ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แกสั่นหัวช้า ๆ เป็นจังหวะ ผมรู้สึกสลดใจอย่างรุนแรง การนำเรื่องของพ่อมาคิดทำให้เกิดความรู้สึกกัดกร่อนเข้าไปเสมอ
"คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าใช่ไหม" แกถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา ๆ
ผมตอบว่าใช่ ผมเล่าถึงความรู้สึกปั่นป่วนสับสนที่พ่อทำให้เกิดขึ้นอีกด้วย แต่ดอนฮวนพูดขัดขึ้นมา
"แกเลวทรามกับคุณหรือเปล่า"
"เปล่า"
"แกมีใจคับแคบกับคุณหรือ"
"เปล่า"
"แกทำทุกสิ่งที่แกทำได้หรือเปล่าล่ะ"
"ทำ"
"ถ้าอย่างนั้น อะไรล่ะที่ผิดพลาดไปในตัวพ่อของคุณ"
ผมตะโกนออกมาอีกว่า แกอ่อนแอ แต่ผมยั้งตัวเองไว้ได้และลดเสียงลง ผมรู้สึกตัวเองเป็นตัวตลกอยู่บ้างเมื่อถูกสอบถามจากดอนฮวน
"คุณถามในเรื่องเหล่านี้เพื่ออะไร" ผมถาม "เข้าใจว่าเราจะพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเสียอีก"
ผมรู้สึกหัวหมุนและเหี่ยวแห้งใจยิ่งกว่าเดิม ผมบอกกับแกว่าไม่ใช่ธุระของแก และคุณสมบัติของแกยังห่างไกลมากที่จะมาตัดสินพฤติกรรมของพ่อของผม นั่นทำให้ดอนฮวนหัวเราะออกมาเต็มเสียง
"เมื่อคุณโกรธ คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกต้องเสมอไป ใช่หรือไม่ล่ะ"
แกถามแล้วหรุบเปลือกตาเหมือนนก
แกพูดถูก ผมมีแนวโน้มว่าตัวเองถูกต้องแล้วที่จะโกรธ
"ถ้าอย่างนั้นอย่าพูดกันถึงเรื่องของพ่อของผมเลย" ผมพูด แล้วแกล้งทำเหมือนว่าอยู่ในอารมณ์ที่ร่าเริง "เราคุยกันเรื่องสมุนไพรดีกว่า"
"ไม่หรอก เราจะคุยกันในเรื่องพ่อของคุณ" แกยืนกระต่ายขาเดียว "นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับวันนี้ ถ้าหากคุณคิดว่าคุณเข้มแข็งกว่าพ่อของคุณแล้ว ทำไมคุณไม่ออกไปว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้าเสียเองล่ะ"
ผมบอกกับดอนฮวนว่า ผมไม่เชื่อว่าพ่ออยากให้ผมออกไปว่ายน้ำในตอนเช้าจริง ๆ ผมคิดอยู่เสมอว่าการว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้าเป็นเรื่องของพ่อ ไม่ใช่ของผม
"มันเป็นเรื่องของคุณด้วยนับตั้งแต่ตอนที่คุณรับเอาความคิดของแก" ดอนฮวนพูดสวนออกมา
ผมบอกว่า ผมไม่เคยยอมรับความคิดนี้ และผมรู้ดีว่าพ่อไม่เคยจริงจังกับตัวของแกเอง ดอนฮวนถามขึ้นมาอย่างจริงจังว่าแล้วทำไมผมถึงไม่แสดงความเห็นของผมออกมาในตอนนั้น
"คุณไม่พูดกับพ่อของคุณในเรื่องอย่างนี้หรอก" ผมตอบด้วยคำแก้ตัวที่อ่อนมาก
"อ้าวทำไมล่ะ"
"เราไม่พูดเรื่องอย่างนี้ในบ้านของเรา เท่านั้นเอง"
"คุณเคยทำสิ่งที่เลวกว่านี้ในบ้านของคุณ" แกประกาศออกมาราวกับว่าเป็นผู้พิพากษานั่งบัลลังก์ " มีสิ่งเดียวที่คุณไม่เคยทำ คือขัดเกลาวิญญาณของคุณเอง "
มีพลังทำลายชนิดหนึ่งในคำพูดของดอนฮวนซึ่งสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของผม มันทำให้คำป้องกันตัวของผมไม่มีความหมายเอาเลย ผมไม่อาจถกเถียงกับแกได้อีกต่อไป ผมจึงหาที่พึ่งจากการจดบันทึก
ผมพยายามที่จะอธิบายด้วยเหตุผลที่อ่อนมากเป็นครั้งสุดท้าย ผมบอกว่า เท่าที่ผ่านมา ผมพบคนชนิดเดียวกับพ่อหลายคน คนเหล่านั้นก็เหมือนกับพ่อของผม คือผูกมัดผมไว้ด้วยโครงการของพวกเขา และตามแบบฉบับ ผมจะถูกปล่อยให้เฝ้าโยงโครงการอยู่อย่างนั้น
"คุณกำลังบ่น" แกพูดออกมาเบา ๆ "คุณคร่ำครวญอยู่ตลอดชีวิตของคุณเพราะว่าคุณไม่ได้ทำตัวให้มีความรับผิดชอบในข้อตกลงของคุณเอง ถ้าหากคุณมีความรับผิดชอบในความคิดของพ่อของคุณที่จะออกไปว่ายน้ำในเวลาหกโมงเช้า คุณน่าจะออกไปว่ายน้ำ ว่ายมันคนเดียวถ้าจำเป็น หรือไม่คุณน่าจะบอกกับพ่อของคุณให้ลงนรกไปเสียขณะที่แกจะอ้าปากพูดในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่คุณก็ไม่พูดอะไรออกมาเลย ดังนั้นคุณเองก็เป็นคนอ่อนแอเหมือนกับพ่อของคุณนะแหละ"
" การที่จะรับผิดชอบต่อข้อตกลงใจของตนหมายถึงว่า คุณพร้อมที่จะตายเพื่อข้อตกลงอันนั้น "
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน !" ผมพูดออกมา "คุณกำลังจะเบนเรื่องนี้ไปอีกทางหนึ่ง"
แกไม่ยอมให้ผมพูดจนจบ ผมกำลังจะบอกกับแกว่า ผมยกเอาเรื่องของพ่อมาพูดถึงเพียงเพื่อเป็นตัวอย่างของลักษณะการกระทำที่ไม่จริง และไม่มีใครที่อยู่ในสภาวะจิตปกติอยากจะทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนั้น
" ไม่สำคัญเลยว่าข้อตกลงใจนั้นจะเป็นอะไร " แกพูด " ไม่มีอะไรที่มีความจริงจังมากหรือจริงจังน้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่ง คุณไม่เห็นหรือว่า ในโลกที่ความตายเป็นผู้ล่านี้ ไม่มีข้อตกลงใจที่เล็กน้อยหรือข้อตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ มีแต่ข้อตัดสินใจที่เรากระทำเบื้องหน้าความตายซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น "
ผมพูดไม่ออก เวลาคงผ่านไปแล้วสักหนึ่งชั่วโมงกระมัง ดอนฮวนนอนไม่กระดุกกระดิกบนเสื่อ แกไม่ได้นอนหลับ
"ทำไมคุณจึงบอกเรื่องเหล่านี้กับผมล่ะ ดอนฮวน" ผมถาม "คุณทำเช่นนี้กับผมทำไม"
"คุณมาหาผม" แกพูด "ไม่หรอก ไม่ใช่เช่นนั้น คุณถูกนำมาหาผมต่างหาก และผมแนะท่าให้กับคุณ"
"ขอโทษ คุณว่าอะไรนะ"
"คุณน่าจะแนะท่าให้กับพ่อของคุณโดยการออกไปว่ายน้ำ แต่คุณก็ไม่ทำ บางทีอาจเป็นเพราะคุณยังเด็กเกินไปก็ได้ ผมมีชีวิตอยู่มานานกว่าคุณ ผมไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จะรีบร้อนในชีวิต ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะแนะท่าให้กับคุณบ้างตามสมควร"
ในตอนบ่ายเราออกเดิน ผมเดินตามแกได้ทันโดยไม่ลำบากนัก และรู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่ไม่วายในเรื่องเรี่ยวแรงอันมหาศาลของแก ดอนฮวนเดินได้อย่างคล่องแคล่วและด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ขณะที่ผมเดินตามติดแกไปนั้นผมเปรียบเสมือนเด็กเล็ก ๆ เราเดินไปทางทิศตะวันออก ผมสังเกตว่าแกไม่อยากจะพูดในขณะที่เดิน ถ้าผมพูดกับแกแกก็จะหยุดเดินเพื่อตอบคำถาม
พอเดินมาได้ราวสองชั่วโมงเรามาถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ดอนฮวนนั่งลงแล้วทำท่าให้ผมนั่งข้างตัวแก แกประกาศออกมาอย่างขึงขังแกมตลกว่า แกจะเล่านิทานให้ผมฟัง
แกเล่าว่า…กาลครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวอินเดียนแดงที่สิ้นเนื้อประดาตัวและมาอาศัยอยู่ปนกับคนผิวขาวในเมืองแห่งหนึ่ง เขาไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องและไม่มีเพื่อน เขาเข้ามาในเมืองเพื่อเผชิญโชค แต่สิ่งที่เขาพบคือความทุกข์ยากและความปวดร้าวเท่านั้น เขาหาเงินได้ไม่กี่สตางค์เป็นครั้งคราวด้วยการทำงานหนักเหมือนลา เงินที่ได้มาเกือบไม่พอซื้อขนมปังสักชิ้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงต้องนั่งลงขอทานหรือไม่ก็ต้องขโมยเขากินอย่างแน่นอน
ดอนฮวนเล่าต่อว่า.. วันหนึ่งชายหนุ่มไปที่ตลาด เขาเดินกลับไปกลับมาตามถนนด้วยความงงงวย ตาของเขาลุกเมื่อมองเห็นของดี ๆ วางขายอยู่ที่นั่น ชายหนุ่มคลั่งจนมองไม่เห็นว่าตัวเองเดินอยู่ที่ไหน ในที่สุดก็เหยียบลงบนกระจาดแล้วล้มทับลงไปที่ชายแก่คนหนึ่ง
ชายแก่คนนั้นหาบน้ำเต้า 1 ลูกโตมาสี่ลูก แกเพิ่งนั่งลงพักเพื่อกินอาหาร…
ดอนฮวนยิ้มเหมือนกับจะรู้ทันแล้วเล่าต่อไปว่า…ชายแก่รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่แปลกเอามาก ๆ ที่ชายหนุ่มเอาหัวทิ่มลงมาที่แก แกไม่โกรธที่ถูกรบกวนแต่ตะลึงที่เห็นชายหนุ่มล้มทับแก แต่ชายหนุ่มกลับโกรธมากและสั่งให้ชายแก่หลีกทางไป เขาไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่ตัวเขาเองและชายแก่มาเจอกันได้นั้นเพราะอะไรกันแน่ และเขาก็ไม่ได้ดูด้วยว่าทางที่เขาเดินกับทางที่ชายแก่นั่งอยู่ไม่ใช่ทางเดียวกัน
ดอนฮวนทำเสียงล้อเลียนการเคลื่อนไหวของคนที่ไล่เก็บเอาของที่กลิ้งหนีไป แกบอกว่า น้ำเต้าของตาแก่คว่ำลงและกลิ้งไปตามท้องถนน
ชายหนุ่มเมื่อมองเห็นน้ำเต้าเหล่านั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาพบอาหารสำหรับวันนี้แล้ว เขาพยุงชายแก่ให้ลุกขึ้น แล้วเสนอตัวที่จะช่วยชายแก่แบกน้ำเต้าที่หนักมากเหล่านั้นไปให้ ชายแก่บอกว่าแกกำลังจะกลับบ้านที่อยู่บนภูเขา ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังรบเร้าที่จะไปกับแก อย่างน้อยที่สุดสักพักหนึ่งก็ยังดี
ชายแก่เดินไปตามทางที่มุ่งไปสู่ภูเขา ขณะที่เดินไปนั้น แกแบ่งอาหารที่แกซื้อมาจากตลาดให้กับชายหนุ่มส่วนหนึ่ง ชายหนุ่มกินอาหารนั้นจนอิ่ม และเมื่ออิ่มเต็มที่แล้วเขาก็รู้สึกว่าน้ำเต้าที่แบกมานั้นช่างหนักเสียนี่กระไร เขาต้องกอดมันไว้แน่น
ดอนฮวนลืมตาขึ้น ยิ้มยิงฟันอย่างน่าเกลียดแล้วเล่าต่อไป.. ชายหนุ่มถามออกมาว่า "ตาใส่อะไรไว้ในน้ำเต้าเหล่านี้ล่ะ" ชายแก่ไม่ตอบแต่แกบอกกับชายหนุ่มว่า แกกำลังจะชี้ให้ชายหนุ่มดูสหายหรือเพื่อนที่จะมายกความโศกเศร้าทั้งหลายที่เขามีออกไป และจะมาแนะนำสั่งสอนชายหนุ่มเกี่ยวกับดำเนินชีวิตในโลก
ดอนฮวนทำท่าทางด้วยมือทั้งสองข้างเหมือนกับว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเล่าต่อ…. ชายแก่เรียกเอากวางที่สวยที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นออกมา กวางตัวนั้นเชื่องมาก มันเดินมาที่ชายหนุ่มแล้วเดินวนรอบตัวเขา ผิวของมันเป็นมันเลื่อมระยับและส่องประกาย ชายหนุ่มถึงกับตะลึงและเริ่มรู้สึกขึ้นมาในทันทีนั้นว่ามันคือ "กวางผีสิง" นั่นเอง ต่อมาชายแก่บอกกับเขาว่า ถ้าหากเขามีความประสงค์ที่จะมีเพื่อนตัวที่เห็นอยู่นั้น และต้องการสติปัญญาจากมันแล้ว เขาต้องวางน้ำเต้าเหล่านั้นลงเสียก่อน
อาการยิ้มแสยะที่ดอนฮวนแสดงออกมาชี้ให้เห็นถึงความโลภ แกบอกว่า ความโลภอันน่าเกลียดของชายหนุ่มถูกกระทบเมื่อได้ยินคำขอร้องนั้น
นัยน์ตาของดอนฮวนหรี่ลงเหมือนตาของปีศาจขณะที่แกออกเสียงของชายหนุ่มที่ถามออกมาว่า "ตาใส่อะไรไว้ในน้ำเต้าลูกโตทั้งสี่ลูกนี้ล่ะ" ดอนฮวนพูดว่า ชายแก่ตอบอย่างอารมณ์เย็นว่า มี "ปีโนเล่" 2 และน้ำในน้ำเต้าเหล่านั้น
ดอนฮวนหยุดเล่า แกเดินไปรอบ ๆ เป็นวงกลมสองครั้ง ผมไม่ทราบว่าแกทำเช่นนั้นทำไม แต่ก็เห็นได้ชัดว่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่เล่า วงกลมดูจะเป็นเจตนาของชายหนุ่มคนนั้น
ดอนฮวนบอกว่า แน่นอนละ ชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของชายแก่เลย เขาเดาว่า ชายแก่คนนี้ซึ่งเห็นอยู่แล้วว่าเป็นพ่อมดต้องการที่จะเอาน้ำเต้าเหล่านี้ให้กับ"กวางผีสิง"ตัวนี้แล้ว น้ำเต้าเหล่านี้ต้องเต็มไปด้วยพลังมหาศาลอย่างแน่นอน 3
ดอนฮวนทำหน้าตาบิดเบี้ยวแล้วแสยะยิ้มอีกครั้งพลางเล่าต่อไปว่า…. ชายหนุ่มประกาศออกมาว่า เขาต้องการน้ำเต้าเหล่านี้ แกหยุดเล่าไปนานซึ่งดูเหมือนว่า เรื่องจบลงแล้ว
แกนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ผมก็แน่ใจว่าแกต้องการให้ผมถามออกมา ผมจึงถามว่า
"เกิดอะไรขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้นล่ะ"
"เขาก็แบกเอาน้ำเต้าไปนะสิ" แกตอบพร้อมกับยิ้มด้วยความพอใจ
แกหยุดเล่าอีกนาน ผมหัวเราะ รู้สึกว่านี่คงจะเป็น "การเล่าเรื่องแบบอินเดียนแดง" อย่างแท้จริง นัยน์ของดอนฮวนแวววาวขณะที่แกยิ้มกับผม มีลักษณะที่ไร้เดียงสาในตัวของแก แกหัวเราะเบา ๆ แล้วถามผมว่า "คุณไม่อยากทราบอะไรเกี่ยวกับน้ำเต้าเหล่านั้นบ้างหรือ"
"แน่นอน ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมคิดว่านั่นเป็นตอนจบของเรื่อง ใช่หรือเปล่า"
"โอ ไม่ใช่หรอก" แกบอก มีแววซุกซนในดวงตาของแก "ชายหนุ่มแบกเอาน้ำเต้าเหล่านั้นวิ่งไปยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งแล้วเปิดฝาน้ำเต้าเหล่านั้นออก"
"เขาพบอะไรล่ะ" ผมถาม
ดอนฮวนชำเลืองดูผม ผมรู้ว่า แกคงทราบดีถึงการเล่นเอาเถิดที่มีอยู่ในสมองของผม แกสั่นหัวแล้วหัวเราะคัก ๆ ออกมา
"เอาละ" ผมกระตุ้นให้แกพูดออกมา "น้ำเต้าเหล่านั้นไม่มีอะไรอยู่เลยใช่ไหม"
"มีสิ มีอาหารและน้ำเท่านั้นเอง" แกตอบ "และด้วยความโกรธ ชายหนุ่มฟาดน้ำเต้าเหล่านั้นกับก้อนหิน"
ผมบอกว่า การกระทำของชายหนุ่มเป็นเรื่องธรรมดา ใครก็ตามตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้นก็น่าจะทำอย่างเดียวกันมิใช่หรือ
แต่คำตอบของดอนฮวนมีว่า ชายหนุ่มเป็นคนโง่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสวงหาอะไร เขาไม่ทราบว่า "พลัง" คืออะไร ดังนั้นเขาจึงบอกไม่ได้ว่าเขาพบพลังแล้วหรือยัง เขาไม่รับผิดชอบในการตัดสินใจของตน ดังนั้นเขาจึงโกรธความโง่เซอะของตัวเอง เขาหวังในสิ่งหนึ่งแต่กลับได้รับอีกสิ่งหนึ่ง
ดอนฮวนเดาขึ้นมาว่าถ้าผมเป็นชายหนุ่มคนนั้น หรือผมทำตามสิ่งที่ผมคิดแล้ว ในที่สุดผมต้องโกรธและเศร้าเสียใจ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ผมจะเสียใจในสิ่งที่ผมสูญเสียไปอย่างแน่นอน
ดอนฮวนย้อนมาอธิบายการกระทำของชายแก่ แกเลี้ยงชายหนุ่มอย่างเต็มคราบเพื่อจะให้ชายหนุ่ม "กระเดือกจนพุงกาง" ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มพบว่าน้ำเต้าเหล่านั้นบรรจุแต่อาหารไว้เท่านั้น เขาก็ทุบมันทิ้งด้วยความโกรธ
" ถ้าชายหนุ่มรู้สึกตัวดีถึงสิ่งที่เขาตัดสินใจลงไปและมีความรับผิดชอบในข้อตัดสินใจอันนั้น" ดอนฮวนพูด "เขาน่าจะเก็บอาหารนั้นไว้ และบางทีนะ เขาอาจจะรู้ชัดแจ้งขึ้นมาว่า อาหารก็คือพลังเหมือนกัน "
--------------------------------------------------------------------------------
1น้ำเต้า ชาวอินเดียนแดงหรือชาวเม็กซิกันจะใส่อาหารหรือน้ำในลูกน้ำเต้าแห้งที่ควัดเอาเนื้อในออกแล้ว
2 ปิโนเล่ (Pinole) เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่ง
3 พลัง เป็นของดีที่ชาวอินเดียนแดงพากันแสวงหา เหมือนกับเหล็กไหล หรือ เขี้ยวหมูตันในบ้านเรา
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/ixtlan.html