แสงธรรมนำใจ > จิตวิวัฒน์ กระบวนการนิวเอจ นิเวศแนวลึก
ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว : ภาค ๓ ทางออกอันอ่อนน้อม
มดเอ๊กซ:
๓.๕
เกษตรกรรมเพื่อการค้าจะล้มเหลว
เมื่อความคิดเกี่ยวกับเกษตรกรรมเพื่อการค้าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ผมได้แสดงความเห็นคัดค้าน เกษตรกรรมเพื่อการค้าในญี่ปุ่นจะไม่ก่อให้เกิดผลกำไรแก่เกษตรกรเลย ในหมู่พ่อค้ามีหลักอยู่ว่าสินค้าซึ่งมีราคาทุนที่แน่นอนจำนวนหนึ่งถ้าเพิ่มกรรมวิธีอะไรเข้าไปอีก ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อนำสินค้าออกขาย แต่วงการเกษตรกรรมของญี่ปุ่นไม่มีลักษณะตรงไปตรงมานัก ปุ๋ย อาหาร อุปกรณ์ และสารเคมีต้องซื้อมาในราคาที่กำหนดไว้ตายตัวจากต่างประเทศ และไม่มีการบอกให้รู้ว่าราคาที่แท้จริงต่อปอนด์เป็นเท่าไร เมื่อมีการใช้สินค้านำเข้าพวกนี้ ราคาจะขึ้นอยู่กับพ่อค้าโดยสิ้นเชิง และราคาขายก็ถูกกำหนดไว้ตายตัวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้รายได้ของเกษตรกรจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา
โดยทั่วไป เกษตรกรรมเพื่อการค้าเป็นเรื่องที่ไม่มั่นคง เกษตรกรจะเป็นอยู่ดีกว่าถ้าเขาปลูกธัญญาหารที่จำเป็นต่อการเลี้ยงชีพของเขา โดยไม่ต้องคิดถึงการขายเอาเงิน เมื่อคุณปลูกข้าวเมล็ดหนึ่ง มันจะให้ผลมากกว่าพันเมล็ด ผักกาดหัวเพียงแถวเดียวก็เพียงพอที่จะทำผักดองไว้กินตลอดฤดูหนาว ถ้าคุณปฏิบัติตามแนวคิดนี้ คุณจะมีอาหารกินอย่างเพียงพอโดยไม่ต้องต่อสู้แย่งชิง แต่ถ้าคุณตัดสินใจจะหาเงิน ก็เท่ากับว่าคุณขึ้นนั่งบนยวดยานของการแสวงหากำไร และมันจะควบขับไปด้วยความเร็วชนิดที่คุณควบคุมไม่ได้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมเคยคิดเกี่ยวกับไก่พันธุ์ไวท์เล็กฮอร์น เพราะว่าไก่ไวท์เล็กฮอร์นพันธุ์ปรับปรุงให้ไข่มากกว่า ๒๐๐ วันต่อปี การเลี้ยงเพื่อหากำไรก็ดูจะเป็นธุรกิจที่ดีทีเดียว เมื่อเลี้ยงเพื่อการค้า ไก่พวกนี้จะถูกขังเป็นแถวยาวอยู่ในกรงขนาดเล็กไม่ผิดกับคุกในสถานดัดสนดาน และตลอดชีวิตของพวกมัน เท้าจะไม่เคยได้สัมผัสกับพื้นดิน ไก่พวกนี้จะเป็นโรคได้ง่าย จึงต้องให้ยาปฏิชีวนะอย่างเต็มที่ และเลี้ยงด้วยอาหารที่ประกอบด้วยไวตามินและฮอร์โมน
ไก่พื้นบ้านสีน้ำตาลและสีดำที่เรียกว่าชาโมและชาโบ เลี้ยงกันมาตั้งแตสมัยก่อนให้ไข่ได้เพียงครึ่งเดียวของไก่พันธุ์เล็กฮอร์น ด้วยเหตุนี้ไก่พื้นบ้านพวกนี้เลยค่อยสูญหายไปจากญี่ปุ่น ผมเลี้ยงไก่ตัวเมีย ๒ ตัว ไก่ตัวผู้ ๑ ตัว และปล่อยให้มันวิ่งเล่นตามเชิงเขาอย่างเสรี หลังจากนั้น ๑ ปี มันกลายเป็น ๒๒ ตัว เมื่อมันเริ่มวางไข่น้อยลง ไก่พื้นบ้านพวกนี้ก็จะวุ่นอยู่กับการเลี้ยงลูกไก่
ในปีแรกไก่เล็กฮอร์นจะวางไข่มากกว่าไก่พื้นบ้านมาก แต่หลังจากนั้น ๑ ปี ไก่ไวท์เล็กฮอร์นเริ่มหมดสมรรถภาพและไม่ออกไข่ ในขณะที่ไก่ชาโมมีลูกไก่ที่แข็งแรงเพิ่มขึ้น ๑๐ ตัว วิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ในสวน ยิ่งกว่านั้นการที่ไก่ไวท์เล็กฮอร์นวางไข่ได้ดี ก็เพราะเลี้ยงมันด้วยอาหารเสริมสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ และต้องซื้อจากพ่อค้า ไก่พื้นบ้านๆคุ้ยเขี่ยอาหารไปทั่วกินเมล็ดผักหรือแมลงในบริเวณนั้น และวางไข่ที่เป็นธรรมชาติและมีรสอร่อย
ถ้าคุณคิดว่าผักที่ปลูกขายตามท้องตลาดเป็นของธรรมชาติ คุณจะตกใจมากทีเดียวถ้ารู้ว่าพืชผักเหล่านี้สงเคราะห์ขึ้นจากสารเคมีเหลวพวกในโตรเจนฟอสฟอรัส และโปแตส โดยความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยจากการงอกของเมล็ด และนั่นแหละรสชาติของมันจึงเป็นแบบนั้น และไข่ไก่ (ถ้าคุณจะเรียกมันเช่นนั้น) ก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าเป็นส่วนผสมของอาหารสงเคราะห์ สารเคมีและฮอร์โมนนี่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่คนสงเคราะห์ขึ้นในรูปของไข่ เกษตรกรผู้ผลิตผักและไข่ในลักษณะนี้ ผมขอเรียกว่า ผู้ผลิตทางออุตสาหกรรมจะเหมาะกว่า
เอาล่ะ ถ้าคุณพูดถึงการผลิตทางอุตสาหกรรม คุณก็ต้องฝันหน่อยถ้าต้องการหากำไร เกษตรกรที่ผลิตเพื่อขายถ้าไม่หาเงิน เขาก็จะเหมือนพ่อค้าที่ใช้ลูกคิดไม่เป็น คนแบบนั้นต้องถูกหาว่าเป็นคนโง่ และผลกำไรของเขาจะถูกฉกฉวยไปโดยพวกนักการเมืองและเซลส์แมน
ในอดีต เรามีนักรบ ชาวนา ช่าง และพ่อค้า เกษตรกรรมนั้นถือกันว่าเป็นงานที่ใกล้ชิดกับต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่งยิ่งกว่าการค้าหรืออุตสาหกรรม กล่าวกันว่า ชาวนาเป็น "ผู้รินเครื่องดื่มถวายพระผู้เป็นเจ้า" พวกเขาล้วนสามารถจัดการกับชีวิตด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งและหาได้พอกินเสมอ
แต่มาบัดนี้กลับมีความวุ่นวายในการหาเงินหาทอง การผลิตทางการเกษตรที่ล้ำสมัย เช่น องุ่น มะเขือเทศ และแตงเทศ ดอกไม้และผลไม้ปลูกนอกฤดูกาลในห้องกระจก การผสมพันธุ์ปลา และการเลี้ยงวัวควายเพื่อหากำไรก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น
แบบแผนเป็นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อการเกษตรไปผูกพันอยู่กับความผันแปรทางเศรษฐกิจ การขึ้นลงของราคาเป็นไปอย่างรุนแรง กำไรนั้นมีจริง แต่ขาดทุนก็จริงเช่นกัน
ความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เกษตรกรรมของญี่ปุ่นได้หลงทิศหลงทางไปแล้ว และตกอยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคง มันได้เฉไฉออกจากหลักการพื้นฐานของเกษตรกรรม และกลายเป็นธุรกิจไปแล้ว
มดเอ๊กซ:
๓.๖
วิจัยเพื่อผลประโยชน์ของใคร
ในเมื่อผมเริ่มปลูกข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวด้วยวิธีหว่านเมล็ดโดยตรง ผมวางแผนจะเกี่ยวข้าวด้วยเคียว ผมเลยคิดว่าการหว่านเมล็ดเป็นแถวแบบที่ทำกันตามปกติจะเป็นวิธีที่สะดวกกว่า ผมได้ลองประดิษฐ์เครื่องมือแบบนักสมัครเล่น และด้วยความพยายามหลาย ๆ ครั้ง ผมก็ได้ประดิษฐ์เครื่องมือหว่านเมล็ดขึ้นมา ผมคิดว่าเครื่องมือนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอื่น ๆ ผมเลยเอาเครื่องมือนี้ไปให้คนในศูนย์ทดลองการเกษตรดู เขาบอกผมว่าเรากำลังอยู่ในยุคของเครื่องจักรขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้เขาก็ไม่อยากมาเสียเวลากับ "สิ่งประดิษฐ์เล่น ๆ" ของผม
ต่อมาผมไปที่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตร ที่นั่นบอกผมว่าเครื่องมือง่าย ๆ แบบนี้ ไม่ว่าผมจะใช้ความพยายามในการทำมากแค่ไหน มันจะขายได้ไม่เกินชิ้นละ ๓.๕๐ เหรียญสหรัฐเท่านั้น "ถ้าเราผลิตสิ่งประดิษฐ์กระจุกกระจิกแบบนั้น เกษตรกรก็อาจจะเริ่มได้คิดว่าเขาไม่ต้องการรถแทรกเตอร์ที่มีราคาเป็นพัน ๆ เหรียญสหรัฐ" เขากล่าวว่าปัจจุบันผู้คนมีความคิดแต่จะประดิษฐ์เครื่องมือปลูกข้าวอย่างรวดเร็ว แล้วก็ขายอย่างไม่ลืมหูลืมตาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แล้วก็นำสิ่งที่ใหม่กว่าเข้ามาอีก แทนที่จะใช้รถแทรกเตอร์ขนาดเล็ก เขาต้องการเปลี่ยนให้เป็นขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วย เหตุนี้สิ่งประดิษฐ์ของผมจึงถูกมองว่าเป็นของล้าหลัง เพื่อให้ทันกับความต้องการของยุคสมัย ทรัพยากรจะถูกใช้ไปในงานวิจัยที่ไร้ประโยชน์ต่อไปอีก และตราบจนทุกวันนี้สิ่งประดิษฐ์ของผมก็ยังถูกเก็บไว้บนหิ้ง
ปุ๋ย และสารเคมี ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน คือ แทนที่จะพัฒนาโดยมีเกษตรกรเป็นเป้าหมาย กลับกลายเป็นการเน้นอยู่ที่การพัฒนาส่งใหม่ ๆ อะไรก็ได้เพื่อจะขายเอากำไร หลังจากที่พวกนักเทคนิคลาออกจากศูนย์วิจัย พวกเขาก็จะไปทำงานให้กับบริษัทผลิตสารเคมีใหญ่ ๆ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้สนทนากับคุณอาซาดะ เจ้าหน้าที่เทคนิคของกระทรวงเกษตรและป่าไม้ เขาเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า พืชผักที่ปลูกในตู้กระจกเป็นอาหารที่ไม่น่ากินอย่างยิ่ง ฟังมาว่ามะเขือยาวที่ส่งไปขายในตอนฤดูหนาวจะไม่มีไวตามิน และแตงกวาก็ไม่มีรสชาติ เช้าทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้และก็พบเหตุผล สาเหตุเพราะว่าแสงแดดไม่สามารถทะลุผ่านกระจกและเครื่องกรองแสงที่ทำจากเส้นใยสงเคราะห์ซึ่งหุ้มตู้กระจกที่ใช้ปลูกพืชผักนั้น การทดสอบของเขาจึงมุ่งไปที่ระบบภายในตู้กระจก
คำถามพื้นฐานในที่นี้ก็คือ มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์หรือไม่ที่ต้องกินมะเขือยาว และแตงกวาในฤดูหนาว ถ้ายกประเด็นนี้ออกเสีย เหตุผลเพียงประการเดียวในการปลูกผักชนิดนี้ในฤดูหนาวก็คือ มันขายได้ราคาดี มีคนพัฒนาวิธีการปลูกผักเหล่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะพบว่าพืชผักเหล่านี้ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลย ประการต่อมา นักเทคนิคคิดว่าถ้าสารอาหารสูญเสียไป ก็ย่อมมีหนทางที่จะป้องกันการสูญเสียนั้นได้ เพราะเขาคิดว่าปัญหานั้นเกิดจากระบบแสง เขาก็เริ่มวิจัยเกี่ยวกับแสง เขาคิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยหากเขาสามารถสร้างตู้กระจกสำหรับมะเขือยาวที่มีไวตามินอยู่ภายใน ผมได้รับการบอกเล่าว่า มีนักเทคนิคบางคนที่ถึงกับอุทิศชีวิตทั้งหมดของเขาใหกับการวิจัยประเภทนี้
เนื่องจากมีการใช้ความพยายามและทรัพยากรอย่างมากมายในการผลิตมะเขือยาว และกล่าวกันว่าผักชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ราคาของมันจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก และรายได้ดีอีกด้วย "ถ้ามันขายได้กำไรดี และคุณสามารถขายได้ มันก็ไม่มีอะไรผิดเลย"
ไม่ว่าคนเราจะใช้ความพยายามมากเท่าไหร่ เขาไม่อาจปรับปรุงคุณภาพอาหารให้เท่าเทียมกับพืชผักและผลไม้ที่ปลูกตามธรรมชาติ ผลผลิตที่ปลูกด้วยวิธีผิดธรรมชาติจะสนองตอบความต้องการชั่วแล่นของผู้คน แต่มันจะทำให้ร่างกายมนุษย์อ่อนแอลง และเปลี่ยนแปลงภาวะเคมีในร่างกายคน ทำให้ร่างกายต้องพึ่งพิงอาหารประเภทนั้น เมื่อสภาพเช่นนี้เกิดขึ้น ไวตามินเสริมและยาก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น สถานการณ์เช่นนี้มีแต่สร้างความลำบากให้กับเกษตรกร และความทุกข์ให้กับผู้บริโภค
มดเอ๊กซ:
๓.๗
อะไรคืออาหารของมนุษย์
เมื่อวันก่อนเจ้าหน้าที่จากสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคมาเยี่ยม และขอให้ผมพูดอะไรเกี่ยวกับรสชาติของอาหารธรรมชาติ เราสนทนากัน จากนั้นผมขอให้เขาลองเปรียบเทียบไข่จากไก่ที่เลี้ยงในกรงข้างล่าง กับไก่ที่ปล่อยให้วิ่งเล่นอย่างอิสระในสวน เขาพบว่าไข่แดงที่ได้จากไก่ที่เลี้ยงในกรงมีลักษณะอ่อนเหลวและมีสีเหลืองซีด เขาสังเกตเห็นว่าไข่แดงจากไก่ที่เลี้ยงอย่างอิสระบนภูเขาจะมีลักษณะแน่น และยืดหยุ่น ทั้งมีสีส้มสด เมื่อผู้เฒ่าเจ้าของภัตตาคารซูชิ (ข้าวปั้นห่อสาหร่าย) ในเมืองได้ลิ้มรสไข่จากธรรมชาติเหล่านี้เข้าไปฟองหนึ่ง ก็ถึงกับกล่าวว่า "นี่แหละไข่ไก่ที่แท้จริง" เหมือนกับเมื่อสมัยก่อน และก็รู้สึกยินดีราวกับว่ามันเป็นสมบัติที่มีค่าเสียเหลือเกิน
ในสวนส้มมีพืชผักหลายชนิดขึ้นปะปนกับวัชพืชและพืชคลุมดิน เช่นผักกาดหัว เบอร์ด๊อกซ์ แตงกวา และน้ำเต้า ถั่วลิสง เก๊กฮวย มันฝรั่ง หัวหอม ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี และถั่วอีกหลายชนิด สมุนไพรหลายชนิดและพืชผักปลูกอยู่ในที่เดียวกัน บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นว่า ผักเหล่านี้ที่ปลูกในลักษณะผักป่าจะมีรสชาติดีกว่าผักที่ปลูกในสวนครัวหรืออาศัยปุ๋ยเคมีหรือไม่ เมื่อเราเปรียบเทียบกันก็พบว่ารสชาติมีความต่างกันโดยสิ้นเชิง และเราก็ตัดสินว่า "ผักป่า" มีรสชาติดีกว่า
ผมบอกผู้สื่อข่าวคนนั้นว่า ผักที่ปลูกในแปลงเพราะใช้ปุ๋ยเคมีที่มีส่วนผสมของในโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเป็นตัวช่วย ส่วนผักที่ปลูกปะปนกับพืชคลุมดินที่ขึ้นตามธรรมชาติในดินที่อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ มันจะได้รับสารอาหารที่มีความสมดุลกว่า การที่มีวัชพืชและหญ้ามากมายหลายชนิดขึ้นในที่ดินย่อมแสดงว่าในดินมีสารอาหารที่สำคัญหลากหลายสำหรับผักด้วย พืชที่ปลูกในดินที่มีความสมดุลเช่นนั้น จะมีรสชาติที่ละเอียดสุขุมมากกว่า
สมุนไพรและผักป่าที่ปลูกบนภูเขาและในทุ่งหญ้า มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และทั้งมีประโยชน์ในทางเภสัชอีกด้วย อาหารและยามิใช่สองสิ่งที่แตกต่างกัน มันเป็นสองด้านของสิ่งเดียวกัน ผักที่ปลูกด้วยสารเคมีอาจจะให้เป็นอาหารได้ แต่มันไม่สามารถใช้เป็นยาได้
เมื่อคุณเก็บสมุนไพร ๗ ชนิดในฤดูใบไม้ผลิ* มากิน มันจะช่วยให้จิตใจอ่อนโยน และถ้าคุณกินยอดผักกูด ออสมันด้า และเชพเพิดส์เพิส มันจะช่วยให้จิตใจสงบสุขุม การสงบความกระวนกระวาย ใจร้อน เชพเพิดส์เพิส จะช่วยได้ดีที่สุด กล่าวกันว่า ถ้าให้เด็กกินเชพเพิดส์เพิส ดอกตูมของวิลโล่ว์ หรือแมลงที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ จะช่วยแก้อาการหงุดหงิดร้องไห้โยเยได้ ในสมัยก่อนพ่อแม่มักจะทำให้เด็ก ๆ กินเสมอ ไดกอน (หัวไชเท้าญี่ปุ่น) มีต้นตระกูลมาจากนาซูนา และคำว่านาซูนา มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า นาโกมู ซึ่งหมายถึงการทำให้อ่อนละมุน อ่อนโยน ไดกอน ก็คือ "สมุนไพรที่ช่วยสงบจิตใจและอารมณ์"
ในบรรดาอาหารป่า แมลงมักจะถูกมองข้ามไป ในระหว่างสงคราม เมื่อผมทำงานอยู่กับสถานีวิจัย ผมได้รับมอบหมายให้ศึกษาว่าแมลงชนิดใดบ้างในเอเชียตะวันออกเฉึยงใต้ที่สามารถกินได้ เมื่อผมศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเกิดความรู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่า แมลงเกือบทุกชนิดล้วนกินได้
ยกตัวอย่างเช่น คงไม่มีใครคิดว่าตัวเหา และตัวหมัด สามารถเอาไปทำประโยชน์อะไรได้ แต่ตัวเหาเมื่อนำมาบดและกินกับธัญพืชฤดูหนาวเป็นยารักษาโรคลมบ้าหมู และตัวหมัด เป็นยารักษาแผลจากหิมะกัด ตัวอ่อนของแมลงเกือบทุกชนิดกินได้ แต่ต้องยังมีชีวิตอยู่ ผมอ่านพบจากตำราเก่า เกี่ยวกับการทำ "ของอร่อย" ซึ่งเตรียมจากตัวอ่อนของแมลง และรสชาติของหนอนไหมที่เราคุ้นเคย ถือกันว่ามีความวิเศษยอดเยี่ยมเกินกว่าที่เปรียบเทียบได้ แม้แต่ตัวมอธก็มีรสชาติอร่อยมาก แต่เราต้องเขย่าให้ฝุ่นที่ปีกหลุดออกเสียก่อน
ด้งนั้นอาหารหลายชนิดที่คนรู้สึกรังเกียจ ไม่ว่าจะพิจารณาจากแง่ของรสชาติหรือแง่ของสุขภาพ ล้วนมีรสชาติที่อร่อยดีทีเดียว ทั้งยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์อีกด้วย
พืชผักที่ยิ่งมีความใกล้เคียงทางชีววิทยากับต้นตระกูลที่เป็นผักป่ามากเท่าไหร่ ก็จะมีรสชาติและคุณค่าทางอาหารดีและมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่นผักที่อยู่ในวงศ์ลิลลี่ (ซึ่งรวมถึง นิรา กระเทียม กระเทียมต้น ต้นหอม หอมเล็กและหอมใหญ่) เช่น นิรา และ กระเทียมต้น มีคุณค่าอาหารสูงที่สุด ทั้งยังมีคุณค่าเป็นยาสมุนไพร และมีประโยชน์เป็นยาบำรุงสุขภาพโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม สำหรับคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพืชผักที่มีความเป็นผักบ้าน เป็น ต้นหอมและหอมใหญ่ มีรสชาติดีที่สุด คนสมัยปัจจุบันมักจะชอบรสชาติของพืชผักที่ห่างไกลจากสภาพความเป็นผักป่าของมัน
ความพึงพอใจในรสชาติอาหารดังกล่าว ก็เป็นกับเนื้อสัตว์ด้ายเช่นกัน นกป่ามีคุณค่าต่อร่างกายดีกว่าสัตว์เลี้ยงพวกไก่และเป็ด แต่กระนั้นสัตว์ปีกพวกหลังซึ่งถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลจากสภาพตามธรรมชาติของมันก็ถือกันว่ามีรสชาติดีและขายในราคาแพง นมแพะมีคุณค่าอาหารสูงกว่านมวัว แต่นมวัวกลับเป็นที่ต้องการมากกว่า
อาหารที่ห่างไกลจากสภาพดั้งเดิมของมัน และผลิตโดยอาศัยสารเคมี หรือผลิตขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นใหม่หมด จะทำให้สารเคมีภายในร่างกายเสียสมดุล ยิ่งร่างกายสูญเสียสมดุลมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งต้องการอาหารที่ไม่เป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น สภาพการณ์เช่นนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การพูดว่าสิ่งที่เรากินเป็นเพียงความชอบ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เป็นการหลอกลวง เพราะว่าอาหารที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือมาจากต่างประเทศจะก่อความยุ่งยากให้กับเกษตรกร และชาวประมงด้วย ผมรู้ดีกว่ายิ่งคนเรามีความต้องการมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ต้องทำงานสนองความต้องการของตนมากขึ้นเท่านั้น ปลาบางชนิด เช่นปลาโอและปลากะพงแดงที่คนนิยม ต้องออกไปจับยังน่านน้ำไกล ๆ ส่วนปลาซาร์ดีน ปลาอีคุด ปลาใบขนุนและปลาเล็ก ๆ อื่น ๆ สามารถจับได้จำนวนมาก ๆ ในทะเลใน พูดตามหลักโภชนาการ สัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดเช่นในแม่น้ำ และลำธาร เช่น ปลาใน หอยทากน้ำจืด กุ้งน้ำจืดปูน้ำจืด และอื่น ๆ มีคุณค่าต่อร่างกายมากกว่าสัตว์น้ำเค็ม ถัดมาก็เป็นปลาจากทะเลน้ำตื้น และสุดท้ายคือปลาจากทะเลลึกและจากน่านน้ำไกล ๆ อาหารที่ได้จากที่ใกล้ ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ แต่สิ่งที่เขาต้องต่อสู้เพื่อให้ใด้มากลับเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์น้อยที่สุด
นั่นก็คือ ถ้าคนเรายอมรับสิ่งที่อยู่ใกล้มือ ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี ถ้าเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ กินแต่อาหารที่สามารถปลูกได้หรือหาได้ในบริเวณนี้ ก็จะไม่มีโทษภัยอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มคนหนุ่มสาวที่อาศัยในกระท่อมในสวนนี้ พวกเขากินข้าวกล้อง และข้าวบาร์เลย์ ข้าวมิลเล็ท และข้าวบั๊ควีทที่ไม่ขัดขาว กับพืชตามฤดูกาลและผักป่า ทุกคนก็จะมีอาหารดีที่สุดกิน อาหารเหล่านั้นมีรสอร่อย และมีคุณค่าต่อร่างกาย
ถ้าที่ดินขนาด ? เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) ให้ผลผลิตข้าวเจ้าและธัญพืชฤดูหนาวอย่างละ ๒๒ บูเชล (๕๙๐.๙ กิโลกรัม) เหมือนที่นี่ ที่ดินขนาดนี้จะสามารถเลี้ยงคนได้ ๕-๑๐ คนโดยแต่ละคนลงแรงทำงานกันเฉลี่ยคนละไม่ถึง ๑ ชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าทุ่งนาถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้า หรือธัญพืชถูกนำไปเลี้ยงวัว ที่ดิน ? เอเคอร์ ก็จะเลี้ยงดูคนได้เพียงคนเดียว เนื้อสัตว์กลายเป็นอาหารฟุ่มเฟือย* เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์นั้นต้องอาศัยที่ดิน ซึ่งสามารถผลิตอาหารตอบสนองความจำเป็นของมนุษย์ได้โดยตรง ดังที่ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนและแน่นอน แต่ละคนควรจะใคร่ครวญอย่างจริงจังว่า ตนต้องประสบความยากลำบากเพียงไร ในการหมกมุ่นตามใจตัวเกี่ยวกับอาหารที่ผลิตขึ้นด้วยราคาแพง
เนื้อและอาหารนำเข้าเป็นของฟุ่มเฟือย เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานและทรัพยากรมากกว่าผักพื้นบ้านและธัญพืชที่ผลิตได้ในท้องถิ่น คนที่จำกัดตัวเองให้บริโภคแต่อาหารในท้องถิ่นจะทำงานน้อยลง และใช้ที่ดินน้อยลงกว่าพวกที่อยากในอาหารฟุ่มเฟือย
ถ้าประชาชนยังคงกินเนื้อและอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศ ภายใน ๑๐ ปี ญี่ปุ่นต้องประสบปัญหาวิกฤตการณ์ทางอาหารอย่างแน่นอน และภายใน ๓๐ ปี จะประสบกับความขาดแคลนอย่างรุนแรง มีความคิดที่เหลวไหลไร้สาระซึ่งมาจากที่ใดที่หนึ่ง ที่เชื่อว่า การเปลี่ยนจากการกินข้าวมากินขนมปังแทนแสดงถึงพัฒนาการในชีวิตปะจำวันของชาวญี่ปุ่น ที่จริงแล้วมันมิได้เป็นเช่นนั้น ข้าวกล้องและพืชผักอาจจะดูเป็นอาหารหยาบที่ไม่วิจิตรพิศดาร แต่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการดีที่สุด และช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอย่างเรียบง่าย และตรงไปตรงมา
หากว่าเราต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางอาหาร นั่นย่อมไม่ใช่เพราะความขาดแคลนทางพลังการผลิตของธรรมชาติ หากทว่าเพราะความต้องการอันฟุ่มเฟือยไม่จบสิ้นของมนุษย์นั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------
* ผักกาดน้ำ เชพเพิดส์เพิส ผักกาดหัวป่า คอททอนวีด บัควีด หัวไชเท้าป่า บี เนทเทิล
** แม้ว่าเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือจะได้จากสัตว์ที่เลี้ยงด้วยธัญพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด และถั่วเหลือง ก็ยังมีที่ดินขนาดใหญ่ที่ใช้ประโยชน์ได้ดีเมื่อหมุนเวียนใช้เป็นทุ่งหญาเลี้ยงสัตว์บ้างเป็นครั้งคราว ในญี่ปุ่นไม่มีที่ดินเช่นนี้เหลืออยู่ เนื้อสัตว์เกือบทั้งหมดต้องสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ
มดเอ๊กซ:
๓.๘
ความตายอันน่าเวทนาของข้าวบาร์เลย์
เมื่อ ๔๐ ปีก่อน เนื่องมาจากความเป็นปรปักษ์ทางการเมืองระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่นเพิ่มกระแสสูงขึ้น การสั่งซื้อข้าวสาลีจากสหรัฐจึงเป็นไปไม่ได้ จึงมีขบวนการที่พยายามจะปลูกข้าวสาลีภายในประเทศขึ้นทั่วประเทศ พันธุ์ข้าวสาลีของสหรัฐที่ใช้บริโภคกันอยู่นั้น ต้องการเวลาในฤดูเพาะปลูกอันยาวนานและเมล็ดจะสุกในราวกลางฤดูฝนของญี่ปุ่น หลังจากที่เกษตรกรต้องหลังขดหลังแข็งทนเจ็บปวดอยู่กับการปลูกพืชชนิดนี้ มันก็ยังมักจะเน่าเสียระหว่างการเก็บเกี่ยว พันธุ์ข้าวชนิดนี้ปรากฏว่าไว้ใจไม่ได้ และมีความอ่อนแอต่อเชื้อโรคสูง ด้วยเหตุนี้เกษตรกรจึงไม่อยากปลูกข้าวสาลี เมื่อสีเอาเปลือกออก และนำไปปิ้งในลักษณะแบบพื้นบ้าน รสชาติของมันก็แสนจะแย่จนแทบจะสำลัก และต้องถ่มทิ้งไป
พันธุ์ข้าวไรย์และบาร์เลย์พื้นบ้านของญี่ปุ่น สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเดือนพฤษภาคมก่อนฤดูฝน โดยเปรียบเทียบจึงมีความปลอดภัยกว่า กระนั้นเกษตรกรยังถูกบังคับให้ปลูกข้าวสาลี ทุกคนจะหัวเราะและพูดว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการปลูกข้าวสาลี แต่พวกเขาก็ทำตามนโยบายรัฐบาลอย่างอดทน
หลังสงคราม เริ่มมีการนำเข้าข้าวสาลีจากสหรัฐในปริมาณมากอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ราคาของข้าวสาลีที่ปลูกในญี่ปุ่นตกต่ำลง เป็นการเพิ่มเหตุผลที่จะเลิกปลูกข้าวสาลี "เลิกปลูกข้าวสาลี เลิกปลูกข้าวสาลี!" เป็นคำขวัญที่โฆษณาในระดับประเทศโดยผู้นำทางการเกษตรของรัฐบาล และเกษตรกรก็รู้สึกยินดีที่จะเลิกปลูก ในเวลาเดียวกัน เพราะว่าข้าวสาลีที่นำเข้ามีราคาต่ำ รัฐบาลก็เลยแนะนำให้เกษตรกรเลิกปลูกธัญพืชฤดูหนาวแบบพื้นบ้าน เช่นข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์ไปด้วย เมื่อมีนโยบายเช่นนี้ออกมา ท้องนาในญี่ปุ่นเลยถูกปล่อยว่างไว้ตลอดฤดูหนาว
ประมาณ ๑๐ ปีก่อน ผมได้รับเลือกเป็นตัวแทนของจังหวัดอิไฮมิไปปรากฏตัวทางโทรทัศน์ในรายการประกวด "เกษตรกรดีเด่นแห่งปี" ของสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ในตอนนั้นกรรมการคัดเลือกคนหนึ่งถามผมว่า "คุณฟูกูโอกะ ทำไมคุณไม่เลิกปลูกข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์เสียล่ะ" ผมตอบว่า "ข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์เป็นพืชที่ปลูกง่าย และเมื่อใช้วิธีปลูกหมุนเวียนกับข้าวเจ้า เราก็จะสามารถผลิตแคลอรีได้มากที่สุดจากท้องไร่ท้องนาของญี่ปุ่น นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เลิกปลูกข้าวทั้งสองชนิดนี้"
เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามกระทำการฝืนเจตนารมณ์ของกระทรวงเกษตรอย่างดื้อด้านเช่นนี้ จะไม่มีทางได้รับเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่น ดังนี้ผมจึงกล่าวว่า "ถ้าการไม่ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นมาจากสาเหตุนี้ละก็ ก็เป็นการดีที่ผมจะไม่ได้รางวัล" กรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกกล่าวกับผมในภายหลังว่า "ถ้าผมลาออกจากมหาวิทยาลัย และทำเกษตรด้วยตัวผมเอง ผมก็คงจะทำเกษตรแบบที่คุณทำ ปลูกข้าวเจ้าในฤดูร้อน และปลูกข้าวบาร์เลยกับข้าวไรย์ในฤดูหนาวทุกปี เช่นเดียวกับที่เคยทำกันก่อนสมัยสงคราม"
หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นาน ผมไปปรากฏตัวอีกครั้งในรายการโทรทัศน์เอ็นเอชเค ในการอภิปรายร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายท่าน และผมก็ถูกถามอีกว่า "ทำไมคุณไม่เลิกปลูกข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์" ผมกล่าวย้ำอีกครั้งอย่างชัดเจนยิ่งว่า ผมจะไม่เลิกปลูกไม่ว่าจะมีเหตุผลดี ๆ มากมายสักแค่ไหนในเวลานั้น คำขวัญให้เลิกปลูกธัญพืชฤดูหนาวอาจเรียกได้ว่าเป็น "ความตายอันน่าเวทนา; ด้วยเหตุนั้น การปลูกธัญพืชฤดูหนาวและข้าวเจ้าหมุนเวียนสลับกันก็ค่อย ๆ ตายไปอย่างเงียบเชียบ แต่คำว่า "ความตายอันน่าเวทนา" ยังเป็นคำพูดที่อ่อนเกินไป กระทรวงเกษตรต้องการให้มันตายอย่างไม่ได้ผุดได้เกิดเลยด้วยซ้ำ เมื่อผมเห็นชัดว่าเป้าหมายหลักของรายการอภิปรายดังกล่าวต้องการที่จะประชาสัมพันธ์ให้หยุดการปลูกธัญพืชฤดูหนาวในทันที หรือพูดได้ว่าให้ทิ้งมัน "ตายอยู่ข้างถนน" ผมเลยระเบิดออกมาด้วยโทสะ
เมื่อ ๔๐ ปีก่อนมีการเรียกร้องให้ปลูกข้าวสาลี ปลูกธัญพืชจากต่างประเทศ ปลูกพืชที่ไร้ประโยชน์และเป็นไปไม่ได้ ในตอนนั้นกล่าวกันว่าพันธุ์ข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์พื้นบ้านของญี่ปุ่นมีคุณค่าอาหารไม่สูงเท่าธัญพืชของอเมริกันและเกษตรกรก็เลิกปลูกธัญพืชพื้นบ้านเหล่านี้ไปด้วยความเสียใจ เมื่อมาตรฐานในการครองชีพพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงมีคำกล่าวออกมาว่าให้กินเนื้อกินไข่ กินนม และให้เปลี่ยนการกินข้าวมากินขนมปังแทน มีการนำเข้าข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวสาลีในปริมาณมากขึ้นทุกที ข้าวสาลีของอเมริกันมีราคาถูก ดังนั้นการปลูกข้าวพื้นบ้านทั้งข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์จึงถูกละทิ้งไป เกษตรกรรมญี่ปุ่นนำเอามาตรฐานที่บีบบังคับให้เกษตรกรทำงานครึ่งเวลาในเมือง เพื่อว่าเกษตรกรจะได้ซื้อพืชที่เขาได้รับคำแนะนำให้เลิกปลูกนั่นเอง
และบัดนี้ ความกังวลอย่างใหม่ต่อความขาดแคลนแหล่งอาหารก็ได้เกิดขึ้น การปลูกข้าวไรย์และข้าวบาร์เลย์เพื่อการยังชีพกำลังได้รับการส่งเสริมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ถึงกับว่าจะมีการให้ทุนอุดหนุนด้วย แต่มันก็ไม่เพียงพอหรอก หากจะส่งเสริมให้ปลูกธัญพืชฤดูหนาวพื้นบ้านสักปีสองปี แล้วก็ประกาศให้เลิกปลูกอีก นโยบายทางเกษตรที่ดีจะต้องมีความแน่นอน ด้วยเหตุที่กระทรวงการเกษตรขาดความคิดที่ชัดเจนว่าพืชอะไรควรปลูกเป็นประการแรก และประการต่อมาขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างพืชที่ปลูกกับอาหารของประชาชน ทำให้นโยบายของทางการเกษตรไม่มีความแน่นอนคงเส้นคงวา
หากว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงการเกษตรจะหาเวลาออกไปยังภูเขาและทุ่งหญ้าและเก็บสมุนไพร ๗ ชนิดในฤดูใบไม้ผลิ และสมุนไพร ๗ ชนิดในฤดูใบไม้ร่วง* มาลิ้มรสดู เขาก็จะรู้ว่าอะไรคือต้นกำเนิดของอาหารบำรุงกำลังของมนุษย์ และหากเขาจะศึกษาต่อไปอีก เขาก็จะเห็นว่าคุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีด้วยพืชพื้นบ้าน เช่นข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ข้าวบั๊ควีท และพืชผัก แล้วเขาก็จะตัดสินใจได้ว่า นี่คือสิ่งที่เกษตรกรรมของญี่ปุ่นจำเป็นต้องปลูก ถ้าสิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดที่เกษตรกรจะต้องปลูก เกษตรกรรมก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก
จนบัดนี้แนวคิดในหมู่นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ยังคงเห็นว่า การทำเกษตรกรรมขนาดเล็กเพื่อเลี้ยงชีพเป็นสิ่งผิด ที่นี่เป็นเกษตรกรรมแบบบรรพกาลอันล้าหลัง เป็นสิ่งที่ควรกำจัดออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีคำกล่าวว่าขนาดของที่นาแต่ละแปลงควรจะขยายออกไป เพื่อรับกับการเปลี่ยนไปสู่การเกษตรขนานใหญ่แบบอเมริกัน ความคิดเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวงการเกษตรกรรมเท่านั้น แต่การพัฒนาในทุกสาขาล้วนมุ่งไปในทิศทางนี้
เป้าหมายก็คือให้เหลือคนทำเกษตรกรรมเพียงจำนวนน้อย ผู้รู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับในทางการเกษตรกล่าวว่า ในพื้นที่เท่าเดิมถ้าใช้คนน้อยลงแต่ใช้เครื่องจักรทันสมัยขนาดใหญ่ จะได้ผลผลิตมากกว่าเดิม และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าความก้าวหน้าทางการเกษตร หลังสงคราม คนญี่ปุ่นที่เป็นเกษตรกรมีอยู่ในราวร้อยละ ๗๐-๘๐ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกษตรกรค่อย ๆ ลดลงเหลือร้อยละ ๕๐ แล้วก็ ๓๐ ๒๐ ตามลำดับ และในปัจจุบันตัวเลขเหลือเพียงร้อยละ ๑๔ นี่เป็นความตั้งใจของกระทรวงการเกษตรที่ต้องการจะบรรลุผลในระดับเดียวกับยุโรปและอเมริกา คือมีประชากรต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ เท่านั้นที่เป็นเกษตรกร ส่วนที่เหลือก็ถูกทำให้หมดกำลังใจไป
ในความคิดของผม หากประชากรร้อยทั้งร้อยล้วนทำการเกษตร มันจะวิเศษที่สุด ที่ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกนั้นมีพอสำหรับประชากรญี่ปุ่นเฉลี่ยคนละ ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่) หากบุคคลคนหนึ่งได้รับที่ดิน ๑/๔ เอเคอร์ (๐.๖ ไร่)แต่ละครอบครัวที่มีสมาชิก ๕ คนก็จะได้ที่ดิน ๑ ๑/๔ เอเคอร์ (๓ ไร่) นั่นก็เป็นที่ดินที่เกินพอสำหรับเลี้ยงดูครอบครัวตลอดทั้งปี หากนำเกษตรกรรมธรรมชาติมาใช้ เกษตรกรก็จะมีเวลาว่างมากมายเพื่อการพักผ่อน และร่วมกิจกรรมทางสังคมภายในชุมชนหมู่บ้านของตน ผมคิดว่านี่คือหนทางสายตรงที่จะทำให้ประเทศนี้เป็นดินแดนแห่งความสุขและความพึงพอใจ
--------------------------------------------------------------------------------
* หญ้าดอกระฆัง ต้นสาคู พืชจำพวกสาบเสือ พืชจำพวกตับเต่า พืชจำพวกแขมและเลา แปวป่องฟ้า บุช โคลเวอร์
มดเอ๊กซ:
๓.๙
รับใช้ธรรมชาติ
แล้วทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี
ความทะยานอยากอันไม่สิ้นสุด คือสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้โลกตกอยู่ในสภาพดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เร็วดีกว่าช้า มากดีกว่าน้อย "การพัฒนา" แบบชั่วแล่นเช่นนี้มีส่วนเกี่ยวพันโดยตรงกับความใกล้จะล่มสลายของสังคม สภาพเช่นนี้มีแต่จะทำให้มนุษย์ถูกแยกขาดออกจากธรรมชาติ มนุษยชาติจะต้องล้มเลิกการหมกมุ่นอยู่ในความทะยานอยากทางวัตถุ และผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ควรจะมุ่งสู่การเห็นแจ้งทางจิตวิญญาณ
เกษตรกรรมจะต้องเปลี่ยนแปลงจากการผลิตด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่มาเป็นเกษตรกรรมขนาดเล็กที่ผูกพันกับชีวิตแต่เพียงประการเดียว ความเป็นอยู่ทางวัตถุ และอาหารการกินควรจะเรียบง่าย หากทำได้เช่นนี้ งานก็จะกลายเป็นสิ่งเพลิดเพลิน และจะมีที่ว่างมากมายสำหรับจิตวิญญาณ
ยิ่งเกษตรกรเพิ่มขนาดการผลิตมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายและจิตใจของเขาก็จะยิ่งเหนื่อยล้ายุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็จะยิ่งห่างไกลจากชีวิตที่งอกงามไพบูลย์ในทางจิตวิญญาณ วิถีชีวิตแห่งเกษตรกรรมขนาดเล็กอาจจะดูโบราณล้าหลัง แต่วิถีชีวิตเช่นนั้น ย่อมเอื้อต่อการเพ่งพินิจ "หนทางอันยิ่งใหญ่" * ผมเชื่อว่าถ้าบุคคลใดเข้าใจเพื่อนบ้านของตนและโลกแต่ละวันที่เขามีชีวิตอยู่อย่างลึกซึ้ง ความยิ่งใหญ่ของโลกก็จะเปิดเผยตัวเองแก่เขา
สมัยก่อนเกษตรกรที่มีที่นา ๑ เอเคอร์ (๒.๕ ไร่) จะใช้เวลาว่างยามสิ้นปีตั้งแต่เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม ออกล่ากระต่ายบนภูเขา แม้ว่าจะเป็นชาวนายากจน แต่พวกเขาก็มีอิสรภาพชนิดนี้อยู่ วันหยุดปีใหม่ยาวนานถึง ๓ เดือน ต่อมาวันหยุดปลายปีค่อย ๆ สั้นลงเหลือเพียง ๒ เดือน ๑ เดือน และปัจจุบันวันหยุดปีใหม่เหลือเพียง ๓ วันเท่านั้น
วันหยุดปีใหม่ที่หดสั้นลงแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรในป้จจุบันมีกิจธุระยุ่งเหยิงมากเพียงไร และได้สูญเสียวิถีชีวิตที่สุขสบายทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณมากเพียงไร เกษตรกรรมแผนใหม่ไม่มีเวลาเหลือให้เกษตรกรได้ร่ายกาพย์กวีและแต่งลำนำเพลง
หลายวันก่อนเมื่อผมเข้าไปปัดกวาดทำความสะอาดศาลเจ้าเล็ก ๆ ประจ่าหมู่บ้าน ผมต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบแผ่นจารึกหลายแผ่นแขวนอยู่ที่ผนัง เมื่อปัดฝุ่นออกและเพ่งดูตัวอักษรที่เลือนลางและซีดจางตามกาลเวลา ผมพบว่าในนั้นมีบทกวีไฮกุถึง ๑๒ บท แม้ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ ก็มีชาวบ้าน ๒๐-๓๐ คนที่ได้แต่งบทกวีไฮกุอุทิศเป็นเครื่องสักการะบูชา คิดดูสิว่า ชาวบ้านในสมัยก่อนมีที่ว่างในชีวิตของพวกเขามากเพียงไร กาพย์กลอนเหล่านี้บางส่วนต้องมีอายุหลายศตวรรษ เนื่องเพราะเป็นเวลาที่นานมาแล้ว จึงคาดว่าพวกเขาคงจะเป็นชาวนาที่ยากจน แต่พวกเขาก็ยังมีเวลาว่างในการแต่งบทกวีไฮกุ
ปัจจุบันไม่มีใครในหมู่บ้านนี้มีเวลามากพอที่จะแต่งกวีนิพนธ์ ในระหว่างเดือนอันหนาวเย็น จะมีชาวบ้านไม่กี่คน ที่สามารถหาเวลาสักวันสองวันดอดออกไปล่ากระต่าย ปัจจุบัน โทรทัศน์ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความสนใจในยามว่าง ไม่มีเวลาสำหรับงานอดิเรกอันเรียบง่ายซึ่งจะนำคุณค่าอันอุดมมาสู่ชีวิตประจำวันของเกษตรกรอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ผมหมายถึงเมื่อผมกล่าวว่า เกษตรกรรมได้กลายเป็นความยากไร้และอ่อนแอทางจิตวิญญาณ มันเพียงแต่มุ่งไปสู่การพัฒนาทางวัตถุเท่านั้น
เหลาจื๊อ นักปราชญ์เต๋ากล่าวว่า ชีวิตที่สมบูรณ์และถูกต้องดีงามคือชีวิตที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่านโพธิธรรม ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางพุทธศาสนานิกายเซน ได้ใช้เวลา ๙ ปี อาศัยอยู่ในถ้ำ โดยปราศจากกิจกรรมอันวุ่นวายยุ่งเหยิง การเป็นกังวลอยู่กับการหาเงินทอง การขยายตัว การพัฒนา ปลูกพืชเศรษฐกิจและส่งไปขาย หาใช่วิถีทางของเกษตรกรไม่ การอยู่ที่นี่ ดูแลที่นาผืนเล็ก ๆ เป็นเจ้าของอิสรภาพและเวลาอันเหลือเฟือในแต่ละวันและทุก ๆ วัน สิ่งนี้ต่างหากคือหนทางเดิมแท้ของเกษตรกรรม
การแบ่งแยกประสบการณ์ออกเป็นกายและจิตนั้นเป็นความคับแคบและสบสน มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่โดยพึ่งพิงแต่อาหารเท่านั้น ที่สุดแล้ว เราไม่อาจรู้ว่าอาหารคืออะไรด้วยซ้ำ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคนเราเลิกคิดถึงแม้แต่อาหารเช่นเดียวกัน จะเป็นการดีถ้าคนเราเลิกทำให้ตัวเองให้ยุ่งยากด้วยการค้นหา "ความหมายที่แท้จริงของชีวิต" เราไม่มีวันจะรู้คำตอบเกี่ยวกับคำถามทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะไม่เข้าใจ เราเกิดมาและมีชีวิตอยู่บนพื้นพิภพนี้เพื่อเผชิญหน้าโดยตรงกับความเป็นจริงของการมีชีวิตอยู่
การมีชีวิตอยู่ไม่มีอะไรมากกว่าเป็นผลจากการที่เราได้ถือกำเนิดมา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คนเรากินเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คนเราคิดว่าเขาต้องกินเพื่อมีชีวิตอยู่ นั่นไม่ใช่อะไรมากไปกว่าสิ่งที่เขาคิดขึ้นเอง โลกเป็นอยู่โดยความเป็นเช่นนั้นเอง หากว่าคนเราจะละทิ้งเจตนารมณ์ในฐานะมนุษย์ของเขา และปล่อยให้ธรรมชาตินำทางเข้าแทน มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเกรงกลัวการอดตาย
จงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ นี่คือพื้นฐานที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ เมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์อันไม่เดียงสาได้กลายเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่ ผู้คนก็ใช้ชีวิตประหนึ่งว่าพวกตนพึ่งพิงอาศัยแต่เพียงแป้ง ไขมัน และโปรตีน และเพาะปลูกโดยพึ่งแต่ ในโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตส
และนักวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าเขาจะได้ศึกษาธรรมชาติมากเพียงไร ไม่ว่าเขาจะทำวิจัยกว้างแค่ไหน ก็เพียงเพื่อจะตระหนักในที่สุดว่าธรรมชาติช่างมีความสมบูรณ์และลึกลับอะไรเพียงนั้น การเชื่อว่า โดยอาศัยการวิจัยและประดิษฐกรรม มนุษยชาติก็จะสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างที่ดีเลิศกว่าธรรมชาตินั้น เป็นเพียงมายาภาพ ผมคิดว่าการที่คนเราต่อสู้ดิ้นรนต่าง ๆ นานา ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอื่น นอกเสียจากเพื่อจะเรียนรู้สิ่งที่คุณอาจเรียกว่าเป็นความลึกลับอันไม่อาจเข้าใจได้ของธรรมชาติ
ดังนั้นงานของเกษตรกรก็คือรับใช้ธรรมชาติ แล้วทุกอย่างจะดำเนินไปด้ายดี เคยถือกันว่าเกษตรกรรมเป็นงานอันงานอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมนุษยชาติหลุดออกจากอุดมคตินี้ เกษตรกรรมเพื่อการค้าแบบใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อเกษตรกรเริ่มปลูกพืชเพื่อเงินทอง เขาก็หลงลืมหลักการที่แท้จริงของเกษตรกรรม
แน่ละ พ่อค้าก็มีบทบาทในสังคม แต่ความรุ่งเรืองของการค้ามีแนวโน้มจะดึงผู้คนออกห่างจากความสำนึกรู้ในแหล่งกำเนิดที่แท้ของชีวิต เกษตรกรรมในฐานะของงานที่อยู่ภายในขอบเขตของธรรมชาตินั้น อิงแอบอย่างใกล้ชิดกับต้นกำเนิดดังกล่าว แต่เกษตรกรจำนวนมากไม่ได้สำนึกรู้ในธรรมชาติ แม้ในขณะใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ แต่ผมรู้ดีกว่า เกษตรกรรมได้เปิดโอกาสมากมายต่อการสำนึกรู้อันสูงส่งกว่า
"ไม่ว่าฤดูใบไม้ร่วงจะนำสายลมหรือสายฝนมาให้ ฉันไม่อาจรู้ได้ แต่สำหรับวันนี้ ฉันจะทำงานอยู่ในทุ่งนา" นั่นเป็นเนื้อหาของเพลงพื้นบ้านอันเก่าแก่ มันแสดงออกถึงสัจจะของเกษตรกรรมในฐานะที่เป็นวิถีชีวิต ไม่ว่าการเก็บเกี่ยวจะให้ผลอย่างไร ไม่ว่าจะมีอาหารเพียงพอหรือไม่ เพียงการหว่านเมล็ดและดูแลพืชผลด้วยความรักใคร่อ่อนโยนภายใต้การนำของธรรมชาติ นั่นก็เป็นความเบิกบานใจ
--------------------------------------------------------------------------------
* หนทางในการรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ ซึ่งถามถึงการเพ่งพินิจและความเอาใจใส่ต่อกิจกรรมอันสามัญในชีวิตประจำวัน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version