The Day The Earth Stood Still , โลกสวยด้วยมือเรา โลกเน่าด้วยมือคุณ
มะนาวต่างดุ๊ต บุก โลก (อีกแล้ว)ถ้าพูดถึงหนังมนุษย์ต่างดาว เราก็มักจะต้องนึกถึงความมันส์แนวๆ
ID4 เป็นอันดับแรก
แต่ ความจริงมีการบุกโลกอีกหลายครั้งที่ดีๆและมีความน่าสนใจมากกว่า หนังปลุกระดมความเป็นอเมริกันและชวนกันไปยิงยูเอฟโออย่าง ID4 อาทิเช่น
Mars Attack หนังมนุษย์ต่างดาวตลกร้ายของ ทิม เบอร์ตั้น ที่ผมชอบ เพราะนอกจากไอเดียดีแล้วยังมีฮา
Signs หนังมนุษย์ต่างดาวที่ทำหลายคนเซ็ง เพราะมาเหมือนเล่นซ่อนหา มาแบบผลุบๆโผล่ๆ แต่ผมก็ชอบมาก เพราะเป็นหนังมนุษย์ต่างดาวที่เน้นปรัชญา ศรัทธา มากไปกว่า แอคชั่น และ การกำกับความระทึกขวัญก็เยี่ยม
หรือปีก่อน
War of the worlds ที่สปีลเบิร์กให้ความสำคัญกับความเลวร้ายของมนุษย์ มากไปกว่าจะสนใจ มนุษย์ต่างดาว และทำให้ ฉากบุกโลกของเรื่องนี้ดูสมจริงเหลือเกิน
The Day The Earth Stood Still เป็นหนังสุดคลาสสิกปี 1951 ซึ่งต้นฉบับก็เป็น หนังมะนาวต่างดุ๊ตบุกโลกที่ไม่ได้เน้นระเบิดตูมตามแบบ ID4 เช่นกัน แต่ เป็นหนังแฝงปรัชญาสังคม และ สอดแทรกประเด็นเกี่ยวกับศาสนา
และปีนี้ Scott Derrickson ผกก.ฝีมือดีที่เคยแสดงฝีมือใน หนังดราม่าผีเข้า
The Exorcism of Emily Rose ก็ถือโอกาสรีเมคโดยเคารพต้นฉบับ เพียงปรับ บทเล็กๆน้อยๆ เช่น อาชีพของนางเอก , ลูกของนางเอก ฯลฯ และ แกนหลักปรับมาให้ทันสมัยมากกว่าสงครามเย็นที่หมดสิ้นไปก่อนแล้ว
ปรัชญาสาระก็คงคล้ายต้นฉบับ ที่มีสัญลักษณ์ซุกซ่อนให้สนุกตีความ เช่น เราสามารถมอง
มนุษย์ต่างดาว เป็นสัญลักษณ์ของ
พระเจ้า เพราะ เขามาในฐานะผู้สร้าง และ ทำลาย มีอำนาจยิ่งใหญ่ทั้งสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต และ ฟื้นชีวิตจากความตาย
ที่แตกต่างออกไป คือ เวอร์ชั่นใหม่ เน้นให้ความสำคัญไปที่ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นพิเศษ
คลาตู มนุษย์ต่างดาวสุดหล่อ มาเพื่อเป็นตัวแทนเพื่อที่จะเตือนมนุษย์โลกว่า โลกของท่านกำลังจะเน่า เรามาเพื่อปกป้องโลก แต่ ไม่ได้จะปกป้องคุณ
เพราะ มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เป็นต้นเหตุให้โลกเน่า และ จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่เหลือสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
ท่านคลาตูและพวกพ้องยอมรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ แถมมาถึง ยังเจอแต่ ความโหดร้ายของมนุษย์ จึงตัดสินใจที่จะนำสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ออกไปที่อื่น แล้วจัดการล้างโลกชั่วคราว ไปพร้อมๆกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหมือนตั้งต้น set โลกขึ้นใหม่ เพื่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆและดาวเคราะห์ดวงนี้
แต่ มนุษย์ไม่เคยใส่ใจ มนุษย์เข้าใจเสมอมาว่าตัวเองเป็นเจ้าของโลก เข้าใจเสมอมาว่าตัวเองใหญ่ที่สุด
และนี่เป็น ความเข้าใจผิดที่น่าประทับใจ ที่หนังโยนคำถามให้เราที่หลงละเมอเพ้อพกมานานว่า
แน่ใจแล้วหรือ ว่า มนุษย์ เป็นเจ้าของโลก
แน่ใจแล้วหรือ ว่า มนุษย์ สำคัญที่สุดในโลกใบนี้จริงๆ
ถ้านึกคำตอบไม่ได้ ให้ลองนึกถึงหนังเรื่อง
The Happening ที่เข้าฉายปีนี้ ที่เนื้อความในหนังนั้น ก็ส่งสัญญาณเตือนเราล่วงหน้าไปแล้วเช่นกัน
มนุษย์ หนอ มนุษย์มนุษย์ในหนัง ที่ คลาตูมาเห็น คือ ด้านที่น่ารังเกียจของมนุษย์นั่นคือ สัญชาติญาณของ
การทำลายล้างและความรุนแรงเช่น
พี่คลาตูมาดีๆ นั่งเครื่องมาเสียไกล ลงจากเครื่องเหนื่อยๆจะยื่นมือมาจับ เหล่าทหารกลับยื่นกระสุนใส่ร่างเขา
เขาไม่ทันพูดอะไร มนุษย์ก็แสดงสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ชิงทำลายเขาก่อน
เพราะคิดว่าอีกฝั่งมาเพื่อรุกรานโดยไม่ได้มีหลักฐานชวนให้คิด ส่อให้เห็นถึง รูปแบบความคิดในหัวคน ที่
ความรุนแรง ก่อน
สันติภาพ โดยอัตโนมัติ
มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองแน่และกล้าที่บุกไปรุกราน แท้ที่จริงภายในนั้น เต็มไปด้วย ความกลัว ความเห็นแก่ตัว และ ต้องการเอาตัวรอด โดยไม่สนสิ่งอื่นใด
ฉากสะใจที่สุด และก็เป็นฉากที่ชอบที่สุดในหนัง คือ ฉาก เจ้าหน้าที่ชั้นสูง สั่งปิดประตูไม่ให้ลูกน้องออกมา ตอนจะเอาสว่านไปเจาะหัวหุ่นกอร์ธ แล้ว กอร์ธจะอาละวาด ทำให้ลูกน้องถูกฆ่าในห้องกระจก ประมาณว่า เจ้าหน้าที่นายนี้ต้องการทำเพื่อส่วนรวม แต่ความจริงตัวเองนี่แหละกลัว และ ทำเพื่อตัวเอง
ฉากต่อมาเขาจึงโดนดัดหลังบ้าง เมื่อ กอร์ธ ออกจากห้องกระจกและจะออกไปนอกห้องบัญชาการ ทหารจึงเสียสละล็อกห้องบัญชาการนี้เสีย แต่ เจ้าหน้าที่คนเดิมนี้โวยวายให้เปิดประตู
แสดงให้เห็นชัดว่า ตอนแรกที่ทำเสมือนว่าจะปกป้องคนส่วนใหญ่ แท้จริงก็เป็นความเห็นแก่ตัว รักตัวกลัวตาย เพราะ ถ้าเพื่อส่วนรวมจริง จะร้องแรกแหกกระเชอไปทำไม เมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่ได้ออกจากห้อง
บุช VS. โอบาม่าทั้งๆที่ คลาตู บอกแต่แรกแล้วว่า ต้องการพูดกับผู้นำทั่วโลก แต่ รัฐมนตรีกลาโหมจากประเทศที่มั่นใจว่าตัวเองยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ก็ยังมั่นใจว่า
ข้านี่แหละคือตัวแทนมวลมนุษย์ และ ทุกๆแนวคิดในการรับมือ ล้วนแสดงความกร่างและบ้าสงครามเข้าเส้น
นี่ถ้าหนังเข้าฉายก่อนเลือกตั้งซักเล็กน้อย ต้องมีคนเดาว่า ผู้สร้างไม่ใช่ แฟนๆบุชเป็นแน่ เพราะ นโยบาย
ตูใหญ่ ตูรักสงคราม นี่มาในแนวบุชของแท้ ถึงแม้ในหนังจะไม่ให้เห็นหน้าประธานาธิบดี แต่ถ้าจินตนาการหน้าบุชเข้าไปในหนังก็เข้ากันได้อย่างเหมาะเหม็ง
ในขณะที่อีกฝั่งในหนัง ฝั่งคนดีที่พยายามจะต่อต้านสงคราม เน้นย้ำๆเหลือเกินกับคำว่า
Change ซึ่งตรงคอนเซ็ปท์ โอบาม่า ดีแท้ๆ
ความหลงตัวเอง คึกคะนองลำพองในอำนาจ อย่างที่เห็นจากกลุ่มผู้มีอำนาจในหนัง คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้มนุษย์ต่างดาวที่เฝ้าดูมานาน มั่นใจว่า โลกมีโอกาสเน่าเพราะมือของมนุษย์อย่างแน่นอน
The Day The Earth Stood Still เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ มีความน่าสนใจหลายประการ เช่น เลือกนักแสดงได้ดี เพราะ มี
เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ มีสง่าราศีมีฝีมือเหมาะกับบทนักวิทยาศาสตร์ ที่จะเรียกคนดูหนุ่มๆอย่างผมเข้าโรงอย่างไม่ลังเล มี
คีนู รีฟ กับ บทมนุษย์ต่างดาวที่ไม่รู้เจ้าตัวจะดีใจหรือไม่ที่ใครๆก็บอกว่า บทมนุษย์ต่างดาวไร้อารมณ์เหมาะสมกับเขาเป็นที่สุด แต่อย่างไรก็ได้คนดูสาวๆอีกเป็นแน่
หรือจะดูที่บทหนังก็น่าสนใจในประเด็น อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ทันสมัย เหมาะที่จะจัดเข้าหมวดหนัง กรีนพีซ ประจำปี อยู่ในกลุ่มเดียวกับ
Wall-E และ
The Happening ที่ หน้าหนัง ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นสารคดีตรงๆแบบ
An inconvenient truth ของ ลุงอัลกอร์
แง่มุมความเป็นคน หนังก็เล่นแง่มุมมนุษย์ที่มีสองด้านได้น่าติดตาม และ ความหวังที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ ก็ขึ้นกับว่า เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลง พลิกด้านความรัก ให้กับโลก เหมือนที่เรามีให้กับตัวเองและคนรอบข้างแล้วหรือยัง เพราะ ด้วย พลังแห่งรักนี้เอง ที่เป็นความหวัง และ เป็นสิ่งที่ทำให้ คลาตู พอจะฝากฝังโลกใบนี้ให้มนุษย์ต่อไปได้
การดัดแปลงให้ นางเอกมีลูกเลี้ยงผิวสี ที่ทำตัวเป็น เด็กเจ้าปัญหา เพื่อต้องการทดสอบ แม่เลี้ยงว่าจะรักเขาจริงหรือไม่ เพิ่มความซ้บซ้อนให้กับเนื้อหา เพื่อนำไปสู่ประเด็น ความรักที่แม่มีต่อลูก และ ความรักของพ่อที่ยังอยู่เพียงตัวพ่อเปลี่ยนรูปแบบไป อันทำให้ มนุษย์ต่างดาวเห็น ความหวังในตัวมนุษย์ ก็เป็นส่วนที่เข้าที
CG ของหนังก็ยอดเยี่ยม ความคิดดีทีเดียวสำหรับยานที่รูปร่างเป็นโลก กับ หุ่นยักษ์ที่ดูเคารพต้นฉบับและทันสมัย
เครื่องปรุงสำคัญสิ่งเดียวที่หนังขาดหายไป ในการทำให้ ไอเดียๆดี CG แจ่มข้างต้น คลุกเคล้าออกมากลายเป็นหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกที่น่าจดจำ คือ
ความสนุกเพราะ
อารมณ์ตอนดูหนังเรื่องนี้ เหมือนเพลงพี่เบิร์ดที่บอกว่า
กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง เพราะมันครึ่งๆกลาง ในส่วนดราม่าก็แค่เกือบๆจะซาบซึ้งเกือบๆจะอิน ในส่วนแอคชั่นไซไฟก็ทำได้แค่เกือบๆจะตื่นเต้นเกือบๆจะมันส์ ในส่วนของสาระก็เกือบๆเข้มข้นเกือบๆจะดี
เข้าใจว่าหนังไม่ใช่แอคชั่นไซไฟตูมตามแบบ ID4 แต่ จากเค้าโครงเรื่องทั้งหมด ถ้าผู้กำกับฝีมือฉมังพอ น่าจะทำให้หนังสนุกมากกว่านี้ได้ ไม่ออกมาเรื่อยๆเฉื่อยๆแบบนี้ เพราะ โลกจะแตกในหนัง อารมณ์มันยังไม่ชวนให้ตื่นตระหนกปริวิตกใดๆ แต่รู้สึกตื่นเต้นแค่ประมาณ ไฟไหม้สวนหลังบ้านเท่านั้นเอง
อีกเหตุผลหนึ่งคือ ตัวบทหนังเอง มีข้อดีตรงไอเดียและสาระที่จะนำเสนอ แต่ บทหนังดูขาดการขัดเกลา ทำให้ เวลาเล่าเรื่องบางจุดดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก
คิดเล่นๆในใจว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ได้
M. Night Shyamalanมากำกับ น่าจะเข้าทางผู้กำกับที่ชอบทำหน้าหนังหวือหวา เพื่อเคลือบฉาบปรัชญาที่ลึกซึ้ง หนังอาจจะออกมาน่าสนใจมากกว่านี้
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=15-12-2008&group=14&gblog=128The Day the Earth Stood Still - international launch trailer