ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๕. การทำตัวให้เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ  (อ่าน 2120 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



อังคารที่ ๑๑ เมษายน ๑๙๖๑


              ผม มาถึงบ้านของดอนฮวนเช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน
           "อรุณสวัสดิ์ ดอนฮวน" ผมกล่าวคำทักทาย "ผมดีใจที่ได้มาเยี่ยมคุณอีก!"
           แกมองมายังผมแล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่ผมจอดรถ แกเดินเข้ามาหาแล้วดึงประตูรถให้เปิดออกในระหว่างที่ผมรวบรวมเอาถุงใส่อาหารที่ผมซื้อมาฝากแก
           เราเดินไปที่ตัวบ้านและนั่งลงข้างประตู

           ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ตัวดีว่าผมมาทำอะไรที่นี่ สามเดือนทีเดียวที่ผมรอคอยอย่างจดจ่อที่จะกลับมาสู่ "สมรภูมิ" แห่งนี้อีก ราวกับว่าระเบิดเวลาที่ติดไว้กับตัวผมระเบิดขึ้น และทันใดนั้นเองผมก็จำได้ถึงบางสิ่งที่เหนือธรรมดา ผมจำได้อีกว่า ครั้งหนึ่งผมเคยอดทนและมีความสามารถมากทีเดียว

            ก่อนที่ดอนฮวนจะพูดอะไรออกมา ผมป้อนคำถามที่รุมเร้าอยู่ในใจของผมเข้าใส่แกทันที สามเดือนทีเดียวที่ผมหมกมุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาความทรงจำเรื่องเหยี่ยวเผือกตัวนั้น ดอนฮวนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรในเมื่อผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
            แกหัวเราะและไม่ตอบคำถาม ผมอ้อนวอนให้แกตอบ
            "ไม่เห็นมีอะไรนี่" แกตอบในลักษณะที่ชวนให้อยากติดตามเหมือนเคย "ใคร ๆ ก็อาจจะบอกได้ว่าคุณเป็นคนแปลก คุณเป็นคนทื่อ ๆ ก็เท่านั้นเองแหละ"
            ผมรู้ว่าแกกำลังจะทำให้ผมควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้แล้วแกจะต้อนเข้ามุมง่าย ๆ ผมไม่อยากอยู่ในสภาวะเช่นนั้นเลย
            "เป็นไปได้หรือที่จะเห็นความตายของเรา ดอนฮวน" ผมถาม พยายามที่จะให้วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม
            "แน่นอน แกตอบพร้อมกับหัวเราะ "ความตายอยู่กับเราที่นี่แหละ"
            "คุณรู้ได้อย่างไรล่ะ?"
            "ผมเป็นคนอายุมากแล้ว จากวัยที่ล่วงเลยไป คุณเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง"
            "ผมรู้จักคนแก่มากมาย แต่คนเหล่านั้นไม่เคยเรียนรู้เรื่องนี้ คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?"
            "พูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ผมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะผมไม่มีประวัติส่วนตัว และผมไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญกว่าสิ่งอื่น ๆ และเพราะว่าความตายของผมนั่งอยู่กับผมที่นี่" แกเหยียดแขนซ้ายออกไปแล้วกระดิกนิ้วเหมือนกับว่ากำลังแตะอะไรอยู่จริง ๆ
            ผมหัวเราะ ผมรู้ว่าแกจะพาผมไปสู่จุดไหน เจ้าปีศาจแก่ตัวนี้กำลังจะเล่นงานผมอีกแล้ว บางทีอาจจะเล่นงานด้วยความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญของผมนั่นเอง แต่คราวนี้ผมไม่สนใจ ความทรงจำที่ว่า ครั้งหนึ่งผมมีความอดทนอย่างยิ่งเกิดขึ้น นั่นทำให้มีความปลาบปลื้มที่แปลกประหลาดอยู่เงียบ ๆ สิ่งนี้เข้ามาขับไล่ความหงุดหงิด ความรู้สึกที่ทนไม่ได้ในตัวของดอนฮวนออกไป ความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่คือความประหลาดในพฤติกรรมของแก

            "ถามจริง ๆเถอะ คุณเป็นใคร?" ผมถาม
            ดูแกจะประหลาดใจมาก แกเบิกตาโตแล้วกระพริบตาเหมือนกับนก คือปิดเปลือกตาเหมือนกับบานที่ปิดเปิด มันเลื่อนลงมาแล้วดึงขึ้นไป ส่วนดวงตานั้นเพ่งมองอยู่ที่จุด ๆ หนึ่ง การหยั่งเชิงของแกทำให้ผมกลัวและผมต้องถอยออกมา ดอนฮวนหัวเราะด้วยเสียงที่ปล่อยเต็มที่เหมือนกับเด็ก
            "สำหรับคุณ ผมก็คือ ฮวน มาธุส และผมพร้อมที่จะรับใช้คุณเสมอ" แกพูดออกมาด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นสุภาพ
            ดังนั้นผมจึงป้อนอีกคำถามหนึ่งที่คุกรุ่นอยู่ในใจของผม
            "คุณทำอะไรกับผมในวันแรกที่เราพบกัน ดอนฮวน?"
            ผมหมายถึงการจ้องมองของแกในวันนั้น
            "ผมรึ ไม่ได้ทำอะไรนี่" แกตอบด้วยเสียงที่แสดงความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่
            ผมบรรยายให้แกทราบถึงอาการที่เกิดขึ้น ขณะที่แกมองมายังผม มันช่างปั่นป่วนสับสนอย่างที่สุดที่การมองนั้นทำให้ผมไม่มีปากจะพูด
            ดอนฮวนหัวเราะจนน้ำตาไหลลงมาตามแก้ม อีกครั้งหนึ่งละที่ความเกลียดท่วมท้นขึ้นมา ผมคิดว่า ผมมีความจริงจังและพินิจพิจารณาเป็นอย่างดีแล้ว แต่แกช่างเป็น "อินเดียนแดง" เสียจริงในบุคคลิกหยาบ ๆ ของแก
            เห็นได้ชัดว่าแกทราบความรู้สึกของผมและแกหยุดหัวเราะทันที

            หลังจากรีรออยู่นานผมก็บอกกับแกว่า เสียงหัวเราะของแกรบกวนผมมาก ทั้งนี้ก็เพราะผมจริงจังมากที่จะเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม
            "ไม่เห็นจะมีอะไรต้องเข้าใจ" แกตอบโดยไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด
            ผมให้ข้อสังเกตกับแกถึงเหตุการณ์วิสามัญหลายอย่างที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมานับตั้งแต่ผมพบแก เริ่มต้นจากการมองที่ลึกลับ การจำเหยี่ยวเผือกได้ และการเห็นเงาบนก้อนหินซึ่งแกบอกว่าเป็นความตายของผม
            "คุณทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กับผมทำไม? ดอนฮวน" ผมถาม
            คำถามของผมไม่มีลักษณะชวนทะเลาะ ผมเพียงแต่สงสัยว่าทำไมมันจึงเป็นผม
            "คุณขอร้องให้ผมบอกคุณในสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับสมุนไพรนี่นา" แกพูด
            ผมจับน้ำเสียงที่เยาะเย้ยได้ ดูราวกับแกเย้าผมเล่น
            "แต่สิ่งที่คุณบอกผมจนถึงบัดนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับสมุนไพรเอาเลย"
            คำตอบของแกคือ ผมต้องใช้เวลาบ้างในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

            ผมรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาโต้คารมกับดอนฮวน ตอนนี้ผมรู้ว่าข้อสังเกตง่าย ๆ และเหลวไหลที่ผมเสนอขึ้นมานั้นเป็นเรื่องโง่เขลามาก เมื่ออยู่ที่บ้านผมสัญญาไว้กับตัวเองว่าจะไม่หัวเสียหรือรำคาญในตัวของดอนฮวน แต่พอเผชิญหน้ากับแกจริง ๆ เข้าขณะที่แกยั่วผม ผมก็ฉุนเฉียวขึ้นมาอีก ผมรู้ว่าไม่มีทางที่ผมจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับแกได้เลย และนี่ทำให้ผมโกรธ

            "ตอนนี้ขอให้คิดถึงความตายของคุณ" แกพูดขึ้นมาในทันใด "ดังนั้น จริง ๆ แล้ว คุณไม่มีเวลาสำหรับความคิดหรือหมกมุ่นในอารมณ์ที่ไร้สาระ ไม่มีใครเลยที่มีเวลาที่มีเวลาสำหรับเรื่องชนิดนี้
            "คุณอยากทราบไม่ใช่หรือว่า ผมทำอะไรกับคุณในวันแรกที่เราพบกัน ผมเห็นคุณ ผมเห็นว่าคุณคิดว่าคุณกำลังโกหกผมอยู่ แต่คุณโกหกไม่ได้จริง ๆ"
            ผมบอกว่า คำอธิบายของแกทำให้ผมสับสนยิ่งขึ้น แกตอบว่า นั่นเป็นเหตุผลที่แกไม่ต้องการคำอธิบายการกระทำของแก และคำแธิบายทั้งหลายไม่จำเป็นเลย             แกพูดว่า สิ่งที่มีความหมายเพียงประการเดียวคือ กระทำลงไป ทำแทนที่จะพูด "

            แกลากเสื่อฟางออกมาแล้วนอนลงไป เอาหัวหนุนห่อของ แกนอนอย่างสบายแล้วบอกกับผมว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำถ้าหากต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพร
            "คุณผิดพลาดในตัวคุณ เมื่อผมเห็นคุณ และนั่นเป็นความผิดพลาดของคุณในขณะนี้ คือคุณไม่อยากรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ" ดอนฮวนพูดช้า ๆ             ราวกับว่าจะให้เวลาผมทำความเข้าใจในสิ่งที่แกพูด "เมื่อคุณบอกกับผมในเรื่องต่าง ๆ ที่สถานีขนส่งนั้น คุณรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องโกหก ทำไมคุณถึงโกหก"
            ผมอธิบายว่า จุดมุ่งหมายของผมในตอนนั้นก็คือ "ผู้บอกข้อมูลที่ถูกต้อง" สำหรับงานค้นคว้าของผม

            ดอนฮวนยิ้มแล้วฮัมทำนองเพลงพื้นเมืองเม็กซิกัน
            " เมื่อใครก็ตามตกลงใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาต้องทำมันจนถึงที่สุด " แกพูด " และเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นอะไรก็แล้วแต่ เขาต้องทราบเป็นเบื้องแรกว่าเขาทำสิ่งนั้นทำไม และต่อมาเขาต้องทำสิ่งนั้นต่อไปด้วยการกระทำที่ไม่มีข้อสงสัยหรือเสียใจใด ๆ อีก "
            แกสำรวจดูผม ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป ในที่สุดผมก็เสี่ยงที่จะออกความเห็นซึ่งเกือบจะเป็นคำคัดค้าน
            "และนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ !"
            แกถามว่า ทำไมล่ะ ผมตอบว่า บางทีเป็นเรื่องของอุดมคติเท่านั้นเองกระมังที่เราคิดว่าควรจะทำสิ่งนี้ พอทำเข้าจริง ๆ เราก็ไม่มีทางพ้นไปจากความสงสัยหรือความเศร้าเสียใจได้เลย"
            "มีสิ มีแน่ ๆ เลย" แกตอบด้วยความมั่นใจ
            "ดูที่ผมก็แล้วกัน" แกพูด "ผมไม่มีความสงสัยหรือเศร้าเสียใจในสิ่งใด ทุกสิ่งที่ผมทำลงไปเป็นข้อตกลงใจของผมและเป็นความรับผิดชอบของผมด้วย ยกตัวอย่างในสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ผมทำคือ พาคุณออกเดินในทะเลทราย การทำเช่นนี้อาจหมายถึงความตายของผม ความตายกำลังล่าผมอยู่ ดังนั้นผมจึงไม่มีช่องทางให้กับความสงสัยหรือเสียใจอีก หากว่าผมจะต้องตายจากการพาคุณออกเดินในทะเลทรายแล้ว ผมก็ต้องตายเท่านั้น
"ในทางตรงข้าม คุณรู้สึกเอาว่าคุณจะไม่ตาย และ ข้อตัดสินของคนที่จะไม่ตายนั้นอาจยกเลิกได้หรือมีความเสียใจ หรือ สงสัย นี่แน่ะสหายรัก ในโลกที่มีความตายเป็นผู้ล่านี้ ไม่มีเวลาสำหรับความสลดใจหรือสงสัยใด ๆ อีก มีแต่เวลาในการตัดสินใจเท่านั้น "
            ผมแย้งขึ้นมาด้วยความจริงใจว่า ในความเห็นของผม นั่นเป็นโลกที่ไม่จริงเพราะเหตุที่ว่า มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลโดยการใช้รูปแบบของพฤติกรรมอันเป็นอุดมคติแล้วบอกว่านั่นเป็นวิถีทางที่ชีวิตควรจะดำเนินไป

            ผมเล่าเรื่องราวของพ่อของผมให้ดอนฮวนฟัง พ่อของผมอบรมโดยตลอดถึงความมหัศจรรย์ของการมีจิตใจที่แจ่มใสในร่างกายที่สมบูรณ์ และพร่ำสอนถึงว่าคนหนุ่มควรจะฝึกฝนร่างกายของตนอย่างแข็งขันและด้วยการแข่งขันชิงชัยในการเล่นกีฬาอย่างไรบ้าง พ่อยังหนุ่มมาก เมื่อผมอายุ ๘ ขวบนั้นแกมีอายุ ๒๗ ปีเท่านั้น
            ตามปกติแล้วในช่วงฤดูร้อนแกถือเป็นกฎทีเดียวที่จะออกจากเมืองที่แกเป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่งเพื่อจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนที่ฟาร์มของปู่และย่าที่ผมพักอยู่ด้วย และเดือนนั้นจะเป็นเดือนที่ผมตกนรก ผมบอกกับดอนฮวนถึงตัวอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับความประพฤติของพ่อ ที่ผมคิดว่าอาจจะนำมาอ้างถึงในสถานการณ์ที่เราคุยกันอยู่

            เกือบจะในทันทีที่พ่อมาถึงฟาร์ม แกจะเร่งให้ผมออกเดินทางไกลไปกับแกเพื่อว่าเราจะพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ขณะที่เราเดินไปด้วยกันนั้นแกก็จะกะโครงการไว้สำหรับเราในการที่จะออกไปว่ายน้ำทุกวันในเวลาหกโมงเช้า ในตอนกลางคืนพ่อก็จะตั้งนาฬิกาปลุกไว้เวลา ๕.๓๐ น. เพื่อว่าจะได้มีเวลาเพียงพอ เพราะว่าเราจะต้องอยู่ในน้ำเวลาหกโมงตรง และเมื่อเวลานาฬิกาปลุกขึ้นมาจริง ๆ ในตอนเช้ามืด พ่อก็จะลุกขึ้นจากที่นอน สวมแว่นเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก

            ผมจำได้แม้แต่คำพูดที่แกพูดกับตัวเอง
"อืมม…หมอกลงจัดไปหน่อยวันนี้ ฟังนะ พ่อจะนอนต่ออีกสัก ๕ นาที ๕ นาทีเท่านั้นแหละ ตกลงนะ ไม่เกิน ๕ นาทีหรอกน่า ! พ่อเพียงอยากจะเหยียดเนื้อเหยียดตัวเพื่อจะตื่นให้เต็มตาเท่านั้น"
            และแกก็จะหลับต่อไปอีกจนกระทั่งสิบโมงเช้าหรือเที่ยงเป็นประจำ

            ผมบอกกับดอนฮวนว่า สิ่งที่รบกวนจิตใจของผมมากก็คือการที่พ่อปฏิเสธที่จะยกเลิกความตั้งใจเดิมที่เห็นได้ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องเหลวทั้งเพ พ่อจะกล่าวซ้ำ ๆ เป็นกิจวัตรทุกเช้า จนในที่สุดผมทำให้แกเจ็บใจด้วยการไม่ตั้งนาฬิกาปลุก
            "นั่นไม่ใช่การตกลงใจที่ไม่จริง" ดอนฮวนพูดออกมา แกเข้าข้างพ่อของผมอย่างเห็นได้ชัด "แกไม่ทราบว่าจะลุกออกจากที่นอนได้อย่างไรเท่านั้นเอง"
            "จะอย่างไรก็ตามเถอะ" ผมพูด "ผมเอือมกับความตั้งใจที่ไม่จริงจังเสมอไปแหละ"
            "ถ้าอย่างนั้น อะไรล่ะที่เป็นข้อตกลงที่จริงจัง" แกถามออกมาพร้อมกับยิ้ม
            "พ่ออาจจะบอกกับตัวเองว่า แกออกไปว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้าไม่ได้ แต่บางทีแกอาจไปได้ในเวลาบ่ายสามโมง"
            "ข้อตกลงใจของคุณทำร้ายจิตใจมาก" ดอนฮวนพูดด้วยท่าทางที่ขึงขังจริงจังมาก
            ผมคิดว่าจับความรู้สึกเศร้าในน้ำเสียงของแกได้ เรานั่งเงียบอยู่นาน ความฉุนเฉียวที่เกิดขึ้นหายไป และผมคิดถึงพ่อ
            "แกไม่อยากออกไปว่ายน้ำในเวลาบ่ายสามโมง คุณไม่เห็นความจริงในข้อนี้หรือ" ดอนฮวนบอก

            คำพูดของแกทำให้ผมโพล่งออกมา ผมบอกแกว่า พ่อของผมอ่อนแอ และโลกของแกเป็นโลกของการกระทำในอุดมคติซึ่งไม่อาจทำได้จริง ผมเกือบจะตะโกนถ้อยคำเหล่านี้ออกไป
           
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แกสั่นหัวช้า ๆ เป็นจังหวะ ผมรู้สึกสลดใจอย่างรุนแรง การนำเรื่องของพ่อมาคิดทำให้เกิดความรู้สึกกัดกร่อนเข้าไปเสมอ

            "คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าใช่ไหม" แกถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา ๆ
            ผมตอบว่าใช่ ผมเล่าถึงความรู้สึกปั่นป่วนสับสนที่พ่อทำให้เกิดขึ้นอีกด้วย แต่ดอนฮวนพูดขัดขึ้นมา
            "แกเลวทรามกับคุณหรือเปล่า"
            "เปล่า"
            "แกมีใจคับแคบกับคุณหรือ"
            "เปล่า"
            "แกทำทุกสิ่งที่แกทำได้หรือเปล่าล่ะ"
            "ทำ"
            "ถ้าอย่างนั้น อะไรล่ะที่ผิดพลาดไปในตัวพ่อของคุณ"
            ผมตะโกนออกมาอีกว่า แกอ่อนแอ แต่ผมยั้งตัวเองไว้ได้และลดเสียงลง ผมรู้สึกตัวเองเป็นตัวตลกอยู่บ้างเมื่อถูกสอบถามจากดอนฮวน
            "คุณถามในเรื่องเหล่านี้เพื่ออะไร" ผมถาม "เข้าใจว่าเราจะพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเสียอีก"
            ผมรู้สึกหัวหมุนและเหี่ยวแห้งใจยิ่งกว่าเดิม ผมบอกกับแกว่าไม่ใช่ธุระของแก และคุณสมบัติของแกยังห่างไกลมากที่จะมาตัดสินพฤติกรรมของพ่อของผม นั่นทำให้ดอนฮวนหัวเราะออกมาเต็มเสียง
            "เมื่อคุณโกรธ คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกต้องเสมอไป ใช่หรือไม่ล่ะ"
แกถามแล้วหรุบเปลือกตาเหมือนนก

            แกพูดถูก ผมมีแนวโน้มว่าตัวเองถูกต้องแล้วที่จะโกรธ
            "ถ้าอย่างนั้นอย่าพูดกันถึงเรื่องของพ่อของผมเลย" ผมพูด แล้วแกล้งทำเหมือนว่าอยู่ในอารมณ์ที่ร่าเริง "เราคุยกันเรื่องสมุนไพรดีกว่า"
            "ไม่หรอก เราจะคุยกันในเรื่องพ่อของคุณ" แกยืนกระต่ายขาเดียว "นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับวันนี้ ถ้าหากคุณคิดว่าคุณเข้มแข็งกว่าพ่อของคุณแล้ว ทำไมคุณไม่ออกไปว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้าเสียเองล่ะ"
            ผมบอกกับดอนฮวนว่า ผมไม่เชื่อว่าพ่ออยากให้ผมออกไปว่ายน้ำในตอนเช้าจริง ๆ ผมคิดอยู่เสมอว่าการว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้าเป็นเรื่องของพ่อ ไม่ใช่ของผม
            "มันเป็นเรื่องของคุณด้วยนับตั้งแต่ตอนที่คุณรับเอาความคิดของแก" ดอนฮวนพูดสวนออกมา
            ผมบอกว่า ผมไม่เคยยอมรับความคิดนี้ และผมรู้ดีว่าพ่อไม่เคยจริงจังกับตัวของแกเอง             ดอนฮวนถามขึ้นมาอย่างจริงจังว่าแล้วทำไมผมถึงไม่แสดงความเห็นของผมออกมาในตอนนั้น
            "คุณไม่พูดกับพ่อของคุณในเรื่องอย่างนี้หรอก" ผมตอบด้วยคำแก้ตัวที่อ่อนมาก
            "อ้าวทำไมล่ะ"
            "เราไม่พูดเรื่องอย่างนี้ในบ้านของเรา เท่านั้นเอง"
            "คุณเคยทำสิ่งที่เลวกว่านี้ในบ้านของคุณ" แกประกาศออกมาราวกับว่าเป็นผู้พิพากษานั่งบัลลังก์ " มีสิ่งเดียวที่คุณไม่เคยทำ คือขัดเกลาวิญญาณของคุณเอง "
          มีพลังทำลายชนิดหนึ่งในคำพูดของดอนฮวนซึ่งสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของผม มันทำให้คำป้องกันตัวของผมไม่มีความหมายเอาเลย ผมไม่อาจถกเถียงกับแกได้อีกต่อไป ผมจึงหาที่พึ่งจากการจดบันทึก

            ผมพยายามที่จะอธิบายด้วยเหตุผลที่อ่อนมากเป็นครั้งสุดท้าย ผมบอกว่า เท่าที่ผ่านมา ผมพบคนชนิดเดียวกับพ่อหลายคน คนเหล่านั้นก็เหมือนกับพ่อของผม คือผูกมัดผมไว้ด้วยโครงการของพวกเขา และตามแบบฉบับ ผมจะถูกปล่อยให้เฝ้าโยงโครงการอยู่อย่างนั้น
            "คุณกำลังบ่น" แกพูดออกมาเบา ๆ "คุณคร่ำครวญอยู่ตลอดชีวิตของคุณเพราะว่าคุณไม่ได้ทำตัวให้มีความรับผิดชอบในข้อตกลงของคุณเอง ถ้าหากคุณมีความรับผิดชอบในความคิดของพ่อของคุณที่จะออกไปว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้า คุณน่าจะออกไปว่ายน้ำ ว่ายมันคนเดียวถ้าจำเป็น หรือไม่คุณน่าจะบอกกับพ่อของคุณให้ลงนรกไปเสียขณะที่แกจะอ้าปากพูดในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่คุณก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย ดังนั้นคุณเองก็เป็นคนอ่อนแอเหมือนกับพ่อของคุณนะแหละ"
            " การที่จะรับผิดชอบต่อข้อตกลงใจของตนหมายถึงว่า คุณพร้อมที่จะตายเพื่อข้อตกลงอันนั้น "
            "เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน !" ผมพูดออกมา "คุณกำลังจะเบนเรื่องนี้ไปอีกทางหนึ่ง"
            แกไม่ยอมให้ผมพูดจนจบ ผมกำลังจะบอกกับแกว่า ผมยกเอาเรื่องของพ่อมาพูดถึงเพียงเพื่อเป็นตัวอย่างของลักษณะการกระทำที่ไม่จริง และไม่มีใครที่อยู่ในสภาวะจิตปกติอยากจะทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนั้น
            " ไม่สำคัญเลยว่าข้อตกลงใจนั้นจะเป็นอะไร " แกพูด " ไม่มีอะไรที่มีความจริงจังมากหรือจริงจังน้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่ง คุณไม่เห็นหรือว่า ในโลกที่ความตายเป็นผู้ล่านี้ ไม่มีข้อตกลงใจที่เล็กน้อยหรือข้อตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ มีแต่ข้อตัดสินใจที่เรากระทำเบื้องหน้าความตายซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น "

            ผมพูดไม่ออก เวลาคงผ่านไปแล้วสักหนึ่งชั่วโมงกระมัง ดอนฮวนนอนไม่กระดุกกระดิกบนเสื่อ แกไม่ได้นอนหลับ
            "ทำไมคุณจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับผมล่ะ ดอนฮวน" ผมถาม "คุณทำเช่นนี้กับผมทำไม"
            "คุณมาหาผม" แกพูด "ไม่หรอก ไม่ใช่เช่นนั้น คุณถูกนำมาหาผมต่างหาก และผมแนะท่าให้กับคุณ"
            "ขอโทษ คุณว่าอะไรนะ"
            "คุณน่าจะแนะท่าให้กับพ่อของคุณโดยการออกไปว่ายน้ำ แต่คุณก็ไม่ทำ บางทีอาจเป็นเพราะคุณยังเด็กเกินไปก็ได้ ผมมีชีวิตอยู่มานานกว่าคุณ ผมไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จะรีบร้อนในชีวิต ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะแนะท่าให้กับคุณบ้างตามสมควร"

            ในตอนบ่ายเราออกเดิน ผมเดินตามแกได้ทันโดยไม่ลำบากนัก และรู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่ไม่วายในเรื่องเรี่ยวแรงอันมหาศาลของแก ดอนฮวนเดินได้อย่างคล่องแคล่วและด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ขณะที่ผมเดินตามติดแกไปนั้นผมเปรียบเสมือนเด็กเล็ก ๆ เราเดินไปทางทิศตะวันออก ผมสังเกตว่าแกไม่อยากจะพูดในขณะที่เดิน ถ้าผมพูดกับแกแกก็จะหยุดเดินเพื่อตอบคำถาม
            พอเดินมาได้ราวสองชั่วโมงเรามาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ดอนฮวนนั่งลงแล้วทำท่าให้ผมนั่งข้างตัวแก แกประกาศออกมาอย่างขึงขังแกมตลกว่า แกจะเล่านิทานให้ผมฟัง

            แกเล่าว่า…กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวอินเดียนแดงที่สิ้นเนื้อประดาตัวและมาอาศัยอยู่ปนกับคนผิวขาวในเมืองแห่งหนึ่ง เขาไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องและไม่มีเพื่อน เขาเข้ามาในเมืองเพื่อเผชิญโชค แต่สิ่งที่เขาพบคือความทุกข์ยากและความปวดร้าวเท่านั้น เขาหาเงินได้ไม่กี่สตางค์เป็นครั้งคราวด้วยการทำงานหนักเหมือนลา เงินที่ได้มาเกือบไม่พอซื้อขนมปังสักชิ้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงต้องนั่งลงขอทานหรือไม่ก็ต้องขโมยเขากินอย่างแน่นอน

            ดอนฮวนเล่าต่อว่า.. วันหนึ่งชายหนุ่มไปที่ตลาด เขาเดินกลับไปกลับมาตามถนนด้วยความงงงวย ตาของเขาลุกเมื่อมองเห็นของดี ๆ วางขายอยู่ที่นั่น ชายหนุ่มคลั่งจนมองไม่เห็นว่าตัวเองเดินอยู่ที่ไหน ในที่สุดก็เหยียบลงบนกระจาดแล้วล้มทับลงไปที่ชายแก่คนหนึ่ง

          ชายแก่คนนั้นหาบน้ำเต้า 1 ลูกโตมาสี่ลูก แกเพิ่งนั่งลงพักเพื่อกินอาหาร…
           ดอนฮวนยิ้มเหมือนกับจะรู้ทันแล้วเล่าต่อไปว่า…ชายแก่รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่แปลกเอามาก ๆ ที่ชายหนุ่มเอาหัวทิ่มลงมาที่แก แกไม่โกรธที่ถูกรบกวนแต่ตะลึงที่เห็นชายหนุ่มล้มทับแก แต่ชายหนุ่มกลับโกรธมากและสั่งให้ชายแก่หลีกทางไป เขาไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่ตัวเขาเองและชายแก่มาเจอกันได้นั้นเพราะอะไรกันแน่ และเขาก็ไม่ได้ดูด้วยว่าทางที่เขาเดินกับทางที่ชายแก่นั่งอยู่ไม่ใช่ทางเดียวกัน

            ดอนฮวนทำเสียงล้อเลียนการเคลื่อนไหวของคนที่ไล่เก็บเอาของที่กลิ้งหนีไป แกบอกว่า น้ำเต้าของตาแก่คว่ำลงและกลิ้งไปตามท้องถนน             
           ชายหนุ่มเมื่อมองเห็นน้ำเต้าเหล่านั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาพบอาหารสำหรับวันนี้แล้ว เขาพยุงชายแก่ให้ลุกขึ้น แล้วเสนอตัวที่จะช่วยชายแก่แบกน้ำเต้าที่หนักมากเหล่านั้นไปให้ ชายแก่บอกว่าแกกำลังจะกลับบ้านที่อยู่บนภูเขา ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังรบเร้าที่จะไปกับแก อย่างน้อยที่สุดสักพักหนึ่งก็ยังดี

            ชายแก่เดินไปตามทางที่มุ่งไปสู่ภูเขา ขณะที่เดินไปนั้น แกแบ่งอาหารที่แกซื้อมาจากตลาดให้กับชายหนุ่มส่วนหนึ่ง ชายหนุ่มกินอาหารนั้นจนอิ่ม และเมื่ออิ่มเต็มที่แล้วเขาก็รู้สึกว่าน้ำเต้าที่แบกมานั้นช่างหนักเสียนี่กระไร เขาต้องกอดมันไว้แน่น

            ดอนฮวนลืมตาขึ้น ยิ้มยิงฟันอย่างน่าเกลียดแล้วเล่าต่อไป.. ชายหนุ่มถามออกมาว่า "ตาใส่อะไรไว้ในน้ำเต้าเหล่านี้ล่ะ" ชายแก่ไม่ตอบแต่แกบอกกับชายหนุ่มว่า แกกำลังจะชี้ให้ชายหนุ่มดูสหายหรือเพื่อนที่จะมายกความโศกเศร้าทั้งหลายที่เขามีออกไป และจะมาแนะนำสั่งสอนชายหนุ่มเกี่ยวกับดำเนินชีวิตในโลก
            ดอนฮวนทำท่าทางด้วยมือทั้งสองข้างเหมือนกับว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเล่าต่อ…. ชายแก่เรียกเอากวางที่สวยที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นออกมา กวางตัวนั้นเชื่องมาก มันเดินมาที่ชายหนุ่มแล้วเดินวนรอบตัวเขา ผิวของมันเป็นมันเลื่อมระยับและส่องประกาย ชายหนุ่มถึงกับตะลึงและเริ่มรู้สึกขึ้นมาในทันทีนั้นว่ามันคือ "กวางผีสิง" นั่นเอง ต่อมาชายแก่บอกกับเขาว่า ถ้าหากเขามีความประสงค์ที่จะมีเพื่อนตัวที่เห็นอยู่นั้น และต้องการสติปัญญาจากมันแล้ว เขาต้องวางน้ำเต้าเหล่านั้นลงเสียก่อน

           อาการยิ้มแสยะที่ดอนฮวนแสดงออกมาชี้ให้เห็นถึงความโลภ แกบอกว่า ความโลภอันน่าเกลียดของชายหนุ่มถูกกระทบเมื่อได้ยินคำขอร้องนั้น
            นัยน์ตาของดอนฮวนหรี่ลงเหมือนตาของปีศาจขณะที่แกออกเสียงของชายหนุ่มที่ถามออกมาว่า "ตาใส่อะไรไว้ในน้ำเต้าลูกโตทั้งสี่ลูกนี้ล่ะ" ดอนฮวนพูดว่า ชายแก่ตอบอย่างอารมณ์เย็นว่า มี "ปีโนเล่" 2 และน้ำในน้ำเต้าเหล่านั้น
           ดอนฮวนหยุดเล่า แกเดินไปรอบ ๆ เป็นวงกลมสองครั้ง ผมไม่ทราบว่าแกทำเช่นนั้นทำไม แต่ก็เห็นได้ชัดว่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่เล่า วงกลมดูจะเป็นเจตนาของชายหนุ่มคนนั้น
            ดอนฮวนบอกว่า แน่นอนละ ชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของชายแก่เลย เขาเดาว่า ชายแก่คนนี้ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าเป็นพ่อมดต้องการที่จะเอาน้ำเต้าเหล่านี้ให้กับ"กวางผีสิง"ตัวนี้แล้ว น้ำเต้าเหล่านี้ต้องเต็มไปด้วยพลังมหาศาลอย่างแน่นอน 3

           ดอนฮวนทำหน้าตาบิดเบี้ยวแล้วแสยะยิ้มอีกครั้งพลางเล่าต่อไปว่า…. ชายหนุ่มประกาศออกมาว่า เขาต้องการน้ำเต้าเหล่านี้ แกหยุดเล่าไปนานซึ่งดูเหมือนว่า เรื่องจบลงแล้ว

            แกนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ผมก็แน่ใจว่าแกต้องการให้ผมถามออกมา ผมจึงถามว่า
            "เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้นล่ะ"
            "เขาก็แบกเอาน้ำเต้าไปนะสิ" แกตอบพร้อมกับยิ้มด้วยความพอใจ

            แกหยุดเล่าอีกนาน ผมหัวเราะ รู้สึกว่านี่คงจะเป็น "การเล่าเรื่องแบบอินเดียนแดง" อย่างแท้จริง นัยน์ของดอนฮวนแวววาวขณะที่แกยิ้มกับผม มีลักษณะที่ไร้เดียงสาในตัวของแก แกหัวเราะเบา ๆ แล้วถามผมว่า "คุณไม่อยากทราบอะไรเกี่ยวกับน้ำเต้าเหล่านั้นบ้างหรือ"
            "แน่นอน ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมคิดว่านั่นเป็นตอนจบของเรื่อง ใช่หรือเปล่า"
            "โอ ไม่ใช่หรอก" แกบอก มีแววซุกซนในดวงตาของแก "ชายหนุ่มแบกเอาน้ำเต้าเหล่านั้นวิ่งไปยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งแล้วเปิดฝาน้ำเต้าเหล่านั้นออก"
            "เขาพบอะไรล่ะ" ผมถาม
            ดอนฮวนชำเลืองดูผม ผมรู้ว่า แกคงทราบดีถึงการเล่นเอาเถิดที่มีอยู่ในสมองของผม แกสั่นหัวแล้วหัวเราะคัก ๆ ออกมา
            "เอาละ" ผมกระตุ้นให้แกพูดออกมา "น้ำเต้าเหล่านั้นไม่มีอะไรอยู่เลยใช่ไหม"
            "มีสิ มีอาหารและน้ำเท่านั้นเอง" แกตอบ "และด้วยความโกรธ ชายหนุ่มฟาดน้ำเต้าเหล่านั้นกับก้อนหิน"

            ผมบอกว่า การกระทำของชายหนุ่มเป็นเรื่องธรรมดา ใครก็ตามตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้นก็น่าจะทำอย่างเดียวกันมิใช่หรือ
            แต่คำตอบของดอนฮวนมีว่า ชายหนุ่มเป็นคนโง่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสวงหาอะไร เขาไม่ทราบว่า "พลัง" คืออะไร ดังนั้นเขาจึงบอกไม่ได้ว่าเขาพบพลังแล้วหรือยัง เขาไม่รับผิดชอบในการตัดสินใจของตน ดังนั้นเขาจึงโกรธความโง่เซอะของตัวเอง เขาหวังในสิ่งหนึ่งแต่กลับได้รับอีกสิ่งหนึ่ง
            ดอนฮวนเดาขึ้นมาว่าถ้าผมเป็นชายหนุ่มคนนั้น หรือผมทำตามสิ่งที่ผมคิดแล้ว ในที่สุดผมต้องโกรธและเศร้าเสียใจ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ผมจะเสียใจในสิ่งที่ผมสูญเสียไปอย่างแน่นอน
            ดอนฮวนย้อนมาอธิบายการกระทำของชายแก่ แกเลี้ยงชายหนุ่มอย่างเต็มคราบเพื่อจะให้ชายหนุ่ม "กระเดือกจนพุงกาง" ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มพบว่าน้ำเต้าเหล่านั้นบรรจุแต่อาหารไว้เท่านั้น เขาก็ทุบมันทิ้งด้วยความโกรธ
            " ถ้าชายหนุ่มรู้สึกตัวดีถึงสิ่งที่เขาตัดสินใจลงไปและมีความรับผิดชอบในข้อตัดสินใจอันนั้น" ดอนฮวนพูด "เขาน่าจะเก็บอาหารนั้นไว้ และบางทีนะ เขาอาจจะรู้ชัดแจ้งขึ้นมาว่า อาหารก็คือพลังเหมือนกัน "


 


--------------------------------------------------------------------------------

1น้ำเต้า ชาวอินเดียนแดงหรือชาวเม็กซิกันจะใส่อาหารหรือน้ำในลูกน้ำเต้าแห้งที่ควัดเอาเนื้อในออกแล้ว
2 ปิโนเล่ (Pinole) เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่ง
3 พลัง เป็นของดีที่ชาวอินเดียนแดงพากันแสวงหา เหมือนกับเหล็กไหล หรือ เขี้ยวหมูตันในบ้านเรา

http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :45:
  ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~