คอลัมน์ จิตวิวัฒน์
โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ drwithan@hotmail.com แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์นี้ ยังรู้สึกว่าอยากจะเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจิตตปัญญาศึกษาอยู่ดี เพราะคิดว่ายังเป็นเรื่องราวที่มีความสำคัญมากต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับสังคมในอนาคตอันใกล้นี้ หลายๆ ท่านพยายามขอให้ช่วย นิยาม หรือขอช่วย ให้คำจำกัดความ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านๆ มาหลายๆ ท่านก็อาจจะไปเข้าใจว่า จิตตปัญญาศึกษา คือ การนั่งสมาธิ หลายๆ แห่ง หลายๆ โรงเรียน หลายๆ หน่วยงานก็จะมีหลักสูตรให้นักเรียนนักศึกษา ไปเข้าวัดแบบเจ็ดวันเจ็ดคืน ซึ่งการทำแบบนั้นก็อาจจะ ทั้งใช่และไม่ใช่ จิตตปัญญาศึกษา ในแนวทางที่ผมเข้าใจ
เพราะถ้าจะถามความเห็นเป็นการส่วนตัวอย่างสั้นที่สุดว่า อะไร คือ ข้อแตกต่าง สำคัญที่สุดที่ จิตตปัญญาศึกษา แตกต่างไปจากระบบการศึกษาทั่วไป
อยากจะขอตอบด้วยคำๆ เดียวว่า ญาณทัศนะ
กล่าวคือระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปไม่ได้เน้นหรือนำพาหรือหล่อเลี้ยงหรือเอื้อที่จะทำให้เกิด การบ่มเพาะญาณทัศนะ แต่ใน จิตตปัญญาศึกษา คือระบบการศึกษาที่เน้นถึงการหล่อเลี้ยงให้ก่อเกิดและนำพา ญาณทัศนะ มาใช้
ญาณทัศนะคืออะไร?
คงจะไม่สามารถอธิบายได้โดยละเอียดในบทความชิ้นนี้ แต่ญาณทัศนะเป็นคุณสมบัติเป็นศักยภาพที่มีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน เหมือนกับเป็น ความรู้สึกพิเศษ ที่ปิ๊งแวบออกมาในสภาวะที่เหมาะสม นักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างก็อาศัย ญาณทัศนะ ในการทำงานและค้นพบ งานชิ้นโบว์แดง ของตัวเองมาทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่มนุษย์ในปัจจุบัน ถูกทำให้เชื่อ เฉพาะเรื่อง เหตุและผลในเชิงเส้นตรง เท่านั้น และค่อยๆ ให้ความสำคัญกับ ญาณทัศนะ น้อยลงไปเพราะคิดว่าไม่มีเหตุมีผล ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ญาณทัศนะ มีเหตุและมีผลแต่เป็นไปในเชิงที่ซับซ้อนและไม่เป็นเส้นตรง เป็นสมการหลายชั้น
ในบทความชิ้นนี้อยากจะเน้นให้เห็นถึง ความสำคัญ ของ ญาณทัศนะ ที่ระบบการศึกษาทั่วไปได้ละเลย จนทำให้การเรียนรู้ในเรื่องนี้ตกหล่นและขาดหายไป
ถ้าเราจะลองมาดูเรื่อง ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของมนุษย์ ของดรายฟัสแอนด์ดรายฟัสที่ได้ทำวิจัยไว้ และพบว่าเราพอจะแบ่ง ประสิทธิภาพการเรียนรู้ ออกมาได้เป็นห้าขั้นดังต่อไปนี้คือ
ขั้นแรก เมื่อเราเริ่มเรียนรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็จะเริ่มจากการเป็น เด็กฝึกงาน ก่อน เด็กฝึกงานก็จะทำอะไรตามขั้นตามตอน ตามกติกาทุกอย่าง เถรตรง เช่น เมื่อเริ่มเรียนดนตรีเราก็จะเริ่มจากการฝึกทำเสียงเบสิคต่างๆ
ขั้นที่สอง เป็น เด็กฝึกงานก้าวหน้า ก็จะเริ่มพลิกแพลงได้มากขึ้น เริ่มมีสถานการณ์บางอย่างเข้ามาทำให้เราไม่ต้องเถรตรงตามทฤษฎีตามขั้นตอนที่กำหนด เพราะเราเริ่มเรียนรู้แล้วว่า เออ ... มันพอจะพลิกแพลงได้บ้างแล้วนะ มันไม่ได้เสียหายอะไรนะ อะไรทำนองนั้น
ขั้นที่สาม เป็น คนทำงานเป็น คือเมื่อทำงานไปก็เริ่มสามารถก่อเกิดเป็น ประสบการณ์ ในการทำงานที่มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทั้งสามขั้นที่ว่านี้ก็เป็นเพียง การเรียนรู้ ที่อาศัยการทำงานเชิง เหตุและผล ที่ใช้เพียงสมองซีกซ้ายที่ทำงานเกี่ยวกับตรรกะเหตุผลเท่านั้น
ขั้นที่สี่ เป็น คนทำงานเก่ง ในขั้นตอนนี้จะมีเรื่องราวของ ญาณทัศนะ เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ ในขั้นที่สี่นี้ คนทำงานเก่งจะเริ่มฝึกฝนตัวเองในการใช้ ญาณทัศนะ ซึ่งจะเกิดขึ้นมาได้เมื่อสมองทั้งก้อนสามารถทำงานประสานสอดคล้องกัน
ขั้นที่ห้า เป็น เซียน ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนรู้สูงสุดของมนุษย์ พัฒนาได้เต็มศักยภาพของมนุษย์ คือ สามารถนำ ญาณทัศนะ เข้ามาใช้ได้อย่างจริงจังเป็นเนื้อเป็นตัวของตัวเอง
และในชีวิตความเป็นจริงแล้ว มนุษย์สามารถที่จะ พลิกแพลง การทำงานของตัวเองไปได้ไกลกว่าการเรียนรู้ในสามขั้นตอนแรกที่เอ่ยถึงมาเบื้องต้นนี้ เช่น นักการตลาดที่เป็นเซียนจริงๆ แม้จะอาศัยข้อมูลเชิงตัวเลข แต่ในช่วงของการตัดสินใจจริงๆ นั้น พวกเขาไม่ได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญบนฐานของตัวเลขแต่เพียงอย่างเดียว แต่อาศัย ความรู้สึกลึกๆ อะไรบางอย่างและหลายๆ ครั้งการตัดสินใจแบบนั้นดูเหมือนจะ ขัดแย้ง กับตัวเลข ขัดแย้งกับเหตุและผลที่ควรจะเป็น
ความรู้สึกลึกๆ อะไรบางอย่าง นี่แหละคือ ญาณทัศนะ
หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าสองขั้นตอนหลังนั้นเป็นเรื่องของ ประสบการณ์ ที่ทำงานไปนานๆ ก็สามารถก่อเกิดได้เอง แต่เรื่องราวอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้คนมากมายทำงานมาตลอดชีวิตก็อาจจะทำได้เพียงแค่ คนทำงานเป็น หรือขั้นที่สามเท่านั้น ในขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สามารถพัฒนาความสามารถในเรื่องราวบางอย่างได้ตั้งแต่ยังอายุไม่มาก
หลายๆ คนอาจจะไปเรียกขั้นตอนที่สี่และที่ห้านี้ว่า เป็นพรสวรรค์
ผู้ช่วยทันตแพทย์ผู้หนึ่งยกมือขึ้นทันทีเมื่อผู้เขียนถามในเวิร์กช็อปครั้งหนึ่งถึง ประสบการณ์ในการเป็นเซียน ของผู้เข้าร่วมแต่ละท่านที่ประกอบไปด้วยพยาบาลอาวุโสหลายท่าน ผู้เขียนก็งงๆ มากว่า เอ๊ะ หรือว่าน้องผู้ช่วยท่านนี้จะเข้าใจเรื่องที่อธิบายไปผิด ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่เพิ่งทำงานได้สองวันจะมีประสบการณ์อะไรที่อยู่ในขั้นที่ห้าซึ่งมีญาณทัศนะได้ เธอบอกว่า เธอมีประสบการณ์เป็นเซียนในเรื่องระนาด ตอนที่หัดเรียนใหม่ๆ ก็ต้องเรียนตามขั้นตอนต่างๆ ถือไม้ระนาดอย่างไร ตีตรงไหนเป็นเสียงอะไร จนกระทั่งสามารถตีระนาดได้เป็นและตีเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอสามารถตีระนาดได้ตามตัวโน้ตทุกตัวได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ในระหว่างที่เล่นระนาดไปตามตัวโน้ตในวันนั้น เธอรู้สึกว่า บางตัวโน้ตเธอไม่อยากจะเล่นตามตัวโน้ตที่กำหนดไว้ แต่อยากจะตีเสียงไปตามความรู้สึกและพบว่า กินใจผู้ฟัง ได้มากกว่าการเล่นตามตัวโน้ตแบบทื่อๆ
ในความเป็นจริง ญาณทัศนะ เป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งหากว่าเราสามารถเข้าใจ เราจะสามารถพัฒนาให้ก่อเกิดขึ้นมาได้จริง ทำซ้ำได้จริง และสามารถทำได้เรียนรู้กันได้ในระบบการศึกษา เช่น ระบบการศึกษาแบบ จิตตปัญญา ที่ว่านี้นี่เอง สำหรับผู้เขียนแล้วปัจจัย อะไรก็ได้ ที่สามารถเอื้อให้เกิดญาณทัศนะ ล้วนแล้วแต่เป็น จิตตปัญญาศึกษา ทั้งสิ้น
และท้ายสุดที่สำคัญที่ไม่อยากจะให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับ เซียน ก็คือ เราต้องการให้ผู้คนสัมผัส ญาณทัศนะ กันมากๆ และหาหนทางเพื่อการเรียนรู้ ญาณทัศนะ กัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องการให้เกิดความเป็นเลิศ ในเชิงการแข่งขัน