แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน

(1/8) > >>

ฐิตา:




กุญแจเซน
โดย  ท่าน ติช นัท ฮัน
ภาค ๑ การกำหนดรู้ในสภาพปัจจุบัน
หนังสือเล่มน้อย



ข้าพเจ้าได้เริ่มเข้าไปปฏิบัติธรรมในวัดเซน เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๑๗ ปี
หลังจากใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ ในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวัน
ในวัดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ไปกราบคารวะต่อพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ดูแล
เพื่อขอให้ท่านช่วยสอน " วิถีแห่งเซน " แก่ข้าพเจ้า
แต่ท่านกลับยื่นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ตีพิมพ์ด้วยตัวอักขระภาษาจีนให้
พร้อมกับทั้งกำชับให้ศึกษาหนังสือนั้นจนกว่าจะขึ้นใจ

หลังจากได้กล่าวคำขอบคุณต่อท่านแล้ว ข้าพเจ้าถือหนังสือเล่มนั้น
กลับมายังกุฏิ หนังสือนั้นเป็นที่รู้จักกันอยู่ทั่วไป
ในหมู่พระนิกายเซน หนังสือนี้แบ่งออกเป็นสามตอน คือ

ตอน ๑ ว่าด้วยการนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ตอน ๒ ว่าด้วยพระวินัยข้อที่สำคัญ ๆ สำหรับผู้บวชใหม่
ตอน ๓ ว่าด้วยเทศนาของท่านกวยซัน อาจารย์

ไม่มีปรัชญาเซนอยู่ในหนังสือเล่มนี้เลย ทั้งสามตอนมุ่งจำเพาะแต่
การปฏิบัติการโดยตรง
ภาคแรก สอนวิธีในการควบคุมจิตและการตั้งดวงจิตให้แน่วแน่
ภาคสอง กำหนดหลักวัตรปฏิบัติและพระวินัยของพระภิกษุสามเณร
ภาคสาม เป็นร้อยแก้วอันมีคุณค่าและไม่อาจปล่อยให้สูญเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์



ข้าพเจ้าได้รับการยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้ ( ซึ่งเรียก  ล้วตเถียว  ในภาษา
เวียดนาม อันมีความหมายว่า " คู่มือแห่งวัตรปฏิบัติเล่มน้อย " )
มิได้มีไว้เป็นคู่มือสำหรับพระเณรใหม่ ๆ ที่มีอายุขนาดข้าพเจ้าเท่านั้นเพราะแม้แต่
พระซึ่งมีอายุ ๓๐ หรือ ๔๐ แล้ว
ก็ยังต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งคณะโดยนัยนี้เช่นกัน

ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาแบบตะวันตกมาบ้างแล้ว ก่อนที่จะเข้ามาในวัดแห่งนี้
และข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ
ที่วิธีในการสั่งสอนลัทธิในวัดเป็นวิธีแบบดั้งเดิมสมัยก่อนทั้งสิ้น

ประการแรกเราจะต้องอ่านจนจำข้อความทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ให้ได้ ต่อไป
จึงนำสิ่งที่อ่านมาปฏิบัติ โดยจะไม่ได้รับการสอนในเรื่องปรัชญาพื้นฐาน
เกี่ยวกับเรื่องเซนเลย ข้าพเจ้าได้นำความสังสัยนี้ไปปรึกษากับพระฝึกหัด *
อีกรูปหนึ่ง ซึ่งได้อยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ท่านได้บอกว่า
" นี่แหละคือมรรค ประตูแห่งมรรคเริ่มเปิดออกที่จุดนี้ ถ้าเธอปรารถนา
จะศึกษาเซนแล้วละก็ เธอจะต้องยอมรับมรรควิธีนี้ "
ซึ่งข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็ต้องยอมจำนนต่อคำตอบนั้น

* พระฝึกหัด พระที่บวชในนิกายเซน จะต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นพระฝึกหัด
อยู่ระยะหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ตนให้เห็นแล้วว่า
เป็นผู้ฝักใฝ่ธรรม จึงจะได้รับเลื่อนขึ้นเป็นพระเซนเต็มขั้น



:http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=5189

ฐิตา:




" การนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน "  
อันเป็นตอนแรกของคู่มือเล่มเล็กนั้น

กล่าวถึงกฏเกณฑ์อันมุ่งที่จะก่อให้เกิดสัมมาสติ หรือการกำหนดรู้ในปัจจุบันสภาพ
ทุก ๆ อากัปกิริยาของพระฝึกหัดจะต้องเกิดขึ้นไปกับความคิด

อันประกอบขึ้นร่วมเฉพาะในอากัปกิริยานั้น ๆ เช่นว่าเมื่อข้าพเจ้าล้างมือ
ข้าพเจ้าก็จะต้องกระตุ้นให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า

" ด้วยมือที่กำลังล้างอยู่นี้ ข้าพเจ้าหวังว่าคนทั้งโลกจะมีมือที่สะอาดบริสุทธิ์
อันสามารถจับถือสัจภาวะแห่งพระนิพพานได้ "

เมื่อข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องโถงสำหรับฝึกสมาธิ ข้าพเจ้าจะคิดว่า
" ด้วยอิริยาบทแห่งกายอันตั้งตรงขึ้นนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย

จะสามารถดำรงตนอยู่บนบัลลังก์แห่งตรัสรู้ ดวงจิตของเหล่าสัตว์
ได้ขจัดเสียแล้วซึ่งมายา
และบาปโทษทั้งปวง " แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในห้องน้ำ

ข้าพเจ้าก็จะพูดกับตนเองว่า " ขณะกำลังอยู่ในห้องน้ำนี้ ข้าพเจ้าหวังว่า
สรรพสัตว์ทั้งหลายจะสามารถขจัดเสีย
ซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลง และสรรพกิเลสทั้งปวง "


ฐิตา:



" การนำสารัตถะแห่งพระวินัยมาประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน " บรรยายถึง ความคิด

ในทำนองเดียวกันนี้ด้วยตัวอย่างอันมีจำกัด ซึ่งผู้มีเชาวน์ย่อมสร้าง "ความคิด"
ขึ้นในการกระทำชนิดอื่นที่ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือ อันเกิดขึ้นในโอกาสต่าง ๆ กัน
ส่วนที่มีเขียนไว้ในคู่มือเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น

ซึ่งผู้ฝึกหัดสามารถดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อนำเอาไปใช้ให้เหมาะ
กับความต้องการได้
ให้เหมาะกับเงื่อนไขทางจิตและทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล

ยกตัวอย่างว่าข้าพเจ้ากำลังจะใช้เครื่องโทรศัพท์และกำลังจะปลุกสำนึกแห่งจิต
เพื่อให้เกิดความคิดอันช่วยควบคุมข้าพเจ้า
ไว้ในภาวะแห่งการกำหนดรู้ ความคิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจะใช้โทรศัพท์นี้

ย่อมไม่มีอยู่ในคู่มือเล่มเล็ก ด้วยในสมัยที่เขียนหนังสือคู่มือนี้ยังหามี
เครื่องใช้สื่อสารชนิดนี้ไม่ ข้าพเจ้าจึงต้องสร้างความคิดขึ้นดังต่อไปนี้
" ด้วยการใช้โทรศัพท์นี้ จะหลุดพ้นจากอคติและวิจิกิจฉา ( ความลังเลสงสัย )
เพื่อที่จะมาติดต่อสัมพันธ์กันด้วยดี "

เมื่อข้าพเจ้ามีอายุ ๑๗ ปี ข้าพเจ้าคิดว่าคู่มือเล่มเล็กนี้มีขึ้นสำหรับเด็ก ๆ
และบุคคลผู้เริ่มแสวงหา และยังอยู่ห่างไกลจากเซน
ข้าพเจ้าไม่ได้ศรัทธาและเห็นความสำคัญของวิธีการเหล่านี้มากไปกว่าที่เห็นว่า
เป็นการเตรียมตัวเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ ๒๙ ปีให้หลัง ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า
คู่มือเล่มเล็กนั้น
คือแก่นอันสำคัญยิ่งของเซนเป็นสาระสำคัญยิ่งแห่งพระพุทธศาสนา

ฐิตา:



สติเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง

ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงการสนทนาสั้น ๆ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับนักปราชญ์ผู้หนึ่ง
ในสมัยพุทธกาล
" ดังที่ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พุทธศาสนาเป็นหลักลัทธิอันนำไปสู่การตรัสรู้
ดังนี้ ในการไปสุ่จุดหมายนั้นจะดำเนินไปตามมรรคคือหนทางใด กล่าวคือ
ทุก ๆ วี่วัน พระองค์ทรงประกอบกิจใดเล่าอันอาจอนุโลมให้เป็นไปตามมรรคนั้น "



" เราย่อมเดินบ้าง ฉันอาหารบ้าง สรงน้ำบ้าง นั่งลงบ้าง ... "
" มีอะไรพิเศษแฝงอยู่ในอริยาบทเหล่านั้นด้วยเล่า ในเมื่อทุกคนต่างก็เดินบ้าง
กินบ้าง ชำระล้างร่างกายบ้าง นั่งลงบ้าง ประพฤติอยู่โดยสามัญแล้ว "

" ดูกร ท่านผู้เจริญ สิ่งนั้นย่อมมีความแตกต่างอยู่ ด้วยยามเราเดิน เราย่อม
มีสติอยู่โดยสัจภาวะว่าเราเดินอยู่ เมื่อยามเราฉันอาหาร เราย่อมมีสติ
รู้โดยสัจภาวะว่าเราฉันอาหารอยู่ เป็นไปดังนี้ ก็แหละ
ยามเมื่อบุคคลอื่น เดิน กิน ชำระกาย นั่งลง
บุคคลเหล่านั้นหาได้มีสติสำนึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ไม่ "

การสนทนาในครั้งกระนั้น ย่อมแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงเรื่อง สัมมาสติ
ซึ่งในทาง พุทธศาสนา ถือว่าเป็น สิ่งเร้นลับมหัศจรรย์
อันจะเป็น เครื่องส่องแสงสว่าง ในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ เป็นการ
สร้างพลังแห่งการตั้งดวงจิตไว้มั่น และประการสุดท้ายเป็นการนำให้เกิด
ปัญญาญาณ อันจะยังให้บรรลุมรรคผลในบั้นปลายอีกด้วย ดังนั้น สัมมาสติ
จึงอาจนับได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในพระพุทธศาสนานั่นเทียว

ฐิตา:




เป็นการจุดไฟให้แก่ความเป็นอยู่กระนั้นหรือ แน่นอน นี่แหละคือจุดเริ่มต้น
แห่งการเดินทาง หากข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่โดยปราศจากสติ
อันเป็นเครื่องกำหนดรู้ในความเป็นไปแห่งชีวิต ก็เท่ากับว่าตนเองมิได้มีชีวิตอยู่
 หากเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ควรจะพูดเหมือนดังที่อัลแบร์ กามู ได้เขียนไว้
ในนวนิยายเรื่อง "คนนอก" ของเขาว่า "ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ประดุจกับคนที่ตายไปแล้ว"

และดังคำพังเพยโบราณที่ว่า " ใครมีชีวิตอยู่อย่างหลง ๆ ลืม ๆ ผู้นั้นแหละ
ได้ตายไปแล้วในความหลับ " คิดดูสิว่า
มีคนจำนวนมากมายเพียงใดรอบ ๆ ตัวเราที่ " มีชีวิตอยู่ดังคนที่ตายไปแล้ว "
ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือการหวนกลับมามีชีวิต ตื่นขึ้นจากความหลับ
รับรู้อยู่ว่าเป็นอะไร ทำอะไร คนที่กำลังกินอาหารอยู่นั่นน่ะใคร ผู้ที่กำลังดื่มน้ำอยู่
นั่นน่ะใคร และที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้นล่ะ...
และใครเสียอีกล่ะที่ใช้ชีวิตให้หมดสูญไปในความหลง ๆ ลืม ๆ และความละเลย



เป็นการสร้างพลังแห่งการดำรงจิตมั่นกระนั้นหรือ แน่ะล่ะด้วยอาศัยสัมมาสติ
เป็นหลักการที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุถึงการรู้แจ้งในตน ด้วยมนุษย์เป็นนักโทษ
ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม ถูกบังคับบัญชาด้วยเหตุการณ์ในสังคมให้ฟุ้งซ่าน
ให้ขาดสติ โดยไม่อาจกลับสู่สถานะอันเต็มเปี่ยมได้อีก

ในกรณีเช่นนี้ การกำหนดรู้ว่าตนทำอะไร พูดอะไรคิดอะไร คือการเริ่มต้นขัดขืน
ต่อการรุกรานจากสภาพแวดล้อม และเริ่มแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งความหลงลืมก่อให้เกิดขึ้น
เมื่อจุดดวงไฟแห่งสติขึ้น ก็เท่ากับเป็นการจุด ความมีศีลธรรมขึ้นด้วย

ความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดก็ย่อมกระจ่างชัด ย่อมเกิดความเคารพต่อผู้อื่นขึ้นมาด้วย
เงาแห่งมายาซึ่งคุกคามมนุษย์อยู่ก็ถูกขจัดออกไป จากสิ่งเหล่านี้เอง ที่พลังจิตวิญญาณ
จะเข้มข้นยิ่งขึ้นและสูงส่งขึ้นไปทุกที ๆ เดี๋ยวนี้ท่านมีสติอยู่ในความ
เป็นไปทุกอิริยาบถ มีสติอยู่ในคำพูดทุกคำพูด และมีสติอยู่ในความคิดทุกความคิด



หลักแห่งการกำหนดรู้นี้ มิได้คิดค้นขึ้นสำหรับพระฝึกหัดเท่านั้น แต่หลักการนี้
มีขึ้นเพื่อทุก ๆ คนรวมทั้งผู้สำเร็จธรรมขั้นอรหันต์แล้วด้วย
หรือแม้แต่พระพุทธองค์ก็ตาม พระองค์ทรงดำรงมั่นอยู่ในสัมมาสติตลอดเวลา
และด้วยพลังแห่งสมาธิจิตและพลังแห่งจิตวิญญาณนี้หรือมิใช่ ที่เป็นลักษณะ
ของอริยบุคคลผู้เป็นที่ยิ่งในมวลหมู่มนุษย์

ที่ว่านี้เป็นการทำให้ปัญญาญาณแผ่ขยายงอกงามนั้น หมายความว่าอย่างไร
ด้วยจุดมุ่งหมายอันสูงสุดของเซน ก็คือการเข้าถึงทัศนะแห่งสัจภาวะ หรือสัมมาทิฏฐิ อัน
อาจตรึงไว้ได้ด้วยพลังอำนาจแห่งสมาธิจิตและปัญญาญาณ นั่นคือการตรัสรู้
หรือการหยั่งรู้ถึงอริยสัจ อันเป็นการรู้แจ้งเห็นจริง
ซึ่งสภาวะธรรมทั้งหลายนี่แหละคือจุดมุ่งหมายที่ผู้ฝึกเซนทุกคนปรารถนาจะบรรลุถึง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version