แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว : ภาค ๓ ทางออกอันอ่อนน้อม
มดเอ๊กซ:
....มันมีความสำคัญแค่ไหนต่อมนุษย์ในการที่จะได้กินผลไม้นี้ก่อนเวลา ๑ เดือน ความจริงก็จะเป็นว่า มันไม่มีความสำคัญอะไรเลย และเงินก็มิใชราคาค่างวดเพียงอย่างเดียวที่เราจ่ายให้กับการตามใจปากเช่นนั้น ...เมื่อเกษตรกรเริ่มปลูกพืชเพื่อเงินทอง เขาก็หลงลืมหลักการที่แท้จริงของเกษตรกรรม .......
ภาค ๓
เมื่อเกษตรกรคนหนึ่งพูด
ทางออกอันอ่อนน้อมต่อปัญหาที่ยุ่งยาก
ผลพวงในยามยาก
อาหารธรรมชาติและการตลาด
เกษตรกรรมเพื่อการค้าจะล้มเหลว
วิจัยเพื่อผลประโยชน์ของใคร
อะไรคืออาหารของมนุษย์
ความตายอันน่าเวทนาของข้าวบาร์เลย์
รับใช้ธรรมชาติ
โรงเรียนเกษตรกรรมธรรมชาติ
--------------------------------------------------------------------------------
มดเอ๊กซ:
๓.๑
เมื่อเกษตรกรคนหนึ่งพูด
ปัจจุบันความกังวลได้ก่อตัวขึ้นในหมู่คนญี่ปุ่น เกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ที่มีผลต่อมลภาวะทางอาหาร ประชาชนได้รวมตัวกันคว่ำบาตร และจัดให้มีการเดินขบวนเป็นจำนวนหลายสิบครั้งเพื่อต่อต้านความเฉยเมย ไม่เอาใจใส่ของบรรดาผู้นำทางการเมือง และผู้นำของโรงงานอุตสาหกรรมแต่กิจกรรมทั้งหลายล้วนให้ผลที่สูญเปล่า หากว่ายังกระทำกันด้วยความคิดจิตใจดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การถกเถียงถึงวิธีขจัดมลภาวะเฉพาะกรณี ก็เปรียบได้กับการรักษาโรคตามอาการ โดยปล่อยให้รากเหง้าของความเจ็บป่วยปล่อย พิษร้ายออกมาอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น เมื่อ ๒ ปีก่อน ศูนย์วิจัยการจัดการทางการเกษตร ได้ร่วมกับสภาเกษตรกรรมอินทรีย์ และสหกรณ์นาดา ได้จัดการประชุมเพื่ออภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับปัญหามลภาวะขึ้น ประธานการประชุมในครั้งนั้นคือคุณเทรูโอะ อิชิรากุ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของสมาคมเกษตรกรรมอินทรีย์แห่งญี่ปุ่น และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในสหกรณ์การเกษตรของรัฐบาล คำแนะนำจากหน่วยงานนี้เป็นสิ่งที่เกษตรกรแทบทุกหมู่บ้านทั่วประเทศญี่ปุ่นถีอปฏิบัติตาม คำแนะนำนั้นมีตั้งแต่พืชชนิดใดและเมล็ดพันธุ์ชนิดใดที่เกษตรกรควรปลูก ปริมาณปุ๋ยที่ควรใช้ ตลอดจนชนิดของสารเคมีที่ควรใช้
ด้วยเหตุที่มีบุคคลที่ทรงอำนาจและอิทธิพลเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ผมจึงเกิดความหวังว่า ผลจากการประชุมจะสามารถนำไปปฏิบัติและส่งผลที่กว้างไกล
การประชุมครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จ หากมองในแง่ของการตีพิมพ์ปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะทางอาหาร แต่ก็เช่นเดียวกับการประชุมครั้งอื่น ๆ การอภิปรายถกเถียงจะถูกดึงลงมาสู่ประเด็นการรายงาน ที่เป็นเรื่องทางเทคนิคอันซับซ้อนของผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิจัย และความเห็นส่วนบุคคลเกี่ยวกับความน่ากลัวของมลภาวะทางอาหาร ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยที่คิดจะพูดถึงปัญหานี้ในระดับรากฐานของมัน
ตัวอย่างเช่นในการอภิปรายถึงปัญหาเกี่ยวกับความเป็นพิษจากสารปรอทในปลาโอ ตัวแทนจากองค์การประมงได้อภิปรายเป็นคนแรกถึงความน่ากลัวของปัญหานี้ ในระหว่างนั้นปัญหามลภาวะจากสารปรอทได้ถูกนำมาพูดถึงแทบทุกวันทางสถานีวิทยุและในหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นทุกคนจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจในสิ่งที่เขาพูด
ผู้แทนจากองค์การประมงกล่าวว่า ปริมาณสารปรอทที่พบในปลาโอจะมีปริมาณสูงมาก แม้ว่าปลานั้นจะนำมาจากมหาสมุทรแอนตาร์คติก และบริเวณใกล้กับขั้วโลกเหนือก็ตาม อย่างไรก็ตามตัวอย่างปลาที่เก็บไว้ในห้องทดลองซึ่งมีอายุหลายร้อยปีก่อน เมื่อนำมาผ่าและวิเคราะห์ดู ก็ได้พบสิ่งที่ตรงข้ามกับความคาดหมาย กล่าวคือในตัวปลามีส่วนผสมของสารปรอทอยู ผู้แทนคนนั้นสรุปว่า การสะสมสารปรอทเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของปลาชนิดนี้
คนฟังในห้องประชุมต่างมองหน้ากันด้านความงุนงง จุดประสงค์ของการประชุมที่ตั้งไว้ก็เพื่อให้มีการกำหนดวิธีการที่จะจัดการกับมลภาวะที่ได้กระทำให้เกิดความเน่าเสียต่อสภาพแวดล้อม และหามาตรการที่จะแก้ไขมัน แทนที่จะมีการพูดถึงปัญหานี้ ผู้แทนจากองค์การประมงกลับมาพูดว่า สารปรอทจำเป็นต่อการมีชีวิตของปลาโอ นี่คือสิ่งที่ผมหมายถึง ผู้คนไม่เข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหามลภาวะ แต่มองเห็นมันจากมุมมองที่คับแคบและผิวเผิน
ผมลุกขึ้นและเสนอว่า เราควรจะกระทำการบางอย่างร่วมกันเพื่อวางแผนการปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหามลภาวะในทันที และขอให้เรามาอภิปรายกันให้ตรงประเด็นในเรื่องเลิกใช้สารเคมี ซึ่งเป็นต้นเหตุของมลภาวะจะไม่เป็นการดีกว่าละหรือ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสามารถปลูกได้ดีโดยไม่ต้องใช้สารเคมี ส้มก็เช่นเดียวกัน และก็ไม่ยากเกินไปที่จะปลูกผักด้วยวิธีนี้ ผมกล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และผมก็ได้ทำในที่ของผมเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว แต่ตราบเท่าที่รัฐบาลยังคงสนับสนุนให้ใช้สารเคมีอยู่ ก็ไม่มีใครที่คิดจะทดลองทำการเกษตรด้วยวิธีนี้
สมาชิกขององค์การประมงได้มาร่วมประชุมอยู่ด้วย และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตรและป่าไม้ ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากสหกรณ์การเกษตรก็มาอยู่ร่วมประชุมด้วย หากพวกเขาและประธานการประชุมคือคุณอิชิรากุ ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินการได้จริง และถ้าจะกล่าวแนะนำว่าเกษตรกรทั่วประเทศควรทดลองการปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมีแล้วละก็ ความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
แต่เรื่องของเรื่องอยู่ที่ว่า หากเกษตรกรปลูกพืชผลโดยไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ย หรือเครื่องจักร บริษัทผลิตสารเคมียักษ์ใหญ่เหล่านั้นก็จะหมดความจำเป็น และสหกรณ์การเกษตรของรัฐบาลก็จะพลอยล่มจมไปด้วย เพื่อที่จะทำให้ประเด็นปัญหาชัดเจนแจ่มแจ้ง ผมขอพูดว่าสหกรณ์และนักวางแผนนโยบายทางการเกษตรแผนใหม่ล้วนพึ่งพิงการลงทุนขนาดใหญ่ในการผลิตปุ๋ยและเครื่องจักรทางการเกษตร เพื่อฐานอำนาจของพวกเขาเอง การขจัดเครื่องจักรและสารเคมีจะนำการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น ผมบอกได้เลยว่า ไม่มีทางที่คุณอิชิรากุและเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจะสามารถพูดถึงมาตรการที่จะส่งผลให้เกิดการแก้ปัญหามลภาวะได้อย่างแท้จริง
เมื่อผมพูดเช่นนี้ ประธานก็กล่าวขัดขึ้นว่า "นี่แน่ะ คุณฟูกูโอกะ คำพูดของคุณกำลังจะทำให้การประชุมครั้งนี้ต้องล่มไปทีเดียวนะ" ผมเลยต้องปิดปากตัวเองลง นี่ไงล่ะ คือสิ่งที่เกิดขึ้น
มดเอ๊กซ:
๓.๒
ทางออกอันอ่อนน้อมต่อปัญหาที่ยุ่งยาก
เห็น ได้ชัดว่าหน่วยงานของรัฐบาลไม่มีความตั้งใจจริงที่จะหยุดยั้งปัญหามลภาวะ ความลำบากประการที่สองคือ ปัญหาทุกแง่มุมของมลภาวะทางอาหารต้องนำมาพิจารณาร่วมและแก้ปัญหาทั้งหมดนั้นในคราวเดียวกัน ปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขโดยบุคคลที่สนใจเพียงด้านใดด้านหนึ่งของปัญหานั้นเท่านั้น
ปัญหามลภาวะจะไม่มีทางหมดสิ้นไปได้ ตราบเท่าที่จิตสำนึกของทุกคนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐาน
ยกตัวอย่างเช่น เกษตรกรคิดว่าทะเลใน* นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าหน้าที่ขององค์การประมงก็คือ เกี่ยวข้องกับการดูแลปลาในน่านน้ำ ส่วนหน้าที่ดูแลปัญหามลภาวะทางทะเลเป็นงานของสภาสิ่งแวดล้อม วิธีคิดเช่นนี้แหละที่สร้างปัญหาขึ้นมา
ปุ๋ยเคมีที่ใช้กันทั่วไปในจำนวนมาก ๆ เช่น แอมโมเนียม ซัลเฟต ยูเรีย ซูเปอร์ฟอสเฟต และอื่น ๆ พืชจะดูดซึมสารพวกนี้ไปใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือนอกนั้นจะถูกชะลงสู่ลำธารและแม่น้ำ และในที่สุดก็ไหลลงไปสู่ทะเลใน* สารประกอบในโตรเจนพวกนี้จะกลายเป็นอาหารของพวกสาหร่ายและแพลงตอน ซึ่งสามารถขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งตัวออกเป็นจำนวนมหาศาลทำให้เกิดกระแสน้ำเป็นสีแดง แน่นอน โรงงานอุตสาหกรรมก็มีส่วนในการทำให้เกิดมลภาวะ ด้วยการปล่อยสารปรอทและของเสียอื่น ๆ ลงไปในน้ำ แต่ภาวะน้ำเป็นพิษในญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร
ด้วยเหตุนี้เกษตรกรจึงเป็นผู้ที่สมควรแบกรับภาระรับผิดชอบหลักต่อการเกิดกระแสน้ำสีแดงขึ้น เกษตรกรที่ใช้สารเคมีมีพิษเหล่านี้ในที่นาของเขา บริษัทผลิตสารเคมี และเจ้าหน้าที่หมู่บ้านที่เชื่อในความสะดวกของสารเคมีเหล่านี้ และเป็นผู้ให้คำแนะนำความรู้ทางเทคนิคเกี่ยวกับการใช้ หากผู้คนเหล่านี้ไม่ใคร่ครวญพิจารณาถึงปัญหาดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่มีหนทางที่จะแก้ไขปัญหาน้ำเป็นพิษนี้ได้
ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีเพียงผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหามลภาวะที่จะพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหานี้อย่างแข็งขัน ดังในกรณีการต่อสู้ของชาวประมงท้องถิ่นต่อบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ทำน้ำมันรั่วไหลในทะเลใกล้กับมิซึชิม่า หรือข้อเสนอของศาสตราจารย์คนหนึ่งในการจัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยการต่อท่อเข้ามาที่เกาะชิโกกุ เพื่อปล่อยน้ำสะอาดจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาในทะเลใน มีการวิจัยและความพยายามในการแก้ปัญหาในลักษณะนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทางออกที่แท้จริงจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีเช่นนี้
ข้อเท็จจริงก็คือไม่ว่าเราจะทำอะไร สถานการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายลง ยิ่งเราแต่งเติมมาตรการป้องกันมากเท่าไหร่ ปัญหาก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
สมมุติว่าท่อน้ำถูกต่อเข้ามาในชิโกกุ และน้ำถูกสูบจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาในทะเลใน เราพูดได้ว่า มันอาจจะสามารถทำความสะอาดทะเลในได้ แต่เราจะเอาพลังไฟฟ้าจากไหนมาใช้ในโรงงานผลิตท่อเหล็ก และพลังไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการสูบน้ำเข้ามา มาถึงตอนนี้โรงผลิตไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ก็จะเป็นสิ่งจำเป็น การสร้างโรงงานดังกล่าวต้องมีการระดมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามา โรงงานแปรธาตุยูเรเนียมก็จะต้องสร้างขึ้นมาด้วย เมื่อทางออกพัฒนาไปในรูปนี้ พวกเขาก็ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ของปัญหามลภาวะให้กับคนชั่วรุ่นที่ ๒ ที่ ๓ ถัดไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ยากยิ่งกว่าเก่า และมีผลกระทบกว้างกว่าเก่ามากมายนัก
กรณีนี้เหมือนกับเรื่องของชายนาโลภคนหนึ่งที่เปิดช่องปล่อยน้ำกว้างเกินไป และปล่อยน้ำทะลักเข้ามาในนาข้าวอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดรูรั่วและในที่สุดร่องน้ำก็พังทะลาย ในตอนนี้การซ่อมแซมก็เป็นสิ่งจำเป็น ผนังจะได้รับการเสริมให้แข็งขึ้น และท่อปล่อยน้ำก็ทำให้ขยายกว้างขึ้น ความจุของน้ำที่เพิ่มขึ้นย่อมมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย และในอนาคตถ้าร่องน้ำทรุดโทรมลง ก็จะทำให้ยิ่งต้องเพิ่มความพยายามมากขึ้นในการซ่อมแซมหรือสร้างใหม่
เมื่อมีการตัดสินใจเพื่อจัดการกับอาการแสดงออกของปัญหา โดยทั่วไปก็มักจะเหมาเอาว่ามาตรการในการแก้ไขนั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวของมันเอง แต่ความจริงแล้วมักไม่เป็นเช่นนั้น วิศวกรก็ดูเหมือนไม่สามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้ มาตรการแก้ไขล้วนอยู่บนพื้นฐานความคิดที่คับแคบในการกำหนดว่าความผิดพลาดอยู่ที่ไหน มาตรการและมาตรการปัองกันของมนุษย์ล้วนเกิดจากการวินิจฉัยและความจริงทางวิทยาศาสตร์อันจำกัด ทางออกที่แท้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการเช่นนี้**
ทางออกอันอ่อนน้อมถ่อมตนของผมได้แก่การโปรยฟางคลุมที่นา และการปลูกพืชคลุมดินซึ่งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ มันมีประสิทธิภาพเพราะว่ามันได้กำจัดต้นตอของปัญหา ปัญหามลภาวะจะยังคงมีสภาพเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าความเชื่อสมัยใหม่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้วยเทคโนโลยี่ขนาดใหญนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลง
--------------------------------------------------------------------------------
* ทะเลขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างเกาะฮอนชู คิวชู และชิโกกุ
** คำว่า "การวินิจฉัยและความจริงทางวิทยาศาสตร์อันจำกัด" ฟูกูโอกะหมายถึงโลกที่เรารับรู้และสร้างขึ้นโดยอาศัยความรู้ทางพุทธิปัญญา เขาลงความเห็นว่าการรับรู้ดังกล่าวถูกจำกัดอยู่ในขอบเขต ซึ่งกำหนดขึ้นจากสมมติฐานของแต่ละคน
มดเอ๊กซ:
๓.๓
ผลพวงในยามยาก
ผู้บริโภคโดยทั่วไปมักเข้าใจว่าตนเองไม่มีส่วนก่อปัญหามลภาวะในทางการเกษตร พวกเขาจำนวนมากเรียกร้องอาหารที่ปราศจากสารเคมี แต่อาหารที่ใช้สารเคมีนั้นออกสู่ตลาดเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคเป็นหลัก ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีขนาดใหญ่ ผิวสวย และไม่มีตำหนิ เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ สารเคมีทางการเกษตรซึ่งไม่เคยใช้มาก่อนเมื่อ ๕-๖ ปีที่แล้ว ก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายรวดเร็ว
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้คนกล่าวว่าเขาไม่สนใจหรอกถ้าแตงกวาจะมีรูปร่างตรง เรียว หรือหงิกงอ และผลไม้ก็ไม่จำเป็นต้องมีรูปทรงภายนอกที่สวยงาม แต่ลองไปดูในตลาดขายส่งที่โตเกียว ถ้าคุณอยากจะเห็นว่าราคาขึ้นกับความพอใจของผู้บริโภคอย่างไร เมื่อผลไม้มีลักษณะที่ดูดีกว่าสักเล็กน้อย คุณจะได้ราคาเป็นพิเศษปอนด์ละ ๕-๑๐ เซนต์ เมื่อผลไม้ถูกคัดขนาดเป็น "เล็ก" "กลาง" หรือ "ใหญ่" ราคาต่อปอนด์จะต่างกันถึง ๒-๓ เท่า ตามขนาดที่เพิ่มขึ้น
การที่ผู้บริโภคยินดีจะซื้ออาหารที่ผลิตนอกฤดูกาลในราคาที่สูงขึ้น ก็มีส่วนทำให้เพิ่มการใช้สารเคมี และวิธีการปลูกเทียมที่อาศัยเครื่องมือต่าง ๆทางวิทยาศาสตร์ ปีที่แล้วส้มอุนชูที่ปลูกในเรือนกระจกเพื่อส่งขายในฤดูร้อน* ได้ราคาสูงกว่าส้มตามฤดูกาลถึง ๑๐-๒๐ เท่า แทนที่ราคาปกติจะตกปอนด์ละ ๑๐-๑๕ เซนต์ ราคาจะพุ่งสูงถึงปอนด์ละ ๘๐ เซนต์ถึง ๑ เหรียญสหรัฐ บางทีจะสูงถึง ๑.๗๕ เหรียญ ดังนั้นถ้าคุณลงทุนเป็นจำนวนพัน ๆ ดอลลาร์ในการติดตั้งอุปกรณ์ ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและเพิ่มเวลาทำงาน คุณก็จะได้กำไร
การเกษตรนอกฤดูกาลได้กลายเป็นความนิยมมากขึ้นทุกที การได้กินส้มแมนดารินก่อนเวลา ๑ เดือน ก็สามารถทำให้ชาวเมืองยินดีจ่ายราคาเป็นพิเศษให้กับการลงทุนที่เพิ่มทั้งในแง่แรงงานและเครื่องมือของเกษตรกร แต่ถ้าคุณลองถามดูว่ามันมีความสำคัญแค่ไหนต่อมนุษย์ในการที่จะได้กินผลไม้นี้ก่อนเวลา ๑ เดือน ความจริงก็จะเป็นว่า มันไม่มีความสำคัญอะไรเลย และเงินก็มิใช่ราคาค่างวดเพียงอย่างเดียวที่เราจ่ายให้กับการตามใจปากเช่นนั้น
ยิ่งกว่านั้น สารที่ทำให้เกิดสิ่งไม่เคยใช้เมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันก็นำมาใช้กัน สารตัวนี้ทำให้ผลไม้มีสีสันเหมือนสุกเต็มที่เร็วขึ้น ๑ อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับว่าผลไม้นี้จะขายได้ก่อนหรือหลังวันที่ ๑๐ ตุลาคมประมาณ ๑ อาทิตย์ ซึ่งราคาอาจจะขึ้นไปเป็นสองเท่า หรือตกลงมาเหลือครึ่งเดียว ด้วยเหตุนี้ เกษตรกรจึงใช้สารเคมีเร่งให้เกิดสี และหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วต้องเก็บผลไม้ไว้ในห้องอบเพื่อใช้แก๊สรมให้สุก
ผลไม้ที่ส่งออกขายก่อนเวลา มักจะไม่ค่อยหวาน ดังนั้นจึงต้องใช้สารเคมีเพิ่มความหวาน คนโดยทั่วไปคิดกันว่าสารเคมีเพิ่มความหวานเป็นสิ่งที่ถูกห้ามใช้ แต่ยาพ่นความหวานเทียมบนต้นส้มไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คำถามก็คือมันจัดอยู่ในประเภท "สารเคมีทางการเกษตร" หรือไม่ อย่างไรก็ตามเกือบทุกคนล้วนใช้สารเคมีดังกล่าว
จากนั้นผลไม้จะถูกส่งไปยังศูนย์คัดเลือกผลไม้ของสหกรณ์ ผลไม้จะถูกปล่อยไปตามสายพาน ซึ่งมีความยาวหลายร้อยหลาเพื่อแยกขนาดใหญ่ เล็ก จึงเป็นธรรมดาที่ต้องมีรอยถลอก ยิ่งศูนย์คัดเลือกมีขนาดใหญ่เท่าไร ผลไม้ก็ยิ่งต้องหมุนไปบนสายพานและถูกกระทบกระแทก กลิ้งตกลงมามากเท่านั้น หลังจากใช้น้ำล้างแล้ว ส้มแมนดารินเหล่านี้จะถูกฉีดสารกันเสีย และเคลือบด้วยสารให้สี ขั้นตอนสุดท้ายจะใช้น้ำยาฟาราฟินเพื่อชักเงา และผลไม้จะถูกขัดให้เป็นมันวาว ทุกวันนี้ ผลไม้ล้วนแต่ต้อง "ผ่านโรงงาน" ทั้งสิ้น
ดังนั้นนับจากเวลาก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลไม้ไปจนถึงเวลาที่ส่งออกไปและวางขายอยู่ตามแผงมีสารเคมีที่ถูกนำมาใช้มากถึง ๕-๖ ชนิดนี้ มิต้องกล่าวถึงปุ๋ยเคมีและยาพ่นที่ใช้ในขณะที่ไม้ผลพวกนี้ยังอยู่ในสวน และทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะผู้บริโภคต้องการซื้อผลไม้ที่ดูสวยงามต้องตาขึ้นอีกสักนิด ขอบเขตของความพึงพอใจเพียงเล็กน้อยนี้ ได้ผลักดันให้เกษตรกรไปสู่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้
วิธีการทั้งหลายแหล่ที่นำมาใช้เหล่านี้มิใช่เพราะเกษตรกรพึงพอใจจะทำเช่นนั้น หรือเพราะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรพอใจที่จะให้เกษตรกรต้องใช้แรงงานเพิ่มขึ้นเช่นนี้ แต่ตราบใดที่ค่านิยมโดยทั่วไปยังไม่เปลี่ยน ก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ได้
เมื่อผมทำงานอยู่ในกรมศุลกากรแห่งเมืองโยโกฮาม่า ประมาณ ๔๐ ปีที่แล้วส้มซันควิสก็มีลักษณะการจัดการในรูปแบบนี้ ผมได้คัดค้านอย่างรุนแรงต่อการนำระบบเช่นนี้มาใช้ในญี่ปุ่น แต่คำพูดของผมไม่อาจหยุดยั้งระบบที่นำมาใช้ในปัจจุบันนี้ได้
ถ้าครอบครัวเกษตรกรสักครอบครัวหนึ่ง หรือสหกรณ์ใช้วิธีการใหม่ เช่น การเคลือบไขลงบนเปลือกส้มแมนดาริน เพราะว่าการเพิ่มการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษย่อมทำให้ผลกำไรสูงขึ้นด้วย สหกรณ์การเกษตรแห่งอื่นก็จะจดจำไว้และในไม่ช้าเขาก็จะเอาอย่างบ้าง ผลไม้ที่ไม่ได้เคลือบไขจะไม่มีราคาสูงนัก และเพียงชั่วเวลา ๒-๓ ปี การเคลือบไขบนผลไม้ก็จะแพร่หลายไปทั่วประเทศ แต่ในทีสุดการแข่งขันก็จะทำให้ราคาตกต่ำลง และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือภาระของเกษตรกรที่ต้องทำงานหนัก และต้นทุนสูงขึ้นเพราะอุปกรณ์เครื่องมือทั้งหลาย และถึงตอนนี้เขาก็จำเป็นต้องเคลือบไขบนผลไม้
แน่นอน ผู้บริโภคได้รับผลเสียด้วย อาหารที่ไม่สด สามารถขายได้เพราะมัน "ดู"สด พูดตามหลักชีววิทยา ผลไม้ที่เริ่มเหี่ยวจะผ่อนการหายใจคายน้ำและลดการทำงานที่ต้องใช้พลังงานให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ มันก็เหมือนกับคนทำสมาธิที่เมตาบอลลิซึม การหายใจ การใช้พลังงานของร่างกายอยู่ในระดับที่ต่ำมาก แม้ว่าเขาจะอดอาหารแต่พลังภายในร่างกายก็ยังถูกเก็บรักษาไว้ได้ ในลักษณะเดียวกัน เมื่อส้มแมนดารินเริ่มเหี่ยว ผลไม้เริ่มเฉา และผักเดิมไม่สด มันจะอยู่ในสภาพที่จะพยายามรักษาคุณค่าทางอาหารให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เป็นความผิดพลาดที่พยายามรักษาความสดเพียงสภาพภายนอก เพราะเมื่อคนขายพ่นน้ำลงบนผักครั้งแล้วครั้งเล่า ผักอาจจะแลดูสดก็จริงแต่รสชาติและคุณค่าทางอาหารจะลดน้อยลงไป
อย่างไรก็ตาม สหกรณ์การเกษตรทั้งหลาย และศูนย์คัดเลือกขนาดได้รวมตัวกัน และเผยแพร่กิจกรรมอันไม่จำเป็นเหล่านี้ สิ่งนี้เรียกว่า "ความทันสมัย" สินค้าที่ผลิตขึ้นจะถูกนำมาบรรจุหีบห่อ และอาศัยระบบการขนส่งขนาดใหญ่ และสินค้าก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค
อาจจะกล่าวได้ว่าตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับขนาดและความสวยงามภายนอกยิ่งกว่าคุณภาพ ก็จะไม่มีหนทางแก้ไขปัญหามลภาวะทางอาหาร
--------------------------------------------------------------------------------
* ผลไม้ชนิดนี้ตามธรรมชาติจะสุกในตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง
มดเอ๊กซ:
๓.๔
อาหารธรรมชาติและการตลาด
เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยส่งข้าวประมาณ ๘๘-๑๑๐ บูเชล (๒,๒๗๒.๗-๒,๙๕๔.๕ กิโลกรัม) ไปยังร้านขายอาหารธรรมชาติในภาคต่าง ๆ ของประเทศ ผมยังส่งส้มแมนดารินบรรจุกล่อง ๆ ละ ๓๕ ปอนด์ (๑๕.๔ กิโลกรัม) จำนวน ๔๐๐ กล่องไปกับรถบรรทุกขนาด ๑๐ ตันไปให้กับสมาคมสหกรณ์ ซึ่งอยู่ที่อำเภอซูจินามิในโตเกียวอีกด้วย ประธานสหกรณ์ต้องการขายผลผลิตที่ไม่ใช้สารเคมี และนี่เป็นที่มาของการทำสัญญาซื้อขายระหว่างเรา
ปีแรกนั้นประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง แต่ก็ยังคงมีเสียงบ่นอยู่บ้างว่าขนาดของผลไม้มีความหลากหลายแตกต่างกันมากเกินไป ผิวนอกยังสกปรกอยู่บ้างเล็กน้อย บางทีผิวก็มีริ้วรอยเหี่ยวเฉาและอื่น ๆ ผมบรรจุผลไม้ลงในกล่องกระดาษธรรมดา ๆ และก็มีบางคนที่สงสัยโดยไม่มีเหตุผลว่า ผลไม้เหล่านั้นเป็นผลไม้ "ชั้นสอง" ปัจจุบันผมบรรจุผลไม้ในกล่องที่มีตัวอักษรว่า "ส้มแมนดารินธรรมชาติ"
ด้วยเหตุที่อาหารธรรมชาติสามารถผลิตได้โดยใช้ต้นทุนต่ำ ผมจึงเห็นว่ามันควรขายในราคาที่ถูกที่สุด ปีที่แล้วผลไม้ของผมมีราคาต่ำที่สุดในเมืองโตเกียว คนขายบอกว่าผลไม้ของผมมีรสชาติอร่อยที่สุด แน่นอน ถ้าผลไม้สามารถกระจายขายกันเฉพาะในท้องถิ่น นั่นจะเป็นวิธีดีที่สุด เพราะสามารถตัดเรื่องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายเพิ่มในการขนส่ง แต่แม้กระนั้น ราคาก็เหมาะสม ผลไม้ไม่ได้ใช้สารเคมีและก็มีรสชาติดี ในปีนี้ผมได้รับใบส่งซื้อผลไม้เพิ่มจากเดิม ๒-๓ เท่า มาถึงจุดนี้ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่า อาหารธรรมชาติที่ขายโดยไม่ผ่านตัวกลางควรจะกระจายไปไกลแค่ไหน ผมมีความห่วงประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ คนปลูกผลไม้ที่ใช้สารเคมีได้ตกอยู่ในสภาพบีบรัดทางเศรษฐกิจและเหตุนี้เองที่ทำให้ผลผลิตที่เป็นอาหารธรรมชาติมีความน่าดึงดูดใจต่อพวกเขามากกว่า ไม่ว่าเกษตรกรจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉลี่ยแค่ไหน ตั้งแต่การใช้สารเคมี การใส่สี การเคลือบไข และอื่น ๆ เขาจะขายผลไม้ได้ในราคาที่เพียงคุ้มกับค่าใช้จ่ายเท่านั้น ในปีนี้แม้แต่สวนผลไม้ที่มีผลไม้ดีกว่าสวนอื่น ๆ ก็คาดว่าจะมีกำไรปอนด์ละไม่ถึง ๕ เซนต์ ส่วนเกษตรกรที่มีผลไม้คุณภาพต่ำกว่าทั่วไปเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องขาดทุนย่อยยับแน่
เนื่องจากราคาพืชผลได้ตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้สหกรณ์การเกษตรและศูนย์คัดเลือกขนาดเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น และจะคัดเลือกผลไม้ที่มีคุณภาพสูงจริง ๆ เท่านั้น ผลไม้ที่มีคุณภาพรองลงมาจะไม่สามารถขายให้กับศูนย์คัดเลือกขนาดได้เลย หลังจากใช้เวลาทั้งวันในสวนเพื่อเก็บส้ม ขนมาใส่หีบห่อและบรรทุกมาส่งที่โกดังของศูนย์คัดเลือก เกษตรกรต้องทำงานจนถึง ๕ ทุ่มเที่ยงคืน ในการคัดเลือกผลไม้ทีละลูก โดยเลือกเอาเฉพาะลูกที่มีขนาดและรูปทรงดีที่สุด*
ผลไม้ที่มีขนาดดีตามต้องการโดยเฉลี่ยแล้ว จะมีเพียงร้อยละ ๒๕-๕๐ ของผลไม้ทั้งหมด และผลไม้ที่คัดแล้วนี้บางส่วนศูนย์คัดเลือกก็ไม่รับซื้อด้วย ถ้ามีกำไรอยู่ในราวปอนด์ละ ๒-๓ เซนต์ ก็ถือว่าเป็นกำไรค่อนข้างดี ชาวสวนส้มที่น่าสงสารพวกนี้ต้องทำงานหนัก และบางทีก็ยังขาดทุนหมดเนื้อหมดตัวอีกด้วย
การปลูกผลไม้โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ย หรือพรวนดิน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายน้อย ดังนั้น กำไรสุทธิของเกษตรกรจะสูงขึ้น ผลไม้ที่ผมส่งไปขายไม่ไดคัดเลือกขนาด ผมเพียงแต่เอาผลไม้ใส่หีบห่อแล้วส่งไปที่ตลาด และก็เข้านอนแต่หัวค่ำ
เกษตรกรเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ของผมก็รู้ว่าพวกตนนั้นทำงานหนักมากเพียงเพื่อจะหมดเนื้อหมดตัวในที่สุด ความรู้สึกที่ว่าการผลิตอาหารธรรมชาตินั้นไม่ใช่เรื่องแปลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปสู่การเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมี เกษตรกรโดยเฉลี่ยยังคงกังวลว่าจะไม่มีตลาดรับซื้อผลิตผลของตน จนกว่าอาหารธรรมชาติจะสามารถกระจายในระดับท้องถิ่นมากขึ้น
ในฝ่ายของผู้บริโภค โดยทั่วไปมักจะคิดว่า อาหารธรรมชาติควรมีราคาแพง ถ้าอาหารธรรมชาติไม่แพง คนจะลังเลสงสัยว่าไม่ใช่อาหารธรรมชาติ พ่อค้าขายปลีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับผมว่า คนจะไม่ซื้อสินค้าจากธรรมชาติถ้าราคาไม่แพง
ผมคิดว่าอาหารธรรมชาติควรขายในราคาถูกกว่าอย่างอื่น หลายปีก่อนร้านอาหารธรรมชาติในโตเกียวสั่งซื้อน้ำผื้งที่ก็บจากสวนส้ม และไข่ไก่จากไร่นาของผม เมื่อผมพบว่าพ่อค้าขายสินค้าเหล่านี้ในราคาที่สูงกว่าที่ควร ผมรู้สึกโกรธมาก ผมรู้ว่าพ่อค้าที่ต้องการเอาเปรียบลูกค้าในลักษณะนี้ จะผสมข้าวของผมกับข้าวอื่นด้วยเพื่อเพิ่มน้ำหนัก นี่ทำให้ลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาที่ไม่ยุติธรรม ตั้งแต่นั้นมาผมเลยเลิกส่งสินค้าไปให้ร้านนั้นอีก
ถ้าอาหารธรรมชาติมีราคาสูง นั่นแสดงว่าพ่อค้าได้เอากำไรมากเกินควรจากลูกค้า ยิ่งกว่านั้นถ้าอาหารธรรมชาติมีราคาแพง มันจะกลายเป็นอาหารฟุ่มเฟือย และมีเพียงคนรวยเท่าพื้นที่จะซื้อหามากินได้
ถ้าอาหารธรรมชาติได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง สินค้าธรรมชาติก็จะหาซื้อได้ในท้องถิ่นด้วยราคาที่เหมาะสม ถ้าผู้บริโภคเพียงแต่จะปรับทัศนคติของตนว่าราคาต่ำไม่ได้หมายความว่าอาหารนั้นไม่ใช่อาหารธรรมชาติ เมื่อนั้นทุกคนก็จะคิดในแนวทางที่ถูกต้อง
--------------------------------------------------------------------------------
* ผลไม้ที่ศูนย์ไม่รับซื้อ จะขายให้แก่บริษัทเอกชนในราคาเพียงครึ่งเดียว เพื่อเอาไปคั้นเป็นน้ำผลไม้
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version