๓. การสูญเสียความรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ
ผม ได้เล่าถึงการที่ผมได้มีโอกาสพบปะกับดอนฮวนทั้งสองครั้งกับเพื่อนคนที่แนะนำให้เราทั้งสองรู้จักกัน เพื่อนคนนนั้นมีความเห็นว่าผมจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ผมเล่าให้เขาฟังถึงรายละเอียดและขอบเขตของเรื่องที่เราพูดคุยกัน เขาบอกว่าผมพูดเกินความเป็นจริง และทำให้ตาแกคร่ำครึที่โง่เขลากลายเป็นคนพิเศษขึ้นมา
สำหรับผม ยากนักที่จะพูดเกินเลยไปในเรื่องของชายชราที่มีลักษณะประหลาดมากคนนี้ ผมรู้สึกขึ้นมาอย่างแท้จริงว่า คำวิจารณ์ของแกเกี่ยวกับบุคคลิกของผมนั้นบั่นทอนความชอบของผมที่มีต่อแกเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ตาม ผมต้องยอมรับว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องสมควร มีความคมคายและถูกต้องตามที่พูดออกมาทีเดียว
ปมยุ่งยากของความลังเลไม่แน่ใจของผมในขณะนี้ก็คือผมไม่สู้จะเต็มใจยอมรับว่า ดอนฮวนสามารถที่จะทำลายทัศนะเดิม ๆ ที่ผมมีต่อโลกนี้ได้ และไม่อยากเชื่อด้วยว่า ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนคนนั้นที่ว่า "อินเดียนแก่คนนั้นเป็นคนที่บ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่งเท่านั้น"
ผมรู้สึกว่าต้องไปหาดอนฮวนอีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไป
พุธที่ ๒๘ ธันวาคม ๑๙๖๐
ทันทีที่ผมมาถึงบ้านของแก ดอนฮวนพาผมเดินผ่าเข้าไปในดงพุ่มไม้เตี้ย ๆ ในทะเลทราย แกไม่มองดูแม้แต่ถุงใส่ของชำที่ผมซื้อมาฝาก ดูราวกับว่าแกกำลังคอยผมอยู่
เราเดินอยู่นานหลายชั่วโมง ดอนฮวนไม่ได้เก็บสมุนไพรหรือบอกผมเกี่ยวกับต้นพืชเหล่านั้นเลย แต่อย่างไรก็ตาม แกสอนผมถึง "การเดินที่ถูกวิธี" แกบอกว่า ผมต้องงอนิ้วมือเข้ามาเล็กน้อยขณะที่เดิน เพื่อว่าผมจะได้ใส่ใจในทางเดินและสิ่งที่อยู่รอบตัว แกบอกว่าท่าเดินของผมตามปกตินั้นทำให้เหนื่อยง่าย เราต้องไม่ถืออะไรไว้ในมือเลย และถ้ามีสิ่งของไปด้วยก็ควรใช้เครื่องหลัง หรือย่ามก็ได้ ดอนฮวนให้ความเห็นว่า การบิดมือในลักษณะพิเศษดังกล่าวจะทำให้เดินได้ทนกว่าเดิม และมีความรู้สึกตัวสูงด้วย
ผมไม่ทราบจะเถียงไปเพื่ออะไรจึงงอนิ้วมือในลักษณะที่แกบอกและตั้งใจเดินต่อไป ความรู้สึกตัวของผมก็ไม่แตกต่างไปกว่าเดิม และความอดทนก็ไม่ดีขึ้นด้วย
เราเริ่มออกเดินกันในตอนเช้าและหยุดพักในราวเที่ยงวัน ผมเหงื่อตกจึงหมายจะดื่มน้ำจากกระติกแต่ดอนฮวนห้ามผมไว้ แกบอกว่าผมจะรู้สึกสบายขึ้นหากผมจิบน้ำทีละนิดเท่านั้น แกเด็ดเอาใบไม้จากพุ่มไม้สีเหลืองเตี้ย ๆ แล้วใส่ปากเคี้ยว แกเอามาให้ผมด้วยและแนะว่ามันวิเศษมาก ถ้าหากผมเคี้ยวช้า ๆ ความกระหายน้ำจะหายไป ความกระหายน้ำไม่ได้หายไปจริงอย่างที่พูด แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด
ดอนฮวนดูจะอ่านความคิดของผมออกจึงอธิบายว่า ที่ผมไม่รู้สึกถึงประโยชน์ของ "การเดินที่ถูกวิธี" หรือประโยชน์ของการเคี้ยวใบไม้ชนิดนี้ เพราผมยังเป็นคนหนุ่มและแข็งแรง ร่างกายของผมไม่รู้สึกในสิ่งใดเพราะมันค่อนข้างโง่ แกหัวเราะออกมา
ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหัวเราะ นั่นยิ่งทำให้ดอนฮวนขบขันยิ่งขึ้น แกแก้คำพูดที่พูดออกไปแล้วว่าร่างกายของผมไม่ถึงกับโง่หรอก แต่มันยังเฉื่อยอยู่
ขณะนั้นอีกาตัวโตบินผ่านศีรษะของเราไปพร้อมกับร้องออกมา มันทำให้ผมสะดุ้งและหัวเราะขึ้นมา ผมคิดว่าโอกาสเช่นนั้นควรแก่การหัวเราะ
แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจอย่างสูงสุดก็คือดอนฮวนเขย่าแขนของผมอย่างแรง พลางบอกให้ผมเงียบเสียงลง สีหน้าของแกเครียดและจริงจังมาก "นั่นมันไม่ใช่เรื่องตลก" แกกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด ราวกับว่าผมเข้าใจในสิ่งที่แกกำลังพูดอยู่
ผมขอคำอธิบาย ผมบอกกับแกว่า การที่แกโกรธที่ผมหัวเราะอีกานั้นไม่ถูกกาละเทศะเอาเสียเลย ในเมื่อเราหัวเราะหม้อต้มกาแฟมาแล้ว
"สิ่งที่คุณเห็นนั้นไม่ได้เป็นเพียงอีกา" แกร้องออกมา
"แต่ผมก็มองเห็นมันด้วยตา มันก็เป็นอีกานี่นะ" ผมยืนยัน
"คุณไม่เห็นอะไรหรอก คุณนะไอ้โง่" แกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้าง
ความหยาบคายของแกไม่มีเหตุผลที่สมควรเอาเลย ผมบอกแกว่าผมไม่ชอบทำให้คนอื่นโกรธหรอก บางทีน่าจะเป็นการดีถ้าผมจะผละไปเสีย ในเมื่อแกดูจะไม่มีอารมณ์ที่จะมีเพื่อนร่วมทางเอาเสียเลย
แกหัวเราะลั่นขึ้นมาเหมือนกับว่าผมเป็นตัวตลกมาแสดงให้แกดู ความหงุดหงิดไม่สบายใจของผมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
"คุณเป็นคนรุนแรงมาก" แกตั้งข้อสังเกตขึ้นมาลอย ๆ "คุณยึดถือในตัวของคุณเองเป็นอย่างมาก"
"คุณก็ทำอย่าางเดียวกันไม่ใช่หรือ?" ผมสอดขึ้นมา "คุณก็ยึดถือตัวของคุณเองขณะที่คุณโกรธผม"
แกบอกว่า การที่จะโกรธผมนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ห่างจากจิตใจของแกอย่างที่สุด แกมองมายังผมด้วยสายตาที่ทิ่มแทง
"สิ่งที่คุณเห็นไม่ได้เป็นคำเห็นพ้องจากโลก" แกพูด "อีกาที่กำลังบินอยู่หรือร้องออกมาไม่เคยเป็นคำรับรอง แต่มันเป็นลาง!"
"เป็นลางเกี่ยวกับอะไรล่ะ?"
"มันเป็นเครื่องทำนายเกี่ยวกับตัวของคุณ" แกตอบออกมาอย่างคลุมเครือ
ขณะนั้นลมพากิ่งไม้แห้งตรงมาที่เท้าของเรา
"นี่เป็นคำรับรอง!" แกอุทานพร้อมกับมองมาทางผมด้วยดวงตาเป็นประกาย แกหัวเราะออกมาเต็มเสียง
ผมรู้สึกว่าแกกำลังยั่วผมอยู่ ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์ประหลาด ๆ ขึ้นมาเองขณะที่เราไปด้วยกัน ดังนั้นมันเป็นเรื่องถูกที่แกจะหัวเราะ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของผมหรอก ความหงุดหงิดของผมงอกเงยขึ้นมาอีก และผมบอกกับดอนฮวนในสิ่งที่ผมคิด แกไม่ได้ฉุนเฉียวหรือมีความขุ่นเคืองแต่อย่างใด แกหัวเราะ
เสียงหัวเราะของแกทำให้ผมโกรธและหงุดหงิดยิ่งขึ้น ผมคิดว่าดอนฮวนจงใจที่จะเหยียดหยามผม ผมตัดสินใจในทันทีว่า ผมขอเลิก "งานค้นคว้า" ของผมดีกว่า
ผมลุกขึ้นพร้อมกับพูดออกมาว่าผมจะเดินกลับละ เพราะผมต้องเดินทางไปลอสแอนเจลิส
"นั่งลง !" แกบังคับ
"คุณแสดงความโกรธออกมาเหมือนกับยายเพิ้ง ตอนนี้คุณยังไปไม่ได้ เรื่องมันยังไม่จบเลย" ผมเกลียดแก
ผมคิดว่าแกเป็นคนที่น่าเหยียดหยามอย่างที่สุด
ดอนฮวนครวญเพลงพื้นเมืองเม็กซิกันบ้า ๆ บอ ๆออกมา แกร้องเลียนแบบนักร้องที่มีชื่อเสียง แต่แกให้เสียงบางพยางค์ยาวออกไปและบางพยางค์สั้นทำให้มันเป็นเพลงที่ฟังแล้วน่าขันมาก ฟังดูแล้วตลกจนหัวเราะออกมาในที่สุด
"นั่นไงล่ะ คุณหัวเราะกับเพลงบ้า ๆ บอ ๆ" แกพูดออกมา "แต่นักร้องที่ร้องออกมาในลักษณะนี้และคนที่จ่ายเงินเพื่อฟังเพลงนี้จะไม่หัวเราะ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงจังเอามาก ๆ"
"คุณหมายความว่าอย่างไร" ผมถาม
ผมคิดว่าแกตั้งใจที่จะกุเรื่องขึ้นมาอีก เพื่อจะบอกกับผมว่าที่ผมหัวเราะอีกานั้นไม่มีความจริงจังเหมือนกับที่ผมไม่จริงจังกับเพลงที่แกร้อง แต่ดอนฮวนก็ทำให้ผมผิดคาดอีกครั้ง แกบอกว่าผมก็เหมือนกับนักร้องคนนั้นและคนที่ชอบฟังเพลงของเขา คนพวกนี้ยึดถือในตัวเองและจริงจังอย่างมากมายในเรื่องเหลวไหล ชนิดที่คนที่อยู่ในสภาวะจิตที่เป็นปกติจะไม่เอาใจใส่เลยแม้แต่นิดเดียว
ต่อมาแกกล่าวย้ำถึงเรื่องทั้งหมดที่แกเคยพูดถึงในเรื่อง "การเรียนรู้เรื่องสมุนไพร" เหมือนกับจะรื้อฟื้นความทรงจำของผม แกเน้นลงไปอีกว่า ถ้าผมต้องการที่จะเรียนรู้ในเรื่องนี้ ผมต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผมเกือบทั้งหมด
"คุณยึดถือตัวเองเอามาก ๆ" แกพูดช้า ๆ "คุณคิดว่าคุณเป็นคนสำคัุญที่สุด สิ่งนี้ต้องเปลี่ยนแปลง! คุณมีความสำคัญเหลือล้นจนกระทั่ง คุณรู้สึกว่ามีเหตุผลสมควรที่จะหงุดหงิดกับทุกสิ่งทุกอย่าง คุณมีความสำคัญเสียเหลือเกินจนกระทั่งคุณพร้อมที่จะผละหนีไปถ้าหากสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สอดคล้องเป็นไปตามที่คุณต้องการ ผมเข้าใจว่า นั่นคือสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นเครื่องแสดงถึงบุคคลิกภาพของคุณนะสิ นั่นมันเรื่องเหลวไหล! คุณเป็นคนอ่อนแอและยึดมั่นในตัวเองมาก"
ผมพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน แต่ดอนฮวนไม่ยอมง่าย ๆ แกชี้ให้เห็นว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จเพราะเหตุอันเนื่องมาจากความรู้สึกที่ว่า ตัวมีความสำคัญเกินส่วนที่ผมยึดอยู่
ผมรู้สึกตกตลึงในความมั่นใจที่แกกล้ากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา แน่นอนละ สิ่งที่แกพูดมานั้นถูกต้อง และนั่นไม่เพียงจะทำให้ผมโกรธเพียงอย่างเดียว ผมรู้สึกว่าตนถูกคุกคามด้วย
"ความรู้สึกที่ว่าตนเท่านั้นที่สำคัญที่สุด เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องละเช่นเดียวกับประวัติส่วนตัว" แกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง
แน่นอนผมไม่ต้องการที่จะถกเถียง เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าผมอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบเป็นอย่างมาก ดอนฮวนจะไม่เดินกลับบ้านจนกว่าแกจะพร้อมและผมเองก็ไม่รู้ทาง ผมจำต้องอยู่กับแก แกไหวตัวอย่างฉับพลันและประหลาดใจมาก แกทำเหมือนว่ากำลังสูดดมอากาศที่อยู่รอบ ๆ หัวของแกสั่นเล็กน้อยเป็นจังหวะ ดูแกจะอยู่ในสภาพที่ตื่นตัวอย่างผิดธรรมดา แกหันหน้าแล้วจ้องดูผมด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกและมีแววใคร่รู้ แกกวาดสายตาขึ้น ๆ ลง ๆตามตัวของผมแล้วผลุดลุกขึ้นและออกเดินอย่างรวดเร็ว
แกเดินเร็วมากจนเกือบจะเป็นวิ่ง ผมตามแกไปติด ๆ ดอนฮวนเดินด้วยก้าวที่รีบร้อนเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดแกหยุดเดินข้างเนินเขาหินแล้วเรานั่งลงใต้พุ่มไม้เตี้ย ๆ การเดินอย่างเร็วทำให้ผมเหนื่อยมาก แม้ว่านั่นทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นก็ตาม การที่เปลี่ยนอารมณ์ไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก ผมมีความรู้สึกรื่นเริง แต่ตอนที่เริ่มออกเดินหลังจากที่ได้ถกเถียงกันนั้น ผมโมโหดอนฮวนมาก
"พิลึกจริง" ผมบอก "แต่ผมก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ"
ผมได้ยินเสียงร้องของอีกาห่างออกไป ดอนฮวนยกนิ้วขึ้นมาที่หูขวาแล้วยิ้มออกมา
"นั่นเป็นลาง" แกบอก
ก้อนหินก้อนเล็ก ๆกลิ้งลงมาตามเนินเขา และทำให้เกิดเสียงดังโครมเมื่อมันชนกับพุ่มไม้ ดอนฮวนหัวเราะออกมาดังลั่นและชี้มือไปยังทิศทางที่เกิดเสียง
"นั่นเป็นคำเห็นด้วย"
หลังจากนั้นแกถามผมว่า ผมพร้อมหรือยังที่จะพูดกันถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับตัวเอง ผมหัวเราะ ความรู้สึกโกรธเคืองดูจะอยู่ห่างไกลออกไปมากจนผมไม่รู้เอาเลยว่า ผมฉุนเฉียวในตัวของดอนฮวนมากมายอย่างไรบ้าง
"ผมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเลย" ผมบอก "ผมโกรธมาก แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ผมไม่โกรธอีกต่อไป"
"โลกที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราเป็นสิ่งลึกลับมหัศจรรย์มาก" แกพูด "มันจะไม่ยอมเปิดเผยความลับออกมาง่าย ๆ"
ผมชอบคำพูดที่เป็นปริศนาของแก มันมีความลึกลับและท้าทาย ผมไม่อาจบอกชัดลงไปได้ว่ามันมีความหมายซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดธรรมดา ๆเท่านั้น
"ถ้าหากว่าคุณมีโอกาสกลับมาที่ทะเลทรายนี้อีก" แกพูด "จงหยุดให้ห่างจากภูเขาหินที่เรานั่งพักกันในวันนี้ หนีมันไปเหมือนกับหนีกาฬโรค"
"อ้าว ทำไมล่ะ มีเหตุผลอะไรหรือ?"
"มันยังไม่ถึงเวลาที่จะมาอธิบาย" แกบอก "ขณะนี้เรายังผูกพันอยู่กับการสูญเสียความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีความสำคัญ ตราบใดที่คุณรู้สึกว่า คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก คุณจะไม่รู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของคุณ คุณจะเป็นเหมือนกับม้าที่มีบังตา สิ่งทั้งหมดที่คุณเห็นคือตัวของคุณที่แยกตัวเองออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่าง " แกสำรวจดูผมชั่วครู่
"ผมจะพูดกับเพื่อนตัวเล็ก ๆ ของผมที่อยู่ที่นี่" แกพูดพร้อมกับชี้ไปที่พืชต้นเล็ก ๆ แกคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้นไม้เล็ก ๆ ต้นนั้นแล้วใช้มือโอบประคองและพูดกับมัน ตอนแรกผมไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด ต่อมาแกเปลี่ยนภาษา แกพูดกับต้นไม้เป็นภาษาสเปน แกพล่ามคำพูดไร้สาระนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้น
"ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะพูดกับต้นไม้เรื่องอะไร" แกพูด "คุณอาจคิดสร้างคำต่าง ๆขึ้นมา สิ่งสำคัญคือความรู้สึกว่าชอบมันและปฏิบัติตัวต่อมันเหมือนกับคนที่เท่าเทียมกัน"
ดอนฮวนอธิบายว่า คนที่เก็บสมุนไพรต้องขอโทษพืชทุกครั้งเมื่อเขาเก็บมัน และเขาต้องให้คำรับรองแก่พืชว่า สักวันหนึ่งร่างกายของเขาก็จะมาเป็นปุ๋ยสำหรับพืชด้วย
"ดังนั้น จากทั้งหมดที่พูดมานี้ พืชและตัวเรามีความเท่าเทียมกัน" แกบอก "ไม่ใช่พืช หรือตัวเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความสำคัญกว่า"
"มาสิ มาพูดกับต้นไม้เล็ก ๆนี่" แกยุผม "จงบอกกับมันว่าคุณไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญอีกแล้ว"
ผมทำได้เพียงคุกเข่าลงเบื้องหน้าพืชต้นนั้น แต่บังคับตัวเองให้พูดกับมันไม่ได้ ผมรู้สึกขำจึงหัวเราะออกมา ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด
ดอนฮวนตบที่ไหล่ของผมแล้วบอกว่า ดีแล้ว อย่างน้อยที่สุด ผมก็ควบคุมตัวเองไว้ได้
"นับแต่นี้เป็นต้นไป จงพูดกับพืชต้นเล็ก ๆเหล่านั้น" แกพูด "พูดกับมัน จนกระทั่งว่าคุณสูญเสียความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีความสำคัญ จงพูดกับมันจนกระทั่งว่าคุณอาจทำได้ต่อหน้าคนอื่น"
"จงไปที่เนินเขาลูกโน้น แล้วฝึกคนเดียว"
ผมถามว่าถ้าผมพูดในใจกับพืชจะได้ไหม แกหัวเราะแล้วเอามือมาเคาะเบา ๆ ที่หัวของผม "ไม่ได้หรอก" แกตอบ
"คุณต้องพูดกับมันดัง ๆ ชัดถ้อยชัดคำ ถ้าหากว่าคุณต้องการให้พืชตอบคุณ"
ผมเดินไปที่บริเวณดังกล่าวพลางหัวเราะกับตัวเองในความแปลกประหลาดของดอนฮวน ผมพยายามที่จะพูดกับพืชเหมือนกัน แต่ความรู้สึกขำมีมากกว่า
หลังจากคิดว่าได้นั่งอยู่นานพอสมควรแล้ว ผมก็กลับมาหาดอนฮวน ผมแน่ใจว่า แกรู้ดีที่ผมไม่ได้พูดกับพืชแต่อย่างใด
"จงตั้งใจดูผมสิ" แกบอก "ผมจะพูดกับเพื่อนตัวนิด ๆของผม"
แกคุกเข่าลงหน้าต้นไม้เล็ก ๆ เวลาผ่านไปหลายนาทีขณะที่แกเคลื่อนไหวและบิดตัวไปมาพร้อมกับพูดและหัวเราะ ผมคิดว่าแกถ้าจะไม่ปกติเสียแล้ว
"พืชต้นเล็ก ๆนี้ให้ผมบอกกับคุณว่า หล่อนใช้กินได้" แกพูดออกมาพร้อมลุกขึ้นจากท่าคุกเข่า "เธอยังพูดอีกว่า กินเธอเพียงกำมือเดียวจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี และเจ้าหล่อนยังบอกอีกว่า มีพวกเธออีกกลุ่มหนึ่งขึ้นที่โน่น" ดอนฮวนชี้ไปยังเนินเขาห่างออกไปประมาณร้อยหลา "ไปเถอะ ไปหาพวกมัน"
ผมหัวเราะการแสดงของแก ผมมั่นใจว่าเราจะพบพืชชนิดนี้ เพราะดอนฮวนเป็นผู้เชี่ยวชาญภูมิประเทศแถบนั้น และรู้ดีว่าตรงไหนจะมีพืชชนิดกินได้หรือเป็นยาขึ้นอยู่บ้าง
ขณะที่เราเดินไปยังบริเวณดังกล่าว ดอนฮวนบอกกับผมไปพลางว่า ผมควรจะสังเกตพืชชนิดนี้เพราะมันเป็นทั้งอาหารและยาด้วย ผมถามกึ่งล้อเลียนว่า พืชต้นนั้นคงบอกกับแกอีกละสิ
แกหยุดเดินแล้วสำรวจดูผมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แกโคลงศีรษะไปมา
"อา !" แกอุทานออกมาพร้อมกับหัวเราะ "ความฉลาดของคุณ ทำให้คุณเขลายิ่งกว่าที่ผมจะคิดไปถึงเสียอีก พืชเล็ก ๆ ต้นนั้นจะบอกผมตอนนี้ได้อย่างไรในสิ่งที่ผมรู้แล้วตลอดชีวิต"
แกอธิบายถึงคุณสมบัติประการต่างๆ ของพืชชนิดนั้นอีกด้วย และเล่าว่ามันเพิ่งบอกกับแกเดี๋ยวนี้เองว่ามีเพื่อนของมันขึ้นอยู่ในบริเวณที่แกชี้ให้ผมดู และมันไม่ขัดข้องเลยถ้าแกจะบอกเรื่องนี้กับผม
เมื่อเรามาถึงเนินเขาแห่งนั้น ผมก็พบกับพืชชนิดนั้นขึ้นอยู่หนาแน่น ผมอยากจะหัวเราะ แต่ดอนฮวนก็ไม่ให้เวลาผมได้หัวเราะ แกอยากให่ผมขอบคุณต้นไม้เล็ก ๆกลุ่มนั้น
ผมรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาอย่างรุนแรงและผมทำไม่ได้ ดอนฮวนยิ้มอย่างปลอบโยนแล้วกล่าวถ้อยคำที่เป็นปริศนาขึ้นมาอีก แกพูดอย่างนั้นซ้ำอยู่ถึงสามสี่ครั้งราวกับว่าจะให้เวลาผมหาความหมายของมัน
"โลกรอบ ๆตัวเราเป็นสิ่งลึกลับ" แกพูด "และมนุษย์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าหากพืชต้นเล็ก ๆ เอื้อเฟื้อต่อเรา เราต้องขอบคุณเธอ ไม่เช่นนั้นแล้ว บางทีนะ เธออาจจะไม่ยอมให้เราออกจากที่นี่ไปก็ได้"
ท่าทางที่แกมองมาทางผมขณะที่แกพูดทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบ ผมรีบโน้มตัวลงเหนือพุ่มไม้กลุ่มนั้นแล้วพูดว่า "ขอบคุณครับ" ด้วยเสียงอันดัง
ดอนฮวนหัวเราะในลักษณะที่คุมเอาไว้และไม่ดังนัก
เราออกเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วจึงเริ่มเดินกลับบ้าน ตอนหนึ่งผมเดินตามแกไม่ทัน และแกต้องหยุดคอย ดอนฮวนตรวจดูนิ้วมือของผมเพื่อดูว่าผมงอมันเข้าไปหรือว่าผมไม่ได้งอนิ้ว แกจึงบอกเชิงบังคับว่า เมื่อใดก็ตามที่ผมออกเดินไปกับแก ผมต้องสังเกตและทำตามท่าทางที่แกเดิน หรือไม่เช่นนั้นก็อย่าตามแกมาจะดีกว่า
"ผมไม่อาจหยุดคอยคุณราวกับว่าคุณเป็นเด็ก ๆ"
แกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่อว่า คำพูดของแกทำให้ผมตลึงและละอายมาก เป็นไปได้อย่างไรที่ชายแก่อายุเท่านี้เดินเก่งกว่าผมมาก และแกต้องหยุดคอยเพื่อให้ผมตามทัน ผมงอนิ้วเข้าไป และแปลกอะไรเช่นนั้น ผมสามารถเดินทันก้าวอันรวดเร็วของดอนฮวนโดยไม่ต้องใช้ความพยายามแม่แต่น้อย ในบางครั้งผมรู้สึกว่า มือทั้งสองของผมถูกดึงไปข้างหน้า
ผมรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ และมีความสุขมากที่ได้เดินอย่างไร้จุดหมายกับชายชราที่แปลกประหลาดชาวอินเดียนแดง ผมเริ่มพูดและถามครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แกจะชี้ให้ผมดูสมุนไพรเปโยติได้ไหม แกมองมาทางผมแต่ไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว