ผู้เขียน หัวข้อ: District 9 เหน็บแนมเสียดสี มนุษยชาติ กับ เอเลี่ยน  (อ่าน 3739 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
District 9 เหน็บแนมเสียดสี มนุษยชาติ กับเอเลี่ยน ได้อย่างสะใจ น่าดู ระทึก มันส์
 

เพิ่งได้เข้าไปดูในโรง ก็เกือบจะหมดโปรแกรมฉายแล้ว (1 ตุลา เหลือรอบเดียว โรงเดียว) สนุกครับ ชอบ ชวนไปชม หนังเหน็บแนม เสียดสีสภาพสังคมปัจจุบัน ตั้งแต่ ความประหลาดใจของชาวโลก พร้อมคำถามมากมายที่จู่ๆ มีจานผีลอยอยู่เหนือกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ทำไมต้องที่นี่? และมาทำไม?, มนุษยชาติกับการติดต่อมนุษย์ต่างดาว (close encouter), การช่วยเหลือ เอเลี่ยน ที่มีสภาพขาดอาหารเหมือนคนลี้ภัยแออัดในคอนเทนเนอร์ โดยกันโซนพื้นที่ใต้จานผี เป็นชุมชนชั่วคราว District 9 และกลายสภาพเป็นแหล่งเสื่อมโทรม (slump), มนุษย์ต่างดาวรูปร่างหน้าตาคล้ายตั๊กแตน ชาวโลกให้ฉายาว่า “กุ้ง” (prawn) ดูต่ำต้อย ไม่เจริญ ชอบกินอาหารแมวกระป๋อง จนชาวโลกใช้เป็นเครื่องต่อรองได้, การตั้งหน่วยงาน ต่างดาวสัมพันธ์ (MNU Department for Relations with Extraterrestrial Civilizations), เทคโนโลยีล้ำยุคของเอเลี่ยน โดยเฉพาะเรื่องของอาวุธ ที่ใช้ได้เฉพาะชาวเอเลี่ยน, การมุ่งแต่ค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อย่างไร้ศิลธรรม, ความละโมบเทคโนโลยีอาวุธสงครามเพื่อการค้า, การคุมปริมาณประชากรเอเลี่ยนไม่ให้แพร่ขยายมากเกิน, กลุ่มคนผิวสีที่ตั้งตัวเป็นมาเฟียคุมการค้าแลกเปลี่ยน สิ่งของ กับอาหารแมว ในชุมชนชาวเอเลี่ยน, ตัวละครเด่น “วิคัส” ชื่อเหมือน อาหารแมว วิสกัส ฯลฯ

นานวันเข้า สภาพเอเลี่ยนชนกลุ่มน้อย ก็ลุกลามบานปลาย สร้างความไม่พอใจแก่ชาวเมืองเจ้าของพื้นที่ บทสรุปคือ ต้องมีการย้ายเอเลี่ยน ออกไปอยู่นอกเมืองไกลๆ ชาวโลกจากทุกประเทศล้วนจับตามอง การละเมิดสิทธิมนุษย์ต่างดาว รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ ต่าวดาวสัมพันธ์ MNU (ที่ดูรั่วๆ ) เข้าไปเคาะประตูบ้านทีละหลัง แจ้งข่าวการย้ายบ้าน ให้เอเลี่ยนเซ็นรับทราบยินยอม (ฮา) มีเวลา 24 ชม. ในการตัดสินใจ ซึ่งเอเลี่ยนมีสิทธิ์ไม่ยินยอม ก็บังคับย้ายไม่ได้ (อาจจะต้องฟ้องศาลก่อนด้วยมั้ง)
การดำเนินเรื่องทำได้อย่างยอดเยี่ยม เริ่มด้วยสไตล์นำเสนอข่าว สารคดีเจาะลึก มุมมองจากกล้องมือถือ ภาพไม่นิ่งพอประมาณ ชวนให้ลุ้นเกร็ง มีสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ เป็นการเล่าเรื่องไปในตัว หวาดเสียว ตื่นเต้น รุนแรง โดยเฉพาะกับเอเลี่ยน  นำเสนอภาพจอใหญ่ได้คุ้มค่า บทสนทนาชาญฉลาดลงตัว ฉากแอ็คชั่นยิงกันสะใจอย่างกะหนังสงคราม และหลายฉากสะเทือนความรู้สึก ดึงอารมณ์ร่วมได้ดี กัด พฤติกรรมชาวโลกยุคนี้ ได้สะใจ เรียกว่า ครบรส
 
กำกับโดย นีลล์ บล็อมแค้มป์ Neill Blomkamp อายุ 29 ปี กับประสบการณ์ทำหนังสารคดี หนึ่งเรื่อง
สุดยอดครับ ขอแนะนำ






official Trailer 2 (HD)

District 9 - Official Trailer 2 [HD]

ภาพจากเว็บ http://www.district9movie.com/

ข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่  http://www.d-9.com/ ,
 
 http://en.wikipedia.org/wiki/District_9 ,
 
http://www.imdb.com/title/tt1136608/




http://kajarp.wordpress.com/2009/10/02/district-9/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
เรื่องนี้สนุกดีครับ แต่บางฉากอาจแรงๆหน่อย ^^ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




กลายเป็นภาพยนตร์เล็กๆที่ถูกกล่าวขานอย่างมากมายหลังจากซัมเมอร์ปี 2009 ผ่านพ้นไป District 9 ของ นีลล์ บลอมแคลมป์ ผู้กำกับหน้าใหม่ผู้มีถิ่นกำเนิดที่อัฟริกาใต้ที่เดียวกับฉากหลักของเรื่อง อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ก็สื่อออกมาก่อนหน้าอยู่แล้วว่ามี ปีเตอร์ แจ๊คสัน เป็นผู้หนุนหลัง และบารมีของผู้สร้างไตรภาคแห่งแหวนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเป็นเหมือนการยืนยันจากผู้ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในฐานะผู้กำกับรุ่นถัดจากรุ่นใหญ่อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก, เจมส์ คาเมรอน และ จอร์จ ลูคัส แต่ที่สำคัญแม้จะมีแจ๊คสันหนุนหลังแต่นีลล์ บลอมแคลมป์ก็สร้างสรรค์งานได้อย่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ความลุ่มลึกของสาระ และมิติของการประชดประชัน บวกกับการเป็นภาพยนตร์ไซไฟ แม้จะทำให้คนดูคาดหวังจากภาพจานบินขนาดมหึมาบนท้องฟ้าเหนือกรุงโยฮันเนสเบิร์ก คล้ายกับภาพที่เคยเกิดกับ ID4 มาแล้ว ซึ่งผู้ดูก็ผิดหวังไประดับหนึ่ง แต่ District 9 กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ชมเฝ้ารอภาคต่อของเรื่องนี้อย่างชัดเจน






นีลล์ บลอมแคลมป์ ได้สร้างหนังสั้นก่อนขยายความมาเป็น District 9 นั่นก็คือ Alive in Joberg ที่เป็นสะท้อนถึงปัญหาการแบ่งชนชั้นและการกีดกันผิวสีในโยฮันเนสเบิร์ก บ้านเกิดของบลอมแคลมป์เอง โดยใช้มนุษย์ต่างดาวเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสองของประเทศ หนังสั้นเรื่องนี้ได้กล่าวเริ่มต้นตั้งแต่การมาครั้งแรกของมนุษย์ต่างดาว และเป็นที่ตื่นตาตื่นใจและให้การต้นรับของมนุษย์โลก โดยเฉพาะสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นอย่างชุดเกราะชีวะ หรือหุ่นยนต์ แต่เมื่อเนิ่นนานไปก็เกิดการขัดแย้งกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ มีการสัมภาษณ์ การเจาะข่าวเหมือนเป็นภาพเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เราชมจากข่าวทางทีวี ซึ่งเหมือนกับบอกกลายๆว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ก็คือมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันแต่ต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม การใช้มนุษย์ต่างดาวก็เพียงเป็นการเปรียบเปรยเท่านั้นเองว่ามนุษย์ต่างหากที่กีดกันหรือปฎิบัติมนูษย์ด้วยกันเองอย่างไม่เท่าเทียมกัน เหมือนที่คนขาวปฎิบัติต่อคนผิวสีในอัฟริกาใต้ ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้มีความยาวเพียง 6 นาที ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ความแปลกใหม่และสดในการนำเสนอจึงเป็นจุดชนวนในการเกิด Alive in Joberg ในฉบับยาวหรือ District 9 นั่นเอง






District 9 ได้ขยายความจาก Alive in Joberg อธิบายความเป็นไปเป็นมาได้มากขึ้น และในหนังสั้นได้เริ่มเอ่ยถึงการขัดแย้งของมนุษย์ต่างดาวกับมนุษย์โลก ภาพยนตร์จึงแตกประเด็นเมื่อรัฐบาลเริ่มออกนโยบายที่ดูเหมือนจะแก้ปัญหานี้โดยอพยพเหล่าเอเลี่ยนออกไปจาก District 9 โดยมีหน่วยงาน MNU มารับผิดชอบในการเคลื่อนย้าย และมีทหารเข้ามากำกับอีกทีเผื่อในกรณีเกิดความรุนแรง ความสนุกจึงบังเกิดเมื่อมีกลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคมมนุษย์ต่างดาวหลายกลุ่ม ผลประโยชน์ มีตั้งแต่คนขาว คนผิวสี พ่อมดหมอผี กลุ่มต่อต้านความรุนแรง สื่อมวลชน ภาพยนตร์จึงมีการกระทบเสียดสีอยู่ตลอดเวลา และยังคงเอกลักษณ์ในการนำเสนอคล้ายกับการรายงานข่าวเหมือนหนังสั้นต้นฉบับ ทำให้เป็นความแปลกใหม่ แม้จะไม่แปลกตาเพราะมีหลายเรื่องที่ใช้เทคนิคไปก่อนแล้วอย่าง Cloverfield หรือหนังซอมบี้บางเรื่อง และเมาอภาพยนตร์สู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง ความเป็นภาพยนตร์ไซไฟก็ทำงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องและทิ้งท้ายให้คนดูเฝ้ารอภาคต่ออย่างลงตัว






District 6 การอพยพอย่างข่มขู่นโยบายกีดกันสีผิวแห่งประวัติศาสตร์


การใช้ชื่อ District 9 ย่อมมีที่มาเมื่อผู้สร้างแท้จริงแล้วเกิดที่อัฟริกาใต้ จึงเข้าถึงประวัติศาสตร์การแบ่งแยกผิวเป็นอย่างดี ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของอัฟริกาใต้มีสถานที่ที่เรียกว่า District 6 มาตั้งแต่ในปี 1867 เป็นเขตปกครองตนเองในเมืองเคปทาวน์ของอัฟริกาใต้และเป็นสถานที่ค้าทาสแห่งใหญ่ มีพ่อค้าและชาวอพยพจากถิ่นอื่นมาตั้งรกรากที่ District 6 ว่ากันว่าชาวมาเลย์เป็นชนชั้นทาสที่ถูกนำมาที่แห่งนี้โดยบริษัทดัทช์อีสต์อินเดีย จนมีประชากรถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดในเคปทาวน์ และเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง ก้เริ่มเข้าสู่ยุคการแบ่งแยกสีผิว รัฐบาลประกาศกำจัดผู้ที่อยู่อาศัยในเขต District 6 โดยให้เหตุผลว่าเขตนี้เป็นแหล่งเสื่อมโทรม อันตราย และมั่วสุมไปด้วยการพนัน โสเภณี และน้ำเมา จึงต้องกำจัดให้สิ้นไม่ใช่เป็นการบูรณาการ ประชาชนในท้องถิ่นรู้ดีว่านี่เป็นความต้องการเข้ามายึดครองดินแดนหาใช่เป็นไปตามเหตุผลที่รัฐบาลอ้างไม่ เพราะดินแดนแถบนี้ใกล้ศูนย์กลางพาณิชย์และเป็นท่าเรือที่คนขาวต้องการ และ11 กุมภาพันธ์ 1966 รัฐบาลก็ออกกฎหมายอพยพคนท้องถิ่น และประกาศให้เขตนี้เป็นของคนขาวเท่านั้น ส่วนพวกที่อยู่อาศัยเดิมจะถูกขับให้ไปอยู่ในเขตทะเลทราย อ้างว้าง ห่างไกลออกไป




อย่างที่กล่าวมาข้างต้นภาพยนตร์เรื่องนี้มีความลึกของสาระค่อนข้างมาก ภาพของเอเลี่ยนจึงเป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นว่ามนุษย์ที่แท้จริงแล้วมองมนุษย์ด้วยกันเองแบบแตกต่างกันออกไป กลุ่มมนุษย์ที่อยู่ในอำนาจเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตกลุ่มอื่นที่ด้อยกว่า โดยเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง การยึดดินแดนของรัฐบาลอัฟริกาใต้ใน District 6 ก็เป็นการต้องการทรัพยากรที่ดิน และใน District 9 ก็ไมต่างกัน การแก้ปัญหาขัดแย้งหาใช่ความต้องการของรัฐบาลที่แท้จริงใหม่ ส่วนความต้องการที่แท้จริงเป็นอะไรก็ต้องไปชมกันเอง และก็ไม่ต่างอะไรกับบรรดาผู้ทรงเกียรติในบางประเทศที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยบอกว่าเพื่อสมานฉันท์ (ขอออกนอกเรื่องหน่อย) ขณะที่ชมภาพยนตร์ตัวละครเอกของเรื่องคือ เจ้าหน้าที่ธรรมดาคนหนึ่งที่เทพประทานให้กลายเป็นหัวหน้าในการขนย้ายเอเลี่ยนออกจาก District 9 ชื่อว่า วิกัส แวน เดอ เมอเว ที่พ่อตาผู้หวังประโยชน์แอบแฝงเป็นผู้ผลักดัน แว่บแรกเลยนึกถึงชายหนุ่มที่ชื่อ อภิสิทธิ์ ขึ้นมาทันที เพราะเขาเป็นบุคคลที่ทำตามแบบแผนของสังคมอย่างหมดจด การเข้าไปขอให้เอเลี่ยนย้ายออกก็ต้องมีรายเซ็นต์ยอมรับ ไม่เน้นความรุนแรง เดินตามตรอกออกตามประตูเสมอ แต่ผู้คนที่ล้อมรอบเขากับมุ่งผลประโยชน์จากเขาโดยเฉพาะการดันเขาเป็นหัวหน้าก็มีประโยชน์แอบแฝงชัดเจน จนเมื่อหมดความสำคัญก็ต้องเรียกว่าเฉดหัวส่ง (แต่นายกฯของผมยังไม่ถึงระยะนี้นะครับ) แต่ความเป็นมนุษย์ในตัวของวิกัสไม่เคยเปลี่ยนแปลง อาจจะต้องต่อสู้กับอารมณ์ที่แปรปรวนในบางครั้ง แต่ก็มีมโนธรรมในท้ายสุด แม้แต่ตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ที่คงทำให้บางคนอาจจะน้ำตาไหลขึ้นมา






คำถามที่สุดฮิตทั้งอดีตและคงไปถึงอนาคตอีกหลายปีว่า เราเป็นเผ่าพันธ์เดียวในจักรวาลหรือเปล่าและถ้ามีสิ่งชีวิตนอกโลกอื่นๆทำไมไม่เคยปรากฏตัวให้มนุษย์โลกเห็นบ้าง บางทีภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นคำตอบหนึ่งว่าแม้จะมีมนุษย์จากนอกโลกจริงแต่ถ้าพวกเขามาเยือนโลกได้จริงและเฝ้าศึกษามนุษย์โลกก่อนที่จะปรากฏตัวให้มนุษย์ได้เห็น พวกเขาคงต้องทบทวนมากมาย แม้โลกที่มนุษย์โลกอยู่จะน่าอยู่เพียงใดแต่พวกเขาก็คงไม่อยากคบกับเผ่าพันธ์ที่มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ใช้อาวุธห่ำหั่นกันเองเป็นแน่ อาจะมีหลายคนท้วงติงถึงเอเลี่ยนในเรื่องก็ดูป่าเถื่อน บรรดาเอเลี่ยนก็คงโต้กลับว่าถ้ามนุษย์เองถูกจำกัดเขตแดน ขาดอาหาร มีเพียงอาหารแมวที่มนุษย์ป้อนให้เหมือนพวกเขาเป็นสัตว์เลี้ยง ก็คงโกรธแค้นแสดงความป่าเถื่อนเช่นกัน บางทีอาจจะโหดร้ายกว่าอีกหลายเท่านัก ดูจากวิกัสเป็นตัวอย่างเมื่ออยู่ในอารมณ์กดดันแม้เป็นคนดีไม่น่ากลัวก็ยังใช้ความรุนแรงได้ และเอเลี่ยนก็คงบอกว่า แม้โลกจะน่าอยู่แต่มนุษย์ไม่น่าคบนั่นเอง








" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
สวัสดีครับทุกๆท่าน  พบกับกระผมกับการรีวิวหนังอีกครั้ง  หลังจากหายไปค่อนข้างนานเนื่องด้วยภารกิจส่วนตัว + ไม่มีหนังโดนใจพอ 

เลยไม่ได้ทำวิจารณ์หนังนานพอควร   แต่ว่ามาคราวนี้  ผมขอทำบทรีวิวหนังเรื่องนี้ซักหน่อย   เพราะมันโดนใจจริงๆ   

พอดีไปดูสวนกระแส5แพร่งเกลื่อน    มันฉายรอบพิเศษ    กระผมเลยดูแล้วขอรีวิวมาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ 

กับหนังมนุษย์ต่างดาวที่ Peter Jackson  เป็นผู้อำนวยการสร้าง    มันก็คือเรื่อง

District 9  ยึดแผ่นดิน เปลี่ยนพันธุ์มนุษย์




(รูปภาพด้านบนถูกย่อขนาดลง คลิ๊กที่นี่เพื่อดูภาพขนาดจริง)






เรื่องย่อ


(รูปภาพด้านบนถูกย่อขนาดลง คลิ๊กที่นี่เพื่อดูภาพขนาดจริง)


เมื่อ 30 ปีก่อน มนุษย์ต่างดาวเข้ามายังโลกของเราเป็นครั้งแรก มนุษย์โลกคาดว่าจะตนจะต้องถูกโจมตี
หรือไม่ก็ได้เห็นเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ทั้ง 2 อย่างนั้นเกิดขึ้น มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเป็นเพียงผู้อพยพ
 เป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายของสายพันธุ์ของพวกเขา พวกเขาจึงเข้ามาตั้งรกรากในที่อยู่ชั่วคราวที่เรียกว่า ดิสทริกต์ 9 ในแอฟริกาใต้
ชาติต่างๆ ในโลกพากันถกเถียงว่าควรจะทำอย่างไรกับผู้มาเยือนเหล่านี้ดี

เมื่อความอดทนของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญหมดลง บริษัทเอกชน มัลติ-เนชันแนล ยูไนเต็ด หรือ เอ็มเอ็นยู เข้าควบคุมมนุษย์ต่างดาว
เอ็มเอ็นยูไม่ได้สนใจเรื่องสวัสดิการของมนุษย์ต่างดาว แต่สนใจที่จะศึกษาเทคโนโลยีด้านอาวุธของพวกเขามากกว่า เพราะหากการค้นคว้าครั้งนี้สำเร็จ
ก็คงจะทำกำไรแก่บริษัทได้อย่างมหาศาล แต่แล้วพวกเขาก็ล้มเหลว เพราะการจะทำให้อาวุธเหล่านั้นทำงานได้ พวกเขาจะต้องใช้ดีเอ็นเอของมนุษย์ต่างดาว

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่างดาวและมนุษย์โลกตึงเครียดถึงขีดสุดเมื่อผู้ปฏิบัติการภาคสนามของเอ็มเอ็นยู วิคัส แวน เดอร์ เมอร์วี (ชาร์ลโต คอปลีย์)
รับเชื้อไวรัสปริศนาเข้ามาในร่างกาย ทำให้ดีเอ็นเอของเขาเปลี่ยนไป วิคัส กลายเป็นคนที่ถูกตามล่าและมีค่าตัวมากที่สุดในโลก
เขากลายเป็นกุญแจที่จะปลดความลับของเทคโนโลยีจากต่างดาว เขากลายเป็นคนนอกสำหรับมนุษย์โลก ดังนั้นจึงเหลือเพียงที่เดียวที่เขาจะใช้ซ่อนตัวได้

ที่นั่นคือ ดิสทริกต์ 9




มุมมอง Soma



สุดยอด!!!!  นี้คือคำพูดหลังจากที่ผมออกมาจากโรง   หนังอะไรมันส์สุดๆ   เรียกได้ว่า เป็นหนังไซ-ไฟ  ที่ยอดเยี่ยมมากๆ   
โดยหนังในช่วงแรกท่านอาจจะเบื่อนิดหน่อย  เพราะหนังทำออกมาคล้ายๆสารคดี  ในบางจุดก็จะเป็นหนัง บางทีอาจมีมุมกล้องหมุนๆบ้าง 
 แต่หลังจากท่านผ่านช่วงนั้นได้  ท่านจะติดเก้าอี้แล้ว
(ความจริง  ตอนสารคดี ถ้าตั้งใจดู  ก็ถือว่าหนังมันมันส์แล้วนะ =w=)   



ถือเป็นข้อดีของหนังที่นำเสนอในรูปแบบนี้   เพราะว่านอกจากจะเป็นการนำเสนอที่ค่อนข้างแหวกแนวในรูปแบบหนังไซไฟ  (แต่ไม่ใหม่ในวงการภาพยนต์)
และทำออกมาได้ยอดเยี่ยม  มันทำให้รู้สึกว่า  สิ่งที่ท่านเห็นในจอ  มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง   มันเป็นข้อดีของการถ่ายทำรูปแบบนี้   
แต่บางทีถ้าท่านไม่ชิน ท่านอาจจะทนไม่ไหวช่วงครึ่งแรกเลยทีเดียว   กระผมก็แค่แนะนำว่า  ให้อดทนจนผ่านไป   รับรองท่านจะสนุกกับมันแน่นอน



อีกจุดที่ต้องบอกว่า ยอดเยี่ยม คือเรื่องของ บท  ที่ถึงแม้จะไม่ได้แปลกใหม่มากมาย   แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นพระเอกของหนัง
คือ เรื่องของการเสียดสีสังคมมนุษย์  นิสัย  และสันดาน  ผ่านเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาว  ได้อย่างเจ็บแสบ
   ซึ่งบอกได้เลยว่า  ตลอดการดูหนังของท่าน   
ท่านจะรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่มนุษย์ในหนังทำไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน        ส่วนในครึ่งเรื่องหลังเรียกได้ว่า  ช่วงปลดปล่อย เพราะยิงกันวายวอด 
แถมระทึกไปทุกนาทีที่ได้ดู  สุดยอดครับ


(รูปภาพด้านบนถูกย่อขนาดลง คลิ๊กที่นี่เพื่อดูภาพขนาดจริง)


ส่วนเรื่องของCG  ต้องบอกฮะว่า  เนียนสุดยอด  ถึงขนาดที่ว่าผมไม่เชื่อเลยว่าหนังมันทุนสร้างแค่30ล้าน    มันทำCGออกมาเนียน และสวยมากๆ   
ยิ่งหุ่นยนต์ที่ออกมาท้ายเรื่องกับยานแม่ที่ลอยบนท้องฟ้าเนี่ย  ขอบอกเลยว่า  สุดยอดดดดด


คำเตือน  : ต่อไปนี้คือการสปอย  สำหรับท่านที่ไปดูมาแล้วนะครับ   แต่สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ดูก็อ่านได้   เพราะผมจะพยายามสปอยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้   
แต่ทางที่ดีที่สุดคือ  ไปดูแล้วค่อยมาอ่านจะดีกว่าครับ










สิ่งที่ District 9 ต้องการสื่อนั้นไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ต่างดาว  เทคโนโลยี  แต่มันคือเรื่องของ  สันดานมนุษย์

หนังเรื่องนี้สามารถแบ่งสิ่งที่สื่อออกมาในรูปแบบ สันดานมนุษย์ได้ดังต่อไปนี้


ความเห็นแก่ตัว



สื่อออกมาได้ชัดผ่านทางพระเอกของเรา  ซึ่งช่วงที่เค้าได้รับเชื้อที่ทำให้เค้าเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้ว    เค้าก็ต้องการที่จะกลับคืนร่างเดิม   
จึงต้องขอความช่วยเหลือจากคริสโตเฟอร์  มนุษย์ต่างดาวที่ต้องการจะกลับบ้าน  พระเอกเรารู้ว่า   บนยานแม่นั้นมีเครื่องมือรักษาอยู่     
ซึ่งหลังจากที่พวกเค้าบุกไปเอาสารเคมีที่ทำให้ยานบิน   สิ่งที่พระเอกได้ยินคือ  การรักษาเค้าต้องใช้เวลา3ปี   ทำให้เค้าโกรธ   ทำร้ายคริสโตเฟอร์
และเอายานบินไปคนเดียว

อีกทั้งตอนที่เค้าได้หุ่น  เค้าพบทหารกำลังยินคริสโตเฟอร์   เค้ากลับบอกว่า   “ปล่อยฉันไปเถอะ”   โดยไม่สนคริสโตเฟอร์

สิ่งนี้คือการแสดงถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์    ที่จะเอาได้อย่างเดียว  โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น   ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเคยช่วยเค้าก็ตาม   
มนุษย์ล้วนมองผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าคนอื่นเป็นอันดับ1   ซึ่งในสังคมปัจจุบันนี้   คนประเภทนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ



การเหยียดเผ่าพันธ์



สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ   การที่มนุษย์มอบที่สลัมให้แก่มนุษย์ต่างดาว   โดยกีดกั้นอิสระภาพ    พอถึงจะย้าย  ก็มาง่ายๆ

นี้คือ การเหยียดเผ่าพันธุ์  ซึ่งหลายๆท่านน่าจะรู้  ว่ามนุษย์เรานั้น   มีการเหยียดทั้งสีผิว   เชื้อชาติ  ศาสนา มากมาย  เพราะเพียงแค่   “ต่างความคิดกัน”
ซึ่งเพราะสิ่งเหล่านี้   มันทำให้มนุษย์ก่อสงครามกันมาเท่าไรแล้ว


เอารัดเอาเปรียบ



สิ่งที่เห็น คือแก๊งค์คนที่คุม เขต9   ที่จะคอยนำอาหารแมวมาแลกกับของมนุษย์ต่างดาวที่เอามาแลก   แต่การแลกก็เต็มไปด้วยความเอารัดเอาเปรียบ 
กลโกง   หรือแม้แต่ฆ่าปิดปาก สิ่งนี้คือสิ่งที่สังคมปัจจุบันกำลังเผชิญ    การโกงรูปแบบต่างๆ   ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน  ทำให้สังคมเลวทรามลงทุกวัน



ความโหดร้าย



เรื่องนี้นอกจากจะมองผ่าน กลุ่มคนที่คุมเขต9 แล้ว  ยังมองผ่านทหารหัวหน้ารายนึง   ที่มีความสุขกับการฆ่ามนุษย์ต่างดาวอย่างโหดเ*Censor*้ยม

สิ่งนี้  กำลังเริ่มรุนแรงขึ้นทุกวันในสังคมปัจจุบัน    มนุษย์เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ   เริ่มป่าเถื่อนมากขึ้น   จากสภาวะสังคม


ความเชื่อ


(รูปภาพด้านบนถูกย่อขนาดลง คลิ๊กที่นี่เพื่อดูภาพขนาดจริง)


ผู้นำเขต9  เชื่อจอมขมังเวทย์   ว่าการกินเนื้อมนุษย์ต่างดาว  จะทำให้เค้ามีพลัง  ซึ่งในตอนหลังเค้าก็คิดว่าการที่กินพระเอก 
จะทำให้เค้าได้พลังเช่นกัน  และอีกทั้งการมี Sex กับมนุษย์ต่างดาว นี้คือ การเชื่อแบบผิดๆ  ที่พบเห็นมากมาย
(ประเทศไทยเราเนี่ยแหละ  ไม่ต้องไปมองที่ไหน)  ที่มีความเชื่องมงาย จนไม่ทำอะไร  บางครั้งสร้างความเดือดร้อนไปสู่ผู้อื่น


ความโลภ



นี้คือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในหนัง องค์กรที่หน้าเป็นองค์กรทำเพื่อมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงองค์กรนี้คือการเอาเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวมาใช้อย่างไร้มนุษยธรรม   
ทั้งการแอบจับมนุษย์ต่างดาวมาผ่าตัด การเอามาทดลอง   และการที่จะชำแหละพระเอกมาเป็นต้นแบบ จนถึงขั้นลงข่าวให้พระเอกเสียหาย และการหวงตำแหน่งในองค์กร   
ที่ทำให้พ่อนางเอกกลายเป็นคนที่ชั่วร้ายสุดๆ

นี้คือ สิ่งที่คุณพบเห็นทั่วโลก มนุษย์ย่อมมีความโลภ และถ้าคุมความโลภไม่ได้ สุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เลวร้ายที่สุด การไม่คิดถึงคนอื่น   
ทำอะไรก็ได้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นี้คือความโลภ



และนี้คือสันดานมนุษย์

ถึงแม้ตอนหลัง พระเอกจะมาช่วยคริสโตเฟอร์ ตามจิตสำนึกของตนเอง คริสโตเฟอร์ก็สามรรถกลับบ้านตนเองได้
และสุดท้ายพระเอกก็ไม่สามรถที่จะกลับมาเป็นร่างมนุษย์ได้




แต่มีสิ่งนึงที่ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงาม

ความรัก

ที่ถึงแม้พระเอกเราจะโดนอะไรมามากมาย เค้าก็ยังคงรักเมียตนเองอย่างไม่เสื่อมคลาย จนนาทีสุดท้ายของหนัง เค้ายังคงห่วงใยภรรยาตนเอง
ทั้งที่เค้าอาจจะไม่มีวันกลับไปหาภรรยาตัวเองได้อีกตลอดไป










จบการสปอย



สรุป : นี้คือหนังที่ผมขอชวนให้ทุกๆท่านดู คอหนังไซไฟ หรือชอบมนุษย์ต่างดาว ยิ่งต้องดูแบบสุดๆ มันเป็นหนังที่มันส์แล้ว   
มันยังถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างที่ทุกๆท่านอาจจะอึ้งเลยทีเดียว

เกรด S ไม่ต้องสงสัย




โลกยังคงมีที่ว่างพอสำหรับพวกเขา...แต่หัวใจเราต่างหากที่มันเต็มเกินไป
และถูกปิดล็อคไว้อย่างแน่นหนาเพียงเพราะว่าอีกคน "ไม่เหมือนเรา"


http://www.zone-it.com/111617
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
District 9 เมื่ออนุษย์มีความเป็นคนมากกว่ามนุษย์
 
 
เมื่อวันอาทิตย์โดดงานไปดูหนังเรื่องนี้มา
 
District 9
 
ไอเดียของหนังน่าสนใจมาก คือ การที่เอเลี่ยนอพยพมาอยู่ที่โลก แล้วทางการก็จัดสรรพื้นที่ให้พวกมันอยู่เป็นค่ายอพยพซะเลย
แล้วไอ้พวกกุ้งเหล่านี้ก็ทำตัวเลวร้ายมาก กลายเป็นสลัมเอเลี่ยน
(อ่า...ไม่ว่าที่ไหนๆในจักรวาล ถ้าให้สิ่งมีชีวิตมารวมตัวกันแบบขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค พวกมันก็จะกลายเป็นนักเลงมาเฟียกันได้ง่ายๆเลยแฮะ... -*- )
หลังจากวันที่ยานลงมาลอยตัวเหนือพื้นโลกได้ 20 ปี ทางMNU (ไม่มั่นใจว่าย่อมาจากอะไร ฟังไม่ทัน) หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องกุ้งพวกนี้ก็ต้องย้ายค่ายอพยพของพวกกุ้งไปอยู่ไกลๆจากแหล่งชุมชน
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อพระเอกของเรื่อง วิคัส เป็นหัวหน้าหน่วยเข้าไปขอลายเซ็นยินยอมอพยพของพวกเอเลี่ยน หมอนั่นดันไปโดนของเหลวอะไรบางอย่างฉีดใส่หน้า แล้วเริ่มเกิดอาการติดเชื้อ...
ตอนเริ่มของหนังทำเหมือนสารคดีอะไรบางอย่าง มีตัดภาพจากกล้อง (ภาพแฮนเฮลด์ ปวดลูกกะตาเล็กน้อย) กับภาพสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องต่างๆที่มานั่งพูดถึงเรื่องนี้
ให้ความรู้สึกคล้าย Cloverfeild เลย แต่เรื่องนี้ตอนต้นของหนังจะไม่น่าเบื่อเท่า Cloverfeild
คือ มีการพยายามบรรยายเรื่องในช่วง 20 ปีก่อนหน้าจะมีการเริ่มอพยพ ทำให้มีเรื่องให้ติดตาม ไม่เหมือน Cloverfeild ที่เป็นปาร์ตี้ไม่มีสาระใดๆ แค่ให้เห็นว่าพระเอกนางเอกทะเลาะกันเท่านั้น
แต่ขอเตือนว่า อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนนะ
เพราะต่อจากนั้นจะ...บีบหัวใจมาก...
 
 
 
หนังสร้างภาพ วิคัส ในตอนแรก เป็นคนที่ท่าทางโง่ๆไงไม่รู้
เหมือนคนที่ไม่มีฝีมือ แต่ได้รับเลือกเพราะพ่อตาเป็น รมว.กลาโหม หรืออะไรเนี่ยแหล่ะ
ดูท่าทางเงอะๆงะๆไงไม่รู้ เหมือนไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่
แต่ก็ดูเป็นคนซื่อนิดๆ ไม่มีพิษภัย
แต่พอได้ตำแหน่งยิ่งใหญ่ที่คนทั่วโลกเฝ้าจับตาดู ความเครียดจากงานที่ต้องเข้าไปคุยกับพวกกุ้งที่ดูท่าทางไร้อารยธรรมสิ้นดี ทำให้เขาระเบิดอารมณ์เป็นบางครั้ง
ยิ่งทำให้คนดูไม่ชอบขี้หน้าอีตานี่เข้าไปใหญ่...
 
แต่จุดเปลี่ยนของลักษณะนิสัยของ วิคัส อยู่ที่ พอเขาโดนของเหลวฉีดเขาหน้า แล้วเริ่มมีอาการติดเชื้อ จนมือซ้ายกลายเป็นมือเอเลี่ยน...และทำท่าจะลุกลามต่อ...
ทหารมาจับตัวเขาไปทำการทดลองที่โหดร้าย...เหมือนว่ากำลังทดลองกับสัตว์ยังไงยังงั้น...
พ่อตาก็ไม่สนใจจะช่วย คิดแต่ว่าจะทำยังไงให้เป็นประโยชน์ต่อกองทัพมากที่สุด
ถึงจุดนี้ทำให้ วิคัส ไม่ยอมใช้ปืนเอเลี่ยนยิง เอเลี่ยนตัวหนึ่งที่ถูกจับมาทดลอง
วิคัส ไม่ยอมยิงกุ้งตนนั้น เป็นเพราะจิตสำนึกและความรู้สึกสงสาร เหมือนเห็นกุ้งตัวนั้นเป็นตัวเอง...ไม่มีความผิด แต่กลับถูกจับมาทดลอง และฆ่าทิ้ง...
ถึงตรงนี้ ที่ วิคัส ตะโกนออกมาว่าอย่ายิงกุ้งตัวนั้น
...คนดูก็เทใจเชียร์ วิคัส ไปแล้ว...
อย่างน้อยก็เราคนนึงล่ะ...
 
 
 
วิคัส หนีออกมาจากห้องทดลองได้ แล้วหนีไปอยู่ในเขต 9 ที่ไม่มีใครเข้าไปตาม
เขาพบเอเลี่ยนตนนึง ชื่อ คริสโตเฟอร์ ชื่อยังกะคนเลยล่ะ
ปรากฎว่าของเหลวที่เขายึดไปตรวจสอบ(ไอ้ที่มันพ่นใส่หน้าเขานั่นแหล่) เป็นเชื้อเพลิงของยานลูกที่เขากับลูก(เอเลี่ยนเด็ก น่ารักเชียว หมอนี่เก่งมาก) เพื่อกลับไปยานแม่ที่ลอยเท้งเต้งไม่เคลื่อนไหวด้านบน เพื่อจะกลับดาวตนเอง...
แถมเอเลี่ยนคริสยังบอกว่าสามารถแก้ไขสภาพที่กำลังจะกลายพันธุ์ของ วิคัส ได้
ทำให้ วิคัส และ เอเลี่ยนตนนั้นต้องบุกไปสำนักงานใหญ่ MNU เพื่อไปชิงกระบอกเชื้อเพลิงกลับมา
 
หนังบีบหัวใจมาก ความพยายามที่จะรอดชีวิตและกลับไปเป็นมนุษย์เช่นเดิมของ วิคัส
และความพยายามจะกลับบ้านของเอเลี่ยน 2 พ่อลูก
เป็นความพยายามที่ดูเหมือนจะไปทางเดียวกัน แต่จริงๆแล้วกลับมีเส้นที่บิดเบี้ยวและซ้อนทับกันอยู่
 
 
 
เมื่อบุกเข้าไปในห้องทดลอง เอเลี่ยนคริสได้เห็นว่ามนุษย์โลกทำการทดลองที่โหดร้ายต่อเอเลี่ยนอย่างพวกเขายังไง จากศพสภาพน่ากลัวที่นอนเรียงรายอยู่ในห้องทดลอง...
ทำให้คริสโตเฟอร์ต้องการที่จะกลับไปดาวของตนเองให้เร็วที่สุด เพื่อกลับมารับเอเลี่ยนที่เหลือทั้งหมด ก่อนจะถูกทรมานจนตายเช่นนี้
แต่การจะรีบกลับดาวตนเอง หมายความว่าจะต้องทิ้ง วิคัส ให้กลายเป็นเอเลี่ยนอยู่ที่พื้นโลกไปก่อน
เพราะการจะแก้ไขการกลายพันธุ์ของ วิคัส ใช้เวลาถึง 3 ปี ซึ่งนานเกินไปสำหรับคริสที่ต้องการจะช่วยพวกพ้อง
 
จุดนี้เองที่ทำให้ วิคัส อับจนหนทาง เมื่อคริสยืนยันจะกลับดาวก่อน วิคัส จึงทรยศคริส ด้วยการขโมยยานบินขึ้นไปพร้อมลูกคริส 2 คน
แต่ยานโดนขีปนาวุธของกองทัพยิงร่วงซะก่อน
 
ณ ขณะที่ยานร่วงลงสู่พื้นโลก คริสโตเฟอร์มองดูภาพนั้นอย่างสิ้นหวัง...
...บีบหัวใจสุดๆเลยอ่ะ...
เขาแค่อยากกลับบ้าน ลูกของเขาก็แค่อยากเห็นดาวบ้านเกิด วิคัสเองก็แค่อยากกลับไปหาภรรยา แต่สิ่งเหล่านี้โดนความละโมภของเหล่าคนในกองทัพจับกลบเสียสนิท เพียงเพื่ออำนาจและลาภยศ
หนังเรื่องนี้เสียดสีกองทัพและรัฐบาล แม้จะโดนวิจารณ์ว่าเสียดสีไม่ถึงจุด ยังไม่มากพอ แต่สำหรับเรา เราถือว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ได้ทำหนังสงครามนี่หว่า ทิ้งไว้ให้คนดูคิดตามก็ได้
 
หลังจากนั้นคนที่มาทำให้เกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ก็คือเหล่ามาเฟียที่คุมถิ่นเขต 9 อยู่
พวกมันต้องการมือของ วิคัส ที่สามารถใช้อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพของเอเลี่ยนได้ (มนุษย์โลกใช้ไม่ได้) แต่นั่นแหล่ะ ทำให้วิคัสได้อาวุธเป็นหุ้นรบ ไล่ฆ่าเจ้าพวกมาเฟียแล้วพยายามวิ่งกลับไปที่ยาน
เจ้าตัวลูกของคริสโตเฟอร์(จำชื่อมันไม่ได้)ก็ฉลาดนัก ซ่อมยานได้ด้วย!
แต่ระหว่างที่ วิคัส วิ่งกลับไปที่ยาน เห็นพวกทหารอสวุธครบมือจับตัวคริสโตเฟอร์อยู่
วิคัสจึงกลับไปช่วยคริสโตเฟอร์...
และสุดท้ายต้องเสียสละตนเองถ่วงเวลาทหารเพื่อให้คริสโตเฟอร์วิ่งไปที่ยาน...
 
คริสโตเฟอร์หันกลับมาหาวิคัส กล่าวคำสัญญา...
"อีก 3 ปีชั้นจะกลับมาช่วยนาย เพื่อน ชั้นสัญญา"
ในแววตาของคริสที่มองวิคัส มีทั้งคำขอบคุณและเสียใจ
ดูเป็น"คน"ยิ่งกว่าแววตาของเหล่าทหารที่ไล่ฆ่าพวกเอเลี่ยน หรือคนใหญ่คนโตของกองทัพที่สั่งทดลองผ่าคนเป็นๆหน้าตาเฉย ยิ่งกว่าพวกมาเฟียที่จะตัดแขนวิคัสเป็นๆ...
ส่วนวิคัสนั้น...เขาเลือกที่จะ"เชื่อใจ"เอเลี่ยนตนนี้ หลังจากที่ปฏิเสธคำสัญญานี้ไปแล้วก่อนหน้านั้น...
แน่นอนว่าเขาจะต้องสู้กับความต้องการที่จะกลับเป็นมนุษย์และกลับไปอยู่กับภรรยาอย่างสุดชีวิต...แต่กระนั้น...เขาก็ยอม...
ยอมเสียสละเพื่อให้เพื่อนต่างสายพันธุ์ที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ และจะกลับมาช่วยเขาได้ทันหรือเปล่า...
ช่วยให้เพื่อนคนนั้นได้กลับบ้าน...
 
 
 
วิคัสที่ล้มลงกับพื้น และ คริสโตเฟอร์กับลูกที่นั่งยานลูกบินกลับไปสู่ยานแม่...เป็นฉากที่บีบคั้นอารมณ์ดีมาก...
ไม่เคยดูหนังแล้วอยากให้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งขนาดนี้มาก่อน...
คนที่ดูหนังเรื่องนี้ เห็นความพยายามของพระเอก ที่อยู่ท่ามกลางศัตรูมากมาย ทั้งมนุษย์โลกและเอเลี่ยน เห็นความสิ้นหวังที่โหยหาจะกลับบ้านของคริสโตเฟอร์
ไม่ว่าใครก็อยากให้ความปรารถนาทั้ง 2 เป็นจริงทั้งนั้น...
 
หนังจบลงด้วยภาพ กุ้งตัวหนึ่งพยายามทำกระป๋องน้ำอัดลมให้เป็นดอกไม้ ซึ่งดอกไม้นั่นไปวางอยู่หน้าบ้านวิคัส และภรรยาของวิคัสเชื่อว่าเป็นเขา...
วิคัสกลายเป็นเอเลี่ยนไปแล้ว...แต่เขาก็ยังคงรักภรรยาของเขา และนั่นสื่อให้เห็นว่าเขายังรอคอยคริสโตเฟอร์อยู่ที่เขตอพยพเขตใหม่
และภรรยาของเขาก็เชื่อและรอคอยเขาอยู่เช่นกัน...
 
 
 
ปัญหาก็คือ...หากหนังมีภาคต่อ นั่นหมายความว่าคริสโตเฟอร์ต้องกลับมา
แต่ในส่วนตัว เราว่าคงไม่มีต่อ และหากจบลงแบบนี้ อาจเป็นไปได้ว่าคริสโตเฟอร์จะไม่กลับมา...
"ความสิ้นหวัง ใน ความหวัง" นั่นคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้สื่อออกมาทั้งเรื่อง
สิ่งที่วิคัสต่อสู้มาตลอด ดูเหมือนจะมีความหวัง แต่ที่จริงไร้ความหวัง
ดังนั้นเราจึงคิดว่า คริสโตเฟอร์อาจจะไม่กลับมาก็ได้
ไม่รู้อ่ะ มีความรู้สึกอย่างนั้น...ตอนที่เห็นคริสโตเฟอร์นั่งเหม่อบนยานลูกที่กำลังบินขึ้นไปยังยานแม่
แล้วรู้สึกว่า "ความเสียใจ" ในแววตาของคริส มีมากกว่า "ความดีใจ" ที่จะได้กลับบ้าน....
 
 
เออ...หนังเรื่องนี้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ไปดูนะ
แต่ทำไมโรงมันเต็มไปด้วยเด็ก 10-11 ขวบเต็มไปหมดเลยว้า!!!!!!!!!!!!!!!
พนักงานไม่ดูเลยนี่หว่า!!

http://nanny-b.exteen.com/20090922/district-9
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
District 9 หนังมนุษย์ต่างดาวจาก ผกก. แอฟริกาใต้ ว่าด้วยการเหยียดชาติพันธุ์
 
ภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่เรื่องใหม่ ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวการเหยียดชาติพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เช่นกัน แต่ในคราวนี้เป็นผลงานกำกับของผู้ที่เคยสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองโจฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้ พื้นที่ซึ่งเคยมีความขัดแย้งจากนโยบายกีดกั้นสีผิวมาก่อน
 
 
 

ภาพโปสเตอร์รณรงค์จากเว็บไซต์ MNU Spread Lies
ซึ่งเป็นเว็บไซต์โปรโมทภาพยนตร์ District 9 ด้วยกลวิธียั่วล้อตัวเอง
ข้อความบนโปสเตอร์ระบุว่า “สนับสนุนสิทธิอมนุษยชน ทุกชีวิตสมควรได้รับความเท่าเทียม

มีเสียงร่ำลือกันอย่างตื่นเต้นในฮอลลิวูดเกี่ยวกับภาพยนตร์ไซไฟเรื่องใหม่ล่าสุดจากผู้กำกับ ชาวแอฟริกาที่ชื่อ นีลล์ บลอมแคมป์ที่ชื่อ "District 9" หรือ "ดิสทริคท์ ไนน์" ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่ตกมาอยู่บนโลก และถูกแบ่งแยกพื้นที่ออกจากมนุษย์ให้อยู่แต่ในเขตสลัมของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก
 
ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ระทึกขวัญนำเสนอการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์ต่างดาวผู้ลี้ภัยจากดาวของตนเองมาตั้งรกรากยังโลก ซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์โลกผู้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขา
 
"ดิสทริคท์ ไนน์" เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในฮอลลิวูดของผู้กำกับบลอมแคมป์ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากปีเตอร์ แจกสัน ผู้กำกับชื่อดังจากงานรางวัลออสการ์อย่าง "เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง" มาเป็นผู้อำนวยการสร้าง
 
สำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่าภาพยนตร์เรื่อง "ดิสทริคท์ ไนน์" ใช้ฉากเป็นโลกอนาคตในจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งเนื้อเรื่องของภาพยนตร์มีรากฐานมาจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในแอฟริกาใต้ ที่เกิดเหตุความไม่สงบจากลัทธิแบ่งแยกสีผิวและการต่อต้านผู้ลี้ภัย
 
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับชาวแอฟริกาใต้ผู้นี้บอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นหนังการเมือง บลอมแคมป์กล่าวในการแถลงข่าวที่ลอส แองเจลลิส ว่าเขาพยายามระวังไม่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นการเมืองมากเกินไป เพราะกลัวคนดูจะเหนื่อยหน่ายกับมัน
 
"แต่ผมรู้ดีว่า ผมต้องการให้มีแก่นของความเป็นแอฟริกาใต้ถูกนำเสนอไปพร้อมกับเรื่องราวการแบ่งแยกและการเหยียดชาติพันธุ์ที่ตามมา เพราะว่ามันเป็นสภาพแวดล้อมที่ผมเติบโตมา" นีลล์ บลอมแคมป์ กล่าว "ดังนั้น ภาพยนตร์จึงมีความสมดุลระหว่างเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติที่คล้ายคลึงกัน และเรื่องรัฐบาลผิวขาวกับการกดขี่ของพวกเขาที่คล้ายคลึงกันด้วย"
 
มีการวิจารณ์ภาพยนตร์ก่อนกำหนดเข้าฉายในโรง (ต่างประเทศ) วันที่ 14 ส.ค. นี้ โดยเหล่านักวิจารณ์ในเว็บไซต์ร็อทเทนโทเมโทส์* (www.rottentomatoes.com) ต่างให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้เต็ม 100%
 
นักวิจารณ์จากเว็บไซต์ฮอลลิวูดริพอร์ทเตอร์แสดงความชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ซึ่งมันจะตรึงคุณไว้ทันทีและไม่ยอมให้คุณไปไหนจนกว่าจะถึงช็อทสุดท้าย"
 
ตัวละครหลักของเรื่องคือ วิกัส แวน เดอ เมอเว ที่แสดงโดยชาร์ลโต คอปลีย์ นักแสดงชาวแอฟริกาใต้ ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ซึ่งเขาพยายามจะสืบค้นเรื่องราวความลับของอาวุธจากมนุษย์ต่างดาว ที่จะสามารถปลดล็อกได้โดยอาศัยรหัสดีเอ็นเอของมนุษย์ต่างดาวเท่านั้น
 
และเมื่อวิกัสติดเชื้อไวรัสของมนุษย์ต่างดาวที่เริ่มเปลี่ยนแปลงรหัสดีเอ็นเอมนุษย์โลกของเขา จากการเป็นผู้ล่าก็กลายเป็นผู้ถูกล่า โดยเขาถูกบังคับให้ต้องลี้ภัยร่วมไปกับเหล่ามนุษย์ต่างดาวในเขตสลัม ดิสทริคท์ ไนน์ ที่ดูคล้ายเขตโซเวโตในโลกจริง (อ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ โจฮานเนสเบิร์ก, แอฟริกาใต้ ประชากรศาสตร์ชาติพันธุ์ในโลกจริง ด้านล่าง)
 
ในเรื่องสถานที่ถ่ายทำ บลอมแคมป์ ให้ความเห็นว่า โจฮันเนสเบิร์ก เป็นสถานที่ถ่ายทำที่เหมาะสมและนึกไม่ออกว่าจะมีที่อื่นที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้ ซึ่งผู้กำกับชาวแอฟริกาใต้ให้เหตุผลว่าเมืองนี้มีองค์ประกอบฉากที่ต้องการเป็นจำนวนมากเช่น ดินโคลน รั้วลวดหนาม พวกวัชพืช "ผมคิดว่าคุณต้องการให้มันใกล้ความจริงในระดับนี้ รวมถึงระดับของมลภาวะและความสมจริงด้วย"
 
แต่เดิมแล้วนีลล์ บลอมแคมป์ เดินทางมายังนิวซีแลนด์เพื่อร่วมงานกับผู้กำกับปีเตอร์ แจ็กสัน ในโปรเจกท์ภาพยนตร์พร้อมยักษ์จากเกมส์ของเครื่อง Xbox ที่ชื่อ Halo ซึ่งต่อมาโครงการณ์ภาพยนตร์จากวิดีโอเกมส์เรื่องนี้ก็ถูกพับไป แต่จากการที่ปีเตอร์ แจ็กสัน เกิดประทับใจกับเรื่อง "อะไลว์ อิน โจเบิร์ก" (Alive in Joburg) หนังสั้นปี 2005 ฝีมือของบลอมแคมป์เข้า ทำให้ต่อมาพวกเขาสร้าง "ดิสทริคท์ ไนน์" โดยอาศัยแนวคิดดั้งเดิมจาก "อะไลว์ อิน โจเบิร์ก"
 
"ในตอนนั้นผมเตรียมตัวกลับไปที่แวนคูเวอร์ แต่แล้วเขา (ปีเตอร์ แจ็กสัน) และฟราน วัสซ์ ก็บอกว่า “ทำไมคุณไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้วลองทำภาพยนตร์เรื่องอื่นดูล่ะ ลองใช้แรงกระตุ้นที่คุณเคยใช้สร้าง Halo มาเริ่มต้นทำอะไรใหม่ดูสิ' ซึ่งมันดูเป็นไอเดียที่ดีสำหรับผม ราวกับพวกเขาอนุญาตให้ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้เกิดขึ้นมา ซึ่งมันเจ๋งมากในความเห็นผม"
 
 
เรื่องย่อของ ดิซทริคท์ ไนน์ จากเว็บไซต์ collider.com
เนิ่นนานเกินกว่า 20 ปีมาแล้ว มนุษย์ต่างดาวได้ติดต่อมายังโลกเป็นครั้งแรก มนุษย์โลกจึงเตรียมตัวกับการถูกโจมตีในฐานะศัตรู หรือไม่ก็คาดว่าจะได้เจอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอันยิ่งใหญ่ แต่แทนที่จะได้พบกับทั้งสองสิ่งที่กล่าวมา กลับได้พบว่าเหล่ามนุษย์ต่างดาวอพยพมายังโลกในฐานะผู้ลี้ภัย ผู้เหลือรอดกลุ่มสุดท้ายจากดาวเดิมของพวกเขา ชาวต่างดาวพากันสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวในเขต ดิสทริคท์ ไนน์ ของประเทศอเมริกาใต้ ขระที่ประเทศต่างๆ ในโลกยังคงถกเถียงกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับมนุษย์ต่างดาวผู้ลี้ภัยนี้ดี
 
มาจนถึงปัจจุบัน ความอดทนต่อสถานการณ์มนุษย์ต่างดาวเริ่มหมดลง แผนการควบคุมมนุษย์ต่างดาวได้รับการอนุมัติโดยมัลติ-เนชั่นแนล ยูไนเต็ต (Multi-National United หรือ MNU) ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่สนใจในสวัสดิการของมนุษย์ต่างดาว แล้วพวกเขาก็จะได้รับกำไรอย่างมหาศาลหากพวกเขาทำให้อาวุธของมนุษย์ต่างดาวทำงานได้ ซึ่งจนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการทำงานของอาวุธต้องอาศัยรหัสดีเอ็นเอของมนุษย์ต่างดาว
 
ความตึงเครียดระหว่างชาวต่างดาวกับชาวโลกดำเนินมาจนถึงจุดสำคัญ เมื่อวิกัส แวน เดอ เมอเว (ชาร์ลโต คอปลีย์) พนักงานจากบริษัท MNU ถูกไวรัสที่เปลี่ยนดีเอ็นเอของเขาให้กลายเป็นของมนุษย์ต่างดาว วิกัสกลายเป็นคนที่ถูกตามล่ามากที่สุดและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในเวลาเดียวกันเนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่จะไขความลับของเทคโนโลยีจากต่างดาวได้ การที่เขาต้องระหกระเหินและไร้ญาติขาดมิตรเช่นนี้ ทำให้ที่เดียวที่เหลืออยู่เพื่อให้เขาได้หลบซ่อนพักพิง คือที่ ดิสทริคท์ ไนน์
 
 
อะไลว์ อิน โจเบิร์ก รากฐานและแรงบันดาลใจของ ดิสทริกซ์ ไนน์
อะไลว์ อิน โจเบิร์ก เป็นภาพยนตร์ขนาดสั้นแนววิทยาศาสตร์ของนีลล์ บลอมแคมป์ ออกฉายในปี 2005 โดย สปาย ฟิลม์ ภาพยนตร์มีความยาวประมาณ 6 นาที ใช้สถานที่ถ่ายทำคือเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ของประเทศแอฟริกาใต้ เนื้อหาของภาพยนตร์มุ่งสำรวจเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ ขณะเดียวกันก็มีการใช้เทคนิคภาพ (visual effect) และเล่าเรื่องแบบสารคดีจำลอง
 
เรื่องนี้พูดถึงเมืองโจฮันเนสเบิร์กในปี 1990 ซึ่งกลายเป็นแหล่งอพยพลี้ภัยสำหรับชาวต่างดาว ที่มียานอวกาศขนาดใหญ่ (ความยาวราวหนึ่งกิโลเมตร) ลอยอยู่เหนือเมือง เมื่อมนุษย์ต่างดาวเข้ามาในตอนแรก ชาวโลกที่ตื่นตะลึงกับ "ชุดชีวภาพ" ของชาวต่างดาวก็อ้าแขนต้อนรับพวกเขา อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาชาวต่างดาวพากันย้ายเข้ามาในพื้นที่อื่นๆ ของเมือง และบางส่วนก็ก่ออาชญากรรมเพื่อเอาตัวรอด และบางครั้งก็ปะทะกับตำรวจ ภาพยนตร์ดำเนินต่อไปภายใต้การนำเสนอแบบสารคดี มีการสัมภาษณ์และภาพเคลื่อนไหวที่ถ่ายจากกล้องถ่ายวิดิโอ เน้นไปที่ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างชาวเมืองและผู้อพยพ โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนที่ยานอวกาศเริ่มมาแย่งการใช้กระแสไฟฟ้าและทรัพยากรอื่นๆ จากเมือง
 
จากการ "สัมภาษณ์" มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์ นำเสนอว่ามนุษย์ต่างดาวที่หนีมาบนโลกนั้นเคยเป็นแรงงานทาสที่ถูกบังคับให้อยู่ในที่ที่คุณภาพชีวิตแย่ ซึ่งในช่วงปี 1990 กฏการแบ่งแยกเชื้อชาติ (Apartheid) ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ ทำให้ชาวต่างดาวต้องไปอยู่รวมกับกลุ่มคนผิวสีซึ่งถูกกดขี่อยู่ก่อนแล้ว ทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งกับคนผิวขาวและคนเชื้อชาติอื่น
 
 

ภาพเมืองโซเวโต จาก BBC ซึ่งบรรยายภาพว่าบุคคลสำคัญผู้ที่เคยต่อสู้กับการแบ่งแยกสีผิว
อย่าง เนลสัน แมนเดลา และหัวหน้าบาทหลวง เดสมอนด์ ตูตู ก็เคยอาศัยอยู่ในเขตนี้ด้วย
(BBC)


โจฮันเนสเบิร์ก, แอฟริกาใต้ ประชากรศาสตร์ชาติพันธุ์ในโลกจริง
ทางประชากรศาสตร์ ประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงมาก โดยจากข้อมูลการสำรวจปี 2007 พบว่ามีชาวผิวสีอยู่ราวร้อยละ 79.7 ซึ่งประกอบด้วยเชื้อชาติย่อย ๆ อื่น ๆ อีกหลายเชื้อชาติ รวมถึงผู้ที่อพยพจากส่วนอื่นของทวีปแอฟริกาด้วย ขณะที่ชาวผิวขาวมีอยู่ร้อยละ 9.1 (หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ สำรวจในปีเดียวกันระบุว่ามีร้อยละ 11)
 
และจากการสำรวจในปี 2001 พบว่ามีชาวผิวสีโดยรวมร้อยละ 22 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล ขณะที่ประชากรอายุมากกว่า 20 ปี อีกร้อยละ 23.3 ไม่ได้รับการศึกษาเลย อัตราการว่างงานของชาวผิวสีอายุ 15-65 ปี อยู่ที่ร้อยละ 28.1
 
ขณะที่ชาวผิวขาวโดยรวมร้อยละ 70.7 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล ส่วนประชากรที่อายุมากกว่า 20 ปี แต่ไม่ได้รับการศึกษามีเพียงร้อยละ 1.4 และอัตราการว่างงานของคนผิวขาวอายุ 15-65 ก็อยู่ที่ร้อยละ 4.1 เท่านั้น
 
โจฮันเนสเบิร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ ติดอันดับหนึ่งใน 40 เมืองที่มีเขตตัวเมือง (Metropolitan area) ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของแอฟริกาใต้ โดยมีการค้าขายทองคำและเพชรเป็นจำนวนมาก
 
ในปี 1990 เมืองโจฮันเนสเบิร์กได้รวมเอาเขตโซเวโต (Soweto) ซึ่งเคยแยกออกจากตัวเมืองในปี 1970 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองอีกครั้ง ชื่อของโซเวโตย่อมาจาก “South-Western Township” หรือ “เขตชุมชนทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้” โดยเขตชุมชนริมตะเข็บเมืองนี้เกิดขึ้นจากการตั้งรกรากของคนงานเหมืองทองชาวแอฟริกันท้องถิ่น โดยกฏหมายการแบ่งแยกเชื้อชาติ (Apartheid) ทำให้เกิดการแยกเขตโซเวโตออกจากตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก
 
โดยในปี 1991 กฏหมายจำกัดบริเวณ (Group Area Act) ก็ถูกยกเลิกใช้ทำให้กลุ่มคนจนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวผิวสีที่เคยถูกห้ามก่อนหน้านี้ย้ายจากเขตรอบนอกอย่างชุมชนโซเวโตเข้ามาสู่ตัวเมือง รวมถึงผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากที่อพยพจากสงครามและความยากจนในทวีปแอฟริกาก็หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะเมืองโจฮันเนสเบิร์ก
 
สื่อและรัฐบาลมองว่าการอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากหลังยกเลิกกฏหมายจำกัดบริเวณเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมโทรมในเมืองโจฮันเนสเบิร์กรวมถึงเรื่องอาชญากรรม ทำให้มีการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดไว้ตามมุมถนนของเมือง
 
จากการสำรวจในปี 2001 พบว่าเมืองโจฮันเนสเบิร์กมีชาวแอฟริกันผิวสีร้อยละ 73 ขณะที่มีชาวผิวขาวร้อยละ 16 ชาวผิวสีอื่น ๆ ร้อยละ 6 และชาวเอเชียร้อยละ 4 โดยร้อยละ 37 ของประชากรทั้งหมดไม่มีงานทำ และในกลุ่มคนว่างงานดังกล่าวมีชาวผิวสีอยู่ถึงร้อยละ 91
 
ขณะที่เว็บไซต์การท่องเที่ยวของแอฟริกาใต้กล่าวถึงชุมชนโซเวโตไว้ว่า เป็นสถานที่ดูขัดแย้งกัน คือมีที่อยู่แบบเพิงกระท่อมติดกับอพาร์ทเมนต์หรูหรา มีกองขยะแต่ก็มีถนนที่ตัดเรียบ มีทั้งทุ่งสีเขียวและกระแสน้ำสีสนิม
 
ในเว็บไซต์เดียวกันยังได้กล่าวถึงประวัติของโซเวโตตั้งแต่ การเข้ามาตั้งรกรากของคนงานเหมืองชาวผิวสีในโซเวโต ตั้งแต่ช่วงปี 1904 การที่ชาวผิวสีถูกขับออกจากใจกลางเมืองมาอยู่ในชุมชนย่านนี้ ในปี 1950 รวมถึงปัญหาที่ประสบยาวนานของเขตนี้อย่างความไม่มั่นคงด้านที่พักอาศัย, ปัญหาชุมชนแออัด, โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ดี และอัตราการว่างงานสูง
 

  เชิงอรรถ
เว็บไซต์ร็อทเทนโทเมโทส์ หรือ "มะเขือเทศเน่า" เป็นเว็บไซต์ที่รวมการวิจารณ์และให้คะแนนจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ในหลายๆ สื่อ ซึ่งหากภาพยนตร์เรื่องใดได้รับคะแนนต่ำกว่าครึ่งหนึ่งหรือถูกวิจารณ์แบบเน้นในแง่ลบ (ในกรณีที่สื่อนั้นๆ ไม่มีการให้คะแนนภาพยนตร์) จะถือว่าได้รับคะแนนแบบ "มะเขือเทศเน่า" สำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับคะแนน 100% หมายความว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับคะแนนเป็น "มะเขือเทศเน่า" เลย

 
 
http://www.prachatai.com/journal/2009/08/25444
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...