แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน

<< < (8/8)

ฐิตา:




สัจจะในตัวเอง

ธรรมชาติแท้หรือจิตที่แท้นั้น มิใช่สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นภาวะในอุดมคติ
แต่นั่นคือตัวความจริงเองทีเดียว คำว่า " จิต "
บางครั้งก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ธรรมชาติ " จิตแท้หรือธรรมชาติแท้
ก็คือความจริงอันเดียวกัน ที่เรียกชื่อแตกต่างกันออกไป
ในแง่ของวิชาความรู้แล้ว เราใช้คำว่าปัญญาญาณและคำว่า " จิต "

เมื่อต้องการพูดถึงสัจภาวะที่มีอยู่เป็นอยู่ในตัวเอง ข้อแตกต่างระหว่าง
ผู้รับรู้ ( กรรตุ ) กับสิ่งที่ถูกรับรู้ ( กรรม ) มิได้คงอยู่อีกต่อไป
นี่เป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดจึงใช้คำว่า " ธรรมชาติแท้ " และ " จิตแท้ "
แทนสัจภาวะ บางครั้งก็นำไปใช้แทนปัญญาญาณอันไร้การแบ่งแยก

ซึ่งสะท้อนภาพพจน์แห่งความเป็นจริงออกมาในตัวเอง
ความเข้าใจ ความรู้ เกี่ยวกับ
ตัวความจริงนี้แหละที่เซนเรียกว่า การมองลงสู่ธรรมชาติของตน



แนวความคิดทางฝ่ายมหายานนิกายอื่น ๆ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องตถาคต
และธยาน ( ฌาน ) ได้มาจากลังกาวตารสูตร
ความคิดเกี่ยวกับเรื่องจิตที่แท้ได้มาจากสุรังคมสูตร
ความคิดเกี่ยวกับคุณของธยาน ( ฌาน ) ได้มาจาก
มหาไวปุลยปูรณพุทธสูตร
ความคิดเกี่ยวกับความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันของ จักรวาลได้มาจาก
อวตังสกสูตร

ความคิดเกี่ยวกับสุญญตา ได้มาจากปรัชญาปารมิตาสูตร จิตแห่งเซนนั้น
เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์
ทฤษฎีทางพระพุทธศาสนา ที่เซนได้สังเคราะห์ขึ้น เป็นความคิด
ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ เหมือนกับพืชที่ดูดซึม
เอาอากาศและแสงแดดเข้าไปเพื่อคุณประโยชน์ของต้นพืช ฉะนั้น



จิตที่แท้นั้นมิได้เกิดขึ้นในขณะที่ตรัสรู้ ด้วยว่าไม่อาจสร้างขึ้น
หรือถูกทำลายลงได้ การตรัสรู้เป็นเพียงการเปิดเผยตัวออกมา
ให้ปรากฏ ทั้งนิพพานสภาวะหรือพุทธสภาวะ
ก็เช่นเดียวกับจิตที่แท้นี้ ใน มหาปรินิพพานสูตร ปรากฏถ้อยคำว่า

" ทั้งโดยสภาพและโดยเหตุ นิพพานย่อมเป็นสภาวธรรมแห่งการตรัสรู้
หรือความเป็นพุทธะ พุทธะมิได้ให้ กำเนิด แก่นิพพานนี่แหละจึงเรียกว่า นิพพาน
ที่เป็นไปโดยมิต้องมีเหตุมีเหตุมีปัจจัยเป็นเครื่องช่วย
ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้แห่งสรรพสัตว์นั้นเป็นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าสัตว์โลก
จะเกิดในภพใด จะมีรูปลักษณ์เช่นไร
สัตว์เหล่านั้นย่อมมี ธรรมชาติ แห่งการ ตรัสรู้ เช่นเดียวกันหมด "




ถ้าพิจารณาตามนี้จะเห็นได้ว่า ผู้ฝึกฝนไม่ควรจะรอการตรัสรู้ด้วยการถ่ายทอด
ปัญญาญาณที่มาจากข้างนอก ด้วยปัญญาญาณไม่อาจจะเข้าถึงได้
และจิตไม่อาจถ่ายทอดได้ ในมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรได้ยืนยันไว้ว่า
" ไม่มีการเข้าถึงด้วยไม่มีอะไรจะให้เข้าถึง "
ท่านยูเย็นโห อาจารย์เซนชาวเวียดนามในสมัยศตวรรษที่ ๑๒
ได้กล่าวกับศิษย์ของท่านว่า " จงอย่าคอยให้คนอื่นมาถ่ายทอดการตรัสรู้ให้ "




เช่นเดียวกัน ในสามัญโลกอันเป็นโลกแห่งปรากฏการณ์ต่าง ๆ เรามักจะ
น้อมเชื่อไปในทางที่ว่าโลกนี้เป็นมายา เป็นโลกที่แยกออกจากความเป็นจริง
และเรายังมักเชื่ออีกว่า ด้วยการปลีกตนออกจากโลกนี้
ก็จะทำให้เราถึงโลกแห่งจิตที่แท้จริงได้ ถ้าหากคิดเช่นนี้ก็นับว่าผิด ด้วยโลก
ที่มีการเกิดและการตาย โลกที่มีความว่า " คิดกันไม่ได้ " ปัญญาญาณ
ที่มิต้องใช้ความนึกคิดคือ สัจจะที่อยู่แยกต่างหากออกไปจากต้นมะนาว
และต้นหม่อน ท้องทะเลนั้นไม่ถือว่าสงบหรือมีคลื่นลม

ถ้าเราต้องการทะเลที่สงบราบคาบ ก็ไม่อาจได้มาโดยการไปบัญชาให้คลื่นลม
สงบลง แต่จะต้องรอให้ทะเลสงบลงเอง โลกแห่งสัจจะคือโลกของบรรดา
ต้นมะนาวและต้นหม่อนเหล่านั้นคือโลกแห่งแม่น้ำและขุนเขา ถ้าได้เห็นแล้ว
สัจจะอันเต็มเปี่ยมเที่ยงแท้ก็รวมอยู่ในนี้แหละ มิได้อยู่แยกออกไปเลย
ถ้าเรามองให้เห็นเสียแล้ว โลกนั้นก็ยังคงเป็น
โลกแห่งภูติผี โลกแห่งความนึกคิด การเกิดการตาย เป็นโลกมายาอยู่เช่นเดิม


ฐิตา:



โคมและแสงสว่าง

นิกายเซาทุงเซน ( โสโตเซน ในภาษาญี่ปุ่น ) ได้นำหลักการทั้งห้า
มาประยุกต์ใช้ในขณะนั่งสมาธิ หลักการเหล่านี้คือ

๑. การนั่งสมาธิโดยไม่ใช้อารมณ์ภาวนา เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
๒. การนั่งสมาธิกับการตรัสรู้ มิใช่สิ่งสองสิ่งที่แยกอยู่ต่างหากจากกัน
๓. บุคคลไม่ควรรอให้ถึงการตรัสรู้
๔. ไม่มีการตรัสรู้ให้ไปถึง
๕. ทั้งกายและจิตจะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียว



หลักการเหล่านี้มิได้ขัดแย้งกับการใช้กุงอันเป็นอุบายในนิกายลินจีเซน
( รินซายเซนในภาษาญี่ปุ่น ) เลย ตรงกันข้าม หลักการของเซาทุง
กลับช่วยให้ผู้ฝึกฝนในนิกายลินจี ไม่ไปมัวนั่งแบ่งแยกระหว่างจุดหมาย
และวิธีการ เพราะมีผู้ฝึกฝนเซนเป็นอันมากที่คิดว่าการนั่งสมาธิ
เป็นเครื่องนำไปสู่การตรัสรู้ ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งการฝึกฝน อย่างไรก็ตาม
เราไม่อาจหาเส้นแบ่งระหว่างเป้าหมายและวิธีการได้อย่างชัดเจน

เมื่อเราหันจากความหลงลืมกลับไปสู่การมีสติเป็นเครื่องกำหนดรู้
สถานะเช่นนี้แหละคือการตรัสรู้ที่แท้อยู่แล้ว ดังมีกล่าวในนิกายเซาทุงไว้ว่า
" การนั่งสมาธิก็คือการเป็นพระพุทธเจ้า " เมื่อผู้ใดนั่งสมาธิ
ผู้นั้นก็ได้ตรัสรู้แล้ว และการตรัสรู้นั่นแหละคือการเป็นพุทธะโดยแท้

ในขณะที่เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านและความหลงลืม
เราได้สูญเสียตัวเองไป ชีวิตเราก็สูญเปล่าไปด้วย การนั่งสมาธิคือการ
ฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง การนึกคิดย่อม
ปล่อยให้จิตฟุ้งไปที่โน่นที่นี่ ดังนั้นการนั่งสมาธิจึงเป็นการวบรวม
ให้จิตกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งโดยฉับพลัน เป็นการนำสภาวะแห่งการดำรงอยู่
โดยบริบูรณ์มาให้ เป็นการกลับไปสู่ชีวิตกลับกลายเป็นพุทธะ




ตามหลักนี้แล้วถือว่า การนั่งสมาธิเป็นปีติสุขอันยิ่งใหญ่
แต่ทำไมจะต้องนั่งในท่าขัดสมาธิเพชรและสมาธิบัลลังก์ด้วย
เพราะการนั่งท่านี้ช่วยให้สามารถคุมลมหายใจได้สะดวก สามารถเพ่งดวงจิต
และกลับคืนสู่สภาวะอันมีสติเป็นเครื่องกำหนดรู้ ไม่ว่าจะ เดิน กิน พูด หรือทำงาน
" พระพุทธเจ้าคือผู้ใดเล่า " "พระพุทธเจ้าคือผู้ซึ่งใช้ชีวิตตลอดชีวิต
ตลอด ๒๔ชั่วโมงอยู่ในเซน ในขณะที่ประกอบธุรกิจประจำวันพร้อมกันด้วย "




พระรูปหนึ่งถามอาจารย์เซียงหลินว่า " เหตุใดพระมหาสังฆราชองค์แรก
จึงมาสู่ประเทศจีน " ท่านเซียงหลินตอบว่า
" เพราะการนั่งสมาธินานเกินไปทำให้เสียสุขภาพ " คำถามเช่นเดียวกันนี้
ได้รับคำตอบจากอาจารย์ต่างท่านต่างกันออกไป เช่น อาจารย์เกียวเฟ็ง
ได้ตอบว่า " ขนเต่าหนักเก้าชั่ง "อาจารย์คองซันตอบว่า
" รอจนกว่าแม่น้ำทงจะไหลย้อนกลับ เมื่อนั้นฉันจึงจะบอกกับเธอ




"คำตอบทั้งสองนี้ทำให้เกิดผลเฉพาะอย่างในจิตใจแตกต่างกันไป
แต่คำตอบของท่านเซียงหลินที่ว่า " เพราะการนั่งสมาธินาน
เกินไปทำให้เสียสุขภาพ " เป็นคำตอบธรรมดา ๆ และอาจนำไป
ดัดแปลงใช้กับกรณีต่าง ๆ เกือบทั้งหมด การนั่งเพื่อจุดประสงค์ในการค้นหา
ความหมายของกุงอัน หาใช่การนั่งใน " เซน " ที่แท้จริงไม่เป็นแต่เพียงการ
ใช้เวลาและชีวิตให้หมดไปอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น ถ้าใครนั่งสมาธิ
มิใช่หมายเพียงการค้นหาความหมายของกุงอัน



แต่เพื่อเป็นการจุดแสงให้แก่คบไฟแห่งตัวตนที่แท้
ความหมายของกุงอัน ย่อมปรากฏขึ้นโดยธรรมชาติในท่ามกลางแสง
ซึ่งเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ
แต่ถ้าหากมิได้จุดโคมไฟนี้ขึ้น ผู้นั้นก็ได้แต่เพียงนั่งอยู่ในเงาแห่งชีวิต
ของตนเท่านั้น เราจะไม่มีโอกาสได้แลเห็นธรรมชาติของตนเอง
สุขภาพของเราจะเสื่อมโทรมลง หากเรานั่งอยู่นานจนเกินไป

กุงอันนั้นไม่อาจถือเอาเป็นแก่นที่จะค้นหาในขณะนั่งสมาธิ ด้วยการ
นั่งสมาธิมิใช่การค้นหาอะไรอย่างหนึ่ง กุงอันมิใช่ชีวิต การนั่งสมาธินั้นแหละ
คือชีวิต กุงอันเป็นเพียงการทดสอบ เป็นการเฝ้าดูและดำรง
ความไม่ประมาทไว้ อาจถือได้ว่ากุงอันเป็นโคมที่ใช้ส่องแสง
ขณะที่เซนเป็นตัวแสงสว่างเลยทีเดียว



โดย.. คุณ มดเอ๊กซ์
-http://community.buddhayan.com/index...ic,957.15.html
นำมาแบ่งปันโดย : คุณฝาน
Credit by :http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=5189&page=2
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานนี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานนี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version