ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๑. อารมณ์ของนักรบ  (อ่าน 2201 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



 ๑๑. อารมณ์ของนักรบ


พฤหัสที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๙๖๑
             
                            ผมขับรถไปที่บ้านของดอนฮวนอีก และก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสกล่าวคำทักทาย ดอนฮวนยื่นศีรษะเข้ามาทางหน้าต่างรถ ยิ้มให้กับผมแล้วบอกว่า "เราต้องขับรถไปไกลมากว่าจะถึงสถานที่ของพลัง และนี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว"

             แกเปิดประตูรถก้าวเข้ามานั่งข้างหน้า แล้วชี้ทางให้ผมขับไปตามทางทิศใต้ประมาณ ๗๐ ไมล์ ต่อจากนั้นเราเลี้ยวไปตามถนนโรยกรวดมุ่งสู่ทิศตะวันออก เราขับไปตามถนนสายนั้นจนถึงแถบเนินเขา ผมจอดรถไว้ตรงแอ่งที่ดอนฮวนเลือก แอ่งนั้นลึกพอที่จะซ่อนรถไว้ได้ จากที่ตรงนั้นเราเดินข้ามที่ราบกว้างมากแล้วเดินตรงไปที่เนินลูกหนึ่ง
             ตอนใกล้ค่ำ ดอนฮวนเป็นคนเลือกที่พักนอน แกสั่งให้อยู่ในความสงบ ไม่พูดอะไรเลย

             วันต่อมาเรารับประทานอาหารอย่างอดออมแล้วออกเดินทางต่อ มุ่งไปทิศตะวันออก พุ่มพฤกษ์ที่มองเห็นไม่ได้เป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ ในแถบทะเลทรายอีกต่อไป แต่เป็นพุ่มไม้โต ๆ และต้นไม้เขียวขจีที่ขึ้นอยู่ตามแถบภูเขา
             ในราวเที่ยงวันเราปีนขึ้นไปยังยอดของผาก้อนหินที่เกาะเนื่องกันขึ้นไปเหมือนกำแพง ดอนฮวนนั่งลงแล้วบอกให้ผมทำเช่นเดียวกัน
             "นี่คือสถานที่ของพลัง" แกพูดออกมาหลังจากที่ได้หยุดพักครู่หนึ่ง "ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักรบถูกฝังนานมาแล้ว"

                ขณะนั้นอีกาตัวหนึ่งบินผ่านที่นั่นแล้วร้องออกมา ดอนฮวนมองตามมันไปอย่างไม่กระพริบตา
             ผมสำรวจก้อนหินและสงสัยอยู่ว่านักรบเหล่านั้นถูกฝังอยู่ที่ไหนและฝังอย่างไรขณะดอนฮวนเอื้อมมือมาตบที่ไหล่
             "ไม่ใช่ที่นี่ คุณน่ะเซอะไม่รู้อะไร" แกพูดพร้อมกับยิ้ม "ข้างล่างโน่น!"

             แกชี้ไปที่ทุ่งที่อยู่ติดกับผาทางทิศตะวันออก แกอธิบายว่าทุ่งที่เห็นนั้นโอบล้อมด้วยวงของก้อนหินก้อนโต ๆ ตามธรรมชาติ

จากที่ที่นั่งอยู่นั้น ผมเห็นบริเวณซึ่งคงจะเป็นรูปวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐๐ หลา มีต้นไม้พุ่มหนาขึ้นอยู่เต็ม พรางหินก้อนใหญ่เหล่านั้นไว้ หากดอนฮวนไม่บอกผมคงไม่ได้สังเกตเห็นวงกลมดังกล่าว
             แกบอกว่ามีสถานที่เช่นนี้นับเป็นสิบ ๆ แห่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในโลกเก่าของชาวอินเดียนแดง สถานที่เหล่านี้ไม่ใช่สถานที่ของพลังเลยทีเดียว ไม่เหมือนกับภูเขาหรือแผ่นดินที่เกิดขึ้นมาบางแห่งซึ่งเป็นที่พำนักของวิญญาณ แต่ที่นี่น่าจะเป็นที่แห่งการตรัสรู้ เป็นสถานที่ที่เราได้รับบทเรียน หรือทราบคำตอบของปัญหาที่สงสัย

             "สิ่งที่คุณต้องทำคือมาที่นี่" แกบอก "หรือนอนค้างที่หินก้อนนี้เพื่อปรับความรู้สึกเสียใหม่"
             "เราจะพักที่นี่หรือเปล่าคืนนี้"
             "ผมคิดไว้อย่างนั้นแหละ แต่อีกาตัวเล็ก ๆ นั่นบอกว่า อย่าพัก"
             ผมอยากจะทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของอีกา แต่ดอนฮวนโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญให้ผมเงียบลง
             "จงมองดูหินโค้งนั้น" แกพูด "ฝังภาพของมันไว้ในความทรงจำของคุณ สักวันหนึ่งหรอกที่อีกาจะนำคุณไปสู่ที่อีกแห่งหนึ่งในบรรดาสถานที่เช่นเดียวกันนี้ ยิ่งมันมีลักษณะกลมเท่าไร มันยิ่งมีพลังมากเท่านั้น"

             "กระดูกของนักรบยังคงฝังอยู่ที่นี่หรือดอนฮวน"
             ดอนฮวนทำท่าประหลาดใจอย่างน่าขำ แล้วยิ้มกว้าง
             "ที่นี่ไม่ใช่สุสาน" แกบอก "ไม่มีใครถูกฝังที่นี่ ผมบอกว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักรบ พวกเขามาฝังตัวเองที่นี่ ผมหมายถึงนักรบมาฝังตัวเองที่นี่ชั่วคืนหรือนานเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ ผมไม่ได้หมายถึงเอาคนตายมาฝังไว้ ไม่ใช่ที่ฝังศพ ไม่มีพลังในสุสานแม้ว่าจะมีพลังเหมือนกันในกระดูกของนักรบ แต่จะไม่มีพลังเลยในสุสาน และกระดูกของผู้รู้แจ้งมีพลังมากที่สุด แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบกระดูกเหล่านั้น"
             "ผู้รู้แจ้งคือใคร ดอนฮวน"
             "นักรบคนหนึ่งคนใดอาจเป็นผู้รู้แจ้งได้ อย่างที่ผมได้บอกกับคุณแล้วว่า นักรบคือพรานผู้บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน เป็นผู้ล่าพลัง และถ้าหากนักรบล่าพลังได้สำเร็จ เขาก็จะเป็นผู้รู้แจ้ง"
             "อะไรล่ะที่คุณ…"
             แกหยุดคำถามของผมด้วยการโบกมือ แกยืนขึ้น ทำสัญญาณให้ผมตามลงไป ทางผาชันทิศตะวันออกมีทางเห็นอยู่ชัดซึ่งเกือบจะเป็นหน้าฉากนำไปสู่พื้นที่รูปวงกลมนั้น

             เราไต่ช้า ๆ ลงไปตามทางที่น่ากลัว และเมื่อลงมาถึงข้างล่างแล้ว ดอนฮวนไม่หยุดพักแต่พาผมเดินผ่าเข้าไปสู่ใจกลางของพื้นที่รูปวงกลมนั้น แกเอากิ่งไม้แห้งมากวาดที่แห่งหนึ่งให้สะอาดใช้สำหรับนั่ง ที่ที่กวาดนั้นเป็นรูปวงกลมเช่นเดียวกัน
             "ผมตั้งใจจะฝังคุณไว้ที่นี่ตลอดคืนนี้" แกบอก "แต่ขณะนี้ผมทราบว่ายังไม่ถึงเวลา คุณไม่มีพลัง ผมจะฝังคุณครู่เดียวเท่านั้น"
             ผมตกใจมากที่รู้ว่าจะถูกฝัง จึงถามดอนฮวนว่าแกมีแผนการณ์กับผมอย่างไรบ้าง แกหัวเราะคิก ๆ เหมือนเด็กแล้วออกไปเก็บกิ่งไม้แห้ง แกไม่ยอมให้ผมช่วยและบอกให้ผมอยู่เฉย ๆ และนั่งคอย

             แกโยนกิ่งไม้ที่เก็บมาได้เข้ามาในพื้นที่รูปวงกลมที่กวาดเอาไว้สะอาดแล้วนั้น ต่อมาแกให้ผมนอนลงไปหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก เอาเสื้อแจ๊กเก็ตม้วนหนุนหัวแล้วแกทำกรงรอบตัวของผม แกเอากิ่งไม่ปักลงไปในดินยื่นพ้นขึ้นมาประมาณสองฟุตครึ่ง กิ่งด้านบนเป็นง่ามเพื่อวางไม้ยาวยึดเป็นโครง รูปร่างของกรงจึงเหมือนกับหีบศพที่เปิดเอาไว้
             ดอนฮวนปิดกรงนั้นด้วยกิ่งไม้และใบไม้โดยนำมาวางบนไม้ที่พาดยาวนั้นอีกทีหนึ่ง ตัวของผมอยู่ข้างในตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป ศีรษะของผมโผล่ออกมาหนุนเสื้อแจ๊กเก็ต
             ต่อมาแกเอากิ่งไม้ดุ้นโตทำเป็นที่ขุดดินและคุ้ยเอาดินที่อยู่รอบ ๆ มาคลุมกรงที่ทำไว้
             โครงของกรงทำไว้อย่างดีและใบไม้ปะเอาไว้หนาจนไม่มีดินรั่วเข้าไปข้างใน ผมเหยียดขาไปมาได้และสอดตัวเข้าไปในกรงหรือเลื่อนออกมาได้อย่างสบาย

             ดอนฮวนบอกว่า โดยทั่วไปนักรบจะทำกรงขึ้นมาก่อนแล้วสอดตัวเข้าไปข้างในและเอาดินปะจากข้างใน
             "แล้วพวกสัตว์ล่ะ ดอนฮวน" ผมถาม "มันไม่เขี่ยเอาดินออกแล้วเข้าไปในกรงเพื่อทำร้ายนักรบหรือ"
             "ไม่หรอก นักรบไม่กังวลในเรื่องนี้เลย คุณเท่านั้นที่กังวลเพราะคุณไม่มีพลัง แต่ในทางตรงข้าม นักรบมีเจตนาที่แน่วแน่ และมันสามารถปกป้องเขาไว้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีหนู งู หรือแม้แต่สิงโตทะเลทรายมารบกวนเขาได้"
             "พวกนักรบฝังตัวเองทำไม"
             "เพื่อการรู้แจ้งและเพื่อพลังนะสิ"

             ผมสัมผัสกับความสงบที่สบายและน่าพอใจที่สุด โลกในขณะนั้นดูจะหยุดลง ความนิ่งสงบน่าปลาบปลื้มแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รบกวนจิตใจ ผมไม่คุ้นเคยกับความนิ่งเงียบเช่นนี้มาก่อน ผมพยายามจะพูด แต่ดอนฮวนห้ามผมไว้ ขณะต่อมาความนิ่งสงบของสถานที่กระทบเข้าไปที่ใจของผม ผมเริ่มคิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงประวัติส่วนตัว และรู้สึกถึงความเศร้าและความสลดใจที่เคยประสบมา ผมบอกกับดอนฮวนว่า ผมไม่มีคุณค่าอะไรเลยที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ โลกของแกเป็นโลกที่สวยงามและแข็งแรง ส่วนผมเป็นคนอ่อนแอ อีกทั้งสิ่งแวดล้อมในชีวิตของผมทำให้วิญญาณของผมบุบเบี้ยวไม่ดีงามเสียแล้ว

             แกหัวเราะและขู่ว่า จะเอาดินถมหัวผมเสียหากผมพูดออกมาในความรู้สึกเช่นนี้อีก และเหมือนกับมนุษย์ทุกคนนั่นเอง ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความปลาบปลื้ม ความปวดร้าว ความเศร้าสลดหรือการดิ้นรนต่อสู้ และกิจกรรมที่เราทำลงไปนั้นไม่สำคัญเลยตราบที่เรากระทำสิ่งนั้นลงไปเหมือนนักรบ
             ดอนฮวนลดเสียงลงเป็นเกือบกระซิบ แกบอกว่า ถ้าผมรู้ว่าวิญญาณตัวเองบุบเบี้ยวไม่ดีงาม ผมก็ควร-ตั้งใจใหม่ ชำระมัน และทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นมา เพราะไม่มีงานอื่นอีกแล้วในชีวิตของคนเราที่จะมีคุณค่ายิ่งกว่านี้ การไม่จัดการกับวิญญาณของตัวคือการแสวงหาความตาย และนั่นก็เหมือนกับการแสวงหาสิ่งเหลวไหลไร้สาระในขณะที่ความตายกำลังจะกลืนเราเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น

             แกหยุดพูดไปนาน ต่อมาแกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างยิ่งว่า "การแสวงหาความสมบูรณ์แบบในวิญญาณของความเป็นนักรบ เป็นงานอย่างเดียวที่มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์"
             คำพูดของดอนฮวนทำหน้าที่เหมือนกับสิ่งที่มากระตุ้น ผมรู้สึกว่าน้ำหนักของการกระทำในอดีตเป็นสิ่งที่ทนแบกไว้ไม่ได้และมันเป็นสิ่งกีดขวางด้วย ผมยอมรับว่า ตัวเองไม่มีหวังจะไปสู่ทางที่ดีเอาเลย ผมร้องไห้และพร่ำพูดถึงชีวิตของตน ผมรำพันว่า ผมเร่รอนมานานจนผมรู้สึกกระด้างต่อความปวดร้าวและความเศร้า นอกจากในบางครั้งที่ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างและหมดหวัง

             ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมา แกคว้าตรงซอกรักแร้ของผมแล้วลากให้ออกมาจากกรง ผมลุกขึ้นนั่งเมื่อแกปล่อยมือออก ดอนฮวนนั่งลง ความเงียบที่น่าหงุดหงิดเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสอง ผมคิดว่าแกให้เวลาเพื่อให้ผมปรับความรู้สึก ผมหยิบเอาสมุดบันทึกขึ้นมาแล้วเขียนด้วยความหงุดหงิด

             "คุณรู้สึกเหมือนใบไม้ที่ใคร่ขอความกรุณาจากสายลม ใช่ไหมล่ะ"
             ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ดอนฮวนดูเหมือนจะเห็นความรู้สึกนี้ของผม แกบอกว่า อารมณ์แบบนี้ทำให้แกระลึกถึงเพลงบทหนึ่ง แกเริ่มร้องเพลงนี้ออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ เสียงของแกน่าฟังและเนื้อเพลงทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมด้วย

             "ฉันอยู่ห่างไกลจากแผ่นฟ้าอันเป็นที่เกิด
             ความถวิลหาจู่โจมเข้ามาในความคิด
             มาบัดนี้ ฉันอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว
             และแสนจะเศร้า
             เหมือนกับใบไม้ใบเดียวไหวระริกอยู่กลางสายลม
             บางครั้ง ฉันอยากจะร้องไห้
             บางคราว ฉันอยากจะหัวเราะ
             ด้วยความคิดถึงในหัวใจ"

             เราไม่พูดกันอยู่นาน แต่ในที่สุด ดอนฮวนก็เป็นผู้ทำลายความเงียบนั้น
             "นับตั้งแต่คุณเกิด ต้องมีบางคนทำร้ายความรู้สึกของคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" แกพูด
             "คุณพูดถูกแล้ว ดอนฮวน"
             "คนเหล่านี้ทำอะไรบางอย่าง ตรงข้ามกับความต้องการของคุณ"
             "จริง"
             "และมาถึงตอนนี้ คุณหมดหวัง เหมือนกับใบไม้ท่ามกลางสายลม"
             "ถูกแล้ว ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ "

             ผมบอกแกว่าสิ่งแวดล้อมในชีวิตของผมบางครั้งน่าหวาดเสียวมาก ดอนฮวนรับฟังอย่างตั้งใจ แต่ผมก็ดูไม่ออกว่าแกเห็นด้วยหรือว่าแกมีอารมณ์ร่วมกับผมจริง ๆ จัง ๆ จนในที่สุดผมเห็นแกพยายามจะซ่อนยิ้ม
             "ไม่ว่าคุณจะชอบความรู้สึกเสียใจสงสารตัวเองมากเพียงใดก็ตาม คุณต้องเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเช่นนี้เสีย" แกพูดอย่างอ่อนโยน "อารมณ์ชนิดนี้ไม่เข้ามาตอแยกับชีวิตของนักรบหรอก"
             แกหัวเราะแล้วร้องเพลงบทนั้นขึ้นมาอีก แต่เปลี่ยนเสียงคำบางคำ ผลที่เกิดขึ้นเป็นการคร่ำครวญที่ตลกมาก ดอนฮวนชี้ให้เห็นว่า เหตุผลที่ผมชอบเพลงนี้ก็เพราะในชีวิตของผม ผมไม่เคยทำสิ่งใดเลยนอกจากค้นหาความผิดพลาดของทุกสิ่งทุกอย่างแล้วคร่ำครวญออกมา ผมเถียงแกไม่ได้เลย ดอนฮวนพูดถูกแล้ว แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ผมมีเหตุผลเพียงพอที่จะมาแก้ตัวในความรู้สึกที่เหมือนกับใบไม้อยู่กลางสายลมนั้นเหมือนกัน

             "การกระทำที่ยากที่สุดในโลกก็คือ การทำความรู้สึกอย่างของนักรบขึ้นมา" ดอนฮวนพูด "ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาเศร้าเสียใจแล้วคร่ำครวญและรู้สึกว่าสมควรแล้วที่ได้ทำเช่นนี้ โดยเชื่อเอาว่าคนอื่นทำร้ายเราเสมอไป ไม่มีใครทำอะไรให้กับใคร ไม่มีเลยสำหรับนักรบ
             "คุณอยู่ที่นี่ อยู่กับผม เพราะคุณต้องการที่จะอยู่ที่นี่ คุณควรจะทำตัวให้มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้แล้วในตอนนี้ ดังนั้น ความรู้สึกที่ว่าคุณเป็นเหมือนใบไม้ท่ามกลางสายลมนั้นควรขจัดออกไป"

             แกยืนขึ้นและเริ่มรื้อกรงที่ทำขึ้นนั้น แกโกยดินกลับที่เดิมแล้วเหวี่ยงกิ่งไม้ไปตามที่ต่าง ๆ แถวพุ่มไม้ ต่อมาแกกลบที่รูปวงกลมนั้นไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรมาแตะต้องที่ตรงนั้นเลย
             ผมตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถของแกในเรื่องนี้ แกบอกว่า พรานที่ดีจะรู้ว่าเรามาที่ตรงนั้นแม้ว่าแกจะระมัดระวังอย่างดีเพียงใดก็ตาม เพราะร่องรอยมนุษย์ไม่อาจลบให้หมดจดได้อย่างง่ายดาย


             ดอนฮวนนั่งขัดสมาธิ แล้วบอกให้ผมนั่งตามสบายหันหน้าไปทางจุดที่แกฝังผมไว้ และนั่งพักอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนจนกว่าอารมณ์สลดใจที่ผมมีจะหายไป
             "นักรบฝังตัวเองเพื่อจะพบกับพลัง ไม่ใช่เพื่อร้องไห้สงสารตัวเอง" แกพูด
             ผมทำท่าจะอธิบาย แต่ดอนฮวนหยุดผมไว้ด้วยการสั่นหัวอย่างรำคาญ แกบอกว่า แกลากผมออกมาจากกรงอย่างรีบด่วนเพราะอารมณ์ของผมเหลือทนเอาเสียจริง ๆ และกลัวว่าสถานที่แห่งนั้นจะไม่พอใจในความอ่อนแอของผมและทำร้ายผมได้

             "ความรู้สึกสงสารตัวเองจะไม่มาเย้าแหย่กับพลังได้เลย" แกบอก "อารมณ์ของนักรบนั้นจะต้องมีการควบคุมตัวเอง และปล่อยวางตัวเองได้ในขณะเดียวกัน"
             "เป็นไปได้อย่างไร ดอนฮวน" ผมถาม "นักรบจะควบคุมตัวเองและปล่อยวางตัวเองในขณะเดียวกันได้อย่างไร"
             "เทคนิคการกระทำในเรื่องนี้ยากมาก" แกตอบ
             ดูเหมือนแกจะตัดสินไม่ได้ว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ แกทำท่าจะพูดออกมาถึงสองครั้ง แต่แกหยุดตัวเองไว้ทุกครั้งและยิ้มออกมา
             "คุณยังไม่หมดอารมณ์เศร้าเลย" แกพูด "คุณยังรู้สึกอ่อนแออยู่จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดถึงอารมณ์ของนักรบ"

             เวลาเกือบชั่วโมงผ่านไปในความเงียบ ต่อมาดอนฮวนถามขึ้นในทันทีทันใดว่าการฝึกฝนในเรื่อง 'การฝัน' ของผมก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ผมฝึกฝนด้วยความพากเพียร และหลังจากที่ได้พยายามอย่างมากก็สามารถควบคุมความฝันได้ในระดับหนึ่ง ดอนฮวนพูดถูกแล้วที่ให้ถือเรื่องนี้ว่าเป็นการกระทำที่สนุก ๆ เท่านั้น นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมคอยให้ถึงเวลาหลับเพื่อจะฝัน
             ผมรายงานความก้าวหน้าอย่างละเอียดให้ดอนฮวนทราบ
             เมื่อทราบวิธีการที่จะมองดูที่มือได้แล้ว การคงภาพที่เห็นนั้นไว้ก็ทำได้ไม่ยากนัก ภาพในความฝันซึ่งก็ไม่ได้เป็นมือเสมอไปจะคงอยู่เป็นเวลานานจนผมควบคุมไว้ไม่ได้ และต่อมาก็จะกลายเป็นความฝันธรรมดาที่ไม่อาจควบคุมได้อีก ผมไม่มีเจตนาล่วงหน้าว่าจะมองดูที่มือหรือสิ่งอื่น ๆ มันเป็นไปได้เอง ไม่ขณะใดก็ขณะหนึ่งในความฝัน ผมจะจำขึ้นมาได้ว่าต้องมองดูที่มือและต่อมาก็มองดูสิ่งอื่น ๆ มีหลายคืนที่ผมจำไม่ได้เลยว่าทำสิ่งนี้
             ดอนฮวนคงพอใจมาและอยากทราบถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผมมักจะเห็นในความฝัน ผมคิดไม่ออกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ จึงเล่าถึงความฝันพิลึกกึกกือของเมื่อวันก่อน
             "อย่าฟุ้งซ่านไป" แกพูดกระด้าง ๆ

             ผมบอกแกว่า ผมบันทึกรายละเอียดที่มีในความฝันไว้ทุกอย่าง ตั้งแต่ผมฝึกดูที่มือ ความฝันของผมควบคุมได้ดียิ่งขึ้นทุกที และผมจำรายละเอียดปลีกย่อยได้ดีขึ้นด้วย ดอนฮวนบอกว่าการตามดูความฝันเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะรายละเอียดในความฝันและการเห็นความฝันได้ชัดนั้นไม่มีความสำคัญอะไร
             "เมื่อคุณ ตั้งความฝัน ความฝันธรรมดาจะชัดยิ่งขึ้น" แกบอก "ความชัดแจ้งหรือความแจ่มใสของความฝันเป็นอุปสรรคที่น่าหวาดกลัวมาก และคุณรู้สึกว่าจะแย่กว่าใคร ๆ ที่ผมเคยพบมาทั้งหมด คุณคลั่งเอามาก ๆ และคุณบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมด"
             พูดกันอย่างไม่ลำเอียง ผมก็ยังเชื่อว่าการทำของผมสมควรแล้ว การบันทึกลงไปอย่างละเอียดทำให้ผมเห็นภาพที่มีในความฝันชัดเจนยิ่งขึ้น
             "เลิกเสีย!" ดอนฮวนบอกในทำนองบังคับ "นั่น ช่วยอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นดึงคุณเขวออกไปจากจุดมุ่งหมายของ การฝัน ซึ่งคือการควบคุมสิ่งต่าง ๆ และเป็นพลังด้วย"

             แกนอนลงไป เอาหมวกมาปิดตาแล้วพูดต่อ
             "ผมจะทบทวนวิธีการที่คุณจะต้องฝึกฝน" แกพูด "เริ่มแรกคุณต้องจ้องเขม็งไปที่มือของคุณ นี่เป็นจุดเริ่มต้น ต่อมาให้เลื่อนสายตาไปดูสิ่งอื่น และให้ชำเลืองดูเพียงครู่เดียวเท่านั้น จ้องดูหลาย ๆ สิ่งเท่าที่คุณทำได้ ให้จำไว้ว่าถ้าคุณชำเลืองดูเพียงเดี๋ยวเดียวภาพที่เห็นจะไม่เลื่อนไป ต่อมาให้มองดูที่มืออีก
             "ทุกครั้งที่คุณดูมือ คุณจะฟื้นเอาพลังที่ต้องการในฝันใหม่เสมอไป ดังนั้นในระยะเริ่มแรกอย่ามองดูหลายสิ่ง ให้มองดูสิ่งอื่น ๒-๓ อย่างก็พอ ต่อมาคุณอาจขยายขอบเขตในการดูต่อไป จนครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการจะดู แต่เมื่อใดภาพที่เห็นนั้นเลื่อนไป และคุณทราบว่าจะคุมมันไว้ไม่ได้ก็ให้หันมามองที่มืออีก
             "เมื่อคุณรู้ว่าสามารถที่จะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอนแล้ว คุณก็พร้อมที่จะฝึกเทคนิคใหม่ ผมจะสอนเทคนิคใหม่ให้กับคุณเดี๋ยวนี้แหละ แต่ผมก็หวังว่าคุณจะนำไปฝึกเมื่อคุณพร้อมแล้วเท่านั้น"

             ดอนฮวนหยุดพูดไปประมาณ ๑๕ นาที ในที่สุดแกลุกขึ้นนั่งแล้วมองมายังผม
             "ขั้นตอนต่อมาในการ ตั้งความฝัน คือ การเรียนรู้ที่จะท่องเที่ยวไป" แกพูด "ในลักษณะเดียวกับที่คุณฝึกมองดูมือนั่นแหละ คุณอาจตั้งความปรารถนาที่จะเคลื่อนไป เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในลำดับแรกคุณคิดถึงที่แห่งหนึ่งที่คุณอยากจะไป หาที่ที่คุณรู้จักดี อาจจะเป็นโรงเรียนเดิมของคุณ สวนสาธารณะ หรือบ้านของเพื่อนก็ได้ ต่อมาก็ตั้งความปรารถนาที่จะไปที่นั่น"
             "ขั้นตอนนี้ทำได้ยากมาก คุณต้องทำงานสองอย่างคือ คุณต้องตั้งความปรารถนาที่จะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และต่อมาเมื่อคุณทำได้ชำนาญแล้ว คุณต้องเรียนรู้ที่ตั้งเวลาไว้ให้ตรงด้วยในการเดินทาง"

             ขณะที่ผมจดถ้อยคำเหล่านี้ลงไป ผมรู้สึกว่าตัวเองก็บ้าแท้ ๆ เลยทีเดียว ผมกำลังจดคำสอนบ้า ๆ บอ ๆ ลงไป และยังบีบคั้นตัวเองพยายามจะที่จะเข้าใจ ผมรู้สึกเสียใจและอับอายอยู่
             "คุณกำลังทำอะไรกับผม ดอนฮวน" ผมถามอย่างไม่ต้องการที่จะให้มีความหมายอะไร
             ดอนฮวนคงรู้สึกประหลาดใจมาก แกจ้องดูผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
             "คุณถามคำถามนี้กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่ได้ทำอะไรกับคุณหรอก คุณกำลังทำตัวให้พลังเข้าถึงได้ คุณกำลังล่าพลังอยู่และผมกำลังแนะทางให้กับคุณ"
             แกเอียงศีรษะไปทางหนึ่งเพื่อพินิจดูผม แกจับคางของผมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และจับหัวของผมด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วบิดหัวผมไปทางโน้นทางนี้ กล้ามเนื้อต้นคอของผมตึงมากและการบิดหัวไปมาทำให้ผมคลายเครียดลงได้
             ดอนฮวนมองดูท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนแกจะสำรวจอะไรบางอย่าง
             "ถึงเวลาที่จะต้องออกจากที่นี่แล้วละ" แกพูดกร้าว ๆ แล้วลุกขึ้น

           
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




  เราออกเดินทางไปทางทิศตะวันออกจนมาใกล้กลุ่มต้นไม้เล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ขึ้นอยู่ในหุบเขาระหว่างเนินเขาสองลูก เวลาห้าโมงเย็นแล้ว ดอนฮวนพูดลอย ๆ ว่าเราอาจต้องพักแรมคืนแถวนี้ แกชี้ไปยังหมู่ต้นไม้แล้วบอกว่ามีน้ำอยู่แถวนั้น
             แกเกร็งตัวแล้วสูดดมอากาศเหมือนกับสัตว์ ผมเห็นกล้ามเนื้อที่ท้องของแกกระตุกวาบๆ ขณะที่แกสูดลมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แกแนะให้ผมทำอย่างเดียวกันเพื่อผมจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าแหล่งน้ำอยู่ตรงไหน ผมเลียนวิธีที่แกทำอย่างเงอะงะ แต่เมื่อได้ทำไปสัก ๕-๖ นาทีผมรู้สึกหน้ามืด แต่จมูกรับกลิ่นได้ดีขึ้นอย่างประหลาด และผมได้กลิ่นของต้นหลิว ผมยังบอกไม่ได้ว่ากลิ่นนั้นมาจากทางไหน
             ดอนฮวนบอกให้ผมพักสองสามนาทีแล้วให้ผมทำอย่างเดิมอีก การทำครั้งที่สองทำให้รับกลิ่นได้ดียิ่งขึ้น ผมแยกออกมาชัดว่าต้นหลิวอยู่ทางขวามือ เราเดินตรงไปทางนั้น และเมื่อเดินมาได้ประมาณ ๑/๔ ไมล์ก็เจอหนองน้ำ เราเดินอ้อมไปยังหน้าผาเตี้ย เหนือผาเตี้ยแห่งนั้นและบริเวณรอบ ๆ มีพุ่มไม้เตี้ย ๆ ขึ้นอยู่หนาแน่น

             "แถวนี้มีสิงโตภูเขาและพวกเสือยุบยับไปหมด" ดอนฮวนพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนกับว่านั่นเป็นข้อสังเกตธรรมดา ๆ
             ผมวิ่งเข้ามาหาแก ทำให้แกหัวเราะออกมา
             "ตามปกติแล้วผมจะไม่มาที่นี่เลย" แกบอก "แต่อีกาตัวนั้นชี้มาทางนี้ จะต้องมีอะไรพิเศษที่มันทำเช่นนี้"
             "เราต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือดอนฮวน"
             "ใช่ ไม่อย่างนั้นผมคงเลี่ยงไปเสียจากที่แห่งนี้"
             ผมกลัวมาก แกบอกให้ผมตั้งใจฟังในสิ่งที่แกพูด
             "มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่คุณทำได้ในที่แห่งนี้คือ ล่าสิงโต" แกบอก "ดังนั้น ผมจะสอนคุณถึงการล่าสิงโต"

             "การทำกับดักหนูน้ำที่อยู่ตามรูริมหนองต้องทำในลักษณะพิเศษ เราใช้หนูน้ำเป็นเหยื่อล่อสิงโต ส่วนกรงดักนั้น ฝาของกรงต้องทำให้เลื่อนตกลงมาจากที่สูงและมีไม้เสี้ยมแหลมเสียบไว้ตามฝากรง ไม้แหลมนี้ต้องปกปิดไว้เมื่อยกกรงขึ้น มันจะไม่ตกลงมาถ้าหากไม่มีอะไรหล่นใส่กรง ซึ่งถ้าหากมีอะไรตกลงมาแล้ว ไม้แหลมก็จะเสียบลงมาและเสียบสิ่งที่มากระทบกับกรง"
             ผมไม่เข้าใจสิ่งที่แกพูด ดอนฮวนจึงเขียนโครงของกรงบนพื้นดินแล้วอธิบายว่า ถ้าซี่ของกรงด้านข้างวางไว้บนจุดที่หมุนได้ กรงนี้ก็จะหล่นลงมาเมื่อมีอะไรมาดันด้านบน
             ส่วนหอกที่แทงลงมานั้นเป็นไม้เสี้ยมแหลมที่เอาผูกติดซี่ด้านข้างของกรงอย่างแน่นหนา
             ดอนฮวนบอกว่า ตามปกติแล้วจะต้องเอาก้อนหินหนักมารวมใส่ตะแกรงที่สานด้วยกิ่งไม้แล้วเอามาห้อยไว้สูงเหนือกรงและเกี่ยวเอาไว้กับกรงดักด้วย เมื่อสิงโตภูเขามาถึงกับดักที่มีหนูน้ำอยู่ข้างในเป็นเหยื่อล่อ มันจะทุบกรงนั้นด้วยอุ้งเท้า ดังนั้นเสี้ยงไม้จะแทงที่เท้าของมัน และด้วยความตกใจเจ้าสิงโตจะกระโดดขึ้นไปกระทบตะแกรงใส่ก้อนหินหล่นลงมาถูกตัวของมัน
             "วันหนึ่งข้างหน้าคุณอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องจับสิงโตก็ได้" แกบอก "สิงโตภูเขามีพลังพิเศษ มันฉลาดมากและมีทางเดียวที่จะจับมันได้คือ หลอกให้มันหัวเสียเมื่อเกิดบาดแผลเจ็บปวด และด้วยกลิ่นของต้นหลิว"

             ดอนฮวนทำกับดักด้วยความรวดเร็วชำนาญอย่างน่าพิศวง และเมื่อคอยอยู่นานพอสมควร แกจับหนูน้ำตัวอ้วนหน้าตาเหมือนกระรอกได้สามตัว
             แกบอกให้ผมรูดเอาใบของต้นหลิวจากริมหนองมาถูที่เสื้อผ้า แกก็ทำอย่างเดียวกัน ต่อมาแกถักถุงจากหญ้าปล้องอย่างรวดเร็วและชำนาญมากอีกสองถุง แกโกยเอาพวกหญ้าสีเขียวหอบใหญ่และโคลนจากหนองใส่เข้าไปในถุงถุงหนึ่ง แล้วหอบไปที่หน้าผาเตี้ยที่แกซ่อนอยู่

             ขณะนั้นตัวโรเด้นหน้าตาเหมือนกระรอกเริ่มกรีดร้องออกมาอย่างดัง
             ดอนฮวนบอกผมจากที่ซ่อนของแก ให้ผมเอาถุงอีกถุงหนึ่งนั่นไปใส่หญ้าและโคลนลงไปแล้วให้ผมปีนขึ้นไปอยู่บนกิ่งต่ำ ๆ ของต้นไม้ที่อยู่ใกล้กรงของหนูน้ำ
             แกบอกว่าแกไม่ต้องการทำร้ายสิงโตหรือตัวโรเด้นแต่อย่างใด ดังนั้นแกจะขว้างถุงโคลนใส่สิงโตขณะที่มันเข้ามาที่กับดัก แกบอกว่าผมต้องตื่นตัวอย่างเต็มที่และขว้างสิงโตด้วยถุงของผมหลังจากที่แกขว้างถุงของแกออกไปแล้วเพื่อไล่สิงโตให้หนีไป
             แกสั่งว่าผมต้องระวังตัวอย่างเต็มที่ที่จะไม่หล่นลงมาจากต้นไม้ คำแนะนำประการสุดท้ายของแกคือ ให้อยู่นิ่ง ๆ จนกลมกลืนเป็นอันเดียวกับกิ่งไม้

             ผมมองไม่เห็นว่าดอนฮวนอยู่ที่ไหน เสียงร้องแหลมของเจ้าหนูน้ำดังมาก และในที่สุดมันมืดมากจนผมมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไรได้อีกต่อไป ต่อมาผมได้ยินเสียงย่องอยู่ใกล้ ๆ เบามาก และโดยกระทันหัน มีเสียงหายใจค่อย ๆ เหมือนแมว และเสียงคำรามเบา ๆ เจ้าตัวโรเด้นหน้ากระรอกหยุดร้อง
             ตอนนี้เองที่ผมมองเห็นเงาดำของสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่ข้างล่างต้นไม้ที่ผมเกาะอยู่พอดี แต่ก่อนที่ผมจะยืนยันว่ามันเป็นสิงโตภูเขาใช่หรือไม่ มันกระโจนเข้าใส่กับดักหนูน้ำทันที แต่ก่อนที่ตัวมันจะไปถึงก็มีอีกสิ่งหนึ่งกระทบตัวของมันเต็มรักทำให้มันถอยออกมา ผมจึงเหวี่ยงถุงของผมออกไปตามที่ดอนฮวนสั่ง มันไม่ถูกตัวสิงโตแต่ก็ทำให้เกิดเสียงดังมาก
             ทันใดนั้นดอนฮวนร้องเสียงโหยหวนเยือกเย็นติดต่อกันขึ้นมา เสียงของแกทำให้ผมเย็นยะเยือกเข้าไปในกระดูกสันหลัง และด้วยความว่องไวเป็นพิเศษ สัตว์ตัวนั้นกระโดดแผลวขึ้นไปยังหน้าผาเตี้ยแล้วหายลับตัวไป
             ดอนฮวนยังคงทำเสียงชนิดนั้นต่ออีกชั่วครู่ ต่อมาแกบอกให้ผมปีนลงมาจากต้นไม้แล้วหยิบเอากับดักตัวโรเด้นขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่หน้าผาเตี้ยที่แกซ่อนอยู่อย่างรวดเร็วที่สุด

             ผมมายืนอยู่ข้างดอนฮวนด้วยความเร็วแทบไม่น่าเชื่อ แกสั่งให้ผมร้องเลียนเสียงของแกให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไล่ตัวสิงโตออกไปขณะที่แกรื้อกรงเพื่อปล่อยตัวโรเด้น
             ผมร้อง แต่มันไม่เหมือน เสียงของผมแหบพร่าเพราะความตื่นเต้น
             ดอนฮวนบอกให้ผมปล่อยวางตัวเองลงแล้วร้องออกมาด้วยความรู้สึกจริง ๆ เพราะว่าสิงโตยังอยู่แถวนั้นเอง ผมสำนึกถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของเราขึ้นมา สิงโตมีอยู่จริงเสียด้วย ผมร้องเสียงแหลมออกมาได้เป็นอย่างดี
             ดอนฮวนหัวเราะออกมาเสียงดังก้อง
             แกให้ผมร้องอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ ต่อมาแกบอกว่าเราต้องออกจากที่นั่นเงียบ ๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะสิงโตไม่โง่นักหรอก บางทีมันกำลังย้อนกลับมาหาเราที่นี่
             "มันต้องตามเรามาแน่ ๆ" แกบอก " ไม่ว่าเราจะระมัดระวังอย่างไรก็ตามที เราก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ชัดเหมือนกับถนนสายแพนอเมริกันทีเดียวแหละ"

             ผมเดินกระชั้นชิดตัวของดอนฮวน แกหยุดแล้วเงี่ยหูฟังเป็นคราว ๆ ไป ต่อมาแกวิ่งไปในความมืด ผมวิ่งตาม เอามือยื่นไปข้างหน้าเพื่อกันกิ่งไม้
             ในที่สุดเราวิ่งมาถึงเชิงหน้าผาที่เราพักกันอยู่ก่อนหน้านี้ ดอนฮวนบอกว่า ถ้าหากเราปีนขึ้นไปจนถึงยอดผาได้ทันโดยไม่ถูกขย้ำจากสิงโตแล้วละก้อ เราปลอดภัยแน่ ๆ แกปีนขึ้นไปเป็นคนแรกเพื่อนำทาง เราปีนหน้าผาในความมืด ผมเองก็ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไรกัน แต่ผมปีนตามดอนฮวนไปด้วยก้าวที่แน่นอนมั่นคง เมื่อเราปีนใกล้จะถึงยอด ผมได้ยินเสียงร้องที่แปลกมากของสัตว์ชนิดหนึ่ง มันเหมือนเสียงวัวร้อง นอกจากจะแหบโหยและนานกว่าเท่านั้น
             "เร็ว! รีบหนีเร็ว!" ดอนฮวนตะโกนออกมา
             ผมตะกายขึ้นสู่ยอดผาล้ำหน้าดอนฮวนขึ้นไปในความมืด เมื่อแกปีนขึ้นมาจนถึงยอดซึ่งเป็นที่ราบแบนเรียบ ผมนั่งหอบอยู่ก่อนแล้ว

             แกล้มตัวกลิ้งอยู่กับพื้น ผมคิดมาแวบหนึ่งว่า การปีนหน้าผาในครั้งนี้แกคงเหนื่อยมากกระมัง แต่แกกลับหัวเราะการป่ายปีนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วของผม
             เรานั่งเงียบอยู่ถึงสองชั่วโมง และต่อจากนั้นก็พากันเดินมายังรถยนต์ที่จอดเอาไว้

             
อาทิตย์ที่ ๓ กันยายน ๑๙๖๑

              เมื่อผมตื่นขึ้นมา ดอนฮวนไม่ได้อยู่ในบ้าน ผมจดบันทึกและมีเวลาพอที่จะไปเก็บฟืนจากป่าละเมาะที่อยู่รอบบ้าน ขณะที่ดอนฮวนเดินเข้ามานั้นผมกำลังรับประทานอาหาร แกหัวเราะกับสิ่งที่แกเคยพูดถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงที่ซ้ำซากตายตัวของผม แต่แกก็กินแซนวิชที่ผมทำ
              ผมบอกแกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิงโตภูเขานั้นทำให้ผมงงมาก เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องทั้งหมดดูจะไม่สมจริงเอาเลย เหมือนกับว่าทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของผม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้ผมไม่มีเวลาสำหรับความกลัว ผมมีเวลาพอในการกระทำแต่ก็ไม่ชัดแจ้งในสิ่งต่าง ๆ ขณะที่จดบันทึกอยู่นั้นคำถามผุดขึ้นมาว่า ผมเห็นสิงโตภูเขาจริง ๆ หรือ กิ่งไม้แห้งซึ่งกลายเป็นสัตว์ที่กำลังจะตายยังเป็นภาพที่แจ่มชัดอยู่ในใจของผม
              "มันเป็นสิงโตภูเขาจริง ๆ นี่นา" ดอนฮวนพูดอย่างกับจะบังคับให้เชื่อ
             "มันเป็นสัตว์ที่มีเลือดมีเนื้อจริง ๆ หรือเปล่าล่ะ"
             "ก็จริงนะสิ"

             ผมบอกแกว่า ความง่ายดายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับว่าสิงโตภูเขาตัวนั้นคอยอยู่ที่นั่นและถูกฝึกขึ้นมาให้ทำอะไรต่าง ๆ อย่างที่ดอนฮวนวางแผนเอาไว้เสียด้วย
             ดอนฮวนไม่หวั่นไหวไปกับคำโจมตีทำนองไม่เชื่อของผม แกหัวเราะเยาะ
             "คุณนี่เป็นคนแปลกจริง ๆ " แกพูด "คุณเห็นและได้ยินเสียงสัตว์ตัวนั้น มันยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่คุณเกาะอยู่ข้างบน ที่มันไม่ได้กลิ่นตัวของคุณและไม่กระโดดขึ้นไปตะครุบก็เพราะต้นหลิว กลิ่นใบของมันทำลายกลิ่นอื่น ๆ หมด แม้แต่กลิ่นที่พวกเสือหรือสิงโตรู้ ที่ตักของคุณก็มีใบหลิวอีกตั้งขยุ้มหนึ่ง"
             ผมบอกว่า ไม่ใช่ว่าผมสงสัยในตัวของดอนฮวน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแปลกไปจากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผมมาก ขณะที่ผมจดบันทึกอยู่นั้น ผมคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าดอนฮวนเองแสดงเป็นสิงโตตัวนั้น แต่ผมต้องสลัดความคิดนั้นออกไป เพราะผมมองเห็นเงาของสัตว์สี่เท้ากระโจนไปที่กรงและกระโดดขึ้นหน้าผาไปจริง ๆ

             "ทำไมคุณจึงสับสนในเรื่องนี้" แกพูดออกมา "มันเป็นเสือตัวโตแน่ ๆ จะต้องมีเสือสิงโตนับเป็นพัน ๆ ตัวตามภูเขาแบบนั้น มันเยอะจริง ๆ แหละ แต่เหมือนเคยอีกนั่นแหละ คุณพุ่งความสนใจไปยังเรื่องที่ไม่ตรงจุด มันไม่แปลกเลยที่ว่าสัตว์ตัวนั้นจะเป็นสิงโตหรือกางเกงขายาวของผม อารมณ์ความรู้สึกของคุณในขณะนั้นสำคัญกว่า"
             ในชีวิตของผม ผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงของสิงโตที่ย่องเข้ามาเลย เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ ผมไม่อยากเชื่อว่าผมอยู่ห่างจากสิงโตจริง ๆ เพียงสองสามฟุต

             เมื่อผมเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น ดอนฮวนฟังด้วยความอดทน
             "กลัวพวกสัตว์กินเนื้อตัวโตเหล่านี้ทำไม" แกถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น "คุณอยู่ใกล้ชิดกับสัตว์หลายชนิดที่อยู่แถวนี้ แต่คุณไม่เห็นกลัวเลย คุณไม่ชอบพวกเสือสิงโตอย่างนั้นหรือ"
             "ผมไม่ชอบพวกมันเลย"
             "ถ้าอย่างนั้นก็ลืมเรื่องนี้เสียก็แล้วกัน ความจริงบทเรียนในเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่จะล่าสิงโตให้ได้อย่างไร"
             "แล้วมันเป็นบทเรียนเกี่ยวกับอะไรล่ะ"

             "อีกาตัวเล็ก ๆ ตัวนั้นชี้ที่แห่งนั้นให้ผม และในที่แห่งนั้นเอง ผมเห็น โอกาสที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า คุณกระทำสิ่งต่าง ๆ ลงไปอย่างไรเมื่อมีความรู้สึกอย่างนักรบ
             "ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่คุณทำลงไปในคืนที่ผ่านมานั้น ทำด้วยความรู้สึกที่ถูกต้อง ขณะที่คุณกระโดดลงมาจากต้นไม้เพื่อฉวยเอากับดักหนูน้ำแล้ววิ่งมาหาผมนั้น คุณควบคุมตัวเองไว้ได้และในขณะเดียวกันนั้นคุณก็ปล่อยวางอารมณ์ด้วย
             "คุณไม่เป็นง่อยไปเพราะความกลัว และต่อมาอีก ตอนที่ปีนใกล้จะถึงยอดของหน้าผาเมื่อสิงโตครางกระหึ่มขึ้นมา คุณปีนได้ดีเป็นพิเศษ ผมแน่ใจว่า คุณจะไม่เชื่อในสิ่งที่คุณทำลงไปเลย หากคุณมองหน้าผาแห่งนั้นในเวลากลางวัน
             "คุณปล่อยอารมณ์ได้ในระดับหนึ่งและในขณะเดียวกันคุณก็ควบคุมตัวเองได้ด้วยในอีกระดับหนึ่ง คุณไม่ปล่อยตัวเองจนเยี่ยวราดกางเกงด้วยความกลัว แต่คุณก็ปล่อยวางและปีนหน้าผาได้ในความมืด คุณอาจปีนพลาดและตกลงมาตาย การที่จะปีนกำแพงหินขึ้นไปได้ในความมืดนั้นต้องการคุณสมบัติที่ว่าคุณต้องควบคุมสติไว้ได้ และปล่อยวางตัวเองได้ในขณะเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า 'อารมณ์ของนักรบ'

             ผมบอกว่า สิ่งที่ผมทำลงไปในคืนนั้นเกิดจากความกลัวต่างหาก หาได้เป็นผลที่เกิดจากความรู้สึกที่ควบคุมไว้ได้และปล่อยอารมณ์แต่อย่างใดทั้งสิ้น
             "ผมรู้เหมือนกัน" แกพูดพร้อมกับยิ้ม "ผมอยากจะแสดงให้คุณรู้ว่า คุณมีความสามารถที่จะผลักดันตัวเองขึ้นเหนือขอบเขตความรู้สึกธรรมดาหากคุณอยู่ในอารมณ์ที่ถูกต้อง นักรบต้องสร้างอารมณ์ของตนขึ้นมา คุณยังไม่รู้ในเรื่องนี้ แต่ความกลัวทำให้คุณอยู่ในอารมณ์ของนักรบ และในตอนนี้คุณทราบเรื่องนี้แล้ว อะไรก็กระตุ้นให้คุณเข้าสู่อารมณ์ของนักรบได้"

             ผมอยากจะเถียงกับแก แต่เหตุผลของผมไม่ชัดพอ ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ได้
             "มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมและถูกต้องเสมอไปที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกดังกล่าว" แกบอก "อารมณ์ชนิดนี้ตัดความเหลวไหลไร้สาระออกไปและทำให้คุณสะอาดปราศจากมลทิน คุณรู้สึกเปี่ยมปีติมากไม่ใช่หรือเมื่อคุณปีนขึ้นมาถึงยอดผา"
             ผมบอกแกว่า ผมเข้าใจสิ่งที่แกพูด แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะเป็นเรื่องบ้าเอามาก ๆ ที่นำเอาคำสอนของแกมาใช้ในชีวิตประจำวัน

             "คุณจำเป็นต้องมีอารมณ์ของนักรบในการกระทำทุกอย่าง" แกบอก "มิฉะนั้นแล้วคุณจะเป็นคนผิดปกติและน่าเกลียดเอามาก ๆ ไม่มีพลังใด ๆ ที่มีในชีวิตขาดความรู้สึกชนิดนี้
             "จงมองดูตัวคุณสิ ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้คุณขุ่นเคืองและอารมณ์เสีย คุณคร่ำครวญและบ่นออกมา คุณมีความรู้สึกว่าคนทุกคนทำให้คุณเต้นไปตามจังหวะเพลงที่เขาบอก คุณเป็นใบไม้ที่รอคอยความกรุณาจากสายลม ชีวิตของคุณไม่มีพลังเลย มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าเกลียดเหลือเกิน
             "ในทางตรงกันข้าม นักรบคือพรานนั่นเอง เขาใคร่ครวญในทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือการควบคุมตัวเอง แต่เมื่อการใคร่ครวญจบสิ้นลง นักรบจะกระทำ เขาปล่อย และนี่คือการปล่อยวางตัวเอง
             "นักรบไม่ได้เป็นใบไม้ที่อยู่ในความกรุณาของสายลม ไม่มีใครผลักดันเขา ไม่มีใครสั่งให้นักรบทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตรงกันข้ามกับการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วของเขา นักรบเต้นไปตามเพลงของการอยู่รอดและเขามีชีวิตอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

             ผมชอบทัศนะของดอนฮวน แม้ผมว่ามันเป็นจริงไม่ได้เลย ดูมันจะง่ายเกินไปสำหรับโลกอันซับซ้อนที่ผมอยู่
             ดอนฮวนหัวเราะเยาะเหตุผลในคำโต้แย้งของผม ผมยืนยันต่อไปว่า อารมณ์ของนักรบดังที่กล่าวถึงนั้นคงไม่ช่วยให้ผมเอาชนะความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยาม หรือความรู้สึกปวดร้าวจากการกระทำของเพื่อนมนุษย์ได้หรอก ในกรณีของการกระทำที่ปราศจากเหตุผลของคนที่โหดเหี้ยมทารุณมาทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บปวดเป็นต้น

             แกหัวเราะดังก้อง และยอมรับว่าตัวอย่างดังกล่าวมีส่วนถูกเหมือนกัน
             "นักรบอาจถูกทำให้เจ็บปวดได้ แต่เขาไม่รู้สึกว่าถูกหยามหยัน" แกบอก "เพราะว่าสำหรับนักรบนั้น ไม่มีอะไรเลยที่มาทำให้ขุ่นเคืองได้ในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของเพื่อนมนุษย์ ตราบใดที่การกระทำของเขาทำไปด้วยความรู้สึกที่ถูกต้อง
             "เมื่อคืนที่แล้ว คุณไม่รู้สึกขุ่นเคืองสิงโตตัวนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่ามันไล่ตามเรามา ไม่ได้ทำให้คุณโกรธ ผมไม่ได้ยินคุณด่ามันเลย หรือได้ยินคุณพูดว่ามันไม่ไมีสิทธิที่จะมาไล่ขย้ำเรา มันอาจจะเป็นสัตว์ที่โหดร้ายทารุณที่สุดเท่าที่คุณรู้มา แต่นั่นหาใช่ข้อที่จะนำมาคิดในขณะที่คุณกระเสือกกระสนหนีตาย มีสิ่งเดียวที่ได้ทำไปอย่างถูกเรื่องถูกราว คือการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และนั่นคุณทำได้ดีมาก
             "หากว่าคุณอยู่คนเดียว และสิงโตตามมาทันและขยี้คุณแหลกเหลวลงไป คุณคงไม่ทำแม้แต่บ่นหรือรู้สึกขุ่นเคืองการกระทำของมันเลย
             "อารมณ์ของนักรบไม่ได้อยู่สูงสุดเอื้อมในโลกของคุณหรือของใครก็ตาม คุณต้องมีความรู้สึกเช่นนี้เพื่อตัดปัญหายุ่ง ๆ ทั้งหลาย"

             ผมอธิบายถึงการที่ผมให้เหตุผลเช่นนั้น สิงโตและเพื่อนมนุษย์ของผมนั้นไม่เหมือนกันเลย เพราะว่าผมคุ้นอยู่กับพฤติกรรมตลบตะแลงของเพื่อนมนุษย์ดี แต่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิงโตเอาเลย การที่ผมโกรธเคืองมนุษย์ ก็เพราะมนุษย์ทำสิ่งโหดร้ายทารุณลงไปทั้ง ๆ ที่รู้ดี"
             "ผมก็รู้ ผมก็รู้เหมือนกันแหละ" ดอนฮวนกล่าวออกมาอย่างอดทน "การที่จะมีความรู้สึกอย่างนักรบไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ มันเป็นการปฏิวัติทีเดียว การยอมรับสิงโต หนูน้ำ และเพื่อนมนุษย์ว่ามีความเท่าเทียมกันนั้น เป็นการกระทำที่มหัศจรรย์ยิ่งยวดในวิญญาณของความเป็นนักรบ การที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องมีพลัง" 


http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson11-12.html#ixt11
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~