพฤติตามภิกษุที่ถูกสงฆ์ขับออกจากพระธรรมวินัย
๘. ไม่พึงมีความกำหนัดยินดีกับบุรุษผู้มีความกำหนัดยินดี เช่น จับมือ จับชายผ้ายืนด้วยกัน สนทนาด้วยกันเข้าสู่ที่มุงบังทอดกายแก่บุรุษนั้น
(กรณียกิจ คือปาราชิก ๘ ของภิกษุณีวินัย.ภิกขุนี๓/๑-๖๗๔/๑-๑๔).
เมื่อบอกนิสัย ๓ และอกรณียกิจ ๘ เสร็จแล้ว ก็เป็นอันสำเร็จการให้อุปสมบทด้วยวิธี อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา
๓. ทูเตนอุปสัมปทา
วิธีนี้ทรงมีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุณีอุปสมบทอย่างเดียวกับวิธีอัฏฐวาจิกาทุกอย่าง ต่างแต่ว่าผู้ปรารถนาจะบวชไม่สามารถจะเดินทางไปขอรับการอุปสมบทในสำนักของภิกษุได้ด้วยตนเอง เนื่องจากมีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้ต้องการจะบวช พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
ให้ส่งภิกษุณีตัวแทนของสตรีผู้ได้รับอุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียวไปสำนักของภิกษุสงฆ์ตัวแทนซึ่งทำหน้าที่เป็นทูตในการให้อุปสมบท จะต้องเป็นผู้ฉลาดสามารถที่จะทำกิจของตนกล่าวให้สำเร็จได้ เมื่อผู้เดินทางไปถึงสำนักภิกษุณีสงฆ์แล้ว แจ้งความจำนงให้ทราบเมื่อสงฆ์พร้อมเพรียงกันจึงกล่าวแก่ภิกษุสงฆ์ ๓ ครั้งว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย นางผู้มีชื่อนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขาแม่เจ้าชื่อนี้ ได้รับการอุปสมบทแล้วจากสงฆ์ฝ่ายเดียว บริสุทธิ์แล้วในภิกษุณีสงฆ์ นางมาไม่ได้เพราะอันตรายบางอย่าง ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย นางผู้มีชื่ออย่างนี้ ขออุปสมบทต่อสงฆ์ สงฆ์โปรดเอ็นดูยกนางขึ้นเถิด
วิธีอุปสมบทด้วยทูต พระพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธานุญาตให้อุปสมบทแก่นางคณิกาคนหนึ่ง ชื่อ อัฑฒกาลี นางได้อุปสมบทในสำนักงานภิกษุณีแล้ว ปรารถนาจะเดินทางไปขอบวชในสำนักภิกษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป นักเลงในย่านในจึงคอยดักหวังประทุษร้าย นี้เป็นสาเหตุให้มีการอุปสมบทโดยส่งตัวแทน
จากนั้น ภิกษุผู้ฉลาดสามารถ จะประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกัมมวาจา เมื่อประกาศจบแล้วจึงวัดเงาแดด บอกฤดู บอกส่วนแห่งวัน นับจำนวนสงฆ์ที่ประชุมในการอุปสมบทนั้น แล้วส่งผู้เป็นทูตให้เดินทางกลับไปบอกนิสัย ๓ และอกรณียกิจ ๘ แก่ภิกษุณีที่ได้รับการอุปสมบทใหม่ เท่านี้จึงเป็นอันเสร็จพิธีการให้อุปสมบทโดยใช้ทูต ดังพุทธานุญาตว่า เราอนุญาตให้อุปสมบทโดยทูตได้บ้าง
สาเหตุการออกบวชของภิกษุณี
จากการศึกษาถึงสาเหตุแห่งการออกบวชของภิกษุณีจำนวน ๗๓ รูป พบว่าออกบวชเพราะสาเหตุแตกต่างกันไป เช่น บวชเพราะเลื่อมใสพระพุทธเจ้าก็มี เพราะฟังธรรมก็มี เพราะสาเหตุอื่นๆก็มี ซึ่งได้แก่ ความยุ่งยากในชีวิตครับครัว เบื่อชีวิตคฤหัสถ์ ออกบวชเพราะญาติ เป็นต้น
เครื่องนุ่งห่มของภิกษุณี
ในพระวินัยปิฎก แห่งภิกษุณีขันธกะ ได้กล่าวถึงเครื่องนุ่งห่มพระภิกษุรีว่า มี ๕ อย่าง คือ
๑. ผ้าสังฆาฏิ ผ้าซ้อนนอก
๒. ผ้าอุตราสงค์ จีวร คือ ผ้าห่ม
๓. อันตรวาสก สบง คือ ผ้านุ่ง
๔. ผ้ารัดอก
๕. ผ้าผลัดอาบน้ำ
ศีลของภิกษุณี
ในพระบาลีคัมภีร์ภิกขุนีวิภังค์ แห่งพระวินัยปิฎก กล่าวถึงศีล (วินัย) ของภิกษุณีว่ามี
แปดคิว:
๓๑๑ สิกขาบท โดยแบ่งออกเป็น ๗ อย่าง คือ
๑. ปาราชิก มี ๔ สิกขาบท
๒. สังฆาทิเสส มี ๑๗ สิกขาบท
๓. นิสสัคคียปาจิตตีย์ มี ๓๐ สิกขาบท
๔. ปาจิตตีย์ มี ๑๑๖ สิกขาบท
๕. ปาฏิเทสนียะ มี ๖ สิกขาบท
๖. เสขิยวัตร มี ๗๕ สิกขาบท
๗. อธิกรณสมถะ มี ๗ สิกขาบท
ในศีล ๓๑๑ สิกขาบทของนางภิกษุณีนั้น เป็นของนางภิกษุณีแท้ๆ เพียง ๑๓๐ สิกขาบท ส่วนอีก ๑๘๑ สิกขาบท นำมาจากศีล ๒๒๗ สิกขาบทของภิกษุ เหตุที่นำมา ๑๘๑ สิกขาบท ก็เพราะได้เลือกเฉพาะที่ใช้กันได้ทั้งภิกษุและภิกษุณี อันใดที่เป็นของเฉพาะภิกษุแท้ๆ ก็จะไม่นำมาใช้สำหรับภิกษุณีดูจากการเปรียบเทียบ ดังนี้
ชื่อ ของภิกษุณี นำของภิกษุมาใช้ รวม
ปาราชิก ๔ ๔ ๘
สังฆาทิเสส ๑๐ ๗ ๑๗
นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๑๒ ๑๘ ๓๐
ปาจิตตีย์ ๙๖ ๗๐ ๑๑๖
ปาฏิเทสนียะ ๘ - ๘
เสขิยวัตร - ๗๕ ๗๕
อธิกรณสมถะ - ๗ ๗
รวมทั้งสิ้น ๑๓๐ + ๑๘๑ = ๓๑๑
ภิกษุณีในประเทศไทย
..ภิกษุณีสงฆ์ประดิษฐานในลังกาทวีป ในรัชกาลของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ โดยพระสังมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาจากชมพูทวีปมาประกอบอุปสมบทกรรมแก่พระนางอนุฬาเทวี ชายาของพระเจ้ามหานาค อนุชาของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พร้อมด้วยสตรีอื่นอีก ๑ พันคน ภิกษุณีสงฆ์ เจริญรุ่งเรื่องในลังกาทวีปยาวนานไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ปี แต่ในที่สุดได้สูญสิ้นไปด้วยเหตุใดและกาลใดไม่ปรากฏชัด ส่วนในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์
คำอธิบาย
พระไตรีปิฎก จะแจงเล่ม ข้อ หน้าตามลำดับ ตัวอย่างเช่น วินย.จูฬ.๗/๔๐๓/๒๓ หมายถึงวินัยปิฎก จูฬวรรค เล่มที่ ข้อ ๔๐๓ หน้า ๒๓๔
อรรถกถา จะแจ้งเล่มหน้าตามลำดับ ตัวอย่างเช่น ธ.อ.๑/๑๒๖ หมายถึง ธัมมปทัฏฐกถา เล่ม ๑ หน้า ๑๒๖
แปดคิว:
บรรณานุกรม
พระพุทธโฆษาจารย์ สมันตปาสาทิกา นาม วินัยอัฏฐกถา ปฐโม ภาโค มหาวิภังควัณณนา กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๒๕/๒๕๑๕
พระธรรมปิฏก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๘
พระสังเวย ธัมมเนตติโก ภิกษุณีกับการบรรลุอรหัตผล กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์ประดิพัทธ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์มหา-
มกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๒๕/๒๕๓๙
พันตรี ป. หลงสมบุญ พจนานุกรมไทย-มคธ ฉบับสำนักเรียนวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร อาทรการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๐
จำเนียร ทรงฤกษ์ ชีวประวัติพุทธสาวิกา ฉบับสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว กรุงเทพมหานคร พิมพ์ครั้งที่ ๒๕/๒๕๑๕
คณะผู้จัดทำพจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พจนานุกรม ฉบับเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์วัฒนาพานิช พิมพ์ครั้งที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๐
--------------------------------------------------------------------------------
[๑] อนุธรรมคือสิกขาบท ๖ ข้อ ที่สามเณรีต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตลอด ๒ ปี ได้แก่ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒. ไม่ลักทรัพย์ ๓. ประพฤติพรหมจรรย์ ๔.ไม่พูดเท็จ ๕.ไม่ดื่มสุราเมรัย ๖.ไม่บริโภคอาหารเวลาวิกาล
ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ชื่อว่าภิกษุณี เพราะเป็นผู้ขอ เพราะประพฤติสิกขาจริยวัตร เพราะทรงผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะสมญา เพราะปริญญา เพราะความหมายว่าเป็นเอหิภิกษุณี เพราะเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมณ์ เพราะเป็นผู้เจริญ เพราะเป็นพระเสขะ เพราะเป็นผู้อันสงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบแก่ฐานะ (วินย.ภิกฺขุนี.๓/๖๕๘/๔)
[๒] ในมธุรัตถวิลาสินีแสดงลำดับการจำพรรษาของพระพุทธเจ้าว่าในพรรษาที่ ๑๕ ทรงจำพรรษาที่นิโครธารามเมืองกบิลพัสดุ์. (พุทธ.อ.หน้า ๕)
การจัดลำดับบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา จัดภิกษุณีอยู่ในอันดับรองจากภิกษุ เพราะอยู่ฝ่ายบรรพชิต แต่ถ้าจัดตามลำดับการเกิดขึ้นก่อนหลังภิกษุณีจะจัดอยู่ในอันดับสุดด้าย เพราะบริษัทนี้เกิดขึ้นในอันดับสุดท้ายและเกิดขึ้นด้วยความยากลำบากไม่เหมือนบริษัทอื่น ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพุทธบริษัทผู้ที่ทำหน้าที่จะทำหน้าที่สืบอายุพระพุทธศาสนาว่ามี ๔ จำพวก ได้แก่ พระสาวก พระสาวิกา อุบาสก และอุบาสิกา ในฝ่ายบรรพชิตคือสาวกกับสาวิกา ต้องเป็นพระเถระ หรือพระเถรี ทั้งมีวัยปูนกลางและวัยนวกะ มีความรู้เชี่ยวชาญฝึกฝนอบรมตนมาแล้วอย่างดี และสามารถปราบปรับวาทะคือข้อโต้แย้งจากฝ่ายตรงข้าม ในฝ่ายคฤหัสถ์คือ อุบาสกกับอุบาสิกาต้องเป็นทั้งประเภทพรหมจารีและพรหมจาริณี ที่มีความรู้ความสามารถเช่นเดียวกับบรรพชิต หลักฐานนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า พุทธบริษัทผู้จะสืบอายุพระพุทธศาสนาบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกได้นั้น นอกจากมีคุณธรรม มีความประพฤติอันเป็นคุณสมบัติภายในตนอย่างดีแล้ว จะต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในหลักคำสอนฝ่ายตนเองจนสามารถสอนคนอื่นได้ เอาชนะการรุกรานทางหลักธรรมจากลัทธิศาสนาอื่นๆ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นปัจจัยให้พระสาวก ต้องมีความรู้ความชำนาญในหลักลิทธิศาสนาและหลักวิชาอื่นๆ เกี่ยวข้องด้วย หากไม่ได้ศึกษามาก่อนต้องมาศึกษาเพิ่มเติมในภายหลัง. (ที.ปา.๑๑/๑๗๕/๑๐๘).
[๓] วินัย.อ.๑/๔๕/๒๕๔
[๔] วินัย.จูฬ.๗/๔๐๒/๒๓๑,องฺ.อฏฺฐก.๒๓/๕๑/๒๒๗
[๕] วินัย.จูฬ.๗/๕๐๓/๒๓๔
[๖] ขุ.ขุ.๒๕/๑/๑
[๗] สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส, วินัยมุข เล่ม ๑ , หน้า ๑๖๗
[๘] อนุชานามี ภิกฺขเว ทฺว วสฺสานิ ฉสุ ธมฺเมสุ สิกฺขิตสิกฺขาย วุฏฺฐานสมฺมตึ ทาตํ (วินย.ภิกฺขุนี.๓/๑๐๘๔/๑๗๓)
[๙] อนุชานามิ ภิกฺขเว ภิกฺขูหิ ภิกฺขุนิโย อุปสมฺปาเทตํ(วินย.จูฬ.๑/๔๒๔/๒๕๘)
[๑๐] วินย.อ.๑/๔๕/๒๕๔.
http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=1973.msg12614#new
เจ้ธรรมฐิตาลงไว้ครับสาธุhttp://www.agalico.com/board/showthread.php?t=29598&page=3กระทู้เก่า
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:45: สาธุๆครับ อนุโมทนาครับพี่แทน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version