สองชั่วโมงผ่านไป ผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้มาก ผมจึงร้องเรียกดอนฮวน แกขานรับมาจากใกล้ยอดเขา แกบอกให้ผมรวบรวมน้ำเต้าทั้งหมดแล้วปีนขึ้นไปหาแก เมื่อมาถึงผมเห็นแกนั่งอยู่บนก้อนหินที่เรียบแบน แกเปิดฝาน้ำเต้าออกแล้วรับประทานอาหาร แกยื่นเนื้อแห้งชิ้นใหญ่ให้กับผมสองชิ้น
ผมไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะถาม ดูเหมือนแกจะทราบถึงความรู้สึกของผม แกหัวเราะด้วยความพอใจ
"รู้สึกอย่างไรบ้าง" แกถามติดตลก
ผมไม่อยากจะพูดอะไรออกมา ยังอารมณ์เสียอยู่
ดอนฮวนแนะให้ผมนั่งบนหินแบน แกบอกว่าหินก้อนนี้เป็นวัตถุประจุพลัง และผมน่าจะสดใสขึ้นมาได้เมื่อนั่งตรงนั้นชั่วครู่
"นั่งลงซี่" แกสั่งอย่างไม่มีน้ำเสียง แกไม่ยิ้ม สายตาของแกทิ่มแทง และผมนั่งลงโดยอัตโนมัติ
แกบอกว่า ผมสะเพร่ากับพลังโดยแสดงอารมณ์ที่บูดเบี้ยวออกมา ผมต้องเปลี่ยนความรู้สึกเสีย มิฉะนั้นแล้วพลังจะจัดการกับเราทั้งสองคน เราอาจจะไม่มีทางออกไปจากภูเขาที่เปล่าเปลี่ยวเหล่านี้โดยมีลมหายใจอยู่
หลังจากที่เงียบกันไปนานดอนฮวนถามออกมาอ่อย ๆ ว่า "การฝัน ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง"
ผมเล่าถึงความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเมื่อสั่งให้ตัวเองมองดูมือ ในตอนเริ่มแรกก็ทำได้ง่าย แต่นี่อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่องใหม่และไม่ซับซ้อนอะไรนัก ผมจึงไม่รู้สึกว่าทำได้ยาก แต่ต่อมาความตื่นเต้นในเรื่องนี้ลดลง บางคืนผมทำไม่ได้เลย
"คุณต้องคาดผ้าคาดหัว" แกบอก "การสวมผ้าคาดหัวเป็นอุบายที่สำคัญมาก ผมทำให้คุณไม่ได้ คุณต้องทำมันขึ้นมาเองจากเศษผ้า แต่คุณก็ยังทำไม่ได้อยู่ดีจนกว่าคุณจะเห็นรูปของมันใน การฝัน เข้าใจที่ผมพูดไหม ผ้าคาดหัวนั้นจะต้องทำเหมือนภาพที่เห็น และมันต้องมีแถบพันรอบ ๆ เพื่อให้สวมได้อย่างเหมาะเจาะ หรือมันอาจจะเหมือนกับหมวกแก๊ป การฝัน เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อคุณสวมสิ่งประจุพลังไว้บนหัว คุณอาจจะสวมหมวกหรือคาดผ้าคลุมหัวเหมือนพระแล้วนอน แต่สิ่งคลุมหัวเหล่านี้จะทำให้ฝันชัดขึ้นแต่ไม่ใช่ การฝัน"
แกเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเริ่มเล่าต่อด้วยถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว แกบอกว่า ภาพของผ้าคาดหัวนั้นไม่จำเป็นที่จะเกิดขึ้นใน "การฝัน" เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ตื่นอยู่ มันเกิดจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง หรือเหตุการณ์ที่ไม่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันเลย เช่นในขณะที่เฝ้าดูนกบิน ดูการกระเพื่อมของสายน้ำ หรือดูก้อนเมฆเหล่านี้เป็นต้น
"พรานผู้ล่าพลังเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่าง" แกพูดต่อ "และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบอกกับพรานถึงความลึกลับต่าง ๆ "
"แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะบอกความลึกลับให้" ผมถาม ผมคิดว่าดอนฮวนคงจะมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนที่ทำให้แกแปลความหมายสิ่งต่าง ๆ ได้ "ถูกต้อง"
"มีทางเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ นั่นก็คือ ให้ทำตามข้อแนะนำที่ผมบอกกับคุณนับตั้งแต่วันแรกที่คุณมาหาผม" แกบอก
"การที่จะมีพลังนั้นคุณต้องอยู่กับพลัง" ดอนฮวนยิ้มอย่างมีเมตตา แกไม่มีท่าทางดุดันอีกและกระทุ้งแขนผมเบา ๆ "กินเนื้อประจุพลังเสียสิ" แกกระตุ้น
ผมเคี้ยวเนื้อแห้ง และผมทราบในทันใดนั้นว่า บางทีเนื้อแห้งนี้จะใส่สารลวงจิตบางอย่างลงไปด้วย ดังนั้นมันจึงทำให้เราเห็นภาพลวงตา ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที ถ้าหากดอนฮวนใส่อะไรลงไปในเนื้อนี้จริง ภาพที่ผมเห็นเมื่อคืนก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ผมขอให้แกบอกว่ามีอะไรหรือเปล่าใน "เนื้อประจุพลัง"
แกหัวเราะแต่ไม่ตอบผมตรง ๆ ผมเร่งเร้าให้แกพูดโดยให้คำมั่นใจกับแกว่าจะไม่โกรธหรือทำหงุดหงิด แต่ผมบอกว่าผมต้องทราบเพื่อจะอธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาให้เป็นที่พอใจได้ ผมเร่งรัด คะยั้นคะยอและในที่สุดขอร้องให้แกบอกความจริงกับผม
"คุณนี่บ้าจริง ๆ " แกบอกแล้วสั่นหัวเหมือนกับไม่เชื่อเอาเลย "คุณมีนิสัยไม่ยอมง่าย ๆ คุณยืนกรานในความพยายามที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นที่พอใจของตัวเอง ไม่มีอะไรเลยในเนื้อแห้งนอกจากพลัง พลังที่ว่านี้ไม่ใช่ผมหรือผู้อื่นใส่ลงไป แต่พลังนั่นแหละที่ประจุตัวของมันเองลงไป มันเป็นเนื้อกวางแห้งและกวางตัวนั้นเป็นของขวัญสำหรับผม ในลักษณะเดียวกันกับกระต่ายตัวหนึ่งมาเป็นของขวัญสำหรับคุณนานมาแล้ว ผมไม่ได้บอกให้คุณย่างเอาเนื้อของมันไว้ เพราะการที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องการพลังมากกว่าที่คุณมีอยู่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมบอกให้คุณกินเนื้อของมัน คุณกินเพียงนิดเดียวเพราะความโง่เขลาของคุณเอง
"สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ใช่เรื่องตลกหรือเล่นพิเรนทร์อะไรทั้งสิ้น คุณเผชิญกับพลัง หมอก, ความมืด, ฟ้าแลบ, ฟ้าผ่าและฝนที่ตกลงมาเป็นส่วนต่าง ๆ ของการประลองยุทธที่ยิ่งใหญ่ของพลัง คุณมีโชคดีของคนเซ่อ นักรบยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เกิดการประลองยุทธของพลังดังที่เห็น"
ข้อโต้แย้งของผมก็มีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่น่าจะเป็นการสู้รบของพลังเลย เพราะมันไม่จริง
"แล้วอะไรล่ะที่จริง" แกถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
"ก็นี่ไง สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นี่แหละจริง" ผมพูดพร้อมกับชี้ไปรอบ ๆ
"แต่สะพานที่คุณเห็นเมื่อคืนที่แล้ว ป่าและสิ่งอื่น ๆ ก็จริงเหมือนกัน"
"ถ้าสิ่งเหล่านั้นจริงล่ะ เดี๋ยวนี้มันอยู่ที่ไหน"
"มันก็อยู่ที่นี่แหละ ถ้าคุณมีพลังเพียงพอคุณจะเรียกให้มันกลับมาได้ แต่ตอนนี้คุณไม่อาจทำเช่นนั้นเพราะคุณคิดว่าการสงสัยและแคะไค้หาคำตอบอยู่ตลอดไปนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ มันไม่อาจช่วยคุณได้เลย เพื่อนรัก มันช่วยไม่ได้จริง ๆ มีโลกซ้อนโลกอยู่เบื้องหน้าของเรานี่เอง และนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหัวเราะเยาะ เมื่อคืน ถ้าผมไม่ยึดแขนของคุณไว้ คุณคงเดินข้ามสะพานนั้นไม่ว่าคุณอยากจะเดินหรือไม่ก็ตามที และก่อนหน้านั้นอีก ผมปกป้องคุณไว้จากลมที่เสาะหาตัวคุณ"
"อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าคุณไม่ป้องกันผมไว้"
"ในเมื่อคุณไม่มีพลังเพียงพอ ลมนั่นก็จะทำให้คุณหลงทาง บางทีมันอาจจะฆ่าคุณโดยผลักคุณให้ตกหน้าผา เมื่อคืนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในหมอกก็เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์สองอย่างอาจเกิดกับคุณได้คือ คุณอาจเดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือคุณอาจตกสะพาน อุบัติการณ์ทั้งสองอย่างนั้นขึ้นอยู่กับพลัง แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าจะแน่ใจได้ว่าจะเกิดขึ้นคือ ถ้าผมไม่ป้องกันคุณไว้คุณคงเดินข้ามสะพานนั้นไปโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น นั่นคือธรรมชาติของพลังดังที่ผมเคยบอกกับคุณ พลังสั่งให้คุณทำสิ่งต่าง ๆ แต่กระนั้นพลังก็อยู่ในบังคับของคุณด้วย ยกตัวอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา พลังบังคับให้คุณเดินข้ามสะพาน และมันจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณด้วยเพื่อระวังรักษาคุณในขณะที่คุณเดินข้ามไป ผมยั้งคุณเอาไว้เพราะทราบดีว่าคุณไม่มีเครื่องมือที่จะใช้พลัง และหากไม่มีพลังสะพานนั้นก็จะพังลงมา"
"คุณเองมองเห็นสะพานหรือเปล่าล่ะ ดอนฮวน"
"ผมไม่เห็นหรอก ผม เห็น พลังเท่านั้น พลังอาจเป็นอะไรก็ได้ คราวนี้สำหรับคุณพลังคือสะพาน ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นสะพาน พวกเราเป็นสัตว์โลกที่ลึกลับที่สุด"
"คุณเคยเห็นสะพานในหมอกรึเปล่า"
"ผมไม่เคยเห็นเลย แต่นั่นก็เพราะผมไม่เหมือนกับคุณ ผมเห็นสิ่งอื่น การต่อสู้ของพลังของผมไม่เหมือนของคุณ"
"ถ้าอย่างนั้นคุณเห็นอะไรดอนฮวน คุณบอกผมได้ไหม"
"ผมเห็นคู่ปรปักษ์ของผมในการสู้รบของพลังในหมอกครั้งแรก คุณไม่มีศัตรู คุณไม่เกลียดใคร แต่ในตอนนั้นผมเกลียดคนอื่น ผมปล่อยใจให้เกลียดผู้อื่น ผมไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวนี้ ผมดับความเกลียดได้แล้ว แต่ในตอนนั้นความเกลียดเกือบจะทำลายผมให้ย่อยยับลงไป"
"การสู้รบของพลังของคุณมีลักษณะตรงกันข้ามคือเรียบร้อยดี มันไม่ล้างผลาญคุณ ขณะนี้คุณกำลังล้างผลาญตัวเองด้วยความสงสัยและความคิดที่ไร้สาระ นี่เป็นทางที่คุณปล่อยตามใจตัวเอง
"หมอกหาที่ตำหนิในตัวคุณไม่ได้ คุณมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับมัน มันจึงมอบสะพานมโหฬารพันลึกให้กับคุณ และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สะพานนั้นจะอยู่ที่นั่นสำหรับคุณ มันจะปรากฏกับคุณครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะต้องเดินข้ามไป
"ผมจึงขอเตือนคุณเป็นการจริงจังว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจงอย่าเดินคนเดียวในที่ที่หมอกลงจัด จนกว่าคุณจะรู้ตัวดีว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
"พลังเป็นเรื่องที่น่าขนพองสยองเกล้า การที่จะมีพลังและบังคับพลังได้นั้นคุณต้องเริ่มต้นด้วยการมีพลัง อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ทีเดียว ที่จะสะสมพลังทีละเล็กละน้อยจนกระทั่งคุณมีพลังเพียงพอที่จะทนต่อการประลองยุทธของพลังได้"
"อะไรคือการประลองยุทธของพลัง ดอนฮวน"
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเมื่อคืนเป็นการเริ่มต้นของการประลองยุทธของพลัง ภาพที่คุณเห็นเป็นที่มาของพลัง สักวันหนึ่งหรอกที่มันจะมีความหมายขึ้นมาสำหรับคุณบ้าง ทัศนียภาพที่เห็นนั้นมีความหมายอย่างที่สุด"
"คุณพอจะบอกถึงความหมายของมันได้ไหมล่ะ"
"ไม่ได้หรอก ทัศนียภาพเหล่านั้นเป็นชัยชนะเฉพาะตัวของคุณซึ่งคุณไม่อาจมีส่วนร่วมกับคนอื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการสู้รบประปราย การสู้รบที่แท้จริงจะเริ่มข้นเมื่อคุณเดินข้ามสะพาน อะไรล่ะที่อยู่ ณ ฝั่งตรงกันข้าม คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ และคุณเพียงคนเดียวที่จะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงสุดของทางเดินในป่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นอาจจะเกิดหรือไม่เกิดกับคุณก็ได้ การที่จะจาริกไปตามทางเดินในป่าหรือไต่ข้ามสะพานไปได้คุณต้องมีพลังส่วนตัวอย่างเพียงพอ"
"อะไรจะเกิดขึ้นบ้างถ้าผมไม่มีพลังเพียงพอ"
"ความตายยังคอยอยู่ตลอดไป และเมื่อพลังของนักรบเสื่อมถอยลง ความตายจะเอื้อมมือเข้าแตะ ดังนั้นการที่จะเสี่ยงภัยเข้าไปสู่สิ่งที่ไม่อาจทราบได้โดยไม่มีพลังใด ๆ เลย จึงเป็นเรื่องโง่เขลา คุณจะพบกับความตายเท่านั้นเอง"
ผมไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจจริง ๆ ผมยังคิดว่าเนื้อแห้งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาพลวงตาเหล่านั้น เมื่อคิดอย่างนี้มันทำให้สงบลงไปได้
"อย่าบีบคั้นตัวเองในความพยายามที่จะหาคำตอบให้ได้" ดอนฮวนพูดออกมาราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก "โลกเป็นสิ่งลึกลับ สิ่งนี้, สิ่งที่คุณกำลังมองอยู่นี้ไม่ใช่ทั้งหมดที่คุณเห็น โลกมีมากกว่านี้ ความจริงแล้วมีมากเหลือเกินจนไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อคุณพยายามที่จะให้มันเป็นอะไรขึ้นมาให้ได้นั้น ทั้งหมดที่คุณทำได้จริง ๆ คือพยายามที่จะทำให้โลกเป็นที่คุ้นเคยดีขึ้นเท่านั้นเอง คุณและผมอยู่ที่นี่ อยู่ในโลกที่คุณบอกว่าจริง เพราะทั้งคุณและผมรู้จักมันดีเท่านั้นเอง คุณยังไม่รู้จักโลกของพลัง ดังนั้นคุณจึงไม่อาจทำให้โลกของพลังนั้นเป็นภาพของโลกที่คุณรู้จักเป็นอย่างดีได้"
"คุณทราบดีอยู่แล้วว่าผมไม่อาจพูดหักล้างคุณได้ ดอนฮวน" ผมบอก "แต่จิตของผมก็ยอมรับมันไม่ได้เหมือนกัน"
ดอนฮวนหัวเราะแล้วเอามือมาแตะที่หัวของผมเบา ๆ "คุณนี่บ้าจริง ๆ แหละ" แกพูด "แต่นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก ผมทราบดีว่า มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหนที่จะมีชีวิตอย่างนักรบ ถ้าหากคุณเชื่อในคำสอนของผมและกระทำสิ่งที่ผมสอนคุณแล้ว คุณน่าจะมีพลังอย่างเพียงพอที่จะเดินข้ามสะพานนั้น และคุณน่าจะมีพลังพอที่จะ เห็น และ หยุดโลก"
"แต่ทำไมผมจึงจะต้องการพลังล่ะ"
"ในตอนนี้คุณคิดหาเหตุผลไม่ได้หรอก อย่างไรก็ตามถ้าคุณสะสมพลังไว้มากพอแล้ว พลังนั่นเองจะทำให้คุณเห็นเหตุผลที่เหมาะสมในเรื่องนี้ ฟังดูบ้าดีไหม"
"ทำไมคุณเองจึงต้องการพลังล่ะ ดอนฮวน"
"ผมก็เหมือนกับคุณ ผมไม่ต้องการพลังเลย ผมไม่อาจหาเหตุผลเพื่ออยากจะมีมันขึ้นมา ผมมีข้อสงสัยมากมายเหมือนกับคุณและไม่เคยทำตามคำแนะนำที่ได้รับหรือไม่เคยคิดจะทำตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม จากความโง่เขลาของผม ผมสะสมพลังไว้จนเพียงพอ และในวันหนึ่ง พลังส่วนตัวของผมก็ทำให้โลกแตกทำลายลง"
"แต่ไม่ว่าใครก็ตามเถอะ ทำไมเขาจึงมีความปรารถนาที่จะ หยุดโลก"
"ไม่มีใครอยากทำเช่นนั้นหรอก นี่คือจุดสำคัญ มันอุบัติขึ้นมาเฉย ๆ และเมื่อใดที่คุณรู้ว่าตัวเองการหยุดโลกเป็นเช่นไรแล้วคุณจะรู้แจ้งขึ้นมาเองว่ามีเหตุผลอยู่ในเรื่องนี้ คุณรู้ไหมว่าศิลปะอย่างหนึ่งของนักรบคือ การที่จะทำให้โลกแตกทำลายลงด้วยเหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่ง แล้วต่อมาเขาก่อโลกให้คงเดิมอีกครั้งเพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป"
ผมบอกแกว่า บางทีวิธีการที่จะทำให้ผมเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือยกตัวอย่างเหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่งของการทำให้โลกแตกทำลายลง ดอนฮวนเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าแกกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกมา
"ผมบอกกับคุณไม่ได้หรอก" แกพูด "มันต้องใช้พลังมากมายเพื่อพูดในเรื่องนี้ ซักวันหนึ่งคุณจะมีชีวิตอย่างนักรบด้วยความสามารถของคุณเอง จากนั้น บางทีคุณจะผนึกพลังส่วนตัวอย่างเพียงพอเพื่อตอบคำถามนั้นด้วยดัวยคุณเอง
"ผมได้สอนเกือบทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณเท่าที่นักรบจำเป็นต้องรู้ เพื่อว่าจะตั้งต้นมีชีวิตในโลกนี้และสะสมพลังด้วยตนเอง แต่ผมรู้ว่าคุณยังทำไม่ได้ ผมต้องอดทน ผมทราบความจริงที่ว่ามันเป็นการต่อสู้ตลอดชีวิตด้วยตัวของตัวเองในโลกของพลังนี้"
แกมองไปยังท้องฟ้าและภูเขา ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก และเมฆฝนกำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือภูเขา ผมไม่ทราบเวลาเพราะลืมไขลานนาฬิกาข้อมือ ผมถามว่าแกสามารถบอกเวลาได้ไหม แกหัวเราะออกมาอย่างดังจนตัวของแกกลิ้งไปตามแผ่นหินราบไปจนถึงพุ่มไม้
แกยืนขึ้นเหยียดแขนแล้วหาวออกมา
"ยังบ่ายอยู่เลย" แกบอก "เราต้องคอยจนกว่าหมอกจะรวมตัวกันขึ้นที่ยอดเขา และต่อจากนั้นคุณต้องยืนอยู่คนเดียวบนแผ่นนี้และกล่าวขอบคุณหมอกที่มีไมตรีจิตกับคุณ ให้มันเข้ามาโอบอุ้มคุณไว้ ผมจะคอยอยู่ใกล้เพื่อช่วยเหลือคุณหากมีความจำเป็น"
อะไรก็แล้วแต่เถอะ การที่อยู่คนเดียวท่ามกลางกลุ่มหมอกทำให้ผมกลัวมาก ผมคิดว่าบ้ามากที่แสดงกริยาผิดปกติออกมาเช่นนี้
"คุณไม่อาจออกจากภูเขาอันเปล่าเปลี่ยวนี้โดยไม่กล่าวขอบคุณ" ดอนฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "นักรบไม่เคยหันหลังให้กับพลังโดยไม่เปล่งเสียงออกมาขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับโดยมีไมตรีจิต" แกนอนราบลง เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอยแล้วเอาหมวกปิดใบหน้าไว้
"ผมจะคอยหมอบอย่างไรล่ะดอนฮวน" ผมถาม "คือผมควรจะทำอะไรดี"
"เขียนสิ !" แกพูดออกมาจากภายใต้หมวก "แต่อย่าหลับหรือหันหลังให้กับมัน" ผมพยายามเขียนหนังสือ แต่ผมไม่สามารถคุมจิตให้จดจ่อลงไปได้ ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย ดอนฮวนเปิดหมวกออกแล้วมองมาทางผมอย่างรำคาญ
"นั่งลง !" แกสั่ง
แกบอกว่า การสู้รบของพลังยังไม่ยุติลงเลยและผมต้องสั่งสอนจิตวิญญาณของผมให้สงบ อย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผมทำลงไปส่อให้เห็นถึงความรู้สึกของผม นอกจากว่าผมอยากจะถูกจับตัวไว้ในภูเขาเหล่านี้
แกลุกขึ้นนั่งและโบกไม้โบกมือแสดงความรีบด่วน แกบอกว่า ผมต้องทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเพราะสถานที่ของพลังชนิดที่เรานั่งอยู่นี้มีอำนาจดูเอาพลังของคนที่หวาดกลัว ดังนั้นคุณจะทำให้เกิดสายใยผูกพันที่ประหลาดและมีอันตรายกับสถานที่แห่งนี้
"สายใยผูกพันนั้นจะเกี่ยวคน ๆ นั้นไว้กับสถานที่ของพลังแห่งใดแห่งหนึ่ง บางที่อาจเกี่ยวไว้ตลอดชีวิต" แกบอก "และที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุณ คุณไม่ได้พบมันด้วยตัวของคุณเองดังนั้นรัดเข็มขัดให้แน่นเข้าไว้อย่าให้กางเกงหลวมได้ !"
คำเตือนของแกเหมือนจะเป็นมนต์ ผมนั่งเขียนบันทึกอยู่ได้นับเป็นชั่วโมงโดยไม่หยุดเลย
ดอนฮวนหลับต่อไปและไม่ตื่นจนกระทั่งหมอกที่เลื่อนลงมาจากยอดเขาอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ หลา แกยืนขึ้นแล้วสำรวจดูภูมิประเทศ ผมมองไปรอบ ๆ โดยไม่หันตัว หมอกรุกเข้ามายังพื้นที่ต่ำข้างล่างโดยเลื่อนลงมาจากยอดเขาทางด้านขวามือ ทางด้านซ้ายมือของผมทัศนียภาพยังแจ่มใส ดูเหมือนลมจะพัดมาจากทางด้านขวาและผลักให้กลุ่มหมอกเคลื่อนลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่าง เหมือนกับว่ามันจะล้อมเราไว้
ดอนฮวนกระซิบว่าผมต้องอยู่ในสภาวะที่สงบและยืนอยู่ตรงที่ที่ผมนั่งอยู่นี้โดยไม่หลับตา และผมต้องไม่หันตัวไปโดยรอบจนกว่าหมอกจะล้อมตัวผมไว้ หลังจากนั้นเท่านั้นที่การเดินทางกลับของเราจะเป็นไปได้
เรายึดเอาฐานของก้อนหินก้อนหนึ่งห่างออกไปไม่กี่ฟุตเป็นที่กำบังทางด้านหลังของผม
ความเงียบในภูเขาเหล่านี้เป็นสิ่งพิเศษสุดและในบางคราวน่าหวาดกลัว สายลมอ่อนที่พาหมอกลงมานั้นทำให้ผมรู้สึกว่าหมอกกำลังเป่าที่ใบหูของผม หมอกกลุ่มใหญ่เคลื่อนลงมาเหมือนกับก้อนวัตถุตันสีขาวกลิ้งมาหาผม ผมได้กลิ่นหมอก มันมีส่วนผสมของกลิ่นฉุนและกลิ่นหอมที่ประหลาด และต่อมาหมอกกลุ่มนั้นโอบล้อมตัวของผมไว้
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าหมอกกำลังทำอะไรซักอย่างหนึ่งที่ขนตาของผม ขนตาหนักและผมอยากจะหลับตาลง ผมรู้สึกหนาว คันที่คอและอยากจะไอออกมาแต่ผมก็ไม่กล้าไอ ผมเงยคางขึ้น ยืดคอให้ทุเลาความรู้สึกอยากจะไอ และขณะที่ผมเงยขึ้นไปนั้น ผมรู้สึกว่ามองเห็นความหนาของกลุ่มหมอก มันเหมือนกับว่าตาสามารถประเมินความหนาโดยมองผ่านหมอกเข้าไปได้ ตาของผมเริ่มหรี่ลง ผมสู้กับความง่วงไม่ไหวและรู้สึกว่าตัวกำลังจะทรุดฮวบลงกับพื้นในขณะหนึ่งขณะใดก็ได้ ขณะนั้นเองดอนฮวนกระโดดเข้ามา ฉวยที่แขนแล้วสั่นตัวของผม แรงที่แกสั่นแรงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกแจ่มใสขึ้นมาได้
แกกระซิบที่หูของผมว่า ผมต้องวิ่งลงเนินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แกจะวิ่งตามผมลงไปเพราะแกไม่อยากถูกทับด้วยก้อนหินที่ผมเตะพลิกขณะที่ผมวิ่ง แกบอกว่าผมเป็นหัวหน้า ในเมื่อนี่เป็นการประลองยุทธของพลังของผม ดังนั้นผมจึงต้องมีมันสมองที่แจ่มใส ปล่อยวาง เพื่อว่าจะได้นำเราไปสู่ที่ปลอดภัย
"นี่คือความรู้สึกอันนั้น" แกพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง "ถ้าคุณไม่มีอารมณ์อย่างนักรบแล้วเราอาจจะไม่มีวันหนีออกจากกลุ่มหมอกนี้ได้"
ผมรีรออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าจะหาทางวิ่งลงไปจากเขาลูกนี้ได้
"วิ่งเร็ว เจ้ากระต่ายน้อย วิ่ง!" ดอนฮวนตะโกนออกมาดังลั่นแล้วดันผมเบา ๆ ให้วิ่งลงเนินไป
--------------------------------------------------------------------------------
(ตั้งแต่บทที่ ๑๒ เป็นต้นไป
ได้รับความเอื้อเฟื้อในการคีย์ข้อมูลและตรวจพิสูจน์อักษร
โดย "คุณบี" และ "คุณวรวุฒิ"
ขอได้รับความขอบคุณจาก ODZ)
http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson11-12.html#ixt11