บทสัมภาษณ์ อาจารย์ ฌาณเดช พ่วงจีน: ตำนานจอมขมังเวทย์แห่งล้านนา
ท่านที่สัมผัสชุมชนขวัญเมือง หรือ เคยเข้าเวิร์คชอปของสถาบันมาในช่วง 2-3 ปีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก 1 ใน 6 กระบวนกร ผู้มีความสะดุดตามากที่สุดตั้งแต่แรกเห็น เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อาจารย์ ฌาณเดช พ่วงจีน ครูมวยจีน ไท้ฉีฉวน ผู้สืบทอดศาสตร์แห่งพลังภายในอันเก่าแก่กว่า 4,000 ปีของจีน ท่านผู้นี้เมื่อดูผิวเผิน ช่างเงียบขรึม ดุดัน สีหน้าท่าทางน่ากลัว และน่ายำเกรง มีบุคลิก นิ่ง สงบ ไว้ผมยาวรวบ ทั้งไว้หนวดเครา รวมถึงการแต่งกายเยี่ยงนักพรตผู้ทรงศีล แต่ร่างกายกลับกำยำล่ำสัน ตรงกันข้ามกับวัยที่ล่วงเลยไปมากแล้ว กล้ามเนื้อที่เห็นขึ้นชัด มีมือขนาดใหญ่ หนา กร้าน องค์ประกอบทางกายภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแกร่งกล้า อาจหาญ สมชายชาตินักรบ ผู้ฝ่าฟันชีวิตกรำศึกหนักมาอย่างโชกโชน
แต่เมื่อเพียงมีโอกาสได้พูดคุยปสาทะ เพียงชั่วครู่ยาม ท่านจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากแววตา น้ำเสียงสนุกสนานเป็นกันเอง ลีลาท่าทาง ร่าเริงดุจดังเด็กน้อย อารมณ์ดี มีมุขขำขันในที แล้วท่านก็จะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในความแตกต่างระหว่างโลกภายนอกที่เราเห็น และโลกภายในตัวอาจารย์ มิวายเขกหัวตัวเองในใจที่ด่วนสรุปตีความตัดสินครูบาท่านนี้ ด้วยความใจร้อนอ่อนด้อยปัญญาและมองโลกอย่างตื้นเขินของตัวเอง และหลายท่านอาจสงสัยมานาน ว่าอาจารย์เข้ามาอยู่ในชุมชนขวัญเมืองได้อย่างไร และมีประวัติความเป็นมาอันลึกลึบซับซ้อนเพียงใด ต่อไปนี้เป็นบทสรุปคำสัมภาษณ์ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ที่อาจารย์ได้กรุณาให้เกียรติผม เรือรบ มีโอกาสเป็นสะพานส่งผ่านนำสารนี้ เปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก บอกได้เลยว่า ยิ่งกว่านิยายจอมยุทธ์กำลังภายในที่เราเฝ้าอ่านจนวางไม่ลงเสียอีก เกริ่นมาขนาดนี้ น้ำย่อยในท้องท่านคงร้องไห้กระจองอแง กระหายใคร่รู้ รสชาดความมันส์อันคาดไม่ถึงกันแล้ว ถ้าพร้อมกันแล้ว กรุณาเปิดตา อ้าปาก เปิดให้ทวารทั้ง 6 ได้บริโภคหฤหรรษ์แห่งวาทะการของอาจารย์ได้พรักพร้อมกัน ณ บัดนี้...
เรือรบ : ผมอยากเริ่มคำถามแรกว่า อาจารย์ เข้ามาร่วมงานกับสถาบันขวัญเมืองได้อย่างไรครับ?
อ.ฌาณเดช : ผมได้บังเอิญรู้จัก อ. วิศิษฐ์ วังวิญญู นานมาแล้ว ที่บ้าน อ. สอ (สุลักษณ์ ศิวรักษ์) ตอนนั้นไปเจอกันแต่ก็ไม่ได้รู้จักกันมากมาย เมื่อก่อนนี้ 5 ปีที่แล้ว ตอนเช้าผมสอนมวยจีน ตอนสายทำงานธนาคาร พอเลิกงานกลางคืนก็เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ 16 ปีกว่า ต่อจากนั้นก็ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ก็เบื่ออีก ดูๆไปเหมือนชีวิตมันไม่มีสาระ งานประจำ ชีวิตไม่ได้มีความหมายลึกมากไปกว่านั้นเลย รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เลยบอกภรรยา คุณแอ๋ว ว่าผมอิ่มตัวแล้วจะขอไปอยู่ต่างจังหวัดสักพัก ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ว่าแล้วผมก็แพ็คกระเป๋าขึ้นรถทัวร์ ออกเดินทางขึ้นเหนือ ได้ข่าวเพื่อนที่เคยธุดงค์ด้วยกันและไม่ได้เจอกันนาน ข่าวว่าท่านจำวัดอยู่ที่วัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดที่สวยมาก ฮวงจุ้ยมังกรห้าตัว กะว่าจะไปหา ไปขอฝึกกรรมฐานสักหน่อย ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีเลยนะ ไม่ได้ติดต่อกันเลย ก็ไปถามหาพระอาจารย์สุเทพ ปรากฏว่าเจอด้วย ท่านก็ดีใจมาก ก็เลยได้นั่งคุยกันทั้งคืนเลย ท่านก็หาที่พักให้ดิบดี บอกให้ผมพักให้สบายก่อน ท่านว่าผมมีพื้นฐานทางด้านสมถะมาก่อน มีพลังเยอะ ให้มาช่วยท่านสอนกรรมฐานแล้วกัน ผมก็เริ่มสอนกรรมฐานพระ ฝึกให้พระรำมวย ตรงนั้นก็เลยค่อยๆกลายเป็นวัดเส้าหลินเลย(หัวเราะ)
เรือรบ : แล้วช่วงนั้นอาจารย์ไม่คิดจะบวชหรือครับ ?
อ.ฌาณเดช: ท่าน อ.สุเทพก็ถามเหมือนกัน แต่ผมปฏิเสธ ผมเคยบวชมาก่อนแล้วผมว่า การเป็นพระทำให้เราทำอะไรได้น้อยเหลือเกิน ผมขอเป็นนักพรตอย่างนี้ดีแล้ว ก็เลยอยู่ที่นั่น จนวันหนึ่ง อ.วิศิษฐ์ มาจัดคอร์สอบรมที่วัดท่าตอน คนก็เยอะมาก มาเจอ ดร.เอเชีย หมอวิธานก็มาเจอกันที่นั่น เขาใช้หัวข้อว่า มณฑลแห่งพลัง ไอ้เราก็เอ๊ะ ใครนะ แหมมาใช้ชื่อนี้ได้ มันจะมามีมณฑลแห่งพลังเท่าเราได้ยังไงว้า ตอนนั้นก็ยังมีอัตตาค่อนข้างเยอะ เราก็อยากจะดูหน้าหน่อยซิ มาเห็นหน้าอาจารย์ยิ้มๆ เราก็สัมผัสได้ทันทีว่า คนๆนี้ไม่ธรรมดา น่าสนใจ แล้วแกก็เชิญให้ผมเข้าไปร่วมด้วย แกก็ให้เวลาในช่วงบ่ายกับผม ให้ผมนำเสนออะไรที่ผมมี โปรโมทให้นิดหน่อย สุดท้าย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ได้มาเรียนมวยกัน พวกเขาก็ได้รู้ว่า เวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหว ก็ทำให้เกิดสมาธิ เกิดพลังที่สัมผัสได้ ทุกบ่ายก็มาเรียนกัน แกก็เริ่มเห็นว่ามันจะมาเชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนรู้ของแกได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น
อาจารย์เค้าก็เริ่มเชื้อเชิญ ถามผมว่าอยู่ที่นี่ ผมจะอยู่อย่างไร มีรายจ่ายอย่างไร มันไม่น่าเหมาะสำหรับผม แกว่า เอางี้มั้ย ยิ่ง ลูกชายผม ดิน หลานผมเค้าได้สัมผัสอาจารย์แล้ว เค้าตามหาอาจารย์สอนมวยมานาน ผมขอเชิญอาจารย์ไปเชียงราย มาดูแลสอนลูกหลานผม หลังจากนั้นผมก็ไป ได้ไปนอนบ้านน้องชายของ อ.วิศิษฐ์ คืออาปรีชา เป็นน้องเขยแม่ของ ณัฐ (ณัฐฬส วังวิญญู) นั่นแหละ ผมก็ได้คุยกับณัฐ แล้วก็พบว่า เฮ้ยไอ้เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ธรรมดาอีกเหมือนกันเว้ย คือเวลาเค้าพูดคุย ถามอะไรแล้วมันเชื่อมต่อกันได้ดี เด็กอายุขนาดนี้ คุยได้ลึกขนาดนี้น่าสนใจมาก ก็เลยได้ไปทำงานด้วยกัน ชอบเรื่องภาษาของเค้า เค้าผลิตภาษาได้คมคายมาก
เรือรบ : อาจารย์ก็เลยพาครอบครัวย้ายจากกรุงเทพมาเชียงรายเลย ?
อ.ฌาณเดช : ใช่ บ้านอิงดอยนี่ผมไปอาศัยอยู่เป็นหลังแรกเลยนะ มันมีสถานที่เพียงพอ ภายหลังผมก็เชิญคนมารำมวย ก็มีคนมามากขึ้น อ.น้องก็เริ่มเข้ามาอยู่หลังใกล้กัน ภายหลัง อ.มนตรีก็กลับมาจากการทำธุรกิจที่กรุงเทพก็ย้ายเข้ามาอีก ตอนนั้นก็เริ่มก่อร่างเป็นชุมชนเล็กๆขึ้นมา
เรือรบ : เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องราวตอนที่อาจารย์ได้เข้ามาในชุมชนแล้ว คราวนี้อยากทราบประวัติในช่วงต้นของชีวิตอาจารย์ครับ อาจารย์ผ่านอะไรมาบ้าง ที่ทำให้มาเป็นตัวเองในทุกวันนี้ ?
อ.ฌาณเดช : นี่จะซักประวัติกันเลยเหรอ (ยิ้มแล้วเงียบไปสักพัก) ก็เกิดฝั่งธนฯ ที่ รพ.ศิริราช เป็นเด็กแถวสามแยกไฟฉาย เด็กๆญาติเยอะมาก เครือข่ายครอบคลุมเยอะไปหมด เป็นลูกคนจีน นามสกุลพ่วงจีนก็เป็นตระกูลใหญ่ ทวดมาจากเมืองจีน แซ่จาง แต่ก่อนแถวนั้น เป็นกรมอู่ทหารเรือ อาซึ่งเป็นน้องคนเล็กของพ่อ ก็เป็นทหารเรือ ทหารเรือสมัยนั้นช่วงรอยต่อสงครามโลก พวกนี้จะเก่งมากเรื่องการต่อสู้นะ โดยเฉพาะมีดพับมีดโกน เก่งมาก อาเค้าก็จะเป็นนักสู้พวกนี้ ส่วนลุงก็เป็นนักเลงคุมแถวนั้นด้วย ผมเห็นประจำก็เลยติดมา ผมเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฎแล้วไปต่อที่เทพศิรินทร์ ช่วงวัยรุ่นก็เด็กชาวสวน ชอบผจญภัย ต้นหมากเล็กๆก็ไปรับจ้างขี้น ต้นมะพร้าวก็รับขึ้น ก่อนนี้ก็ฝึกมวยไทยมาก่อน ตั้งแต่สิบกว่าขวบ ไปต่อยขึ้นเวที ได้ตังค์ด้วย
เรือรบ : ทำไมอาจารย์ถึงชอบมวยตั้งแต่เด็กๆ มีแรงดลใจอะไรหรือเปล่า ?
อ.ฌาณเดช : สมัยเด็กๆ ไปซื้อน้ำแข็งให้พ่อ หิ้วกลับมา มันก็มีเด็กวัด สามสี่คนมาแซว เราไม่ชอบ ก็วางน้ำแข็งเดินไป ถามว่ามีอะไรรึป่าว มันก็ว่า มีสิ มาต่อยกันรึเปล่า ก็พากันไปลานหน้าวัด มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ มันน่ะเป็นมวย เราไม่เป็น พอเราเข้าไปนะ ไม่ทันจะได้ต่อยมันเลย โอ้โห มันสาดแข้งเข้าอั้กๆ ที่ซี่โครง เราเข้าไปไม่ได้ สู้ไม่ได้ ต้องยอมแพ้มัน แต่เราก็คิดว่าเราจะเอาคืน เอาน้ำแข็งไปให้พ่อแล้วกลับมาอีก กะว่าจะชิงต่อยก่อน พอรี่เข้าไปก็โดนอีก คราวนี้เต็มๆ เราต้องยอมแพ้ไปเลย พอเรากลับมานะ ตอนเช้านั่งส้วมไม่ได้ ระบมไปหมด น่วมไปทั้งตัว ตอนนั้นมีเพื่อน ที่เป็นน้องชายของพี่แดง (สมพงศ์ เจริญเมือง) สมัยก่อนเป็นนักมวยที่ดังมาก เราก็ให้เพื่อนพาไปหาพี่ ไปค่ายมวย เราก็เลยเริ่มฝึกมวยตอนเลิกเรียน เริ่มตั้งแต่โดดเชือก เริ่มวิ่งทุกเช้า จากสามแยกไฟฉายไปสะพานปิ่นเกล้า ก็ค่อยๆซ้อม เตะกระสอบทรายผสมขี้เลื่อย ขานี่แข็งหมด เดี๋ยวนี้กระสอบเป็นผ้าหมดแล้ว ฝึกอย่างนี้ครึ่งปี เริ่มไปเวทีราชดำเนิน ไปดูรุ่นพี่ มันดูท้าทายมาก ค่ายนี้เน้นปะทะ รุกมากกว่ารับ อาวุธที่เด่นคือหมัด สมัยก่อนผมชอบดูการ์ตูนหน้ากากเสือ ชอบที่เห็นมีการสร้างท่าต่อสู้ใหม่ๆ มีนวัตกรรมตลอด ก็เห็นว่า มวยนี่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้หมัดอย่างเดียว ก็พยายามคิดสร้างสรรค์ท่าต่อสู้ของตัวเองเพิ่มเติม
เรือรบ : พอไปต่อยแล้วชนะไหมครับ ?
อ.ฌาณเดช : ผมต่อย 8 ครั้งไม่เคยแพ้เลย ตอนแรกก็ไปต่อยต่างจังหวัดก่อน ลพบุรี ตอนหลังก็มาราชดำเนิน พอต่อยชนะมากเข้า พี่แดงก็เห็นแวว ค่าตัวก็เริ่มแพง เป็นมวยดาวรุ่ง ก็เลยให้เราไปขอพ่อ เพื่อต่อยมวยอาชีพ ที่ผ่านมาพ่อแม่ไม่เคยรู้เลย พอพ่อผมรู้โกรธใหญ่เลย แกไม่อยากให้ผมเจ็บตัว แกเสียใจ แล้วก็ขอร้องให้ผมเลิก ผมก็เลิกต่อย ตามใจพ่อ เราก็รักพ่อ ไม่อยากให้แกทุกข์เพราะเรา ก็กลับมาตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ก็มีแอบซ้อมไว้บ้าง เตะต้นกล้วยของป้าหักประจำ ซ้อมมาเรื่อยๆ ตอนจบมาก็เรียนรามฯ แต่ตอนนั้นก็เริ่มมาสนใจเรื่องภายในแล้ว
เรือรบ : ยังวัยรุ่นอยู่ ทำไมพลิกผันมาสนใจเรื่องจิตใจล่ะครับ ?
อ.ฌาณเดช : คือช่วงนั้นเพื่อนๆที่เป็นนักเลงที่โตมาด้วยกันตายกันหลายคน คนโน้นตาย สักพักคนนี้ก็ตายอีก เห็นหลายคนเข้า เราก็สงสัยว่า เราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ตอนหลังก็ได้ไปเจอ อ. ชุม ชัยคีรี ศิษย์เขาอ้อ รุ่นเดียวกับ ขุนพันธรักษ์ราชเดช ไปเรียนกับท่านเลย ไปเรียนกรรมฐาน วิชาไสยศาสตร์ ไปอยู่บ้านแกเลย เรื่อง พวกนี้ทำได้จริงนะ ของจริง เป็นเหมือนโรงเรียนพ่อมดเลย เรียนแล้วก็ลอง กว่าจะผ่านแต่ละวิชาหลายเดือน บางวิชาเป็นปีเลยกว่าจะทำได้ มันไม่ได้ไว้ทำร้ายคนนะ เป็นศาสตร์ทางจิต เป็นกีฬาทางจิตชนิดหนึ่ง ยุคก่อนเอาไว้ช่วยบ้านเมืองได้ นายทหารใช้ออกรบ แต่ตอนหลังที่หยุดไป เพราะช่วงท้าย อาจารย์ท่านจะเสีย ท่านก็สั่งไว้ล่วงหน้าสามเดือน ท่านก็สอนว่าความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ทำให้เราไม่ตาย แม้ว่าจะคงกระพันหนังเหนียวก็ต้องตาย แต่ถ้าเราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับภายใน ให้มุ่งไปสายนิพพาน นั่นคือทางสายกลางตามธรรมะของพระพุทธเจ้า ก่อนนี้ก็ฝึกสมถะเยอะมาก เอาเป็นเอาตาย นั่งเจ็ดวัน ฝึกกสิณด้วย เข้าฌาณ เค้าสอนคัมภีร์ มูลกันจาย อันนี้ตรงกับวิทยาศาสตร์ใหม่ บอกถึงจุดเริ่มต้นของจักรวาล มีตัวพินทุ เป็นวงกลม เหมือนเต๋าที่ผมได้เรียนอีกทีภายหลัง เรื่องนี้ที่ ฟิจอบ คาปร้า สนใจมาก อันเดียวกันเลย พินทุ แตกออกมาเป็น 5 ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ตรงกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แตกออกเป็น ไตรรัตน์ เข้าสู่ศูนย์มหาศูนย์แล้วก็เข้าสู่ศูนย์นิพพาน ซึ่งตรงกับเต๋า เต๋าจะพูดถึงความว่างสู่ 2 ขั้ว หยิน หยาง เป็น 5 ธาตุสู่ความว่าง เอ้าภาคแรกขอจบแค่นี้ก่อน...