รวบไอ้เสือปล้น-ฆ่าตัวสุดท้าย ระทม หอมดี จอมแหกคุกผู้พิชิตบางขวาง
[/size]
จากชีวิตเด็กบ้านนอกชาวกรุงเก่า จ.อยุทธยา มาสู่เส้นทางมิจฉาชีพ โดยเป็นโจรชิงทรัพย์ในย่านถนนเพชรบุรีใน กทม. ไปสู่การตัดสินใจปล้นโรงแรม และสุดท้ายก็เป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย
ชีวิตจึงต้องจบลงที่คุก แต่ด้วยความที่มีจิตใจต้องการอิสระภาพตลอดเวลา มันจึงเริ่มคิดหาวิธีการแหกคุก จนมันทำสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ใช้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่มันสามารถทำสำเร็จถึง 3ครั้ง ไม่เว้นแม้แต่บางขวาง
เรือนจำใหญ่ยักษ์ที่ไม่มีใครหน้าไหนทำสำเร็จมาก่อน ชื่อนี้มันตั้งให้ตัวเอง เนื่องจากความลำบากยากแค้นของชีวิต ในวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ระทม หอมดี จึงเริ่มดังสะท้านวงการตำรวจในฐานะ เสือตัวสุดท้ายที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด
เรื่องราวชีวิตของ นายสมชาย หรือเปี๊ยก ดารัสณีย์ ที่พ่อแม่เป็นผู้ตั้งให้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก เป็นเด็กน้อยชาว อ.บางไทร จ.อยุทธยา ซึ่งเป็นพี่คนโตของพี่น้อง 3คน ชีวิตในวัยเด็กของไอ้เปี๊ยกได้เข้าเรียนตามการศึกษาภาคบังคับ จนถึง ป4.และออกมาช่วยครอบครัวขายผลไม้ โดยไม่มีแววของจอมโจร แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
จนกระทั้งเข้าวัยแตกเนื้อหนุ่ม อายุได้ 19ปี ชีวิตของไอ้เปี๊ยกก็เริ่มพลิกผัน เข้าสู่ความเป็นอาชญากรอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมันตกหลุมรักสาวบ้านเดียวกันคนหนึ่งอยู่ แต่ดูท่าสาวจะไม่เล่นด้วย มันจึงตัดสินใจบุกเข้าฉุด หมายจะเผด็จศึกให้ได้แบบลูกทุ่ง แต่มันโชคร้ายสาวเจ้าสู้สุดฤทธิ์ แถมยังแหกปากร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เป็นเหตุให้มันถูกจับกุมข้อหาอนาจาร แถมข้อหาชิงทรัพย์อีกคดี ทำให้มัต้องเดินเข้าซังเตเป็นครั้งแรก เมื่อศาลตัดสินจำคุก นายสมชาย ดารัสณีย์ เป็นเวลา 2ปี แต่มันติดคุกอยู่ปีกว่าๆก็ได้รับอภัยโทษ ปล่อยตัวออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง
และวันเวลากว่า 1ปีที่มันต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆของคุก จ.อยุทธยา มันได้สั่งสมความชั่วจากโจรรุ่นพี่ไว้อย่างมากมาย แล้วมันก็ให้คำสัญญากับตัวมันไว้ว่า มันจะไม่ยอมเข้าไปใช้ชีวิตในคุกอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากพ้นคุกมาในวัย 21ปี ได้เดินทางมาอยู่ ในย่าน เพชรบุรี โดยไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักแม้แต่คนเดียว บางครั้งมันต้องอาศัยนอนตามป้ายรถเมล์และไม่มีข้าวจะยาไส้ เพราะมันไม่มีบัตรประชาชนไปสมัครงานจึงไม่มีคนกล้ารับเข้าทำงาน จนกระทั้งมาได้งานที่อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งในย่านนั้น ที่รับมันทำงานโดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชน โดยมันเริ่มใช้ชื่อ ระทม หอมดี เป็นครั้งแรก
เหมือนเป็นการประชดชีวิตที่ทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในวันเวลาที่ผ่านมา แต่ก็ทำอยู่แค่ปีกว่าๆก็ต้องตกงาน อีกครั้งเพราะอู่ปิดกิจการ
และระหว่างนั้นมันได้รู้จักและสนิทกับแม่ค้าสาวคนหนึ่งจนกลายเป็นความรัก ทั้งคู่จึงอยู่กินกันอย่างสามีภรรยา แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากไอ้เปี๊ยกยังไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง
และเมื่อเมียมันตั้งท้อง การตัดสินใจเริ่มออกก่อคดีอาชญากรรมจึงเริ่มเกิดขึ้น โดยมีปืนลูกซองสั้นแบบไทยประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า อีโบ๊ะ เป็นอาวุธคู่กาย จน กระทั้งมันตัดสินใจหาเพื่อนร่วมแก็ง เข้าปล้นโรงแรมอโศกได้เงินไปหลายหมื่นบาท ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ จนเป็นข่าวครึกโคมมากในสมัยนั้น
และหลังจากนั้นเพียงวันเดียว ขณะที่ไอ้เปี๊ยก และเพื่อนอีก 2คน เดินทางไปธุระย่านคลองตัน เห็นร้านขายของชำมีเพียงผู้หญิงอยู่ในร้านเพียง 3คน มันจึงบุกเข้าปล้นอย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อนได้เงินสดมาอีกกว่า 4หมื่นบาท
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์มันก็ถูกตำรวจจับกุมตัวได้ ขณะที่เดินอยู่ย่านเพชรบุรี ไม่ไกลจากโรงแรมที่มันเข้าปล้นมากนัก หลังจากถูกนำตัวขึ้นศาล ดำเนินคดี จนถุกตัดสินจำคุก 13ปี 7เดือน
แต่เนื่องจากมีข้อหามีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ 4000 บาท ที่ห้งขัง สน.มักกะสัน ก่อนเป็นเวลา 3เดือน
ขณะนั้นเมียรักของมันยังมาเยี่ยมพร้อมลูกในท้องวัย 3เดือน แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหายไป สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับไอ้ทมเป็นอย่างมาก
นักโทษชาย ระทม จึงเริ่มสังเกตุดูพฤติกรรมของตำรวจที่มีหน้าที่เฝ้าห้องขัง มันจึงหาใบเลื่อยโดยให้เพื่อนสอดใบเลื่อยไว้ในหลอดยาสีฟัน และมันก็เริ่มเลื่อยลูกกรงไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนทุกครั้งที่มีโอกาส
แต่ขณะที่มันยังทำไม่สำเร็จ มันก็ใช้หมากฝรั่งวับกับสีพิมพ์ลายนิ้วมือบ้าง เศษผงในห้องข้งบ้าง อัดรอยแยกของลูกกรงที่มันเลื่อยเอาไว้ ซึ่งสามารถพรางตาตำรวจได้เป็นอย่างดี
จนกระทั้ง มันใช้เวลาเพียง 4 วันงานก็สำเร็จ ที่เหลือคือรอโอกาสที่จะหนีออกไปสู่อิสระภาพ อย่างที่มันตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนติดคุกครั้งแรก
เที่ยงวันหนึ่ง ปลายเดือน ก.ค.2523 ไอ้ทม ดึงซี่ลูกกรงที่เลื่อยตัดไว้ เรียบร้อยแล้ว เดินออกมาจากห้องขังขณะที่ไม่มีตำรวจเฝ้า แล้วเดินออกจากโรงพักโดยเดินสวนกับตำรวจ หลายคนหนีออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย !! มันหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ย่านชานเมืองแถว ลำหิน-ลำผักชี โดยไม่กล้าเข้ามาในเมือง แม้กระทั้งมาหาลูกเมีย หลังจากเรื่องเงียบลง มันก็กลับไปหาแม่ และได้รู้ข่าวว่าเมียรักของมันเอาลูกสาวของมันมาให้เลี้ยง แล้วก็ไม่เคยย้อนกลับมาอีกเลย
ไอ้เปี๊ยกจึงเริ่มส่งเงินกลับไปเลี้ยงลูกอย่างสม่ำเสมอ และแอบกลับไปเยี่ยมลูกทุกครั้งที่มีโอกาสเหมือนผู้เป็นพ่อที่ปกติทั่วไป
โดยมันถลุงแร่เถือนหาเลี้ยงชีพ ในขณะเดียวกันมันก็เริ่มซื้อปืนขนาด .38 แล้วฝึกยิงนก ยิงกระป๋องไปเรื่อย จนมันเริ่มช่ำชองสามารถยิงปืนได้อย่างแม่นยำมาก แต่อาชีพช่างเหมืองแร่เริ่มไปไม่รอด มันจึงย้ายไปทำเหมืองพลอยที่ จ.จันทบุรี ความท้าทายมันมากกว่า แต่มันกลับไปถูกจับคดีพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ด้วยความไม่รอบคอบของตำรวจ ที่ไม่ได้รื้อประวัติอาชญากรอายัดตัวมันในข้อหาอุฉกรรจ์ที่ติดตัวอยู่ยาวเหยียด และมันก็สามารถสู้คดีหลุดรอดคุกออกมาได้อย่างน่าประหลาด !!
เสือทม กลับมายังกรุงเทพ เริ่มอาชีพรับเหมาต่อเติมบ้านเล็กๆน้อยๆ จนมาก่อคดียิงขี้เมาคนหนึ่งตายในเขตท้องที่ สน.บางยี่ขัน เมือเดือน มี.ค.2525 และในเดือนเดียวกันนี้ ยังไปก่อคดียิงเจ้าของโรงเลื่อย ที่มันไปติดต่อซื้อไม้ตายในเขต สน.สำราญราษฐร์ เนื่องจากเสี่ยโรงไม้พูดจาไม่เข้าหู และเหยื่อทั้งสองรายก็ถูกไอ้เสือทม ดับด้วยกระสุนเพียงคนละนัดเท่านั้น
แต่มัก็ถูกจับกุมในเวลาต่อมา จนประชาชนที่ได้รับข่าวก็คิดว่ามันจะต้องสิ้นชื่่อใช้ชีวิตอยู่ในคุกหัวโตแน่
ขณะที่ตำรวจส่งตัวมันไปสืบพยานที่ศาล จ.ร้อยเอ็ด มันกลับหนีออกมาจากห้องขังใต้ถุนศาลได้ทั้งๆที่มีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่ทั้งแขนและขา สร้างความมึนงงให้แก่เจ้าหน้าที่ศาลเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น เสือทม ออกอาละวาด ก่อคดีต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มีเงินมันจะกลับไป เยี่ยมลูกสาวที่โตขึ้นทุกวัน โดยมีโอกาสได้อยู่กับลูกเพียงครั้งละไม่เกิน 3วัน แล้วแต่สถานการณ์
ทุกครั้งที่ลูกถามว่า พ่อไปไหน มันก็จะคอยตอบว่าต้องไปค้าขายที่ต่างจังหวัด จึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก ซึ่งมันเป็นการโกหกคำโต ที่สร้างความอึดอัดให้กับตัวเองไม่น้อย
จนมันร่วมกับพวกอีก 8คน เข้าปล้นร้านทองเจี๋ยนเจี้ยเชียง ย่านสะพานใหม่ ถนนพหลโยธิน เมื่อเทียงวันที่ 14 เม.ย.2528 ขณะที่ร้านทองติดๆกัน ปิดร้านกันหมดเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์
มีต่อตอนแหกคุกบางขวาง