อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > ท่านพุทธทาสภิกขุ

ฟ้าสางทางมรดกที่ขอฝากไว้

<< < (2/5) > >>

ฐิตา:



ภาคสอง
มรดกที่เป็นเรื่องฝ่ายนามธรรมทางสติปัญญา

มรดกที่  ๔๒

พุทธะ ผู้รู้–ผู้ตื่น–ผู้เบิกบาน
ตรงกันข้ามจากไสยซึ่งหมายถึงหลับสงสัย–สะดุ้งหวาดผวา อยู่ตลอดเวลา.
การที่จะเป็นพุทธะหรือเป็นไสยต่างกันอย่างตรงกันข้ามที่ตรงนี้.

 
มรดกที่ ๔๓

การมีพระพุทธรูปไว้กราบไหว้หรือแขวนคอกันในบัดนี้
มีทั้งที่ เป็นไสยศาสตร์ คือถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกัน หรือเป็นเครื่อง รางของขลัง,
และที่เป็นพุทธศาสตร์ คือวัตถุอนุสสติ หรืออย่างมากก็เป็นเพียงปูชนียวัตถุ.
พุทธบริษัทจะต้องระวังสังวร กันไว้ให้ดี ๆ ไม่เสียเกียรติของพุทธบริษัท
กลายเป็นผู้ถือลัทธิบูชาวิญญาณ (ANIMISM) ไปเสีย.

 
มรดกที่ ๔๔

การมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร เป็นสิ่งที่ต้องสนใจกันให้มาก
ให้สมกับที่ตรัสไว้ว่า "ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ทั้งหลายที่มีการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย
จักพ้นจากการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย " พวกเรากลับมาถือกันเสียว่า
เรามีการเกิด–แก่–เจ็บ–ตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นการเกิด–แก่–เจ็บ–ตาย ไปได้อย่างน่าสังเวช.

 
มรดกที่ ๔๕

พระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น ๆ มักจะเป็นภูเขาหิมาลัย
บังธรรมะสำหรับเขา
เพราะเป็นพระพุทธเจ้าแห่งอุปาทาน และตามอุปาทานของเขา.
ดังนั้น จงรู้จักพระพุทธเจ้า ให้ถูกตรงพระองค์จริงกันเถิด.

 
มรดกที่ ๔๖

พระพุทธองค์ท่านมีการตรัสทั้งโดยภาษาคนและภาษาธรรม
ต้องฟังให้ดี เช่นตรัสโดยภาษาคน ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน",
แต่ตรัส โดยภาษาธรรม ว่า "ตัวตนของตนนั้นไม่มี" ดังนี้
ถ้าฟังไม่ดีจะไม่รู้เรื่อง และเห็นว่าเป็นคำพูดที่ขัดกัน.
ถ้ารู้จักฟังโดยหลักภาษาคน–ภาษาธรรมแล้ว จะไม่มีขัดกันเลย, ดังนี้เป็นตัวอย่าง.

 
มรดกที่ ๔๗

ตรัสว่า แต่ก่อนก็ดี บัดนี้ก็ดี เราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์
กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น
ดังนั้น พวกเราอย่าต้องเสียเวลา ในการศึกษา การถาม การเถียง
กันด้วยเรื่องอื่นที่มิใช่สองเรื่องนี้ กันอีกเลย.

 
มรดกที่ ๔๘

พระพุทธองค์มิได้ทรงเสียเวลาในการกระทบกระทั่ง
หรือยกเลิกลัทธิคำสอนของเก่าก่อนพระองค์
หากแต่ทรงแสดงเรื่องของพระองค์ที่ดีกว่า–จริงกว่า–มีประโยชน์กว่า
ให้ผู้ฟังเลือกเอาเอง อย่างมีเหตุผล จึงไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น
อย่างรุนแรงเหมือนกับที่เกิดแก่ ศาสดาอื่นบางองค์.

 
มรดกที่ ๔๙

การมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ปรุงขึ้นตามทัศนะของ บุคคลนั้นๆ
ทำให้เป็นปัญหามาก และไม่ถูกพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์องค์จริง
ซึ่งมีหัวใจเป็นความสะอาด–สว่าง–สงบ
เพราะว่างจากกลิ่นไอและความหมายแห่งตัวกู–ของกู.

 
มรดกที่ ๕๐

ไสยศาสตร์คือลัทธิหลับ (ด้วยอวิชชา)
พุทธศาสตร์คือลัทธิตื่นจากหลับ (ประกอบอยู่ด้วยวิชชา)
ดังนั้น จงระวังการกระทำ ที่เกี่ยวกับพระพุทธรูปหรือพระเครื่อง;
เพราะมีได้ทั้งที่เป็นพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ แล้วแต่ว่าผู้นั้น
ทำไปด้วยวิชชาหรือด้วยอวิชชา อุปาทาน.

lek:
 :07: :19: :45:

แก้วจ๋าหน้าร้อน:
 :13: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม

ฐิตา:

มรดกที่  ๕๑

หลักการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ(เข้าโลง)
ล้วนแต่เป็นสันทิฏฐิโก–อกาลิโก คือปรากฏแก่ใจ ในทันทีที่กระทำและรับผลของการกระทำ.
ส่วนที่เนิ่นนานไปจากนั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ฝ่ายวัตถุธรรมในความรู้สึกของบุถุชนธรรมดา.

 
มรดกที่ ๕๒

สิ่งที่เรียกกันว่า "ตัวตน" นั้นเป็นเพียงมายา
คือเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ อันปรุงแต่งขึ้นมาจากตัณหา หรือความอยาก
ด้วยอำนาจอวิชชา ที่เกิดขึ้นในจิตโดยธรรมชาติอัตโนมัติ,
เป็นเพียงความรู้สึกผิด ๆ ของสิ่งที่เรียกว่าอุปาทาน อันเกิดมาจากตัณหา,
มิได้เป็นตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความรู้สึกลม ๆ แล้ง ๆ แต่ก็มีความเข้มข้น จนผู้รู้สึกรู้สึกว่าเป็นตัวตน.

 
มรดกที่ ๕๓

การจำแนกธรรมะเป็น ๔ ความหมาย ให้ความสะดวกในการศึกษาธรรมะอย่างทั่วถึง
คือรู้จัก ตัวธรรมชาติ–กฏของธรรมชาติ–หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ และผลอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น จนสามารถดำรงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติปราศจากปัญหาใด ๆ.

 
มรดกที่ ๕๔

ธรรมะมีความหมายหลายอย่าง
ถ้าเอาใจความเพียงอย่างเดียว ก็คือหน้าที่
ที่ได้กระทำอย่างถูกต้อง แก่สถานภาพของผู้ปฏิบัติ ตามกฎของธรรมชาติ
เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกฝ่าย ทุกกาละและเทศะ.

 
มรดกที่ ๕๕

ธรรมะทั้งหมดในทางปฏิบัติ อาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท
คือ ธรรมะเครื่องมือ และธรรมะผลที่ประสงค์ : สีล–สมาธิ–ปัญญาเป็นธรรมะเครื่องมือ,
มรรค–ผล–นิพพานเป็นธรรมะผลที่ประสงค์.
แม้ธรรมะที่เป็นเครื่องมือ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
คือ ธรรมะหลัก เช่น สติปัฏฐานสี่ และธรรมะอุปกรณ์ เช่นอิทธิบาทสี่ หรือสัมมัปปธานสี่.
จงรู้จักธรรมะที่จะใช้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกรณี.

 
มรดกที่ ๕๖

จงทำให้งานของท่าน ทุกชิ้นทุกอนุภาค กลายเป็นธรรมะ
ด้วยความมีสติสัมปชัญญะรู้สึกอยู่ว่าหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ;
แล้วท่านก็จะมีธรรมะ อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ แล้วทำงานทุกอย่างได้สนุกเหมือนเล่นกีฬา
มีความสุขเสียแล้วในขณะที่ทำงานไม่ต้องไปหาสถานเริงรมย์ อบายมุข หรือยาเสพติด.
 

มรดกที่ ๕๗

ธรรมะคือสิ่งที่เรียกกันในภาษาไทยว่า "หน้าที่" ของทุกสิ่งที่มีชีวิต
อันเขาจะต้องทำเพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อสังคม
แม้จะแปลคำคำนี้กันว่า คำสั่งสอน การเรียนการปฏิบัติ
ความหมายสำคัญก็ยังคงอยู่ที่ความเป็นหน้าที่เพื่อความรอด
ดังนั้น เมื่อใดมีการทำหน้าที่ เมื่อนั้นก็คือการปฎิบัติธรรม.
 

มรดกที่ ๕๘

ธรรมะในโบสถ์–หรือธรรมะกลางทุ่งนา
ก็เป็นธรรมะอย่างเดียวกัน
เมื่อประพฤติกระทำในฐานะที่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง
เพื่อความรอดอันแท้จริง.

 
มรดกที่ ๕๙

สิ่งที่เป็นนิรันดร–อมิตาภะ–อมิตายุ–อกตะ–อมตะ–อสังขตะ นั้นมีอยู่ ๓ อย่าง
คือ กฏธรรมชาติ๑ ความว่าง๑ นิพพาน๑.
สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น แม้แต่พระเจ้าก็สร้างไม่ได้
เพราะมีฐานเป็นพระเจ้าเสียเอง.

 
มรดกที่ ๖๐

พุทธศิลป์ที่แท้จริงมิใช่วัตถุศิลป์อย่างที่เข้าใจกัน
แต่เป็นระบบ การกระทำด้วยสติปัญญาที่ดับทุกข์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดังที่พระพุทธ องค์ได้ทรงประกาศไว้
อย่างมีความงามในเบื้องต้น–ท่ามกลาง–เบื้องปลาย
ในภายในจิตของสัตว์.

ฐิตา:
มรดกที่  ๖๑

ธรรมะคือระบบการปฏิบัติ ที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของตน
ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ทั้งเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น,
เรียกสั้น ๆ ว่า "หน้าที่".
นั่นแหละ คือพระเป็นเจ้าผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง.

 
มรดกที่ ๖๒

ธรรมะมีไว้ช่วยให้อยู่ในโลกอย่างชนะโลก หรือเหนือโลก
มิใช่ให้หนีโลก แต่อยู่เหนืออิทธิพลใด ๆ ของโลก ไม่ใช่จมอยู่ในโลก.
มักสอนให้เข้าใจกันผิด ๆ ว่า ต้องหนีโลก ทิ้งโลก สละโลก
อย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครเลย.

 
มรดกที่ ๖๓

ธรรมะเป็นสิ่งที่อธิบายยากเพราะคำพูดของมนุษย์มีไม่พอ
คือไม่มีคำสำหรับใช้กับสิ่งที่มนุษย์ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน;
ดังนั้น จึงต้องพยายามพูดและพยายามฟัง จนเข้าใจหรือรู้จัก
โดยความหมาย ทั้งในภาษาคนและภาษาธรรม พร้อมกันไป.

 
มรดกที่ ๖๔

ธรรมะมิใช่ตัวหนังสือหรือเสียงแห่งการแสดงธรรม แต่เป็นการกระทำหน้าที่ที่ถูกต้อง
ของผู้ปฏิบัติแต่ละคน อยู่ทุกอิริยาบท–ทุกเวลา–ทุกสถานที่
อย่างถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกัน,
จึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้องตามหลักแห่งพุทธศาสนา
อันนำมาซึ่งความสงบสุขได้จริง.

 
มรดกที่ ๖๕

ศีลธรรมกลับมา เพื่อโลกาสงบเย็น,
ปรมัตถธรรมกลับมา เพื่อโลกาสว่างไสว
ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ,
ถ้าปรมัตถธรรมไม่กลับมา โลกาจะมืดมนท์;
ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันทำให้กลับมา
ในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีสำหรับโลก.

 
มรดกที่ ๖๖

ไม่ต้องอาลัยอดีต–ไม่ต้องพะวงอนาคต
ขอแต่ให้ทำหน้าที่ของตน อย่างถูกต้องในปัจจุบัน
ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่เป็นทุกข์
และไม่เป็นปัจจัยแก่สัสสตทิฎฐิ
คือตัวตนที่เวียนว่ายไปในวัฏฏะ.

 
มรดกที่ ๖๗

ก ข ก กา ของพุทธศาสนา
มิได้ตั้งต้นที่พระรัตนตรัย, แต่ตั้งต้นการศึกษาที่การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ว่าได้ก่อให้เกิดวิญญาณ–ผัสสะ–เวทนา อย่างไร?
จนกระทั่งเกิดตัณหา อุปาทาน แล้วเกิดทุกข์;
ควบคุมการเกิดเหล่านี้ได้ ก็จะดับทุกข์ได้
แล้วก็จะมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ขึ้นมาเอง.

 
มรดกที่ ๖๘

โลกทั้งหมดสำเร็จอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะเรามีตา ฯลฯ, โลกจึงมี และเกิดกรณีต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาขึ้น
เพราะไม่รู้ความจริงของเรื่อง ตา ฯลฯ หรือโลก อย่างถูกต้องนั่นเอง. (น.๑๒๑)

 
มรดกที่ ๖๙

ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิดทุกข์ เกิดขึ้นทุกคราวที่จิตมีตัณหา
คือโง่เมื่อมีผัสสะโง่เวทนาโง่ เพราะอำนาจของอวิชชาจนเกิดตัณหา หรือมีกิเลสครอบงำ;
ดังนั้น ระวังอย่าโง่ เมื่อมีผัสสะใด ๆ ให้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์เกิดขึ้น.

 
มรดกที่ ๗๐

ปฏิจจสมุปบาทมีขึ้นรอบหนึ่งทุกครั้งที่มีการสัมผัสอารมณ์ด้วยอวิชชา
หรือพูดได้ว่า ทุกครั้งที่มีจิตเศร้าหมองด้วยการปรุงแต่งของอวิชชา;
มิใช่มีอย่างคร่อมภพคร่อมชาติ ถึงกับปฏิจจสมุปบาทรอบเดียวคร่อมชาติสามชาติ
เหมือนที่แนะนำสั่งสอนกันอยู่โดยมากจนกลายเป็นสัสสตทิฎฐิไป.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version