๑๑. อารมณ์ของนักรบ
พฤหัสที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๙๖๑
ผมขับรถไปที่บ้านของดอนฮวนอีก และก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสกล่าวคำทักทาย ดอนฮวนยื่นศีรษะเข้ามาทางหน้าต่างรถ ยิ้มให้กับผมแล้วบอกว่า "เราต้องขับรถไปไกลมากว่าจะถึงสถานที่ของพลัง และนี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว"
แกเปิดประตูรถก้าวเข้ามานั่งข้างหน้า แล้วชี้ทางให้ผมขับไปตามทางทิศใต้ประมาณ ๗๐ ไมล์ ต่อจากนั้นเราเลี้ยวไปตามถนนโรยกรวดมุ่งสู่ทิศตะวันออก เราขับไปตามถนนสายนั้นจนถึงแถบเนินเขา ผมจอดรถไว้ตรงแอ่งที่ดอนฮวนเลือก แอ่งนั้นลึกพอที่จะซ่อนรถไว้ได้ จากที่ตรงนั้นเราเดินข้ามที่ราบกว้างมากแล้วเดินตรงไปที่เนินลูกหนึ่ง
ตอนใกล้ค่ำ ดอนฮวนเป็นคนเลือกที่พักนอน แกสั่งให้อยู่ในความสงบ ไม่พูดอะไรเลย
วันต่อมาเรารับประทานอาหารอย่างอดออมแล้วออกเดินทางต่อ มุ่งไปทิศตะวันออก พุ่มพฤกษ์ที่มองเห็นไม่ได้เป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ ในแถบทะเลทรายอีกต่อไป แต่เป็นพุ่มไม้โต ๆ และต้นไม้เขียวขจีที่ขึ้นอยู่ตามแถบภูเขา
ในราวเที่ยงวันเราปีนขึ้นไปยังยอดของผาก้อนหินที่เกาะเนื่องกันขึ้นไปเหมือนกำแพง ดอนฮวนนั่งลงแล้วบอกให้ผมทำเช่นเดียวกัน
"นี่คือสถานที่ของพลัง" แกพูดออกมาหลังจากที่ได้หยุดพักครู่หนึ่ง "ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักรบถูกฝังนานมาแล้ว"
ขณะนั้นอีกาตัวหนึ่งบินผ่านที่นั่นแล้วร้องออกมา ดอนฮวนมองตามมันไปอย่างไม่กระพริบตา
ผมสำรวจก้อนหินและสงสัยอยู่ว่านักรบเหล่านั้นถูกฝังอยู่ที่ไหนและฝังอย่างไรขณะดอนฮวนเอื้อมมือมาตบที่ไหล่
"ไม่ใช่ที่นี่ คุณน่ะเซอะไม่รู้อะไร" แกพูดพร้อมกับยิ้ม "ข้างล่างโน่น!"
แกชี้ไปที่ทุ่งที่อยู่ติดกับผาทางทิศตะวันออก แกอธิบายว่าทุ่งที่เห็นนั้นโอบล้อมด้วยวงของก้อนหินก้อนโต ๆ ตามธรรมชาติ
จากที่ที่นั่งอยู่นั้น ผมเห็นบริเวณซึ่งคงจะเป็นรูปวงกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐๐ หลา มีต้นไม้พุ่มหนาขึ้นอยู่เต็ม พรางหินก้อนใหญ่เหล่านั้นไว้ หากดอนฮวนไม่บอกผมคงไม่ได้สังเกตเห็นวงกลมดังกล่าว
แกบอกว่ามีสถานที่เช่นนี้นับเป็นสิบ ๆ แห่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในโลกเก่าของชาวอินเดียนแดง สถานที่เหล่านี้ไม่ใช่สถานที่ของพลังเลยทีเดียว ไม่เหมือนกับภูเขาหรือแผ่นดินที่เกิดขึ้นมาบางแห่งซึ่งเป็นที่พำนักของวิญญาณ แต่ที่นี่น่าจะเป็นที่แห่งการตรัสรู้ เป็นสถานที่ที่เราได้รับบทเรียน หรือทราบคำตอบของปัญหาที่สงสัย
"สิ่งที่คุณต้องทำคือมาที่นี่" แกบอก "หรือนอนค้างที่หินก้อนนี้เพื่อปรับความรู้สึกเสียใหม่"
"เราจะพักที่นี่หรือเปล่าคืนนี้"
"ผมคิดไว้อย่างนั้นแหละ แต่อีกาตัวเล็ก ๆ นั่นบอกว่า อย่าพัก"
ผมอยากจะทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของอีกา แต่ดอนฮวนโบกไม้โบกมืออย่างรำคาญให้ผมเงียบลง
"จงมองดูหินโค้งนั้น" แกพูด "ฝังภาพของมันไว้ในความทรงจำของคุณ สักวันหนึ่งหรอกที่อีกาจะนำคุณไปสู่ที่อีกแห่งหนึ่งในบรรดาสถานที่เช่นเดียวกันนี้ ยิ่งมันมีลักษณะกลมเท่าไร มันยิ่งมีพลังมากเท่านั้น"
"กระดูกของนักรบยังคงฝังอยู่ที่นี่หรือดอนฮวน"
ดอนฮวนทำท่าประหลาดใจอย่างน่าขำ แล้วยิ้มกว้าง
"ที่นี่ไม่ใช่สุสาน" แกบอก "ไม่มีใครถูกฝังที่นี่ ผมบอกว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักรบ พวกเขามาฝังตัวเองที่นี่ ผมหมายถึงนักรบมาฝังตัวเองที่นี่ชั่วคืนหรือนานเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ ผมไม่ได้หมายถึงเอาคนตายมาฝังไว้ ไม่ใช่ที่ฝังศพ ไม่มีพลังในสุสานแม้ว่าจะมีพลังเหมือนกันในกระดูกของนักรบ แต่จะไม่มีพลังเลยในสุสาน และกระดูกของผู้รู้แจ้งมีพลังมากที่สุด แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบกระดูกเหล่านั้น"
"ผู้รู้แจ้งคือใคร ดอนฮวน"
"นักรบคนหนึ่งคนใดอาจเป็นผู้รู้แจ้งได้ อย่างที่ผมได้บอกกับคุณแล้วว่า นักรบคือพรานผู้บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อน เป็นผู้ล่าพลัง และถ้าหากนักรบล่าพลังได้สำเร็จ เขาก็จะเป็นผู้รู้แจ้ง"
"อะไรล่ะที่คุณ…"
แกหยุดคำถามของผมด้วยการโบกมือ แกยืนขึ้น ทำสัญญาณให้ผมตามลงไป ทางผาชันทิศตะวันออกมีทางเห็นอยู่ชัดซึ่งเกือบจะเป็นหน้าฉากนำไปสู่พื้นที่รูปวงกลมนั้น
เราไต่ช้า ๆ ลงไปตามทางที่น่ากลัว และเมื่อลงมาถึงข้างล่างแล้ว ดอนฮวนไม่หยุดพักแต่พาผมเดินผ่าเข้าไปสู่ใจกลางของพื้นที่รูปวงกลมนั้น แกเอากิ่งไม้แห้งมากวาดที่แห่งหนึ่งให้สะอาดใช้สำหรับนั่ง ที่ที่กวาดนั้นเป็นรูปวงกลมเช่นเดียวกัน
"ผมตั้งใจจะฝังคุณไว้ที่นี่ตลอดคืนนี้" แกบอก "แต่ขณะนี้ผมทราบว่ายังไม่ถึงเวลา คุณไม่มีพลัง ผมจะฝังคุณครู่เดียวเท่านั้น"
ผมตกใจมากที่รู้ว่าจะถูกฝัง จึงถามดอนฮวนว่าแกมีแผนการณ์กับผมอย่างไรบ้าง แกหัวเราะคิก ๆ เหมือนเด็กแล้วออกไปเก็บกิ่งไม้แห้ง แกไม่ยอมให้ผมช่วยและบอกให้ผมอยู่เฉย ๆ และนั่งคอย
แกโยนกิ่งไม้ที่เก็บมาได้เข้ามาในพื้นที่รูปวงกลมที่กวาดเอาไว้สะอาดแล้วนั้น ต่อมาแกให้ผมนอนลงไปหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก เอาเสื้อแจ๊กเก็ตม้วนหนุนหัวแล้วแกทำกรงรอบตัวของผม แกเอากิ่งไม่ปักลงไปในดินยื่นพ้นขึ้นมาประมาณสองฟุตครึ่ง กิ่งด้านบนเป็นง่ามเพื่อวางไม้ยาวยึดเป็นโครง รูปร่างของกรงจึงเหมือนกับหีบศพที่เปิดเอาไว้
ดอนฮวนปิดกรงนั้นด้วยกิ่งไม้และใบไม้โดยนำมาวางบนไม้ที่พาดยาวนั้นอีกทีหนึ่ง ตัวของผมอยู่ข้างในตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป ศีรษะของผมโผล่ออกมาหนุนเสื้อแจ๊กเก็ต
ต่อมาแกเอากิ่งไม้ดุ้นโตทำเป็นที่ขุดดินและคุ้ยเอาดินที่อยู่รอบ ๆ มาคลุมกรงที่ทำไว้
โครงของกรงทำไว้อย่างดีและใบไม้ปะเอาไว้หนาจนไม่มีดินรั่วเข้าไปข้างใน ผมเหยียดขาไปมาได้และสอดตัวเข้าไปในกรงหรือเลื่อนออกมาได้อย่างสบาย
ดอนฮวนบอกว่า โดยทั่วไปนักรบจะทำกรงขึ้นมาก่อนแล้วสอดตัวเข้าไปข้างในและเอาดินปะจากข้างใน
"แล้วพวกสัตว์ล่ะ ดอนฮวน" ผมถาม "มันไม่เขี่ยเอาดินออกแล้วเข้าไปในกรงเพื่อทำร้ายนักรบหรือ"
"ไม่หรอก นักรบไม่กังวลในเรื่องนี้เลย คุณเท่านั้นที่กังวลเพราะคุณไม่มีพลัง แต่ในทางตรงข้าม นักรบมีเจตนาที่แน่วแน่ และมันสามารถปกป้องเขาไว้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีหนู งู หรือแม้แต่สิงโตทะเลทรายมารบกวนเขาได้"
"พวกนักรบฝังตัวเองทำไม"
"เพื่อการรู้แจ้งและเพื่อพลังนะสิ"
ผมสัมผัสกับความสงบที่สบายและน่าพอใจที่สุด โลกในขณะนั้นดูจะหยุดลง ความนิ่งสงบน่าปลาบปลื้มแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รบกวนจิตใจ ผมไม่คุ้นเคยกับความนิ่งเงียบเช่นนี้มาก่อน ผมพยายามจะพูด แต่ดอนฮวนห้ามผมไว้ ขณะต่อมาความนิ่งสงบของสถานที่กระทบเข้าไปที่ใจของผม ผมเริ่มคิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงประวัติส่วนตัว และรู้สึกถึงความเศร้าและความสลดใจที่เคยประสบมา ผมบอกกับดอนฮวนว่า ผมไม่มีคุณค่าอะไรเลยที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ โลกของแกเป็นโลกที่สวยงามและแข็งแรง ส่วนผมเป็นคนอ่อนแอ อีกทั้งสิ่งแวดล้อมในชีวิตของผมทำให้วิญญาณของผมบุบเบี้ยวไม่ดีงามเสียแล้ว
แกหัวเราะและขู่ว่า จะเอาดินถมหัวผมเสียหากผมพูดออกมาในความรู้สึกเช่นนี้อีก และเหมือนกับมนุษย์ทุกคนนั่นเอง ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความปลาบปลื้ม ความปวดร้าว ความเศร้าสลดหรือการดิ้นรนต่อสู้ และกิจกรรมที่เราทำลงไปนั้นไม่สำคัญเลยตราบที่เรากระทำสิ่งนั้นลงไปเหมือนนักรบ
ดอนฮวนลดเสียงลงเป็นเกือบกระซิบ แกบอกว่า ถ้าผมรู้ว่าวิญญาณตัวเองบุบเบี้ยวไม่ดีงาม ผมก็ควร-ตั้งใจใหม่ ชำระมัน และทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นมา เพราะไม่มีงานอื่นอีกแล้วในชีวิตของคนเราที่จะมีคุณค่ายิ่งกว่านี้ การไม่จัดการกับวิญญาณของตัวคือการแสวงหาความตาย และนั่นก็เหมือนกับการแสวงหาสิ่งเหลวไหลไร้สาระในขณะที่ความตายกำลังจะกลืนเราเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
แกหยุดพูดไปนาน ต่อมาแกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างยิ่งว่า "การแสวงหาความสมบูรณ์แบบในวิญญาณของความเป็นนักรบ เป็นงานอย่างเดียวที่มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์"
คำพูดของดอนฮวนทำหน้าที่เหมือนกับสิ่งที่มากระตุ้น ผมรู้สึกว่าน้ำหนักของการกระทำในอดีตเป็นสิ่งที่ทนแบกไว้ไม่ได้และมันเป็นสิ่งกีดขวางด้วย ผมยอมรับว่า ตัวเองไม่มีหวังจะไปสู่ทางที่ดีเอาเลย ผมร้องไห้และพร่ำพูดถึงชีวิตของตน ผมรำพันว่า ผมเร่รอนมานานจนผมรู้สึกกระด้างต่อความปวดร้าวและความเศร้า นอกจากในบางครั้งที่ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างและหมดหวัง
ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมา แกคว้าตรงซอกรักแร้ของผมแล้วลากให้ออกมาจากกรง ผมลุกขึ้นนั่งเมื่อแกปล่อยมือออก ดอนฮวนนั่งลง ความเงียบที่น่าหงุดหงิดเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสอง ผมคิดว่าแกให้เวลาเพื่อให้ผมปรับความรู้สึก ผมหยิบเอาสมุดบันทึกขึ้นมาแล้วเขียนด้วยความหงุดหงิด
"คุณรู้สึกเหมือนใบไม้ที่ใคร่ขอความกรุณาจากสายลม ใช่ไหมล่ะ"
ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ดอนฮวนดูเหมือนจะเห็นความรู้สึกนี้ของผม แกบอกว่า อารมณ์แบบนี้ทำให้แกระลึกถึงเพลงบทหนึ่ง แกเริ่มร้องเพลงนี้ออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ เสียงของแกน่าฟังและเนื้อเพลงทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมด้วย
"ฉันอยู่ห่างไกลจากแผ่นฟ้าอันเป็นที่เกิด
ความถวิลหาจู่โจมเข้ามาในความคิด
มาบัดนี้ ฉันอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว
และแสนจะเศร้า
เหมือนกับใบไม้ใบเดียวไหวระริกอยู่กลางสายลม
บางครั้ง ฉันอยากจะร้องไห้
บางคราว ฉันอยากจะหัวเราะ
ด้วยความคิดถึงในหัวใจ"
เราไม่พูดกันอยู่นาน แต่ในที่สุด ดอนฮวนก็เป็นผู้ทำลายความเงียบนั้น
"นับตั้งแต่คุณเกิด ต้องมีบางคนทำร้ายความรู้สึกของคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" แกพูด
"คุณพูดถูกแล้ว ดอนฮวน"
"คนเหล่านี้ทำอะไรบางอย่าง ตรงข้ามกับความต้องการของคุณ"
"จริง"
"และมาถึงตอนนี้ คุณหมดหวัง เหมือนกับใบไม้ท่ามกลางสายลม"
"ถูกแล้ว ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ "
ผมบอกแกว่าสิ่งแวดล้อมในชีวิตของผมบางครั้งน่าหวาดเสียวมาก ดอนฮวนรับฟังอย่างตั้งใจ แต่ผมก็ดูไม่ออกว่าแกเห็นด้วยหรือว่าแกมีอารมณ์ร่วมกับผมจริง ๆ จัง ๆ จนในที่สุดผมเห็นแกพยายามจะซ่อนยิ้ม
"ไม่ว่าคุณจะชอบความรู้สึกเสียใจสงสารตัวเองมากเพียงใดก็ตาม คุณต้องเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเช่นนี้เสีย" แกพูดอย่างอ่อนโยน "อารมณ์ชนิดนี้ไม่เข้ามาตอแยกับชีวิตของนักรบหรอก"
แกหัวเราะแล้วร้องเพลงบทนั้นขึ้นมาอีก แต่เปลี่ยนเสียงคำบางคำ ผลที่เกิดขึ้นเป็นการคร่ำครวญที่ตลกมาก ดอนฮวนชี้ให้เห็นว่า เหตุผลที่ผมชอบเพลงนี้ก็เพราะในชีวิตของผม ผมไม่เคยทำสิ่งใดเลยนอกจากค้นหาความผิดพลาดของทุกสิ่งทุกอย่างแล้วคร่ำครวญออกมา ผมเถียงแกไม่ได้เลย ดอนฮวนพูดถูกแล้ว แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ผมมีเหตุผลเพียงพอที่จะมาแก้ตัวในความรู้สึกที่เหมือนกับใบไม้อยู่กลางสายลมนั้นเหมือนกัน
"การกระทำที่ยากที่สุดในโลกก็คือ การทำความรู้สึกอย่างของนักรบขึ้นมา" ดอนฮวนพูด "ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาเศร้าเสียใจแล้วคร่ำครวญและรู้สึกว่าสมควรแล้วที่ได้ทำเช่นนี้ โดยเชื่อเอาว่าคนอื่นทำร้ายเราเสมอไป ไม่มีใครทำอะไรให้กับใคร ไม่มีเลยสำหรับนักรบ
"คุณอยู่ที่นี่ อยู่กับผม เพราะคุณต้องการที่จะอยู่ที่นี่ คุณควรจะทำตัวให้มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้แล้วในตอนนี้ ดังนั้น ความรู้สึกที่ว่าคุณเป็นเหมือนใบไม้ท่ามกลางสายลมนั้นควรขจัดออกไป"
แกยืนขึ้นและเริ่มรื้อกรงที่ทำขึ้นนั้น แกโกยดินกลับที่เดิมแล้วเหวี่ยงกิ่งไม้ไปตามที่ต่าง ๆ แถวพุ่มไม้ ต่อมาแกกลบที่รูปวงกลมนั้นไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรมาแตะต้องที่ตรงนั้นเลย
ผมตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถของแกในเรื่องนี้ แกบอกว่า พรานที่ดีจะรู้ว่าเรามาที่ตรงนั้นแม้ว่าแกจะระมัดระวังอย่างดีเพียงใดก็ตาม เพราะร่องรอยมนุษย์ไม่อาจลบให้หมดจดได้อย่างง่ายดาย
ดอนฮวนนั่งขัดสมาธิ แล้วบอกให้ผมนั่งตามสบายหันหน้าไปทางจุดที่แกฝังผมไว้ และนั่งพักอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนจนกว่าอารมณ์สลดใจที่ผมมีจะหายไป
"นักรบฝังตัวเองเพื่อจะพบกับพลัง ไม่ใช่เพื่อร้องไห้สงสารตัวเอง" แกพูด
ผมทำท่าจะอธิบาย แต่ดอนฮวนหยุดผมไว้ด้วยการสั่นหัวอย่างรำคาญ แกบอกว่า แกลากผมออกมาจากกรงอย่างรีบด่วนเพราะอารมณ์ของผมเหลือทนเอาเสียจริง ๆ และกลัวว่าสถานที่แห่งนั้นจะไม่พอใจในความอ่อนแอของผมและทำร้ายผมได้
"ความรู้สึกสงสารตัวเองจะไม่มาเย้าแหย่กับพลังได้เลย" แกบอก "อารมณ์ของนักรบนั้นจะต้องมีการควบคุมตัวเอง และปล่อยวางตัวเองได้ในขณะเดียวกัน"
"เป็นไปได้อย่างไร ดอนฮวน" ผมถาม "นักรบจะควบคุมตัวเองและปล่อยวางตัวเองในขณะเดียวกันได้อย่างไร"
"เทคนิคการกระทำในเรื่องนี้ยากมาก" แกตอบ
ดูเหมือนแกจะตัดสินไม่ได้ว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ แกทำท่าจะพูดออกมาถึงสองครั้ง แต่แกหยุดตัวเองไว้ทุกครั้งและยิ้มออกมา
"คุณยังไม่หมดอารมณ์เศร้าเลย" แกพูด "คุณยังรู้สึกอ่อนแออยู่จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดถึงอารมณ์ของนักรบ"
เวลาเกือบชั่วโมงผ่านไปในความเงียบ ต่อมาดอนฮวนถามขึ้นในทันทีทันใดว่าการฝึกฝนในเรื่อง 'การฝัน' ของผมก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ผมฝึกฝนด้วยความพากเพียร และหลังจากที่ได้พยายามอย่างมากก็สามารถควบคุมความฝันได้ในระดับหนึ่ง ดอนฮวนพูดถูกแล้วที่ให้ถือเรื่องนี้ว่าเป็นการกระทำที่สนุก ๆ เท่านั้น นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมคอยให้ถึงเวลาหลับเพื่อจะฝัน
ผมรายงานความก้าวหน้าอย่างละเอียดให้ดอนฮวนทราบ
เมื่อทราบวิธีการที่จะมองดูที่มือได้แล้ว การคงภาพที่เห็นนั้นไว้ก็ทำได้ไม่ยากนัก ภาพในความฝันซึ่งก็ไม่ได้เป็นมือเสมอไปจะคงอยู่เป็นเวลานานจนผมควบคุมไว้ไม่ได้ และต่อมาก็จะกลายเป็นความฝันธรรมดาที่ไม่อาจควบคุมได้อีก ผมไม่มีเจตนาล่วงหน้าว่าจะมองดูที่มือหรือสิ่งอื่น ๆ มันเป็นไปได้เอง ไม่ขณะใดก็ขณะหนึ่งในความฝัน ผมจะจำขึ้นมาได้ว่าต้องมองดูที่มือและต่อมาก็มองดูสิ่งอื่น ๆ มีหลายคืนที่ผมจำไม่ได้เลยว่าทำสิ่งนี้
ดอนฮวนคงพอใจมาและอยากทราบถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผมมักจะเห็นในความฝัน ผมคิดไม่ออกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเฉพาะ จึงเล่าถึงความฝันพิลึกกึกกือของเมื่อวันก่อน
"อย่าฟุ้งซ่านไป" แกพูดกระด้าง ๆ
ผมบอกแกว่า ผมบันทึกรายละเอียดที่มีในความฝันไว้ทุกอย่าง ตั้งแต่ผมฝึกดูที่มือ ความฝันของผมควบคุมได้ดียิ่งขึ้นทุกที และผมจำรายละเอียดปลีกย่อยได้ดีขึ้นด้วย ดอนฮวนบอกว่าการตามดูความฝันเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะรายละเอียดในความฝันและการเห็นความฝันได้ชัดนั้นไม่มีความสำคัญอะไร
"เมื่อคุณ ตั้งความฝัน ความฝันธรรมดาจะชัดยิ่งขึ้น" แกบอก "ความชัดแจ้งหรือความแจ่มใสของความฝันเป็นอุปสรรคที่น่าหวาดกลัวมาก และคุณรู้สึกว่าจะแย่กว่าใคร ๆ ที่ผมเคยพบมาทั้งหมด คุณคลั่งเอามาก ๆ และคุณบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้หมด"
พูดกันอย่างไม่ลำเอียง ผมก็ยังเชื่อว่าการทำของผมสมควรแล้ว การบันทึกลงไปอย่างละเอียดทำให้ผมเห็นภาพที่มีในความฝันชัดเจนยิ่งขึ้น
"เลิกเสีย!" ดอนฮวนบอกในทำนองบังคับ "นั่น ช่วยอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นดึงคุณเขวออกไปจากจุดมุ่งหมายของ การฝัน ซึ่งคือการควบคุมสิ่งต่าง ๆ และเป็นพลังด้วย"
แกนอนลงไป เอาหมวกมาปิดตาแล้วพูดต่อ
"ผมจะทบทวนวิธีการที่คุณจะต้องฝึกฝน" แกพูด "เริ่มแรกคุณต้องจ้องเขม็งไปที่มือของคุณ นี่เป็นจุดเริ่มต้น ต่อมาให้เลื่อนสายตาไปดูสิ่งอื่น และให้ชำเลืองดูเพียงครู่เดียวเท่านั้น จ้องดูหลาย ๆ สิ่งเท่าที่คุณทำได้ ให้จำไว้ว่าถ้าคุณชำเลืองดูเพียงเดี๋ยวเดียวภาพที่เห็นจะไม่เลื่อนไป ต่อมาให้มองดูที่มืออีก
"ทุกครั้งที่คุณดูมือ คุณจะฟื้นเอาพลังที่ต้องการในฝันใหม่เสมอไป ดังนั้นในระยะเริ่มแรกอย่ามองดูหลายสิ่ง ให้มองดูสิ่งอื่น ๒-๓ อย่างก็พอ ต่อมาคุณอาจขยายขอบเขตในการดูต่อไป จนครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการจะดู แต่เมื่อใดภาพที่เห็นนั้นเลื่อนไป และคุณทราบว่าจะคุมมันไว้ไม่ได้ก็ให้หันมามองที่มืออีก
"เมื่อคุณรู้ว่าสามารถที่จะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอนแล้ว คุณก็พร้อมที่จะฝึกเทคนิคใหม่ ผมจะสอนเทคนิคใหม่ให้กับคุณเดี๋ยวนี้แหละ แต่ผมก็หวังว่าคุณจะนำไปฝึกเมื่อคุณพร้อมแล้วเท่านั้น"
ดอนฮวนหยุดพูดไปประมาณ ๑๕ นาที ในที่สุดแกลุกขึ้นนั่งแล้วมองมายังผม
"ขั้นตอนต่อมาในการ ตั้งความฝัน คือ การเรียนรู้ที่จะท่องเที่ยวไป" แกพูด "ในลักษณะเดียวกับที่คุณฝึกมองดูมือนั่นแหละ คุณอาจตั้งความปรารถนาที่จะเคลื่อนไป เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในลำดับแรกคุณคิดถึงที่แห่งหนึ่งที่คุณอยากจะไป หาที่ที่คุณรู้จักดี อาจจะเป็นโรงเรียนเดิมของคุณ สวนสาธารณะ หรือบ้านของเพื่อนก็ได้ ต่อมาก็ตั้งความปรารถนาที่จะไปที่นั่น"
"ขั้นตอนนี้ทำได้ยากมาก คุณต้องทำงานสองอย่างคือ คุณต้องตั้งความปรารถนาที่จะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และต่อมาเมื่อคุณทำได้ชำนาญแล้ว คุณต้องเรียนรู้ที่ตั้งเวลาไว้ให้ตรงด้วยในการเดินทาง"
ขณะที่ผมจดถ้อยคำเหล่านี้ลงไป ผมรู้สึกว่าตัวเองก็บ้าแท้ ๆ เลยทีเดียว ผมกำลังจดคำสอนบ้า ๆ บอ ๆ ลงไป และยังบีบคั้นตัวเองพยายามจะที่จะเข้าใจ ผมรู้สึกเสียใจและอับอายอยู่
"คุณกำลังทำอะไรกับผม ดอนฮวน" ผมถามอย่างไม่ต้องการที่จะให้มีความหมายอะไร
ดอนฮวนคงรู้สึกประหลาดใจมาก แกจ้องดูผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา
"คุณถามคำถามนี้กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่ได้ทำอะไรกับคุณหรอก คุณกำลังทำตัวให้พลังเข้าถึงได้ คุณกำลังล่าพลังอยู่และผมกำลังแนะทางให้กับคุณ"
แกเอียงศีรษะไปทางหนึ่งเพื่อพินิจดูผม แกจับคางของผมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และจับหัวของผมด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วบิดหัวผมไปทางโน้นทางนี้ กล้ามเนื้อต้นคอของผมตึงมากและการบิดหัวไปมาทำให้ผมคลายเครียดลงได้
ดอนฮวนมองดูท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนแกจะสำรวจอะไรบางอย่าง
"ถึงเวลาที่จะต้องออกจากที่นี่แล้วละ" แกพูดกร้าว ๆ แล้วลุกขึ้น