ริมระเบียงรับลมโชย > ดูหนัง ดูเรา ดูโลก ( Movie and Wisdom )
ชิว วา-ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง
มดเอ๊กซ:
“ตำแหน่งและโครงสร้างก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ความกลมกลืนของสีสันหาที่ติได้ไม่ ความพึงพอใจในการสื่อความหมายออกไปก็นับว่าไม่มีที่ติ”
เมื่อเห็นว่าฝีมือของ ชิว วา- ซวอน พัฒนามากพอ ผู้ใจดีได้เสนอแนะแก่เขาว่า เขาควรจะฉีกตัวจากการเขียนภาพตามแนวทางของผู้อื่น มุ่งแสวงหาแนวทางของตัวเองได้แล้ว
“จงแสดงจิตและวิญญาณของเจ้าออกมา...ภาพที่วาดเพื่อหากำไรและชื่อเสียงเพียงประเดี๋ยวประด๋าว เป็นสิ่งไร้ค่าและดันทุรัง”
ใช่ว่าวา-ซวอนจะไม่เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาคิดมาตลอดเพราะระยะหลังมานี้เขารู้สึกเป็นทุกข์เสมอที่ต้องเขียนภาพตามคำสั่งผู้อื่น และบ่อยครั้งที่เขาต้องละทิ้งพู่กันไป ท่ามกลางความฉงนของผู้ที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ใจจิตรกรถวิลหา
เสียงขลุ่ยของจิตรกรผู้โดดเดี่ยวก้องกังวาล ในวันที่สีขาวของหิมะโปรยปรายลงสู่พื้น
เด็กเร่ร่อนกลับมาหาวา-ซวอนอีกครั้ง เพื่อมาขออาศัยอยู่กับเขาเพียงช่วงฤดูหนาว
“ข้าอยากจะวาดรูปให้ได้เหมือนท่าน แล้วข้าจะเอามันไปขายและจะได้คิดถึงท่าน”
ถ้อยคำที่ใสซื่อนั้น ยังมากไปด้วยความชื่นชมในตัวเขา
“นับแต่ข้าเลิกวาดภาพ แม้แต่รูปห่วยๆก็ไม่มี”
เด็กน้อยอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมวา-ซวอนจึงเลิกเขียนภาพอย่างที่เคยเขียน และการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สำคัญอย่างไรกับจิตรกร
“เพราะพวกเขาพบสิ่งที่คาดหวังได้ในภาพของข้า ข้าต้องหนีมันให้พ้นก่อน เพราะถ้าข้าหนีมันไม่พ้น ข้าจะต้องกลายเป็นทาสของพวกเขาตลอดไป”
วา-ซวอนฝึกเขียนภาพอย่างหนัก กระดาษที่เขาใช้ทดสอบฝีมือมากมายจนแทบจะใช้เผาตัวองได้ ร้านขายกระดาษปฏิเสธที่จะให้เขาเชื่อค่ากระดาษอีกต่อไป เพราะไม่มีสักภาพที่เขาเขียนจะแปรค่าเป็นเงินได้
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดความพยายาม ก็ทำให้เขาบรรลุผลที่มุ่งหวัง
“พู่กันของเขาไม่สั่นไหวเลย มันเป็นภาพที่งามจริงๆ เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว...ถ้าขายภาพนี้เขาซื้อบ้านหลังโตได้หลังนึงเลยนะเนี่ย หลังงามๆซะด้วย”
ผู้ที่เฝ้าดูเขามาตลอดต่างพากันวิจารณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ก่อนที่เด็กเร่ร่อนจะลากลับไปทำงานในฤดูใบไม้ผลิ วา-ซวอนเขียนภาพมอบแก่มิตรผู้เยาว์วัยหนึ่งภาพ และทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต นั่นคือ ประทับชื่อลงไปในภาพนั้นด้วย
“ถ้าให้เด็กอย่างเจ้าไปเที่ยวขาย ใครจะเชื่อว่านี่เป็นภาพที่ข้าวาดล่ะ”
เวลาผ่านไปหลายปี ชาวญี่ปุ่นผู้เคยสะสมภาพของวา-ซวอน ตามมาอ้อนวอนขอให้เขาเขียนภาพให้อีกครั้ง เพราะได้ไปเห็นภาพเขียนภาพเหยี่ยวซึ่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตำบลชงชุงครอบครองอยู่ นัยย์ตาเหยี่ยวช่างดูมีชีวิตจนอยากจะได้ภาพแบบนั้นเก็บไว้สักภาพ
“จะซื้อเขาแต่เขาบอกว่าจะไม่ขายภาพนั้น จนกว่าท้องทะเลจะแห้งเหือด” ชายชาวญี่ปุ่นบอกแก่วา-ซวอน
เด็กหนุ่มคนนั้นคือเด็กเร่ร่อนคนที่เคยร่วมทุกข์มากับเขานั่นเอง ยามนี้เลี้ยงชีพด้วยการเปิดแผงเล็กๆขายกระดาษอยู่ในตลาดโบเอ
ขณะที่วา-ซวอน กำลังเริ่มต้นทำหน้าที่เป็นดั่งครามซึ่งเปล่งแสงสีฟ้าให้งดงาม
(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000076640
มดเอ๊กซ:
“ดูก้อนหินสีดำโน่นซิ พวกเจ้าว่ามันขยับอยู่หรือไม่ ก้อนหินต่ำต้อยเพียงก้อนเดียวก็มองดูมีชีวิตได้ในสายตาของจิตรกร ถ้าก้อนหินมีชีวิตมันจะขยับ แต่ถ้ามันตาย มันก็จะหยุดนิ่ง พวกเจ้าไม่สามารถวาดก้อนหินที่ตายแล้วได้หรอก”
ชิว วา-ซวอน สอนวิธีการมองธรรมชาติในแบบที่ตนเองมองให้แก่ศิษย์ ก่อนที่จะปล่อยให้พวกเขาวาดในสิ่งที่ตาเห็นลงไปบนแผ่นกระดาษ
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ไม่ได้ผ่านสายตาเขาเพียงแค่จะผ่านเลย เขามองมันอย่างพินิจพิจารณา เพื่อค้นหาความงามที่ใครอาจไม่ได้ใส่ใจ
ของกำนัลจำนวนมากถูกส่งมาถึงเขา เพื่อหวังว่าจะได้ภาพวาดของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน แต่วา-ซวอน ก็มิได้กระตือรือร้นที่จะทำให้คนเหล่านั้นได้สมหวัง ตราบใดที่หัวใจยังมิได้สั่งการให้มือตวัดปลายพู่กัน
“หินก้อนนั้นมันเป็นของขวัญแด่ท่าน ท่านก็วาดมันสิ ของขวัญกองเป็นภูเขา พวกเขาเฝ้ารอภาพวาดของท่านอยู่นะ แต่ท่านไม่ยอมวาดอะไรเลยมาเดือนหนึ่งแล้วนะ ข้าเองก็เบื่อเต็มทีแล้วเหมือนกัน”
ความพยายามของวา-ซวอน ที่จะทำให้ ศิษย์รับใช้อย่าง “หันสือ” มองหินโมกชองให้เข้าถึงความดำสนิทราวหมึกและหนักราวภูเขาลูกหนึ่ง มากกว่ามองเห็นแค่ความงามที่ผิวเผินและการเป็นหินที่หายาก กลับไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกทวงถามว่าเมื่อไหร่เขาจะเริ่มต้นเขียนภาพให้แก่บรรดาเจ้าของ ของกำนัลเสียที
“เด็กบ้า จะต้องอยากก่อน ข้าจะเขียนโดยไร้อารมณ์ได้ยังไง”
ระหว่างนั้นเอง “กวักมินซุง” จิตรกรผู้มีชื่อในเรื่องการเขียนภาพเหมือนคน ได้ใช้ให้คนมายั่วโมโหวา-ซวอน ด้วยการสั่งให้เขาเขียนภาพอื่นแทนภาพที่เคยต้องการให้เขาเขียนให้แต่แรกเริ่ม จนวา-ซวอนเอะใจว่าเป็นใคร และได้ตามไปก่นด่าถึงที่บ้านของจิตรกรผู้นั้น
“พวกบัณฑิตผู้ร่ำรวยและสุขสบายอย่างเจ้า ทำไมถึงขาดเขลายิ่งนัก ถ้าต้องการอะไรก็บอกข้ามาตรงๆ เลยดีกว่า อย่าสั่งให้ข้าวาดภาพ เพื่อให้เจ้าลอกเลียนแบบ”
แต่แท้จริงแล้วมันคือกลอุบายเพื่อที่จะได้พบและสนทนากับวา-ซวอน ด้วยกวักมินซุงนั้นชื่นชมในฝีมือการวาดภาพของเขาอยู่ไม่น้อย
“ในภาพวาดต้นกล้วยของท่าน แค่ไม่กี่เส้นสาย ท่านก็เข้าถึงความเต็มอิ่มของใบ และความว่างเปล่าของต้นกล้วยได้อย่างลึกซึ้ง ท่านใช้วิธีใดจึงวาดได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
ความสัมพันธ์ในฐานะศิลปินด้วยกันจึงเริ่มผลิบานอย่างช้าๆ โดยมีความรู้ที่แต่ละฝ่ายสั่งสมมาและเหล้าเป็นเครื่องสานสัมพันธ์
แต่ฤทธิ์ของเหล้าก็ทำเอากวักมินซุงผู้ยังคออ่อน เมามายไม่ได้สติ จนไม่สามารถเรียนรู้การเขียนภาพจากวา-ซวอนได้มากอย่างที่ตั้งใจ
ในวันที่ไปตามทวงคืนภาพม้าคู่จากร้านโชว์ภาพเพื่อนำกลับมาแก้ไข ดวงตาของวา-ซวอนเบิกกว้าง เมื่อไปสะดุดตากับใบหน้าอันอ่อนหวานของสาวนางหนึ่งในร้านขายผ้าไหม นางคือ “หางเอียน” นางโลมวัย 18 ปี จากสำนักคิมหันต์ ที่ทำให้เขาทุ่มใจเขียนภาพนกกับดอกไม้ เพื่อทำฉากกั้นห้องมอบเป็นของขวัญให้แก่นาง
ทว่าเมื่อได้สนทนากับนางอย่างจริงๆ จังๆ เขากลับสิ้นเสน่หาในตัวนาง เพราะสำหรับเขาแล้วนางมีแค่เพียงความสวยที่ห่อหุ้มความขลาดเขลาเอาไว้เท่านั้นเอง
“เจ้ามอบฉากกั้นห้องที่เจ้าใช้เวลาวาดนานถึงสามเดือน และวาดลงบนผ้าไหมราคาแพง แต่เจ้ากลับไม่ได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บของนางเลย เจ้าทำไปทำไม ตอนนี้ฉากกั้นห้องถูกขายให้กับเศรษฐีรายนึงไปแล้ว”
มิตรสหายต่างแจ้งข่าวให้วา-ซวอนทราบในคราวที่นัดแนะกันไปพักผ่อนที่น้ำตกแห่งหนึ่ง ทุกคนต่างแปลกใจที่เขายอมลงแรงโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างที่ควรจะได้
วา-ซวอนไม่ใส่ใจ ได้แต่ใช้ก้านไม้ที่ถูกทุบทำพู่กันเขียนภาพของเขาต่อไป
“เอาก้านไม้มาใช้แทนพู่กันงั้นเหรอ นับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก”
“ใครเป็นคนกำหนดว่า พู่กันต้องทำมาจากหางม้าเท่านั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจหรอก ข้าลองวาดเล่นเท่านั้นเอง”
มิตรบางคนบอกว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ทั้งยังตั้งคำถามว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องพยายามสร้างผลงานให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา
วาซวอนตอบด้วยถ้อยคำสั้นๆ แต่มากด้วยความหมายกลับไปว่า
“เพราะว่าข้ายังวาดภาพอยู่”
(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000080809
มดเอ๊กซ:
ชิว วา- ซวอน คว้าภาพมาฉีกทำลายและทิ้งลงไปที่ธารน้ำตก เมื่อมิตรสหายบางคนประสงค์จะเก็บภาพที่เขาทดลองเขียนเล่นๆไว้
ไม่เพียงเท่านั้นยังแสดงความบ้าบิ่น ด้วยการกระโดดลงไปในน้ำ เกาะก้อนหินใต้น้ำเอาไว้แน่น ราวไม่ต้องการให้ใครช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตาย
แต่เมื่อถูกพาตัวขึ้นมาจากน้ำ เขากลับนั่งเป่าขลุ่ยผิงไฟอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความคิด ว่าอะไรทำให้หุนหันพลันแล่น อยากจะตายไปเสียจากโลกนี้
หลังเคยถูกแนะนำให้รู้จักกับ คิม อ็อค ฮุน ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาแล้วครั้งหนึ่ง
ณ กรุงโซลในปี ค.ศ.1883 วา- ซวอน ได้พบกับคนผู้นี้อีกครั้งที่บ้านหลังใหม่ของผู้ใจดี
“พักหลังดูเหมือนเรื่องของเจ้าจะกลายเป็นหัวข้อให้คนพูดถึงกันทั่วทั้งเมืองภาพเขียนของเจ้ากลายเป็นเครื่องหย่อนใจของผู้คน มีคำกล่าวว่าการได้ครอบครองภาพของเจ้า ซักเพียงหนึ่งภาพก็ถืออว่าเป็นเกียรตินักแล้ว”
วาระนี้วา-ซวอนนำสมุนไพรมาเยี่ยมผู้ใจดีซึ่งล้มป่วย และได้อยู่สนทนาอยู่นานสองนาน
“เขาพูดกันว่าไม่มีอะไรที่เจ้าไม่สามารถวาดได้ไม่ว่าจะเป็นภาพคน ภาพนิ่ง หรือภาพวิวทิวทัศน์ เจ้าถูกปิดตาด้วยความนิยม นี่เจ้าสูญเสียพลังของเจ้าไปแล้วงั้นเหรอ”
“นักปารชญ์กล่าวไว้ ในแต่ละวันบังเกิดสิ่งใหม่ขึ้น ข้าต้องการความก้าวหน้าในทุกวัน ข้าจะไม่ยอมติดอยู่ในตาข่ายของข้าเองหรอก ไม่ต้องห่วง”
“ดีแล้วที่เจ้ารู้ตัว ในยุคสมัยก่อน ภาพต้องกลมกลืนกับความจริง แต่ภาพของเจ้า กลับแสดงโลกในความฝัน เป็นความเป็นจริงที่ถูกทำให้เกินเลยไป รากฐานคือสิ่งที่สะท้อนคววามรู้สึก เจ้าไม่สามารถวาดภาพชีวิตบนโลกที่มีความเจ็บปวด และทรมานอย่างนั้นเหรอ”
“ผู้คนไม่มีสิ่งใดให้สามารถหย่อนใจได้ ถ้าข้าจะสามารถทำให้พวกเค้าผ่อนคลายด้วยการวาดภาพฝัน ข้าขอกระทำตามสิ่งที่ใจข้าบอกดีกว่า ภาพวาดเป็นเพียงภาพวาด ถ้ามันไม่แสดงให้เห็นถึงความต้องการของพวกพ้องก็ไร้ค่า”
การสนทนากับผู้ใจดีในครั้งนี้ทำให้วา-ซวอนรู้สึกโกรธและน้อยใจอยู่มากที่ผู้ใจดีดูเหมือนจะไม่เข้าใจในแนวทางที่เขายึดมั่น
ท่ามกลางฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก เขาถูกอ้อนวอนจากภรรยาและลูกชายของผู้ใจดีให้อยู่ต่อ ขณะที่เขาเองอยากจะพาตัวเองหนีออกไปจากบ้านหลังนั้นเสียให้พ้น
เมื่อระงับความโกรธลงได้ วา-ซวอนจึงล้มเลิกความคิด และตัดสินใจอยู่พักค้างคืนที่บ้านของผู้ใจดี ในคืนซึ่งหลับไม่ลงนี้ เขานอนตื่นขึ้นมาเขียนภาพเพื่อมอบให้แก่เจ้าของบ้านแทนคำขอโทษ
“เมื่อมองดูภาพวาด มันทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลาย ทำไมเจ้ามาลงสีหลังคาด้วยสีเหลืองล่ะ ว่างเมื่อไหร่เจ้าค่อยมาลงสีแล้วกัน”
หันสือศิษย์รับใช้เดินทางมาแจ้งข่าว ว่ามีคนมาตามตัววา-ซวอนให้เข้าไปเขียนภาพในวัง
วา-ซวอนได้รับตำแหน่งอันดับหกซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิได้ แม้จะเป็นตำแหน่งชั่วคราว แต่ก็ไม่มีมีจิตรกรนอกราชสำนักรายได้เคยได้รับเกียรตินี้
ชีวิตที่สุขสบายในวัง ไม่ได้ทำให้วา-ซวอนเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเขียนภาพเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อทราบว่าเขาถูกเรียกตัวมาเขียนภาพเพื่อจะนำไปอวยพรวัดเกิดแม่ทัพหยวนซื่อไข่ แม่ทัพจากเมืองจีน จึงเดินหนีออกจากวังโดยไม่สนใจว่าใครจะทัดทานไว้
“จะให้วาดภาพให้ต่างชาติ ซึ่งบุกรุกชาติของเราอย่างนั้นเหรอ”
ซ่อนตัวอยู่แรมเดือนเขาก็ถูกจับเข้าไปในวังอีก เมื่อทราบข่าวว่าผู้ปฏิวัติโดยการช่วยเหลือญี่ปุ่นได้เข้ายึดอำนาจ วา-ซวอนก็หาทางหนีออกมาอีกจนได้เช่นกัน
ผู้ใจดี หรือ อาจารย์คิม บง มูน ของวา-ซวอน ถูกตั้งความผิดว่าเป็นผู้ทรยศ จึงได้หนีไปซ่อนตัวยังที่ห่างไกลเพื่อไม่ให้ถูกฆ่า
ท่ามกลางสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังตรึงเครียด วา-ซวอนพยายามปีนเข้าไป
ในบ้านของผู้ใจดีซึ่งถูกปิดตาย โดยไม่สนใจป้ายติดประกาศห้ามเข้า
ความตั้งใจของเขามีเพียงเข้าไปลงสีเหลืองที่ภาพของกระท่อม
(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
มดเอ๊กซ:
ชิว วา-ซวอนไม่ได้เขียนแค่ภาพต้นสน แต่เขายังทำให้ผู้ชมภาพของเขารู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่าน
และเพื่อให้คนเข้าถึงความพอดีในงานศิลปะและกระตุ้นให้ดึงจินตนาการส่วนตัวออกมาใช้ เขามีคำแนะนำที่ดีเสมอ
“ข้ามีลูกชายทั้งหมดเจ็ดคน เจ้าจงวาดนกกระเรียนเจ็ดตัวยืนรอบต้นสนนี้ซะ”
“แค่นึกภาพต้นสนที่รายล้อมด้วยภูเขา แม่น้ำ กับนกกระเรียนที่ยืนอยู่เจ็ดตัวก็พอแล้วนะครับท่าน”
วา-ซวอนจะมอบเขียนของเขาให้กับคนที่เขาพอใจจะให้เท่านั้น ภาพเขียนที่แต่ละคนได้รับจะกลายเป็นภาพปลอมแปลงขึ้นมาในทันที หากเขารู้ว่าคนเหล่านั้นใช้มันเพื่อเป็นสินบน
“มีคนให้ภาพนี้กับข้ามาตั้งแต่ยังรับราชการ หลายคนบอกว่ามันเป็นของปลอม ท่านมาแล้วช่วยไขข้อข้องใจนี้ให้หน่อยเถอะ” ชายคนหนึ่งขอร้องให้เขาช่วยยืน
แม้จะจดจำภาพเขียนฝีมือตัวเองได้ดี ที่ครั้งหนึ่งเคยมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดพ่อของเพื่อน ทว่าคำตอบที่ชายคนนั้นได้รับ “ภาพเขียนของข้าส่วนมากเป็นของปลอมทั้งนั้นแหล่ะ ภาพนี้ก็ใช่”
จากคำบอกเล่าของบรรดาเพื่อนสาวของเมฮง ทำให้วา-ซวอนได้ทราบข่าวว่านางได้วิ่งเปลือยกายหนีหายไปจากชายคาที่เคยพำนัก ในคืนที่มีทหารบุกเข้าไปตรวจตรา สามเดือนต่อจากนั้นนางหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เพื่อมาคว้าเอาสิ่งหนึ่งที่นางหวงแหน
“เสื้อคลุมตัวนั้น นางเฝ้าถนอมมันด้วยความรักใคร่ นางเย็บมันมากับมือ ตั้งใจจะมอบให้กับท่าน”
ณ ทุ่งข้าวอันกว้างใหญ่แห่งมืองโกบู วา-ซวอนเพ่งสายตามองดูฝูงนกกลุ่มใหญ่ที่บินอยู่เหนือขอบฟ้า พร้อมๆไปกับเรื่องราวของขุนนางผู้คดโกงของเมืองๆนี้ ที่ทำให้ผลผลิตอันมากมายไม่อาจมีเพียงพอต่อการเลี้ยงปากท้องของประชาชน ทำให้ วา-ซวอนเกิดแรงบันดาลใจเขียนภาพฝูงนกกระจอกที่มีเหยี่ยวไล่จิก
โดยปฏิเสธที่จะเขียนภาพตามที่เจ้าเมืองของเมืองนี้อยากจะได้ ขณะที่เหล่าขุนนางที่ต้องการเอาอกเอาใจเจ้าเมืองของตัวเองต่างตำหนิว่าเขาช่างโง่นักที่บังอาจปฏิเสธเจ้าเมืองผู้มีอำนาจ
“ข้าเคยเห็นภาพต้นกกกับห่านป่าของท่าน มันเป็นภาพของห่านป่าฝูงที่บินอย่างอิสระอยู่เหนือกอต้นกก ถ้าข้าได้เห็นมันอีกซักครั้ง ข้าคงรู้สึกเบาใจ”
“ขอบคุณที่ชมเชย แต่ข้าวาดภาพห่านป่าภาพนั้นตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว ข้าจะวาดมันซ้ำอีกครั้งได้ยังไงกัน สำหรับจิตรกรทุกคน ทำซ้ำหมายถึงความตาย”
วา-ซวอนดูจะมีความสุขมากกว่าที่ภาพฝูงนกกระจอกของเขาเป็นที่ประจำใจนางโลมของเมืองนี้
“ภาพฝูงนกกระจอกถูกเหยี่ยวไล่ ทำให้เศร้านัก เพราะว่ามันทำให้ข้านึกถึงราษฎรที่ต้องทนทุกข์ของเมืองโกบู แต่ข้าประทับใจ เมื่อพวกมันตรงเข้าจิกเหยี่ยวนั่น เหมือนกับผู้คน เวลาที่พวกเขาเป็นคนดีแล้วเริ่มโกรธเกรี้ยว”
นอกจากยอมพลีกายเพื่อมอบความสุขให้กับวา-ซวอนด้วยความเต็มใจนางยังปรารถนาที่จะมีทายาทกับเขาด้วย เพราะสำหรับนางแล้ววา-ซวอนคือจิตรกรผู้กล้าหาญ
“ข้าจะให้เขาเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านเสียอีกเพื่อขจัดความแค้นที่ข้าเกิดมาต่ำต้อย”
แต่ไม่ทันที่นางจะเดินทางไปสู่เป้าหมาย คณะปฏิวัติก็ได้ลากตัววา-ซวอนออกไปถามไถ่ถึงที่ซ่อนตัวของผู้ว่าการเมืองโกบู
วา-ซวอนได้รับการปล่อยตัวเมื่อคนเหล่านั้นเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงแค่จิตรกรชื่อดังที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากขุนนางโฉด เป็นพวกขายวิญญาณ ที่เห็นแก่เงินและความสบายของตัวเอง ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ายามนี้ท่านผู้การของเมืองวิ่งหางจุกตูดไปที่ไหนเสียแล้ว
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้วา-ซวอนจากเมืองโกบูไปด้วยความโดดเดี่ยว เพราะศิษย์รับใช้ผู้คอยติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ขอเลือกพาชีวิตเดินไปในเส้นทางใหม่ โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะปฏิวัติ
“ การได้เป็นจิตรกรแบบท่าน เป็นความฝันอันโลดโผนสำหรับข้าแล้ว ข้ารับใช้ท่าน ข้าสนุกที่ได้อยู่กับท่าน แต่พอได้เห็นคนพวกนั้น ข้าได้พบความต้องการที่แท้จริงแล้ว ถ้าข้าสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ ข้าคงอยากจะเข้าร่วมด้วย”
ขณะที่ศิษย์รับใช้ก้มตัวลงพื้นคาราวะผู้เป็นอาจารย์ด้วยความอาลัย และไตร่ถามว่าต่อจากนี้เขาจะนำพาชีวิตไปสู่หนไหน
ถ้อยคำสุดท้ายก่อนการจากลาที่หลุดออกจากปากจิตรกรผู้กล้า
“ชีวิตมันก็เหมือนเมฆล่องลอย ข้าจะไปทุกที่ที่ขาพาไป”
(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000086257
มดเอ๊กซ:
หลังเกิดการจลาจลของชาวนา ในปี ค.ศ.1894 ระหว่างการเดินทางอันหนาวเหน็บ ขณะที่หิมะยังล่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย
ชิว วา- ซวอน โผตัวเข้าหาชายแก่ผู้มีหนวดเคราขาวเฟิ้มและคลุกเข่าลงทั้งน้ำตา ด้วยไม่คิดฝันว่า ชาตินี้จะมีโอกาสได้พบกับผู้ใจดี หรือ อาจารย์คิม บง มูน ของเขาอีกครั้ง
ที่ผ่านมาผู้ใจดีใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆและสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ณ หมู่บ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
“ท่านน่าจะกลับไปที่กรุงโซล พอมีพวกญี่ปุ่นหนุนหลังพวกคณะปฏิวัติก็เลยฮึกเหิมเข้าไปใหญ่”
“ข้าชอบที่นี่ แล้วการเปลี่ยนแปลงก็เป็นความฝันที่ไร้ประโยชน์ เราควรจะพึ่งพิงตัวเอง ถ้าการปฏิวัติครั้งนี้สำเร็จได้เพราะการช่วยเหลือของญี่ปุ่น ชาติเราจะมีอนาคตแบบไหนกัน”
พักจากการสนทนาถึงความเป็นไปของบ้านเมืองผู้ใจดีหยิบเอาภาพเขียนของวา-ซวอน ที่บังเอิบเก็บรักษาเอาไว้ได้ ในระหว่างที่บ้านเมืองยังรำส่ำระสายขึ้นมากล่าวชมเชยถึงฝีมืออันเยี่ยมยุทธ
“ในภาพใบนี้ ข้ารู้สึกว่ามันมีแรงเต้นของหัวใจของเกาหลีแฝงอยู่มากมาย มันเป็นผลงานชิ้นเอก ทุกเส้นสายล้วนแต่ไม่สูญเปล่า”
เมื่อหัวหน้ากลุ่มกบฎ ถูกทรยศโดยคนที่ไว้วางใจ และถึงคราวสิ้นสุดของราชวงศ์โชซวอน
ขณะที่พวกกบฏถูกนำตัวไปรับโทษ คิม อ็อค ฮุน ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้กล่าวต่อวา-ซวอน เมื่อพบกันว่า
“ภาพของท่านคือแสงเทียนริบหรี่ส่องให้ประเทศชาติที่กำลังจะสิ้นลม”
ขณะเดียวกันนั้นเขาได้เหลือบไปเห็นเมฮง และนางเองกำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา วัยวันที่เปลี่ยนผ่าน มิอาจพรากความปรารถนาดีไปจากแววตาคู่นั้นเลยสักนิด
“พวกแคทอลิกถูกประหารชีวิตน้อยลง ข้าก็เลยย้อนกลับมาที่กรุงโซลเมื่อไม่นานมานี้ เพราะข้าเป็นนางโลมเพียงคนเดียว ข้าก็เลยสามารถจากบ้านโน้นเข้าออกบ้านนี้ ผู้ว่าเมืองเจจูชอบข้ามาก ข้าก็เลยเดินทางมาเมืองเจจูพร้อมกับเขา หลังจากนั้นเขาก็ตาย ข้าก็เลยเปิดบ้านนี้เพื่อแสดงความขอบคุณเขา”
เมฮงพาวา-ซวอนมายังบ้านหลังที่นางได้ครอบครองเป็นเจ้าของและเล่าถึงชีวิตของตัวเองในช่วงที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากการถูกประหาร
เพื่อให้วา-ซวอน ไม่มีความกังวลเรื่องปากท้องและสามารถคิดฝันสร้างงานของตัวเองต่อไปได้ นางจึงชักชวนให้เขาพักอาศัยอยู่กับนาง โดยที่นางจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเขาทุกอย่าง
“เพราะข้าแน่ใจว่าซักวันท่านต้องมาหาข้าแน่ ข้าได้ตัดเย็บเสื้อคลุมนี้ด้วยความรัก ในที่สุด มันก็ได้พบเจ้าของของมันจนได้”
แพรผ้าสีขาวประดับด้วยภาพเขียนดอกพลับถูกนำมาคลี่เผยต่อสายตาจิตรกร อันเป็นที่รัก เพื่อรำลึกถึงความทรงจำที่เคยมีร่วมกัน
“ท่านยังจำมันได้ไหม ท่านวาดมันตอนที่เราได้พบกันครั้งแรก ถ้าข้าขอให้ท่านวาดให้ข้าอีกภาพหนึ่ง ท่านจะวาดให้ข้าได้ไหม”
ยังไม่ทันรับปากวา-ซวอนกลับถามถึงเจ้าของแจกันใบที่ไร้ลวดลายซึ่งตั้งโชว์อยู่ภายในบ้าน
ความรักและความศรัทธาที่เมฮงมีต่อเขา เป็นแรงบันดาลใจให้นางเป็นศิลปินโดยไม่รู้ตัว
“มือที่ต่ำต้อยได้ปั้นมันขึ้นมา ด้วยการนำทางของหัวใจที่เป็นสุขเหลือล้น ถึงเหมือนจะยังไม่เสร็จ มันก็ยังมีความจริงใจและความอบอุ่นแฝงอยู่อย่างมากมาย”
วา-ซวอนเขียนภาพมอบให้กับนางตามคำขอ ทว่าเมื่อเมฮงได้เห็นภาพๆนั้นนางก็พบว่ามันวางอยู่ข้างเสื้อคลุมที่ถูกพับอย่างเรียบร้อย
น้ำตาของเมฮงไหลอาบแก้ม ที่มิอาจล่วงรู้เหตุผลของการจากลา
วา-ซวอนใช้ชีวิตพเนจรมาจนถึงโรงงานเครื่องปั้นดินเผาแห่งหนึ่ง และของานทำเพื่อแลกกับอาหารและที่พัก
“ข้าเป็นจิตรกรร่อนเร่ ข้าพอจะขอพักอยู่ที่นี่ได้ไหม”
“ตอนนี้เราต้องแข่งขันกับพวกถ้วยกระเบื้องเคลือบของญี่ปุ่น ก็เลยหากินลำบากหน่อย”
“ขอแค่มีกินข้าก็พอใจแล้ว”
ความสามารถในการเขียนภาพของวา-ซวอนเป็นสิ่งที่เจ้าของโรงงานหวังจะได้รับเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
“หม้อพวกนี้ ถ้าไม่มีภาพสวยๆเขียนเอาไว้ก็ขายไม่ดีหรอก”
ณ ที่พึ่งพิงของชีวิตแห่งนี้วา-ซวอนได้ค้นพบสัจธรรมของชีวิตมากมาย แม้จะได้รับการดูถูกจ้างลูกจ้างหนุ่มบางรายที่เห็นว่าจิตรกรแก่ๆเช่นเขา คงหมดสมรรถภาพที่จะทำงานต่อไปได้ แต่เมื่อได้รู้จักในตัวตนของวา-ซวอนมากขึ้น มิตรภาพก็คลี่คลายไปในทางที่ดี
“โปรดอภัยให้กับความโง่เขาของข้าด้วยเถิดนะ ท่านคงจะไม่ใช่แค่จิตรกรธรรมดาแน่นอน” ลูกจ้างหนุ่มเอ่ยขึ้น ในคืนที่หลายคนต่างหลับไหล แต่วา-ซวอนยังนั่งพินิจมองเถ้าถ่านในเตาเผาที่ยังครุแดง
วา-ซวอนฉีกยิ้มตอบสนองคำกล่าวนั้น และตั้งคำถามกับลูกจ้างหนุ่มกลับไปว่า
“แล้วเจ้าหล่ะ เจ้าอยากจะปั้นแจกันแบบไหนออกมา”
และเขาก็ได้ค้นพบสัจธรรมจากคำตอบ
“จิตรกรอย่างท่านคงต้องการผงเหล็กเพื่อใช้วาด เพื่อให้ชิ้นงานมีชีวิตีวาขึ้นมาได้ ผู้จ้องมองก็อยากให้สายตาของพวกเขากวาดมองอย่างเหมาะสม เจ้าของเตาเผาก็ย่อมหวังผลงานชิ้นเอกซักชิ้นสองชิ้น แต่การตัดสินใจนั้นไม่ได้อยู่ที่พวกเรา แต่เป็นที่ไฟต่างหากหล่ะ”
เมื่อลูกจ้างหนุ่มขอตัวไปเข้านอน วา-ซวอนค่อยๆคลานเข้าสู่เตาเผา อุทิศตัวเป็นเชื้อเพลิงให้ผลงานชิ้นเอก
ให้ไฟช่วยตัดสินชีวิตของตัวเขาเอง
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไมเขาถึงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไป แต่ตามตำนานเล่าขาน ใน ปี ค.ศ.1897เขาเดินทางไปยังเทือกเขาเพชร และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ผู้เป็นอมตะ
หมายเหตุ : ชิว วา- ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง ที่มาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089784
Chihwaseon Trailer
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version