๑. คำยืนยันจากโลกรอบ ๆ ตัวของเรา
" ผม เข้าใจว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรเป็นอย่างดี" ผมกล่าวขึ้นกับชายแก่ชาวอินเดียนแดงที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนคนหนึ่งของผมได้นำเราให้พบกัน แล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง เราแนะนำตัวเองแก่กันและกัน ชายแก่บอกกับผมว่า ชื่อของแกคือ ฮวน มาธุส
"เพื่อนของคุณบอกไว้อย่างนั้นรึ" แกถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
"ครับ เขาบอกอย่างนั้น"
"ผมเก็บสมุนไพร หรือน่าจะเป็นว่าสมุนไพรยอมให้ผมเก็บเสียมากกว่า" แกพูดอย่างอ่อนโยน
เราอยู่ในห้องพักผู้โดยสารของสถานีขนส่งในอะริโซน่า ผมถามชายชราด้วยภาษาสเปนอย่างสุภาพว่า แกจะอนุญาตให้ผมถามปัญหาได้หรือไม่
"ท่านสุภาพบุรุษ (caballero*) จะกรุณาอนุญาตให้ผมถามคำถามบางข้อได้ไหมครับ?"
(*caballero ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า caballo แปลว่า ม้า เดิมคำนี้หมายถึงนักขี่ม้า หรือคนชั้นสูงบนหลังม้า)
แกมองมายังผมด้วยสายตาถามไถ่ "ผมคือนักขี่ม้าที่ไม่มีม้า" แกพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างกว้างขวางแล้วพูดต่อ "ผมบอกคุณแล้วว่า ชื่อของผมคือ ฮวน มาธุส"
ผมชอบยิ้มของแก ผมคิดว่าชายแกเป็นคนชอบความตรงไปตรงมาอย่างเห็นได้ชัด และผมตัดสินใจที่จะจู่โจมแกด้วยคำขอร้องเลยทีเดียว
ผมบอกแกว่า ผมสนใจการเก็บรวบรวมและศึกษาเกี่ยวกับพืชสมุนไพร ผมบอกว่า ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือประโยชน์ของต้นตะบองเพชรชนิดหนึ่งที่เป็นยาเสพแล้วเมา มีชื่อเรียกกันว่าเปโยติ ซึ่งผมศึกษามามากพอสมควรจากมหาวิทยาลัยแห่งลอสแอนเจลิส ผมคิดว่าข้อเสนอของผมที่กล่าวออกไปนั้นจริงจังมาก ผมคิดว่าผมรู้มากแล้ว และในความรู้สึกของตัวเองดูจะเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในตัวตนอย่างเต็มที่
ชายแก่สั่นหัวไปมาอย่างช้า ๆ ผมเองเมื่อถูกสะกดโดยอาการนิ่งของคู่สนทนาจึงพูดเสริมออกมาว่า คงจะเป็นประโยชน์สำหรับเราทั้งสองเป็นอย่างมากหากว่าจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรปิโยติ
ในขณะนั้นเองที่ชายแก่เงยหน้าของแกขึ้นมาแล้วมองตรงเข้าไปในดวงตาของผม มันเป็นสายตาที่น่าเกรงขาม แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็หาได้น่าหวาดกลัวหรือน่าหวาดเสียวแต่อย่างใด มันเป็นสายตาที่มองผมอย่างทะลุปรุโปร่ง ผมกลายเป็นคนไม่มีปากและไม่อวดโอ่เกี่ยวกับตัวเองได้อีกต่อไป นั่นเป็นการยุติการพบปะของเรา แต่ชายแก่ยังทิ้งร่องรอยแห่งความหวังเอาไว้ แกพูดว่า บางทีสักวันหนึ่งผมอาจจะไปเยี่ยมแกที่บ้านก็ได้
มันเป็นการยากที่จะประเมินผลกระทบอันเกิดจากการมองของดอนฮวน ถ้าหากจะไม่นำเอาประสบการณ์อันหลายหลากของผมมาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อผมเริ่มศึกษาวิชามานุษยวิทยา (และด้วยเหตุนี้เองที่นำผมมาพบกับดอนฮวน) ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญในการ "กะล่อนเอาตัวรอดไปได้ทุกแห่ง" ผมออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว และนั่นหมายถึงการตีค่าตัวเองว่าเอาตัวรอดได้ เมื่อผมได้รับการปฏิเสธในสิ่งใด ผมจะคาดคั้นเอาจนได้ หรือไม่ก็ทำให้มีการยินยอมขึ้น โต้เถียง โกรธ และถ้าหากการกระทำเช่นนั้นไม่ก่อให้เกิดความสำเร็จ ผมรู้ดีว่าผมควรจะทำอะไรขึ้นมาในสถานการณ์ไหน และในชีวิตของผมไม่เคยมีมนุษย์คนใดมาหยุดความเคลื่อนไหวของผมได้รวดเร็วและชะงัดแน่นอนเช่นเดียวกับที่ดอนฮวนกระทำในบ่ายวันนั้น มันไม่ใช่การเงียบลงอย่างธรรมดา มีอยู่หลายคราวที่ผมไม่กล่าวถ้อยคำใด ๆ เข้าใส่คู่ปรปักษ์ด้วยเหตุที่ว่ามีความนับถือฝังใจอยู่ในคน ๆ นั้น ในกรณีเช่นนี้ ความโกรธและความหงุดหงิดยังคงมีอยู่ในความคิด แต่ว่าการมองของดอนฮวนทำให้ผมเป็นใบ้จนถึงขนาดที่ว่าผมไม่อาจคิดให้ติดต่อกันได้เลย
ผมถูกแทรกแซงด้วยการมองอันแปลกประหลาดนั้นและตัดสินใจว่าจะค้นหาตัวของดอนฮวน ผมตระเตรียมตัวเองเป็นเวลาถึงหกเดือนหลังจากการพบกันในครั้งแรก ผมอ่านวิธีใช้เปโยติในหมู่ชาวอินเดียนแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดียนที่ถือลัทธิเปโยติในแถบที่ราบ ผมค้นเกี่ยวกับหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แทบทุกเล่มเท่าที่จะหาได้ และเมื่อรู้ตัวว่าพร้อมผมจึงเดินทางกลับไปอะริโซน่า
วันเสาร์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๑๙๖๐….
ผมพบบ้านของดอนฮวนหลังจากการถามหาอย่างยืดยาวและเอาเป็นเอาตายกับชาวอินเดียนแดงในท้องถิ่นนั้น
ผมไปถึงในตอนบ่าย จอดรถไว้หน้าบ้าน ผมเห็นดอนฮวนนั่งอยู่บนลังไม้ใส่นม ดูแกจะจำได้และกล่าวคำทักทายเมื่อผมก้าวลงจากรถ
เราแลกเปลี่ยนการปฏิสันถารตามมรรยาทสังคมชั่วขณะหนึ่ง ต่อมาผมสารภาพด้วยถ้อยคำง่าย ๆว่า ผมพูดวกวนกับแกในการพบปะกันครั้งแรก ผมได้แต่โอ้อวดว่าผมมีความรู้เกี่ยวกับเปโยติอย่างมากมายซึ่งอันที่จริงแล้วผมไม่รู้อะไรเลย ดอนฮวนจ้องมองดูผม ดวงตาของแกฉายแววแห่งเมตตา
ผมบอกกับแกว่า ผมอ่านเพื่อตระเตรียมตัวเองให้พร้อมในการพบปะกันคราวนี้เป็นเวลาถึงหกเดือน และครั้งนี้ผมมีความรู้มากจริง ๆ ดอนฮวนหัวเราะ เห็นได้ชัดว่า มีบางสิ่งในคำพูดของผมทำให้แกรู้สึกขบขัน แกหัวเราะเยาะผม ผมรู้สึกสับสนและคิดว่าถูกเหยียดหยามอยู่บ้าง
แกสังเกตเห็นความไม่สบายใจของผม จึงกล่าวปลอบออกมาว่า ถึงแม้ผมจะมีความตั้งใจดีมากมายเพียงใดก็ตามที แต่ไม่มีทางใดเลยจริง ๆที่จะเตรียมตัวเพื่อการพบปะของเรา
ผมพะวงอยู่ว่า เป็นการเหมาะสมหรือ ที่จะถามว่าข้อความที่แกพูดออกมานั้นมีความหมายซ่อนเร้นอยู่บ้างหรือไม่ แต่ผมไม่ถามออกมา ดอนฮวนดูจะเข้าใจความรู้สึกของผมดี แกจึงอธิบายความหมายของสิ่งที่แกได้พูดออกมา
แกกล่าวว่า ความพยายามของผมทำให้แกระลึกถึงเรื่องราวของประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกประหารชีวิตลงในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แกเล่าว่า ในท้องเรื่อง ทั้งประชาชนที่ถูกฆ่าและผู้ที่จะมาฆ่าพวกเขาไม่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันเลย เว้นไว้แต่พวกที่ถูกประหารจะถูกขอร้องให้เปล่งเสียงคำบางคำในลักษณะที่แปร่งออกไปเฉพาะในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น แน่นอนการออกเสียงผิดไปนี่เองเปิดเผยตัวเขาออกมา
พระราชาโปรดให้มีการตั้งด่านกั้นถนนตามจุดที่สำคัญซึ่งจะมีเจ้าพนักงานมาประจำอยู่เพื่อถามทุกคนที่เดินผ่านให้ออกเสียงคำที่กำหนด คนที่ออกเสียงคำได้ชัดอย่างเดียวกับพระราชาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนคนที่ออกเสียงไม่ถูกต้องจะถูกประหาร จุดสำคัญของเรื่องมีอยู่ว่า
ชายหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจตระเตรียมตัวเองเพื่อผ่านด่านกั้นถนน โดยการหัดออกเสียงคำรหัสที่นำมาใช้ทดสอบในลักษระที่พระราชาต้องการ
ดอนฮวนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างกว้างขวางว่า ความจริงแล้วชายหนุ่มคนนั้นเตรียมตัวฝึกฝนออกเสียงจนช่ำชองอยู่ถึง"หกเดือน"ทีเดียว และเมื่อวันแห่งการทดสอบสำคัญนั้นมาถึง ชายหนุ่มก็เดินอย่างมั่นใจมาที่ด่านกั้นถนน แล้วคอยให้เจ้าพนักงานบอกให้เขาออกเสียงคำ ๆนั้น
เมื่อมาถึงจุดนี้ ดอนฮวนหยุดเล่าเรื่องหมายจะให้ตื่นเต้นแล้วมองมาทางผม การหยุดของแกเป็นไปโดยเจตนาและดูจะครึไปหน่อยสำหรับผม แต่ถึงอย่างไรผมก็ร่วมแสดงไปกับแกด้วย
ผมรู้ถึงจุดสุดท้ายของเรื่องนี้มาก่อน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำจัดชาวยิวในเยอรมัน และวิธีที่จะบอกว่าใครเป็นยิวก็ตรงที่พวกเขาออกเสียงคำบางคำ ผมรู้แม้แต่บรรทัดที่สำคัญด้วยคือ….ชายหนุ่มกำลังจะถูกจับกุมเพราะเจ้าพนักงานลืมคำรหัสและบอกให้เขาออกเสียงคำอีกคำหนึ่งซึ่งคล้ายกันมาก คำ ๆนี้ชายหนุ่มไม่ได้ฝึกออกเสียงได้อย่างถูกต้องมาก่อน….
ดอนฮวนดูเหมือนจะคอยให้ผมถามว่าอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงถามว่า
"แล้วอะไรเกิดขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้นล่ะ?" ผมพยายามทำเป็นไม่รู้เรื่องมาก่อนและสนใจในเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่
"ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนเหลี่ยมจัดจริง ๆ" แกพูด "เมื่อรู้ชัดว่าเจ้าพนักงานลืมคำที่กำหนดไว้ และก่อนที่เจ้าพนักงานคนนั้นจะมีโอกาสพูดออกมา เขาก็สารภาพออกมาเลยว่า เขาตระเตรียมเรื่องนี้อยู่ถึงหกเดือน" ดอนฮวนหยุดเล่าอีกครั้ง แล้วทอดสายตามาทางผมด้วยแววตาที่ซุกซน คราวนี้แกกลับเอาชนะผมได้
คำสารภาพของชายหนุ่มเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และผมก็ไม่ทราบว่าเรื่องจะจบลงในลักษณะใด "อ้าว แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ?" ผมถามขึ้นด้วยความสนใจเต็มที่
"ชายหนุ่มคนนั้นก็ถูกประหารในทันทีนะสิ" แกตอบแล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ผมชอบวิธีการที่ดอนฮวนทำให้ผมเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก และที่สำคัญที่สุด ผมชอบวิธีการที่แกสัมพันธ์เรื่องดังกล่าวกับเรื่องของผม ความจริงแล้วแกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับตัวผม แกล้อเลียนผมในลักษณะที่ซับซ้อนและมีศิลปะ ผมหัวเราะร่วมไปกับแกด้วย
ต่อมาผมบอกกับแกว่า แม้ว่าผมจะดูโง่เขลาเพียงใดก็ตามที ผมก็สนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรอย่างจริงจัง "ผมชอบการเดินมาก" แกพูด
ผมคิดว่าดอนฮวนมีเจตนาที่จะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะเป็นปฏิปักษ์กับแกด้วยคำเร่งรัดของผม
แกถามผมว่า ผมอยากเดินในระยะทางสั้น ๆในทะเลทรายกับแกไหม ผมบอกอย่างกระตือรือร้นว่าผมอยากจะเดินเล่นในทะเลทรายเหมือนกัน
"นี่ไม่ใช่การไปปิกนิคนะคุณ" แกบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเตือน ผมบอกกับแกว่า ผมมีความสนใจอย่างจริงจังที่สุดที่จะร่วมงานกับแก ผมบอกว่า ผมต้องการข้อมูลชนิดใดก็ได้ที่เกี่ยวกับประโยชน์ของพืชสมุนไพร และตั้งใจจะจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนแก่แรงงานและเวลาที่แกต้องสูญเสียไปด้วย
"คุณต้องทำงานให้กับผม" ผมพูด " และผมจะจ่ายค่าแรงให้กับคุณ"
"คุณจะจ่ายให้ผมเท่าไหร่ล่ะ?" แกถาม ผมจับความโลภในน้ำเสียงของแกได้
"เท่าที่คุณเห็นสมควรก็แล้วกัน" ผมตอบ
"จงจ่ายค่าเสียเวลาของผม….ด้วยเวลาที่คุณเสียไป" แกพูด ผมคิดว่าแกเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุด
ผมบอกแกว่าคำพูดของแกหมายความว่าอย่างไร แกตอบว่า ไม่มีอะไรเลยที่จะต้องพูดเกี่ยวกับสมุนไพร ดังนั้นการรับเอาเงินจากผมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในสมองของแกเลย แกมองดูผมอย่างกับจะแทงทะลุเข้าไป
"คุณทำอะไรในกระเป๋าของคุณล่ะนั่น?" แกถามพร้อมกับย่นหน้าผาก "คุณเล่นกับอะไรของคุณหรือ?" ดอนฮวนพูดถึงการจดบันทึกของผมในกระดาษแผ่นเล็ก ๆที่อยู่ในกระเป๋าใหญ่ของเสื้อกันลมของผม เมื่อผมบอกแกว่าผมทำอะไรอยู่ แกหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
ผมบอกว่า ผมไม่ต้องการที่จะรบกวนแกโดยการเขียนบันทึกขณะที่อยู่ต่อหน้าแก
"เมื่อคุณต้องการเขียนก็เขียนสิ" แกพูด "คุณไม่ได้รบกวนผมเลย"
เราเดินอยู่ในทะเลทรายละแวกนั้นจนเกือบเย็น ดอนฮวนไม่ได้ชี้ให้ผมดูพืชสมุนไพรหรือพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เราหยุดพักชั่วคราวข้างพุ่มไม้พุ่มโต
"พืชเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาก" แกพูดออกมาโดยไม่มองออกมายังผม "มันมีชีวิตชีวาและมีความรู้สึก" ขณะที่แกพูดเช่นนั้น
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งทำให้พุ่มไม้เตี้ย ๆ ในทะเลทรายสั่นไหวไปมา พุ่มไม้เหล่านั้นทำให้เกิดเสียงหวีดหวิว "คุณได้ยินเสียงนั่นไหมล่ะ?" แกถามพลางยกมือขวาขึ้นป้องที่หูเพื่อให้ได้ยินชัดขึ้น
"ใบไม้และสายลมเห็นด้วยกับคำพูดของผม"
ผมหัวเราะ เพื่อนคนที่นำเราให้มารู้จักกันบอกผมว่าให้คอยเฝ้าดู เพราะชายแก่คนนี้เป็นคนผิดธรรมดาเอามาก ๆ ผมคิดว่า "การเห็นด้วยของใบไม้" เป็นความผิดธรรมดาประการหนึ่งของชายแก่คนนี้
เราเดินต่อไปไกลกว่าเดิม แต่แกก็ไม่ได้บอกผมเกี่ยวกับสมุนไพร และไม่ได้เก็บพืชสมุนไพรใด ๆด้วย แกเพียงแหวกพุ่มไม้แล้วสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา
ต่อมาแกหยุดเดินแล้วนั่งลงบนก้อนหิน แล้วบอกให้ผมพักผ่อนและสำรวจดูรอบ ๆ ผมอยากจะคุยต่อ อีกครั้งหนึ่งที่ผมบอกให้แกรู้ว่า ผมต้องการที่จะเรีบนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสมุนไพรเปโยติ ผมขอร้องให้แกเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าตอบแทน
"คุณไม่ต้องจ่ายให้ผมหรอก" แกพูดออกมา "คุณจะถามอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะทราบ ผมจะบอกในสิ่งที่ผมรู้ และต่อจากนั้นผมจะบอกกับคุณว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง"
แกถามผมว่า ผมเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้หรือไม่ ผมรู้สึกพอใจ
จากนั้นดอนฮวนได้พูดข้อความที่เป็นปริศนาออกมาว่า
"บางทีนะ ไม่มีอะไรที่จะต้องเรียนเอาเลยเกี่ยวกับสมุนไพร เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องพูดเกี่ยวกับพืชเหล่านี้"
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่แกพูดเลย และไม่ทราบความหมายของมันด้วย
"คุณว่าอะไรนะ?" ผมถาม ดอนฮวนกล่าวถ้อยคำนั้นซ้ำ ๆอีกสามครั้ง พอแกพูดจบ ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็สั่นสะเทือนขึ้นเนื่องจากเสียงกระหึ่มของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นที่บินผ่านมาในระยะต่ำ
"นั่นไงล่ะ ! โลกเห็นด้วยกับผมแล้ว" แกพูดพร้อมกับยกมือขึ้นป้องหู ผมเห็นว่าแกเป็นคนที่น่าขบขัน เสียงหัวเราะของแกชวนให้ผู้อื่นรู้สึกตามด้วย
"คุณเป็นชาวอะริโซน่าใช่ไหม ดอนฮวน?" ผมถามในความพยายามที่จะให้หัวข้อในการสนทนาวนเวียนอยู่กับตัวของแหล่งข้อมูลของผม
แกมองผมแล้วผงกหัวรับ ดวงตาของแกมีแววเหนื่อยหน่าย ผมมองเห็นแม้จุดสีขาวเบื้องล่างลูกตาดำของแก
"คุณเกิดในท้องถิ่นแถบนี้หรือ?" แกผงกหัวรับอีกครั้งโดยไม่กล่าวตอบ นั่นจะดูเป็นท่าตอบรับ แต่มันก็ดูเป็นการสั่นหัวในลักษณะหงุดหงิดของคนที่กำลังครุ่นคิดด้วย
"แล้วคุณมาจากไหนล่ะ?" แกถาม
"ผมมาจากอเมริกาใต้" ผมตอบ
"ที่นั่นเป็นที่ที่กว้างใหญ่มาก คุณมาจากที่ทั้งหมดนั้นหรือ?" แววตาของแกทิ่มแทงเข้ามาอีกครั้งขณะที่แกมองดูผม
ผมเริ่มอธิบายสภาพแวดล้อมที่ผมเกิด แต่ดอนฮวนพูดสอดขึ้นมาว่า
"ในกรณีนี้ เราก็เหมือนกันนั่นแหละ" แกพูด "ผมอยู่ที่นี่ ขณะนี้ แต่จริง ๆนั้นผมเป็นคนเผ่ายาคีที่มาจากซอนอร่า" (*ซอนอร่า เดิมเป็นถิ่นของอินเดียนแดงเผ่ายาคี ขณะนี้เป็นรัฐหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก มีชายแดนติดกับรัฐอะริโซน่าของอเมริกา)
"อ้อ อย่างนั้นรึ ! ผมเองก็มาจาก……"
แกไม่ยอมให้ผมพูดจนจบ
"ผมรู้แล้ว รู้แล้วแหละน่า" แกพูด "คุณก็เป็นคุณและมาจากที่คุณมา เหมือนกับผมที่เป็นคนเผ่ายาคีที่มาจากซอนอร่า"
ดวงตาของแกส่องประกายแวววาว และเสียงหัวเราะของแกแปลกเหมือนกับไม่ตั้งใจ ดอนฮวนทำให้ผมรู้สึกราวกับตัว-ถูกจับได้ว่าโกหก ผมประสบเข้ากับความรู้สึกที่แปลกและมีพิรุธ ผมรู้ว่าแกทราบถึงอะไรบางอย่างทีผมเองไม่รู้ หรือบางสิ่งที่ผมไม่อยากจะพูดออกมา
ความอึดอัดถีบทวีขึ้นเรื่อย ๆ ดอนฮวนคงจะสังเกตเห็นความรู้สึกดังกล่าว เพราะแกลุกขึ้นแล้วถามผมว่า ผมอยากไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารในเมืองหรือเปล่า
การที่เราเดินกลับมาที่บ้านแล้วขับรถเข้าไปในเมือง ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกปลอดโปร่งเท่าใดนัก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าถูกข่มขู่ ทั้ง ๆที่ผมไม่อาจจะชี้ให้ชัดลงไปได้ถึงเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้
ผมต้องการที่จะซื้อเบียร์จากภัตตาคารให้กับแก ดอนฮวนบอกว่าแกไม่ดื่มของมึนเมาแม้แต่เบียร์ ผมหัวเราะกับตัวเอง เพื่อนที่แนะนำให้เรารู้จักกันบอกว่า "ชายแก่ปกปิดตัวเองไว้เกือบตลอดเวลา" ผมไม่ใส่ใจเอาเลยจริง ๆว่าแกจะโกหกผมบ้างว่าไม่ดื่มของมึนเมา ผมชอบแก มีบางสิ่งบางอย่างในตัวของชายแก่คนนี้ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น
ผมคงมีแววที่ส่อความสงสัยอยู่บนใบหน้า เพราะต่อมาแกอธิบายว่า แกเคยดื่มสมัยที่แกยังหนุ่ม แต่แล้ววันหนึ่งแกเลิกมันเฉย ๆ
" คนทั่ว ๆไปเกือบจะไม่ทราบเอาเลยว่า เขาอาจจะเลิกละสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตขณะใดก็ได้ เหมือนอย่างนี้ " แกดีดนิ้ว
"คุณคิดว่า… เราจะหยุดดื่ม หรือหยุดสูบบุหรี่ได้ง่าย ๆอย่างนั้นหรือ?" ผมถาม
"แน่นอน !" แกตอบด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ " การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีความหมายจริง ๆ ถ้าเราจะเลิกมัน "
ขณะนั้น น้ำที่เดือดอยู่ในหม้อต้มกาแฟทำให้เกิดเสียงดังคลั่ก ๆ
"ฟังเสียงนั่นสิ !" ดอนฮวนอุทานออกมา ดวงตาของแกส่องประกาย "น้ำเดือดนั่นเห็นด้วยกับผม"
หลังจากที่หยุดพูดไปชั่วครู่ แกกล่าวต่อไปว่า
"มนุษย์อาจจะได้รับคำเห็นพ้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขา"
ในขณะวิกฤติเช่นนั้น หม้อต้มกาแฟทำให้เกิดเสียงปู๊ดป๊าดน่าเกลียดออกมา ดอนฮวนมองไปที่หม้อต้มน้ำ แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ขอบคุณ" พลางผงกหัวแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ
ผมตะลึง เสียงหัวเราะของแกออกจะดังมากไปหน่อย แต่ผมก็รู้สึกขำจากสิ่งทั้งหมดนี้
การพบปะสนทนากันจริง ๆ เป็นครั้งแรกระหว่างผมกับ "แหล่งข้อมูล" ของผมก็ยุติลง ดอนฮวนกล่าวคำอำลาที่ประตูภัตตาคาร ผมบอกกับแกว่าผมต้องไปเยี่ยมเพื่อน และผมอยากจะพบกับแกอีกสักครั้งหนึ่งในปลายสัปดาห์หน้า
"เมื่อไหร่ล่ะที่คุณจะอยู่บ้าน?" ผมถาม แกพิจารณาดูผม
"อยู่เมื่อคุณมา"
"ผมบอกแน่นอนลงไปไม่ได้ว่าจะไปเมื่อไหร่"
"ถ้างั้น ก็มาก็แล้วกัน อย่ากังวลไปเลย"
"ถ้าหากคุณไม่อยู่ล่ะ"
"ผมจะอยู่ที่บ้าน"
แกพูดพร้อมกับยิ้มแล้วเดินจากไป ผมวิ่งตามแล้วถามออกมาว่า แกจะขัดข้องหรือไม่ถ้าผมจะเอากล้องถ่ายรูปมาด้วย เพื่อจะถ่ายภาพบ้านและตัวของแก
"นั่นเป็นไปไม่ได้เลย" แกพูดพร้อมกับย่นหน้า
"แล้วเครื่องเทปล่ะ คุณจะขัดข้องไหม?"
"ผมรู้สึกว่า นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน"
ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วเริ่มแสดงท่าว่าหัวเสีย ผมพูดว่า ไม่มีเหตุผลที่สมควรอะไรที่แกไม่อนุญาต ดอนฮวนสั่นหัวไม่เห็นด้วย
"ลืมมันเสีย" แกพูดเชิงบังคับ "และถ้าหากคุณยังต้องการที่จะพบกับผมอยู่ ก็ขออย่าได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก"
ผมแสดงความอ่อนแอเป็นคำบ่นเป็นครั้งสุดท้าย ผมบอกว่าภาพถ่ายและคำบันทึกคำสนทนาเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับงานค้นคว้าของผม แกบอกว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ขาดไม่ได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ดอนฮวนเรียกสิ่งนั้นว่า "วิญญาณ"
"เราจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีวิญญาณ" แกพูด " คุณเองไม่ได้มีสิ่งนี้ จงกังวลกับสิ่งนี้ให้มาก ไม่ใช่ไปวุ่นวายอยู่กับรูปถ่าย"
"อะไรล่ะที่คุณหมาย….."
แกขัดจังหวะด้วยการโบกมือ แล้วเดินถอยหลังไปสองสามก้าว
"มาให้ได้นะ" แกพูดเบา ๆ แล้วโบกมืออำลา