หมากับพระ
โลกทุกวันนี้ยุ่งเหยิงเต็มที จะหันหน้าเข้าวัดอาศัยพระเป็นที่พึ่ง ปรากฏว่ามีพระบางรูปกับวัดบางวัดพึ่งไม่ได้
ไม่เชื่อถามหมาที่วัดดุสิดาราม ปิ่นเกล้าดูก็ได้
เจ้ากูที่วัดนี้ปิดประกาศห้ามญาติโยมมาเลี้ยงหมาจรจัดที่มาอาศัยวัด ประกาศของวัดสำทับด้วยว่า "ทางวัดจำเป็นต้องจัดสถานที่ให้ร่มรื่น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงห้ามไม่ให้นำสุนัขและแมวมาปล่อย และห้ามนำอาหารมาให้บริเวณนี้ทั้งหมด"
ประทับตราวัด ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2553 เป็นสำคัญ
ผู้สนใจรายงานข่าวโดยละเอียดเนื่องจากประกาศของวัดดุสิดารามที่อ้างถึง โปรดดูเอ็กซ์-ไซท์ ไทยโพสต์ ฉบับที่ 5122 (10-11 พฤศจิกายน 2553)
ครับ
พูดไม่ออกบอกไม่ถูก โดยเฉพาะการอ้างว่าจะทำวัดให้ร่มรื่น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การทำอะไรเช่นนี้วัดเห็นว่าเป็นการเฉลิมพระเกียรติอย่างนั้นหรือ โดยเฉพาะเป็นการเผด็จศึกกับหมาเพื่อทำให้อด ทั้งที่มีญาติโยมไม่เห็นด้วยและขัดแย้งกับวิธีการของวัด ญาติโยมที่นำอาหารมาเลี้ยงหมาแมวนั้นก็บอกว่าเพราะเมตตาธรรม ทั้งกล่าวด้วยว่าเศษอาหารสกปรกและขี้หมาเท่าที่พบก็ได้ช่วยกันเก็บกวาด การกระทำของพวกตนยังถูกพระลูกวัดข่มขู่คุกคามอย่างขาดเมตตาทั้งโยมทั้งหมา
พระราชวรมุนี เจ้าอาวาสวัดนี้บอกว่า ต้องการเห็นพระอารามร่มรื่นสะอาดเหมือนวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นซูเปอร์โมเดลตามทัศนะของท่าน
อันที่จริงสมณศักดิ์ที่พระราชวรมุนีนั้น แต่เดิมเมื่อจะขอพระราชทานสถาปนาแก่ภิกษุรูปใด ก็พิจารณาที่ความฉลาดของพระรูปนั้น เช่น เคยพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระราชวรมุนีแด่พระเดชพระคุณประยุทธ์ ปยุตฺโต (ปัจจุบันคือพระพรหมคุณาภรณ์)
แล้วเดี๋ยวนี้เกิดอะไรขึ้น
วัดดุสิดารามเป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ถ้าผู้เขียนจำชื่อเดิมไม่ผิด เข้าใจว่าชื่อวัดประโคน เพราะที่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งใกล้กับวัด มีเสาประโคนเป็นหลักหมายในครั้งโบราณ ว่าเจ้านายจะเสด็จออกนอกพื้นที่เกินกว่าเขตเสาประโคน ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน ซึ่งเป็นเรื่องตราภูมิคุ้มห้ามในอดีต
ปัจจุบัน วัดดุสิดารามเป็นฌาปนสถานของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย สำหรับขุนนางที่ไม่ถึงเกณฑ์จะขึ้นเมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์วัดเทพศิรินทราวาส
การที่พระวัดดุสิดารามเล่นบทไม่โปรดสัตว์กับหมากับแมว จะเป็นเพราะผีมหาดไทยเฮี้ยนรึเปล่า
อันที่จริงผู้เขียนออกจะเห็นใจพระเณรที่อยู่ไม่เป็นสุขนัก เพราะหมาแมวเหมือนมารผจญขนาดย่อย แต่ความเห็นใจยังเป็นคนละเรื่องกับการจะเห็นด้วยกับวิธีการที่นำมาใช้
พระเณรมาบวชเรียนก็ต้องการหาที่สงบร่มรื่นเป็นสัปปายะต่อการปฏิบัติธรรม ขณะที่ชาวบ้านก็คิดอีกอย่าง คือจะปล่อยหมาปล่อยแมวเมื่อไม่รู้จะปล่อยที่ไหน ก็เห็นวัดเป็นที่พึ่งสุดท้าย ถือว่าอย่างไรเสียหมาแมวคงไม่อดตาย พระคงมีเมตตาให้ข้าวก้นบาตรมันกิน หรือญาติโยมที่มีใจเมตตาคงจะช่วยเลี้ยงอีกแรงหนึ่ง
เมื่อโลกเปลี่ยน คติความคิดเปลี่ยน พระต้องการสถานที่พำนักที่มีความสะอาด งดงาม ร่มรื่น และไม่ต้องการเปลืองแรงเข้าไปจัดการให้สะอาด พระกับหมาแมวจึงกลายเป็นคู่ขัดแย้ง พลอยโยงไปถึงญาติโยมส่วนที่มาสงเคราะห์เลี้ยงดูหมาแมว เกิดญาติโยมเอือมระอาไม่ทำบุญกับพระเช่นนี้ พระก็อาจอยู่ได้เพราะทรัพย์สินธรณีสงฆ์ ส่วนจะอยู่ร่วมกันในชุมชนเดียวกันด้วยความผูกพันเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หมาแมวเป็นเดรัจฉานในสังสารวัฏ ที่อีกนานนักหนากว่าจะพ้นทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก บางทีเราก็ไม่รู้ว่าตัวใดเกิดเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง เรื่องนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังฯ เมื่อท่านเห็นหมานอนอยู่ ถ้าท่านเดินข้ามก็จะเป็นทางเดินที่ลัดตรง หากแต่ท่านกลับเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง พระที่อยู่ตรงนั้นเห็นกิริยาเช่นนั้นจึงกราบเรียนถามว่า ทำไมพระเดชพระคุณไม่ก้าวข้ามเสียก็หมดเรื่อง เจ้าประคุณสมเด็จตอบว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า เขาไม่ใช่พระโพธิสัตว์"
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็เกิดนิมิตเห็นสุนัข เมื่อพิจารณาจึงรู้ว่าในอดีตชาติเคยเป็นสุนัขนั้น
ในโลกปัจจุบันด้วยขณะๆ หนึ่ง พระกับหมามีโอกาสอยู่ร่วมโลกกัน จะอยู่อย่างไรและจะเข้าใจกันอย่างไร
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามหลวงกลางกรุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินและเสด็จทรงปฏิบัติธรรมเนืองๆ ที่วัดนี้ก็มีหมา อาจจะมีปฏิกูลบ้าง แต่ได้จัดการกันไปเป็นความสะอาดเรียบร้อยได้ ไม่ได้ชักชวนให้ใครมาทำให้หมาอด กลางค่ำกลางคืนบางตัวอาจจะเห่าหอนจนพระบางรูปจำวัดหรือหลับไม่ลง
ในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ทรงครองวัด เคยมีพระบางรูปมาเข้าเฝ้าและถือโอกาสกราบทูลว่า เกล้ากระหม่อมฉันนอนไม่หลับเลยเพราะเสียงสุนัขเห่า
สมเด็จพระสังฆราชเจ้ามีรับสั่งว่า เสียงหมาเห่ากับหูของท่าน (พระรูปนั้น) ถึงจะทำให้ท่านรำคาญนอนไม่หลับ แต่ปากของหมากับหูของมันอยู่ใกล้กันยิ่งกว่า มันยังไม่รำคาญเสียงเห่าจนเป็นปัญหาเลย แล้วท่านจะเดือดร้อนทำไม
เรื่องหมากับคนรักหมานั้น มีตัวอย่างชนิดคนเป็นผู้เลือกหมายิ่งกว่าสวรรค์ พูดง่ายๆ เอาสวรรค์มาแลกก็ไม่ยอมว่างั้นเถอะ
ท่านพระองค์นั้นคือ พระเจ้ายุธิษเฐียร (ไม่ใช่ยุธิษเสถียร) ผู้เป็นกษัตริย์ครองชมพูทวีป ครองราชย์มานานแล้วจนถึงคราวเบื่อหน่าย จึงมีพระราชดำริสละสิริราชสมบัติแล้วจะเสด็จพระราชดำเนินสู่สวรรค์ทั้งยังทรงดำรงพระชนม์ชีพ คือ เสด็จฯ ออกจากนครไปยังภูเขาหิมาลัย หนทางนั้นทุรกันดาร ปวงอำมาตย์มาส่งเสด็จที่เชิงผาหิมาลัย ส่วนที่ตามเสด็จไปด้วยคือ พระมเหสีกับพระอนุชา 4 องค์ (รวมเป็น 6 คนทั้งพระเจ้ายุธิษเฐียร) และอีก 1 ตัวเป็นคุณสุนัขใกล้ชิด
พระมเหสีกับพระอนุชาได้สิ้นพระชนม์ในระหว่างทางกันดารนั้น จึงเหลือแต่สุนัขผู้ภักดีตามเสด็จไม่ลดละ พระอินทร์สะเทือนใจในความดีและความเด็ดเดี่ยวของพระเจ้ายุธิษเฐียร จึงมาปรากฏกายพร้อมราชรถเพื่อรับพระองค์สู่สรวงสวรรค์ ครั้นยานราชรถจอดแล้ว พระเจ้ายุธิษเฐียรได้เรียกสุนัขให้ขึ้นไปก่อน เท่านั้นพระอินทร์ก็ร้องเสียงหลงและทูลว่าหมาไปสวรรค์ไม่ได้ พระเจ้ายุธิษเฐียรตรัสว่า ถ้าหมาไปไม่ได้พระองค์ก็จะไม่ไป เพราะหมาเป็นผู้ซื่อสัตย์เป็นผู้จงรักภักดี เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์จะทอดทิ้งได้อย่างไร
พระอินทร์จำนนต่อหลักคุณธรรมที่พระเจ้ายุธิษเฐียรมีต่อข้าผู้ภักดี จึงแก้ปัญหาโดยใช้เทวฤทธิ์แปลงหมาให้เป็นเทพบุตร เกิดดาวหมาสุกสกาวในนภากาศ เทพบุตรองค์นี้เสียงกังวานแจ่มใสจึงมีนามว่า โฆษกเทพบุตร (ต่างจากนักการเมืองที่เป็นโฆษกปากหมา)
เรื่องโฆษกเทพบุตรที่กล่าวมานี้เป็นวรรณคดีสันสกฤต นับเนื่องในฝ่ายพราหมณ์ ยังมีเรื่องโฆษกเทพบุตรผู้มีอดีตชาติเป็นหมาในฝ่ายพระพุทธศาสนาเหมือนกัน มีที่มาในอรรถกถาธรรมบทภาค 2 เรื่องของเรื่องมีชายเลี้ยงวัวคนหนึ่ง คนทั่วไปเรียกว่านายโคบาลเพราะเลี้ยงวัวรีดนมขาย พี่แกมีหมาลูกโทนตัวหนึ่งเลี้ยงจากเล็กจนโตด้วยน้ำนมวัว หมากตัญญูรู้คุณของนายอย่างมาก แต่หมายังผูกพันลึกซึ้งกับพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง เพราะนายโคบาลนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันเช้าที่บ้านทุกวัน ท่านฉันอาหารแล้วได้แบ่งให้เจ้าหมานั้นเป็นประจำ บางวันนายโคบาลไม่ว่างจะไปนิมนต์เองก็ใช้เจ้าหมาไปนิมนต์แทน ด้วยวิธีเห่าสามครั้ง แล้วหมากับพระก็มาด้วยกัน เป็นหมาแสนรู้มาก
วันหนึ่งหลังออกพรรษาแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกลานายโคบาลว่าจะต้องไปทำจีวรที่เขาคันธมาทน์ เพราะจะทำยังที่พักนั้นไม่สะดวก ทำจีวรองค์เดียวให้เสร็จในวันเดียวไม่สามารถทำได้ นายโคบาลก็อาราธนาว่าทำเสร็จแล้วโปรดกลับมาเถิด
ระหว่างพระปัจเจกพุทธเจ้าสนทนากับนายโคบาล เจ้าหมายืนฟังด้วยก็เกิดความอาลัยอาวรณ์ พอพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปสู่เขาคันธมาทน์ มันจึงหอนจากเบาๆ ก่อน ยิ่งพระเหาะไกลออกไปยิ่งหอนดังขึ้นโหยหวนมากขึ้น แล้วสู่ภาวะหัวใจแตกสลายนอนตาย ณ ตรงนั้น ไปเกิดบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเสียงดังมากจึงได้ชื่อว่า โฆษกเทพบุตร เหมือนกัน
ธรรมบทเรื่องนี้มีบทสนทนาที่พระอรรถกถาจารย์แทรกกล่าวไว้ว่า
"คะหะนัง เหตัง ภันเต ยะทิทัง มะนุสสา อุตตานัง เหตัง ภันเต ยะทิทัง ปะสะโว"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มนุษย์นี้ลึกลับซับซ้อนยากจะเข้าใจ ส่วนสัตว์เดรัจฉานประเภทสัตว์เลี้ยง ซื่อ ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย"
ครับ ใครมีหน้าที่โปรดสัตว์ ความหมายของการโปรดสัตว์นั้นกระทำอย่างไร เลือกโปรดเฉพาะสัตว์ที่ถวายปัจจัยไทยธรรมเท่านั้น หรือโปรดสัตว์ในความหมายอันไม่มีประมาณ ด้วยเมตตากรุณาและเมื่อไม่พึงใจก็มีอุเบกขา
สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ช่างเข้าใจยากเสียจริงๆ สมมุติสงฆ์ก็พลอยเข้าใจยากด้วย.
http://www.thaipost.net/sunday/141110/30090