ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๒. การประลองยุทธของพลัง  (อ่าน 2322 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
       

       
             
๑๒. การประลองยุทธของพลัง


              พฤหัส ๒๘ ธันวาคม ๑๙๖๑
             
               เราเริ่มเดินทางตั้งแต่เช้ามืด โดยขับรถมุ่งไปทางทิศใต้แล้ววกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดอนฮวนเอาอาหารใส่ลงไปในน้ำเต้า เรารับประทานอาหารกันในรถก่อนที่จะออกเดินด้วยเท้าต่อไป
           "เดินให้ชิดตัวของผมเข้าไว้" แกบอก "แถวนี้เป็นถิ่นที่คุณไม่รู้ และไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยง คุณกำลังจะเสาะหาพลังและทุกสิ่งที่คุณทำลงไปมีความหมายทั้งสิ้น ให้คอยสังเกตดูลม โดยเฉพาะลมที่พัดก่อนเวลากลางวันจะสิ้นสุดลง ให้เฝ้าดูเมื่อมันเปลี่ยนทิศทางแล้วเคลื่อนตัวมาในตำแหน่งที่ผมจะบังคุณไว้ได้"
            "เราจะไปทำอะไรที่ภูเขาเหล่านั้น ดอนฮวน"
            "คุณจะไปล่าพลัง"
            "ผมหมายถึงว่า เราจะทำอะไรเป็นพิเศษลงไป"
            "มันไม่มีแผนการอะไรเลยเมื่อเราออกล่าพลัง การล่าพลังหรือการล่าสัตว์มีลักษณะเหมือนกัน พรานจะล่าสิ่งที่เขาพบ ดังนั้นพรานต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมตลอดเวลา
            "คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องของลมแล้ว และตอนนี้คุณอาจจะล่าพลังที่มีอยู่ในลมด้วยตัวคุณเอง แต่ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกที่คุณไม่รู้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็เหมือนกับลมนั่นเอง คือเป็นศูนย์ที่รวมของพลังในช่วงเวลาหนึ่งของวัน หรือในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง"
            "พลังเป็นสิ่งที่แปลก" แกพูดต่อ "เราไม่อาจจับมันไว้ได้อย่างมั่งคงหรือพูดออกมาให้ชัดว่ามันคืออะไรแน่ มันเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อสิ่งต่าง ๆ พลังเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน มันเป็นของคุณเพียงคนเดียว ยกตัวอย่างของผู้อุปการะของผม (หมายถึง หมอผีซึ่งเป็นครูของดอนฮวน-ผู้แปล) แกสามารถทำให้ผู้อื่นป่วยปางตายได้ด้วยการมองไปยังคนคนนั้นเท่านั้น พวกผู้หญิงจะผอมแห้งลงไปทันทีหลังจากที่แกมองดู แต่แกก็ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเจ็บป่วยเสมอไปหรอก นอกจากว่าพลังส่วนตัวของแกจะเข้ามายุ่งด้วยเท่านั้น"
            "แล้วแกเลือกได้อย่างไรว่าจะทำให้ใครสักคนหนึ่ง ไม่สบายขึ้นมา"
           "ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตัวแกเองก็ไม่ทราบ พลังเป็นอย่างนั้นเอง มันสั่งการคุณ กระนั้นมันยังเชื่อฟังคุณด้วย
           "พรานผู้ล่าพลังจะจับพลังเอาไว้ ต่อมาเขาจะสั่งสมเพิ่มพูนมันขึ้นมาเรื่อย ๆ ในฐานะที่มันเป็นสิ่งที่ค้นหามาได้เฉพาะตัว ดังนั้นพลังส่วนตัวนี้จะงอกงามขึ้น และอาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน ในกรณีของนักรบที่มีพลังส่วนตัวมากพอจนเขากลายเป็นผู้รู้แจ้ง"
            "เราสะสมพลังได้อย่างไรดอนฮวน"
            "นั่นก็เป็นความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับว่านักรบคนนั้นเป็นคนชนิดไหน ผู้อุปการะของผมเป็นคนที่มีธรรมชาติรุนแรง แกก็สั่งสมพลังจากความรู้สึกชนิดนั้น ทุกสิ่งที่แกทำจะแรงและตรง แกทำให้ผมจำได้ถึงอะไรสักอย่างที่ทำลายทุกสิ่งลงไป และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดกับแกก็จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน"

            ผมบอกแกว่า ผมไม่เข้าใจว่าพลังจะสะสมขึ้นมาจากความรู้สึกได้อย่างไร

           "ไม่มีทางที่จะอธิบายในเรื่องนี้" ดอนฮวนพูดออกมาหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน "คุณต้องทำด้วยตัวของคุณเอง"
           แกหยิบเอาน้ำเต้าใส่อาหารขึ้นมาแล้วมัดติดกับหลัง แกยื่นพวงเนื้อแห้งซึ่งมีเนื้ออยู่แปดชิ้นให้ผมห้อยไว้ที่คอ
           "นี่เป็นอาหารประจุพลัง" แกบอก "มันเป็นเนื้อของสัตว์ที่มีพลัง เนื้อกวาง กวางชนิดพิเศษจริง ๆ พลังส่วนตัวของผมนำกวางตัวนี้มาให้ เนื้อนี้จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้หลายอาทิตย์หรือหลายเดือนหากจำเป็นจะต้องอยู่ต่อไป การกินแต่ละครั้งจะต้องเคี้ยวทีละนิดและเคี้ยวให้ละเอียด ให้พลังซึมซาบเข้าไปในร่างกายของคุณช้า ๆ "

            เราเริ่มออกเดิน ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า ดอนฮวนเตือนผมอีกครั้งถึงสิ่งที่ผมต้องทำ
           "ให้สังเกตดูลม" แกบอก "อย่าให้มันล่าคุณได้ และอย่าให้มันทำให้คุณเหนื่อย จงเคี้ยวเนื้อประจุพลังแล้วซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวของผม ลมไม่ทำอันตรายผมเพราะเรารู้จักกันและกันดี"

           แกเดินนำผมมุ่งหน้าไปทางภูเขาสูง วันนั้นมีเมฆหนาและฝนทำท่าจะตกลงมา ผมมองเห็นเมฆฝนเลื่อนตัวต่ำลงและหมอกที่ลอยอยู่เหนือภูเขากำลังเลื่อนลงมายังบริเวณที่เรากำลังเดินอยู่

            เราเดินกันเงียบ ๆ จนถึงเวลาบ่ายสามโมง การเคี้ยวเนื้อแห้งทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจริง ๆ และการเฝ้าสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของลมที่พัดมา กลายเป็นเรื่องที่ประหลาดมากจนถึงระดับที่ว่าร่างกายของผมจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนทิศของมันได้ก่อนที่มันจะพัด ผมเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งที่สามารถกำหนดคลื่นของลมเป็นการล่วงหน้าในลักษณะที่เป็นแรงกด รู้สึกได้ในช่องปอดด้านบนหรือบนหลอดลมตรงนั้น ทุกครั้งก่อนที่ลมจะพัดมากระทบ ผมจะรู้สึกคันที่ปอดและลำคอ

           ดอนฮวนหยุดเดินครู่หนึ่งแล้วมองไปรอบ ๆ แกทำท่าว่าจะเปลี่ยนทิศทาง และต่อมาแกหันไปทางขวามือ ผมเห็นแกเคี้ยวเนื้อแห้งอยู่เหมือนกัน ผมรู้สึกสดชื่นและไม่เหนื่อยเลย การมีงานที่จะต้องเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงทิศทางของลม ทำให้ผมระวังระไวอยู่ตลอดเวลาจนไม่ทราบเวลาที่ล่วงเลยไป
           เราเดินเข้าไปในหุบลึกแล้วเดินขึ้นไปตามไหล่ที่ราบสูง ไม่กว้างนักที่อยู่ติดไหล่ของภูเขาใหญ่ เราอยู่บนที่ค่อนข้างสูงเกือบจะยอดเขา ดอนฮวนปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ ที่ตั้งอยู่ตรงสุดของด้านหนึ่งของที่ราบสูงนั้น แกดึงผมขึ้นไปด้วย หินก้อนนั้นมีรูปเหมือนโดมตั้งอยู่บนหน้าผาสูง เราเดินช้า ๆ ไปรอบหินก้อนนั้น ต่อมาผมต้องเลื่อนตัวไปในท่านั่งและต้องคลานไปในที่สุด เหงื่อผุดออกมาจนเปียกโชกตัว ทำให้ผมต้องปาดออกด้วยมือครั้งแล้วครั้งเล่า

           จากด้านหนึ่งของก้อนหินเรามองเห็นถ้ำใหญ่แต่ไม่ลึกนักอยู่ใกล้กับยอดเขา มันคล้ายกับห้องโถงที่เจาะลึกเข้าไปในหิน หินทรายที่ผุกร่อนไปด้วยดินฟ้าอากาศทำให้เกิดเป็นระเบียงมีเสาค้ำอยู่สองเสา

           ดอนฮวนบอกว่า เราจะขึ้นไปตั้งแค้มป์พักกันที่นั่นเพราะเป็นที่ที่ปลอดภัย มันเป็นถ้ำที่ตื้นเกินไปจะเป็นที่อยู่ของสิงโตหรือสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น และอยู่ในที่โล่งเกินกว่าจะเป็นรังของพวกหนู นอกไปจากนั้นยังเป็นที่ที่ลมพัดโกรกอยู่ตลอดเวลาแมลงก็อยู่ไม่ได้ ดอนฮวนหัวเราะแล้วบอกว่า ถ้ำแห่งนั้นเหมาะสำหรับมนุษย์เท่านั้นเพราะสัตว์ชนิดอื่นทนอยู่ในที่เช่นนั้นไม่ได้
            แกปีนขึ้นไปยังถ้ำนั้นราวกับว่าแกเป็นตัวเลียงผา ผมประหลาดใจในความคล่องแคล่วว่องไวของแกเป็นอย่างยิ่ง
            ผมเคลื่อนตัวลงมาจากหินก้อนใหญ่ แล้วพยายามวิ่งขึ้นไปตามไหล่เขามุ่งสู่เชิงผาแห่งนั้น ระยะสองสามหลาก่อนถึงที่หมายผมเหนื่อยมาก ผมถามเชิงสัพยอกดอนฮวนว่า แกอายุเท่าไหร่แล้ว ผมคิดว่าการปีนขึ้นไปจนถึงหน้าผาในลักษณะที่ดอนฮวนกำลังทำอยู่นั้นคุณต้องมีสุขภาพสมบูรณ์และยังหนุ่ม
            "ผมเป็นคนหนุ่มเท่าที่ผมอยากจะเป็น" แกบอก "นี่เป็นเรื่องพลังส่วนตัวอีกนั่นแหละ ถ้าคุณสะสมพลังเอาไว้ได้ ร่างกายของคุณจะแสดงความสามารถชนิดที่ไม่น่าเชื่อทีเดียว แต่ถ้าหากคุณใช้พลังอย่างสุรุ่ยสุร่ายคุณก็จะเป็นคนแก่อ้วนฉุเมื่อไรก็ได้ ไม่มีกำหนด"
           หน้าผาแห่งนั้นเป็นแนวยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก ผมเดินไปยังส่วนสุดทางด้านตะวันตก ภาพที่เห็นสวยมหัศจรรย์ ฝนกำลังตีวงล้อมเข้ามา มันดูเหมือนกับวัตถุโปร่งแสงที่ห้อยอยู่เหนือแผ่นดินที่ต่ำลงไป
           ดอนฮวนบอกว่า เรามีเวลาพอที่จะสร้างที่หลบฝน แกบอกให้ผมก่อกองหินโดยใช้หินมากเท่าที่ผมจะหามาได้ขณะที่แกก็จะไปหากิ่งไม้มาเพื่อทำหลังคา
           ในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว ดอนฮวนก่อกำแพงหนาประมาณหนึ่งฟุตทางด้านทิศตะวันออกของหน้าผากำแพงนั้นยาวประมาณสองฟุตและสูงประมาณสามฟุต แกสานและมัดกิ่งไม้เข้าด้วยกันเพื่อทำเป็นหลังคาแล้วค้ำไว้ด้วยไม้ง่ามดุ้นยาว ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็เอาไม้ง่ามขนาดยาวเท่ากันมาค้ำไว้ ในทิศตรงกันข้ามกับกำแพงหิน โครงสร้างของเพิงจึงดูเหมือนกับโต๊ะสูงที่มีสามขา
            ดอนฮวนนั่งขัดสมาธิตรงมุมสุดของระเบียงหิน แกบอกให้ผมนั่งทางด้านขวาของแก เรานั่งอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง
           ต่อมาดอนฮวนกระซิบว่า เราต้องทำตัวเหมือนกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ผมถามว่ามีอะไรบ้างที่ผมควรจะทำ แกบอกว่าผมควรจะใส่ใจอยู่กับโต๊ะที่บ้าน ไม่มีวิตกกังวลกับอะไรทั้งสิ้นนอกจากงานที่กำลังทำอยู่ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแกจะสะกิดให้ผมมองไปยังสิ่งที่แกจะชี้ด้วยสายตา แกเตือนผมว่าไม่ว่าผมจะเห็นอะไรก็แล้วแต่ ผมต้องไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แกคนเดียวเท่านั้นที่พูดออกมาได้โดยไม่มีอันตราย เพราะพลังทั้งหลายที่อยู่ตามภูเขาเหล่านี้รู้จักแกดี
           ผมทำตามที่แกบอกและนั่งเขียนเป็นชั่วโมง ผมหมกมุ่นอยู่กับการเขียนและทันใดนั้นผมรู้สึกว่ามีอะไรมาแตะเบา ๆ ที่แขน ผมเห็นสายตาและใบหน้าของดอนฮวนหันไปมองทางกลุ่มหมอกที่อยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ หลา หมอกกลุ่มนั้นลอยลงมาจากยอดเขา แม้จะอยู่ใกล้กันมาก แกกระซิบออกมาพอได้ยินเท่านั้น
           "เลื่อนสายตากลับไปกลับมาที่กลุ่มหมอก" แกสั่ง "แต่อย่ามองมันตรง ๆ ให้กระพริบตาได้แต่อย่ามองตรงเข้าไป เมื่อคุณมองเห็นจุดสีเขียวให้เตือนผมด้วยสายตา"
           ผมเลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา ดูกลุ่มหมอกที่เคลื่อนลงมาช้า ๆ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เริ่มจะมืดแล้วและหมอกเคลื่อนช้ามาก ขณะหนึ่งนั้นผมรู้สึกแวบขึ้นมาว่ามองเห็นแสงเรืองจาง ๆ ทางด้านขวามือ ทีแรกผมคิดว่ามองเห็นหย่อมของพุ่มไม้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกลุ่มหมอก แต่เมื่อมองดูตรง ๆ ผมกลับมองไม่เห็นอะไร แต่พอมองโดยไม่เพ่งที่จุดหนึ่งจุดใดผมเห็นบริเวณที่มีสีเขียวจาง ๆ
           ผมทำท่าบอกให้ดอนฮวนทราบ แกชายตามองแล้วจ้องตรงไปยังจุดดังกล่าว
           "จ้องที่จุดนั้น" แกกระซิบที่หูของผม "ให้มองดูโดยไม่กระพริบตาจนคุณ เห็น"
           ผมอยากจะถามว่า อะไรล่ะที่ผมควรจะเห็น แต่ดอนฮวนนัยน์ตาลุกวาวมองดูผมเหมือนกับจะเตือนว่า ผมต้องไม่พูดอะไรออกมา
           ผมเพ่งดูจุดนั้นอีกที หมอกกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนลงมาจากข้างบนห้อยอยู่ราวกับว่ามันเป็นโลหะตันชิ้นหนึ่ง มันเรียงเป็นแนวตรงบริเวณที่ผมมองเห็นจุดสีเขียวจาง ผมเหนื่อยลูกตาจึงขยิบตาและในตอนแรกผมเห็นหมอกกลุ่มนั้นทาบทับลงไปบนกลุ่มหมอกเดิม ต่อมาผมมองเห็นสายหมอกเป็นใยบางอยู่ระหว่างหมอกทั้งสองกลุ่มดูแล้วเหมือนกับโครงบาง ๆ ไม่มีอะไรค้ำไว้ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างภูเขาที่อยู่ข้างบนกับกลุ่มหมอกที่อยู่ข้างหน้าของผมชั่วครู่หนึ่งที่ผมคิดว่ามองเห็นหมอกบางใสลอยลงมาจากยอดเขาโดยไม่ทำอะไรให้สะพานที่เห็นนั้นเลย ราวกับว่ามันเป็นสะพานจริง ๆ ผมมองเห็นภาพมายานั้นชัดมากจนผมเห็นแม้ความแตกต่างระหว่างเงามืดด้านล่างของสะพานตัดกับสีหินทรายจาง ๆ ของด้านข้าง
           ผมจ้องดูสะพานนั้น พูดอะไรออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว ขณะต่อมา จะเป็นเพราะผมลุกขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกับสะพานหรือสะพานนั้นเลื่อนต่ำลงมาก็ไม่อาจทราบได้ ผมมองดูทางตรงแน่วที่อยู่เบื้องหน้า มันเป็นทางยาว แคบ ไม่มีราวจับแต่ก็กว้างพอที่จะเดินได้
           ดอนฮวนสั่นแขนผมอย่างแรง ผมรู้สึกว่า หัวของผมผกขึ้น ๆ ลง ๆ และคันที่ตายิบ ๆ ผมขยี้ตาโดยไม่รู้สึกตัว ;ดอนฮวนสั่นแขนผมอยู่อย่างนั้นจนผมลืมตาขึ้นมาได้อีก แกเทน้ำจากน้ำเต้าลงไปในอุ้งมือแล้วสลัดพรมใบหน้าของผม ผมไม่ชอบเอาเลย น้ำเย็นมาก และหยดน้ำที่หยาดลงมานั้นทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีแผลพุพองที่ผิวหนัง ผมร้อนผ่าวไปทั้งตัว และผมเริ่มจับไข้ตัวร้อน
           ดอนฮวนรีบเอาน้ำให้ผมดื่ม แล้วพรมลงไปที่หูและคอของผม
           ผมได้ยินเสียงนกร้องหวีดหวิวอยู่นาน ดอนฮวนเงี่ยหูฟังชั่วครู่ แล้วแกถีบก้อนหินที่เอามาทำกำแพงทะลายลงและรื้อหลังคาออก แกเหวี่ยงหลังคาไปที่พุ่มไม้แล้วโยนก้อนหินเหล่านั้นไปรอบ ๆ
           "ดื่มน้ำเสียแล้วเคี้ยวเนื้อแห้งที่คุณมี เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ เสียงที่ได้ยินนั่นไม่ใช่เสียงนก" แกกระซิบที่หูของผม
            เราปีนลงมาจากหน้าผาแล้วออกเดินต่อไปทางทิศตะวันออก ชั่วไม่นานนักก็มืดสนิทเหมือนกับว่ามีม่านกั้นอยู่ข้างหน้า หมอกนั้นเหมือนกับม่านกั้นที่ไม่อาจทะลุทะลวงออกไปได้ ผมไม่ทราบมาก่อนว่า หมอกในเวลากลางคืนทำให้เราหมดกำลังลงได้จริง ๆ ดอนฮวนเดินไปได้อย่างไรเป็นที่น่าสงสัยมาก ผมยึดแขนของแกไว้ราวกับว่าผมเป็นคนตาบอด
           อย่างไรก็ตามผมรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ริมหน้าผาลึก เท้าของผมไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า เหตุผลต่าง ๆ ที่มีทำให้ผมเชื่อมั่นในตัวของดอนฮวนและความรู้สึกทั่ว ๆ ไปบอกให้เดินต่อ แต่ร่างกายไม่ยอมเอาดื้อ ๆ ดอนฮวนต้องลากผมไปในความมืด
            ดอนฮวนต้องรู้ภูมิประเทศในแถบนั้นเป็นอย่างดี แกหยุดพักในที่แห่งหนึ่งและจับตัวผมนั่งลง ผมไม่กล้าปล่อยมือจากแขนของแก ร่างกายรู้สึกขึ้นมาเองโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียวว่าผมกำลังนั่งอยู่บนภูเขาโล้นรูปโดม และถ้าหากผมเคลื่อนตัวไปทางขวาเพียงนิดเดียวผมจะหล่นจากจุดที่น่าหวาดเสียวนั้นลงไปสู่หุบลึกข้างล่าง ผมแน่ใจชนิดไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ผมนั่งอยู่บนลาดของไหล่เขาเพราะร่างผมเอียงไปทางด้านขวาโดยไม่รู้สึกตัว เพื่อที่จะชันตัวให้ตรงผมจึงแก้ด้วยการพิงกับตัวของดอนฮวนทางซ้ายมือเท่าที่จะเบียดไปได้
           ดอนฮวนขยับตัวถอยออกไปอย่างเร็ว ผมล้มลงกับพื้นเมื่อไม่มีที่พิง และการสัมผัสที่พื้นดินทำให้ความรู้สึกในการทรงตัวกลับคืนมา ผมนอนราบอยู่บนพื้นราบ ผมคลำไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อม ผมสัมผัสกับใบไม้และกิ่งไม้
           ฟ้าแลบวาบขึ้นมาทำให้พื้นที่ทั้งหมดสว่างไสว ฟ้าผ่าคำรามลั่นตามมา ผมมองเห็นดอนฮวนยืนอยู่ทางขวามือ มีต้นไม้ใหญ่และถ้าห่างออกไปอีก ๒-๓ ฟุตเบื้องหลังของแก
            ดอนฮวนบอกให้ผมเข้าไปอยู่ที่รูถ้ำนั้น ผมคลานไปที่นั่นเอาหลังพิงกับหิน
           ผมรู้สึกว่าดอนฮวนจะโน้มตัวลงมากระซิบว่า ผมต้องนิ่งเงียบจริง ๆ

            ฟ้าแลบต่อเนื่องกันสามครั้ง ผมชำเลืองดูเห็นดอนฮวนนั่งขัดสมาธิอยู่ทางด้านซ้ายมือ ถ้ำแห่งนั้นเป็นเพิงเว้าเข้าไปและใหญ่พอที่จะนั่งได้สองสามคน มันเหมือนกับรูที่เจาะเข้าไปที่ฐานของก้อนหินใหญ่ ผมรู้สึกว่าเป็นการดีแล้วที่คลานเข้ามาที่เพิงนี้ เพราะถ้าหากผมเดินเข้าหัวของผมต้องชนกับก้อนหินอย่างแน่นอน
           ความสว่างไสวของฟ้าแลบทำให้ผมเห็นความหนาของหมอก ผมมองเห็นเงาของกิ่งไม้ใหญ่มาก ทาบอยู่กับสีเทาทึบของกลุ่มหมอก
           ดอนฮวนกระซิบว่า หมอกกับฟ้าแลบกำลังประลองยุทธกัน ผมต้องตื่นตัวอยู่อย่างเต็มที่เพราะผมเกี่ยวข้องอยู่กับการสู้รบของพลัง ขณะนั้นฟ้าแลบสว่างวับขึ้นมาอีกทำให้ทัศนียภาพทั้งหมดเรือเรืองขึ้น หมอกนั้นเหมือนกับเครื่องกรองที่ทำให้แสงไฟฟ้าแข็งตัวแล้วกระจายซ่ายออกไปเป็นรูปเดียวกัน และมันเหมือนกับวัตถุสีขาวอัดกันเข้ามาแน่นห้อยอยู่ในระหว่างต้นไม้สูง ๆ แต่ในระดับพื้นดินข้างหน้าของผมมีหมอกอยู่จาง ๆ ผมสามารถที่จะแยกลักษณะของภูมิประเทศได้อย่างชัดแจ้ง เราอยู่ในป่าสน มีต้นสนสูง ๆ ขึ้นอยู่โดยรอบ ต้นสนเหล่านั้นใหญ่มากจนผมอาจสาบานได้ว่าเราอยู่ในป่าเร็ดวู้ด หากผมไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่าเราเร่ร่อนไปในแถบไหน

           ฟ้าแลบอยู่นานหลายนาที แสงสว่างที่วูบขึ้นมาแต่ละครั้งทำให้ภาพที่ผมเห็นมาก่อนชัดยิ่งขึ้น ข้างหน้าของผมเป็นทางเดิน ไม่มีหญ้าขึ้นบนทางนั้นเลย และดูเหมือนทางนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อหมดเขตป่า
           ฟ้าแลบอีกหลายครั้งจนผมไม่ทราบชัดว่ามันแลบมาจากทางไหน อย่างไรก็ตามการที่ทิวทัศน์สว่างเรืองขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ความกลัวและความไม่แน่ใจหายไปตราบใดที่มีแสงสว่างเพียงพอที่จะเลิกม่านของความมืดขึ้นไป ดังนั้นเมื่อเกิดช่วงแห่งความมืดก่อนที่ฟ้าจะแลบ ผมก็ไม่รู้สึกผิดปกติต่อความมืดที่อยู่รอบตัวอีกต่อไป ดอนฮวนกระซิบว่า ผมสังเกตฟ้าแลบพอแล้ว ให้ผมหันมาสนใจเสียงของฟ้าผ่า ผมประหลาดใจมากที่ทราบว่าไม่ได้สนใจกับฟ้าผ่าเอาเลยทั้ง ๆ ที่ความจริงมันคำรามลั่นอยู่ตลอดเวลา ดอนฮวนบอกเพิ่มเติมว่า ผมควรจะตามฟังเสียงและมองไปยังทิศทางที่มันผ่าลงมา
           ฟ้าไม่แลบและผ่าลงมาอย่างถี่ยิบอีกต่อไป มีเพียงแสงสว่างวาบและเสียงคำรามขึ้นเป็นระยะ ๆ ฟ้าผ่าดูจะเกิดขึ้นทางด้านขวามือของผม หมอกเริ่มลอยสูงขึ้นไป และเมื่อคุ้นกับความมืดผมก็อาจเห็นความแตกต่างของหมู่ต้นไม้ ฟ้าแลบและฟ้าผ่าคงดำเนินต่อไป ทันใดนั้นซีกขวามือของผมเปิดโล่งออก ผมมองเห็นท้องฟ้า
           แสงพายุไฟฟ้าดูเหมือนจะเคลื่อนมาจากทางขวามือ ฟ้าแลบสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งทำให้ผมมองเห็นภูเขาที่อยู่ไกลออกไปทางขวาสุด แสงฟ้าแลบทำให้มองเห็นฉากเบื้องหลังเป็นเงาดำมหึมาของภูเขา ผมมองเห็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนยอดเขา ต้นไม้เหล่านั้นดูเป็นเงาดำสนิทตัดกับท้องฟ้าสีขาวเรือง ผมมองเห็นแม้แต่ก้อนเมฆที่เป็นก้อนกระจัดกระจายที่ลอยอยู่เหนือภูเขา

           หมอกที่อยู่รอบตัวของเราจางหายไปหมดสิ้น มีลมพัดมาอย่างสม่ำเสมอ และผมได้ยินใบของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือไหวสั่นเมื่อลมพัด แสงของพายุไฟฟ้าเลื่อนห่างออกไปไกลเกินกว่าที่จะทำให้มองเห็นต้นไม้อีก แต่ก็ยังทำให้พอมองเห็นหมู่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนยอดเขาได้บ้าง แต่จากแสงฟ้าแลบอันเกิดจากพายุทำให้ผมแน่ใจว่ามีเทือกเขาอยู่ทางขวามือและมีป่าทางซ้ายมือ มันเหมือนกับว่าผมกำลังมองลงไปยังหุบเขาที่มืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย บริเวณที่พายุไฟฟ้าเกิดขึ้นอยู่ตรงข้ามกับหุบเขานี้

           ต่อมาฝนเริ่มตก ผมเบียดตัวชิดกับก้อนหินเท่าที่จะทำได้ หมวกของผมเป็นที่กันฝนได้เป็นอย่างดี ผมงอเข่าเข้ามาชิดกับอก ข้อศอกและรองเท้าของผมเท่านั้นที่เปียกฝน
            ฝนตกอยู่นาน น้ำฝนอุ่น ผมรู้สึกอย่างนั้นที่เท้าของผม และต่อมาผมม่อยหลับไป
           เสียงนกร้องปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา ผมมองหาดอนฮวนรอบ ๆ แกไม่อยู่ที่นั่น ตามปรกติแล้วผมจะแปลกใจมากว่าทำไมแกจึงปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว แต่ความตกใจที่มองเห็นสิ่งแวดล้อมโดยรอบแทบจะทำให้ผมเปลี้ยหมดสติไปเลย
           ผมยืนขึ้น ขากางเกงเปียกโชก ใบหมวกชุ่มน้ำฝนและหยดน้ำกระเซ็นมาถูกตัว ผมไม่ได้อยู่ในถ้ำแต่อย่างใดทั้งสิ้นแต่อยู่ใต้พุ่มไม้หนา ผมรู้สึกสับสนเกินกว่าที่จะกล่าวออกมาได้ ผมยืนอยู่บนที่ราบในระหว่างเนินเขาเล็ก ๆ และสกปรกสองลูกที่มีพุ่มไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ไม่มีต้นไม้ใหญ่ทางด้านซ้ายมือและไม่มีหุบเขาทางด้านขวามือ ตรงหน้าที่ผมเห็นเป็นทางเดินในป่ากลับเป็นพุ่มไม้ใหญ่พุ่มหนึ่ง
           ผมไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฏกับสายตา ความไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อยของภาพที่เห็นสองภาพนั้นทำให้ผมปลุกปล้ำพยายามหาคำอธิบายอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาให้ได้ ความคิดผุดขึ้นมาว่าเป็นไปได้เหมือนกัน ที่ผมหลับสนิทแล้วดอนฮวนแบกผมมายังสถานที่อีกแห่งหนึ่งโดยไม่ปลุกผมขึ้นมา

           ผมตรวจจุดที่ผมนั่งหลับ พื้นตรงนั้นแห้งและที่ที่ดอนฮวนนั่งก็แห้งด้วย ผมร้องเรียกดอนฮวนสองครั้ง ผมกลัวขึ้นมาในทันทีจึงตะโกนเรียกแกอีก ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แกเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง ผมรู้สึกในทันทีนั้นว่าแกทราบดีว่าอะไรเกิดขึ้น รอยยิ้มของแกซุกซนจนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

           ผมไม่อยากเสียเวลาเล่นซ่อนหากับแกจึงพูดโพล่งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา ผมเล่าถึงภาพลวงที่เกิดขึ้นทั้งคืนอย่างระมัดระวังทุกรายละเอียดแกฟังโดยไม่ขัดคอ อย่างไรก็ตาม แกไม่อาจทำเป็นหน้าเครียดอยู่ได้ แกหัวเราะออกมาถึงสองครั้ง แต่แกก็ยั้งเอาไว้ในทันทีทุกครั้ง
           สามสี่ครั้งที่ผมขอให้แกออกความเห็น แกสั่นหัวเท่านั้นราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
           เมื่อผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลง แกมองมาทางผมแล้วบอกว่า "คุณดูหน้าตาบอกบุญไม่รับเอาเลย บางทีคุณคงต้องไปทำธุระแถว ๆ พุ่มไม้เหล่านั้นกระมัง"

           แกพูดเหลวไหลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า ผมน่าจะถอดเสื้อผ้า บิดเอาน้ำออกแล้วผึ่งให้แห้ง
           ดวงอาทิตย์ทอแสงจ้า ท้องฟ้ามีเมฆอยู่ประปราย และวันนั้นมีลมพัดแรง
           ดอนฮวนเดินจากไปพลางบอกกับผมว่า แกจะไปหาสมุนไพรบางอย่าง ผมควรควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้แล้วกินอะไรเสียบ้าง ผมไม่ควรเรียกแกจนกว่าผมจะรู้สึกว่าสงบและเข้มแข็ง
           เสื้อผ้าของผมเปียกโชก จึงนั่งผึ่งแดดเพื่อให้มันแห้ง ผมทราบดีว่ามีทางเดียวที่จะทำให้ตัวเองสงบลงได้คือเอาสมุดบันทึกออกมาแล้วเขียนลงไป ผมรับประทานอาหารไปด้วยในขณะที่จดบันทึก

         
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



  สองชั่วโมงผ่านไป ผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้มาก ผมจึงร้องเรียกดอนฮวน แกขานรับมาจากใกล้ยอดเขา แกบอกให้ผมรวบรวมน้ำเต้าทั้งหมดแล้วปีนขึ้นไปหาแก เมื่อมาถึงผมเห็นแกนั่งอยู่บนก้อนหินที่เรียบแบน แกเปิดฝาน้ำเต้าออกแล้วรับประทานอาหาร แกยื่นเนื้อแห้งชิ้นใหญ่ให้กับผมสองชิ้น
           ผมไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะถาม ดูเหมือนแกจะทราบถึงความรู้สึกของผม แกหัวเราะด้วยความพอใจ
           "รู้สึกอย่างไรบ้าง" แกถามติดตลก
           ผมไม่อยากจะพูดอะไรออกมา ยังอารมณ์เสียอยู่
           ดอนฮวนแนะให้ผมนั่งบนหินแบน แกบอกว่าหินก้อนนี้เป็นวัตถุประจุพลัง และผมน่าจะสดใสขึ้นมาได้เมื่อนั่งตรงนั้นชั่วครู่
           "นั่งลงซี่" แกสั่งอย่างไม่มีน้ำเสียง แกไม่ยิ้ม สายตาของแกทิ่มแทง และผมนั่งลงโดยอัตโนมัติ
           แกบอกว่า ผมสะเพร่ากับพลังโดยแสดงอารมณ์ที่บูดเบี้ยวออกมา ผมต้องเปลี่ยนความรู้สึกเสีย มิฉะนั้นแล้วพลังจะจัดการกับเราทั้งสองคน เราอาจจะไม่มีทางออกไปจากภูเขาที่เปล่าเปลี่ยวเหล่านี้โดยมีลมหายใจอยู่

           หลังจากที่เงียบกันไปนานดอนฮวนถามออกมาอ่อย ๆ ว่า "การฝัน ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง"
           ผมเล่าถึงความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเมื่อสั่งให้ตัวเองมองดูมือ ในตอนเริ่มแรกก็ทำได้ง่าย แต่นี่อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่องใหม่และไม่ซับซ้อนอะไรนัก ผมจึงไม่รู้สึกว่าทำได้ยาก แต่ต่อมาความตื่นเต้นในเรื่องนี้ลดลง บางคืนผมทำไม่ได้เลย
           "คุณต้องคาดผ้าคาดหัว" แกบอก "การสวมผ้าคาดหัวเป็นอุบายที่สำคัญมาก ผมทำให้คุณไม่ได้ คุณต้องทำมันขึ้นมาเองจากเศษผ้า แต่คุณก็ยังทำไม่ได้อยู่ดีจนกว่าคุณจะเห็นรูปของมันใน การฝัน เข้าใจที่ผมพูดไหม ผ้าคาดหัวนั้นจะต้องทำเหมือนภาพที่เห็น และมันต้องมีแถบพันรอบ ๆ เพื่อให้สวมได้อย่างเหมาะเจาะ หรือมันอาจจะเหมือนกับหมวกแก๊ป การฝัน เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อคุณสวมสิ่งประจุพลังไว้บนหัว คุณอาจจะสวมหมวกหรือคาดผ้าคลุมหัวเหมือนพระแล้วนอน แต่สิ่งคลุมหัวเหล่านี้จะทำให้ฝันชัดขึ้นแต่ไม่ใช่ การฝัน"
            แกเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเริ่มเล่าต่อด้วยถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว แกบอกว่า ภาพของผ้าคาดหัวนั้นไม่จำเป็นที่จะเกิดขึ้นใน "การฝัน" เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ตื่นอยู่ มันเกิดจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง หรือเหตุการณ์ที่ไม่สัมพันธ์ต่อเนื่องกันเลย เช่นในขณะที่เฝ้าดูนกบิน ดูการกระเพื่อมของสายน้ำ หรือดูก้อนเมฆเหล่านี้เป็นต้น
           "พรานผู้ล่าพลังเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่าง" แกพูดต่อ "และทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบอกกับพรานถึงความลึกลับต่าง ๆ "
           "แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะบอกความลึกลับให้" ผมถาม ผมคิดว่าดอนฮวนคงจะมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนที่ทำให้แกแปลความหมายสิ่งต่าง ๆ ได้ "ถูกต้อง"
           "มีทางเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ นั่นก็คือ ให้ทำตามข้อแนะนำที่ผมบอกกับคุณนับตั้งแต่วันแรกที่คุณมาหาผม" แกบอก
           "การที่จะมีพลังนั้นคุณต้องอยู่กับพลัง" ดอนฮวนยิ้มอย่างมีเมตตา แกไม่มีท่าทางดุดันอีกและกระทุ้งแขนผมเบา ๆ "กินเนื้อประจุพลังเสียสิ" แกกระตุ้น
           ผมเคี้ยวเนื้อแห้ง และผมทราบในทันใดนั้นว่า บางทีเนื้อแห้งนี้จะใส่สารลวงจิตบางอย่างลงไปด้วย ดังนั้นมันจึงทำให้เราเห็นภาพลวงตา ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันที ถ้าหากดอนฮวนใส่อะไรลงไปในเนื้อนี้จริง ภาพที่ผมเห็นเมื่อคืนก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ผมขอให้แกบอกว่ามีอะไรหรือเปล่าใน "เนื้อประจุพลัง"
            แกหัวเราะแต่ไม่ตอบผมตรง ๆ ผมเร่งเร้าให้แกพูดโดยให้คำมั่นใจกับแกว่าจะไม่โกรธหรือทำหงุดหงิด แต่ผมบอกว่าผมต้องทราบเพื่อจะอธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาให้เป็นที่พอใจได้ ผมเร่งรัด คะยั้นคะยอและในที่สุดขอร้องให้แกบอกความจริงกับผม
            "คุณนี่บ้าจริง ๆ " แกบอกแล้วสั่นหัวเหมือนกับไม่เชื่อเอาเลย "คุณมีนิสัยไม่ยอมง่าย ๆ คุณยืนกรานในความพยายามที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างจนเป็นที่พอใจของตัวเอง ไม่มีอะไรเลยในเนื้อแห้งนอกจากพลัง พลังที่ว่านี้ไม่ใช่ผมหรือผู้อื่นใส่ลงไป แต่พลังนั่นแหละที่ประจุตัวของมันเองลงไป มันเป็นเนื้อกวางแห้งและกวางตัวนั้นเป็นของขวัญสำหรับผม ในลักษณะเดียวกันกับกระต่ายตัวหนึ่งมาเป็นของขวัญสำหรับคุณนานมาแล้ว ผมไม่ได้บอกให้คุณย่างเอาเนื้อของมันไว้ เพราะการที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องการพลังมากกว่าที่คุณมีอยู่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมบอกให้คุณกินเนื้อของมัน คุณกินเพียงนิดเดียวเพราะความโง่เขลาของคุณเอง
            "สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ใช่เรื่องตลกหรือเล่นพิเรนทร์อะไรทั้งสิ้น คุณเผชิญกับพลัง หมอก, ความมืด, ฟ้าแลบ, ฟ้าผ่าและฝนที่ตกลงมาเป็นส่วนต่าง ๆ ของการประลองยุทธที่ยิ่งใหญ่ของพลัง คุณมีโชคดีของคนเซ่อ นักรบยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เกิดการประลองยุทธของพลังดังที่เห็น"
            ข้อโต้แย้งของผมก็มีว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่น่าจะเป็นการสู้รบของพลังเลย เพราะมันไม่จริง
            "แล้วอะไรล่ะที่จริง" แกถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
           "ก็นี่ไง สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นี่แหละจริง" ผมพูดพร้อมกับชี้ไปรอบ ๆ
           "แต่สะพานที่คุณเห็นเมื่อคืนที่แล้ว ป่าและสิ่งอื่น ๆ ก็จริงเหมือนกัน"
           "ถ้าสิ่งเหล่านั้นจริงล่ะ เดี๋ยวนี้มันอยู่ที่ไหน"
           "มันก็อยู่ที่นี่แหละ ถ้าคุณมีพลังเพียงพอคุณจะเรียกให้มันกลับมาได้ แต่ตอนนี้คุณไม่อาจทำเช่นนั้นเพราะคุณคิดว่าการสงสัยและแคะไค้หาคำตอบอยู่ตลอดไปนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ มันไม่อาจช่วยคุณได้เลย เพื่อนรัก มันช่วยไม่ได้จริง ๆ มีโลกซ้อนโลกอยู่เบื้องหน้าของเรานี่เอง และนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหัวเราะเยาะ เมื่อคืน ถ้าผมไม่ยึดแขนของคุณไว้ คุณคงเดินข้ามสะพานนั้นไม่ว่าคุณอยากจะเดินหรือไม่ก็ตามที และก่อนหน้านั้นอีก ผมปกป้องคุณไว้จากลมที่เสาะหาตัวคุณ"
           "อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าคุณไม่ป้องกันผมไว้"
           "ในเมื่อคุณไม่มีพลังเพียงพอ ลมนั่นก็จะทำให้คุณหลงทาง บางทีมันอาจจะฆ่าคุณโดยผลักคุณให้ตกหน้าผา เมื่อคืนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในหมอกก็เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์สองอย่างอาจเกิดกับคุณได้คือ คุณอาจเดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งหนึ่ง หรือคุณอาจตกสะพาน อุบัติการณ์ทั้งสองอย่างนั้นขึ้นอยู่กับพลัง แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าจะแน่ใจได้ว่าจะเกิดขึ้นคือ ถ้าผมไม่ป้องกันคุณไว้คุณคงเดินข้ามสะพานนั้นไปโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น นั่นคือธรรมชาติของพลังดังที่ผมเคยบอกกับคุณ พลังสั่งให้คุณทำสิ่งต่าง ๆ แต่กระนั้นพลังก็อยู่ในบังคับของคุณด้วย ยกตัวอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา พลังบังคับให้คุณเดินข้ามสะพาน และมันจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณด้วยเพื่อระวังรักษาคุณในขณะที่คุณเดินข้ามไป ผมยั้งคุณเอาไว้เพราะทราบดีว่าคุณไม่มีเครื่องมือที่จะใช้พลัง และหากไม่มีพลังสะพานนั้นก็จะพังลงมา"
            "คุณเองมองเห็นสะพานหรือเปล่าล่ะ ดอนฮวน"
           "ผมไม่เห็นหรอก ผม เห็น พลังเท่านั้น พลังอาจเป็นอะไรก็ได้ คราวนี้สำหรับคุณพลังคือสะพาน ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นสะพาน พวกเราเป็นสัตว์โลกที่ลึกลับที่สุด"
            "คุณเคยเห็นสะพานในหมอกรึเปล่า"
           "ผมไม่เคยเห็นเลย แต่นั่นก็เพราะผมไม่เหมือนกับคุณ ผมเห็นสิ่งอื่น การต่อสู้ของพลังของผมไม่เหมือนของคุณ"
           "ถ้าอย่างนั้นคุณเห็นอะไรดอนฮวน คุณบอกผมได้ไหม"
            "ผมเห็นคู่ปรปักษ์ของผมในการสู้รบของพลังในหมอกครั้งแรก คุณไม่มีศัตรู คุณไม่เกลียดใคร แต่ในตอนนั้นผมเกลียดคนอื่น ผมปล่อยใจให้เกลียดผู้อื่น ผมไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวนี้ ผมดับความเกลียดได้แล้ว แต่ในตอนนั้นความเกลียดเกือบจะทำลายผมให้ย่อยยับลงไป"
           "การสู้รบของพลังของคุณมีลักษณะตรงกันข้ามคือเรียบร้อยดี มันไม่ล้างผลาญคุณ ขณะนี้คุณกำลังล้างผลาญตัวเองด้วยความสงสัยและความคิดที่ไร้สาระ นี่เป็นทางที่คุณปล่อยตามใจตัวเอง
           "หมอกหาที่ตำหนิในตัวคุณไม่ได้ คุณมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับมัน มันจึงมอบสะพานมโหฬารพันลึกให้กับคุณ และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สะพานนั้นจะอยู่ที่นั่นสำหรับคุณ มันจะปรากฏกับคุณครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณจะต้องเดินข้ามไป
           "ผมจึงขอเตือนคุณเป็นการจริงจังว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจงอย่าเดินคนเดียวในที่ที่หมอกลงจัด จนกว่าคุณจะรู้ตัวดีว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
            "พลังเป็นเรื่องที่น่าขนพองสยองเกล้า การที่จะมีพลังและบังคับพลังได้นั้นคุณต้องเริ่มต้นด้วยการมีพลัง อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ทีเดียว ที่จะสะสมพลังทีละเล็กละน้อยจนกระทั่งคุณมีพลังเพียงพอที่จะทนต่อการประลองยุทธของพลังได้"
            "อะไรคือการประลองยุทธของพลัง ดอนฮวน"
           "สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเมื่อคืนเป็นการเริ่มต้นของการประลองยุทธของพลัง ภาพที่คุณเห็นเป็นที่มาของพลัง สักวันหนึ่งหรอกที่มันจะมีความหมายขึ้นมาสำหรับคุณบ้าง ทัศนียภาพที่เห็นนั้นมีความหมายอย่างที่สุด"
           "คุณพอจะบอกถึงความหมายของมันได้ไหมล่ะ"
            "ไม่ได้หรอก ทัศนียภาพเหล่านั้นเป็นชัยชนะเฉพาะตัวของคุณซึ่งคุณไม่อาจมีส่วนร่วมกับคนอื่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการสู้รบประปราย การสู้รบที่แท้จริงจะเริ่มข้นเมื่อคุณเดินข้ามสะพาน อะไรล่ะที่อยู่ ณ ฝั่งตรงกันข้าม คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ และคุณเพียงคนเดียวที่จะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงสุดของทางเดินในป่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นอาจจะเกิดหรือไม่เกิดกับคุณก็ได้ การที่จะจาริกไปตามทางเดินในป่าหรือไต่ข้ามสะพานไปได้คุณต้องมีพลังส่วนตัวอย่างเพียงพอ"
            "อะไรจะเกิดขึ้นบ้างถ้าผมไม่มีพลังเพียงพอ"
           "ความตายยังคอยอยู่ตลอดไป และเมื่อพลังของนักรบเสื่อมถอยลง ความตายจะเอื้อมมือเข้าแตะ ดังนั้นการที่จะเสี่ยงภัยเข้าไปสู่สิ่งที่ไม่อาจทราบได้โดยไม่มีพลังใด ๆ เลย จึงเป็นเรื่องโง่เขลา คุณจะพบกับความตายเท่านั้นเอง"

           ผมไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจจริง ๆ ผมยังคิดว่าเนื้อแห้งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาพลวงตาเหล่านั้น เมื่อคิดอย่างนี้มันทำให้สงบลงไปได้
            "อย่าบีบคั้นตัวเองในความพยายามที่จะหาคำตอบให้ได้" ดอนฮวนพูดออกมาราวกับว่าแกอ่านความคิดของผมออก "โลกเป็นสิ่งลึกลับ สิ่งนี้, สิ่งที่คุณกำลังมองอยู่นี้ไม่ใช่ทั้งหมดที่คุณเห็น โลกมีมากกว่านี้ ความจริงแล้วมีมากเหลือเกินจนไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อคุณพยายามที่จะให้มันเป็นอะไรขึ้นมาให้ได้นั้น ทั้งหมดที่คุณทำได้จริง ๆ คือพยายามที่จะทำให้โลกเป็นที่คุ้นเคยดีขึ้นเท่านั้นเอง คุณและผมอยู่ที่นี่ อยู่ในโลกที่คุณบอกว่าจริง เพราะทั้งคุณและผมรู้จักมันดีเท่านั้นเอง คุณยังไม่รู้จักโลกของพลัง ดังนั้นคุณจึงไม่อาจทำให้โลกของพลังนั้นเป็นภาพของโลกที่คุณรู้จักเป็นอย่างดีได้"
            "คุณทราบดีอยู่แล้วว่าผมไม่อาจพูดหักล้างคุณได้ ดอนฮวน" ผมบอก "แต่จิตของผมก็ยอมรับมันไม่ได้เหมือนกัน"
            ดอนฮวนหัวเราะแล้วเอามือมาแตะที่หัวของผมเบา ๆ "คุณนี่บ้าจริง ๆ แหละ" แกพูด "แต่นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก ผมทราบดีว่า มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหนที่จะมีชีวิตอย่างนักรบ ถ้าหากคุณเชื่อในคำสอนของผมและกระทำสิ่งที่ผมสอนคุณแล้ว คุณน่าจะมีพลังอย่างเพียงพอที่จะเดินข้ามสะพานนั้น และคุณน่าจะมีพลังพอที่จะ เห็น และ หยุดโลก"
           "แต่ทำไมผมจึงจะต้องการพลังล่ะ"
            "ในตอนนี้คุณคิดหาเหตุผลไม่ได้หรอก อย่างไรก็ตามถ้าคุณสะสมพลังไว้มากพอแล้ว พลังนั่นเองจะทำให้คุณเห็นเหตุผลที่เหมาะสมในเรื่องนี้ ฟังดูบ้าดีไหม"
           "ทำไมคุณเองจึงต้องการพลังล่ะ ดอนฮวน"
           "ผมก็เหมือนกับคุณ ผมไม่ต้องการพลังเลย ผมไม่อาจหาเหตุผลเพื่ออยากจะมีมันขึ้นมา ผมมีข้อสงสัยมากมายเหมือนกับคุณและไม่เคยทำตามคำแนะนำที่ได้รับหรือไม่เคยคิดจะทำตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม จากความโง่เขลาของผม ผมสะสมพลังไว้จนเพียงพอ และในวันหนึ่ง พลังส่วนตัวของผมก็ทำให้โลกแตกทำลายลง"
            "แต่ไม่ว่าใครก็ตามเถอะ ทำไมเขาจึงมีความปรารถนาที่จะ หยุดโลก"
           "ไม่มีใครอยากทำเช่นนั้นหรอก นี่คือจุดสำคัญ มันอุบัติขึ้นมาเฉย ๆ และเมื่อใดที่คุณรู้ว่าตัวเองการหยุดโลกเป็นเช่นไรแล้วคุณจะรู้แจ้งขึ้นมาเองว่ามีเหตุผลอยู่ในเรื่องนี้ คุณรู้ไหมว่าศิลปะอย่างหนึ่งของนักรบคือ การที่จะทำให้โลกแตกทำลายลงด้วยเหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่ง แล้วต่อมาเขาก่อโลกให้คงเดิมอีกครั้งเพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป"

           ผมบอกแกว่า บางทีวิธีการที่จะทำให้ผมเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือยกตัวอย่างเหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่งของการทำให้โลกแตกทำลายลง ดอนฮวนเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าแกกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกมา
            "ผมบอกกับคุณไม่ได้หรอก" แกพูด "มันต้องใช้พลังมากมายเพื่อพูดในเรื่องนี้ ซักวันหนึ่งคุณจะมีชีวิตอย่างนักรบด้วยความสามารถของคุณเอง จากนั้น บางทีคุณจะผนึกพลังส่วนตัวอย่างเพียงพอเพื่อตอบคำถามนั้นด้วยดัวยคุณเอง
           "ผมได้สอนเกือบทุกสิ่งทุกอย่างกับคุณเท่าที่นักรบจำเป็นต้องรู้ เพื่อว่าจะตั้งต้นมีชีวิตในโลกนี้และสะสมพลังด้วยตนเอง แต่ผมรู้ว่าคุณยังทำไม่ได้ ผมต้องอดทน ผมทราบความจริงที่ว่ามันเป็นการต่อสู้ตลอดชีวิตด้วยตัวของตัวเองในโลกของพลังนี้"

            แกมองไปยังท้องฟ้าและภูเขา ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก และเมฆฝนกำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือภูเขา ผมไม่ทราบเวลาเพราะลืมไขลานนาฬิกาข้อมือ ผมถามว่าแกสามารถบอกเวลาได้ไหม แกหัวเราะออกมาอย่างดังจนตัวของแกกลิ้งไปตามแผ่นหินราบไปจนถึงพุ่มไม้
            แกยืนขึ้นเหยียดแขนแล้วหาวออกมา
           "ยังบ่ายอยู่เลย" แกบอก "เราต้องคอยจนกว่าหมอกจะรวมตัวกันขึ้นที่ยอดเขา และต่อจากนั้นคุณต้องยืนอยู่คนเดียวบนแผ่นนี้และกล่าวขอบคุณหมอกที่มีไมตรีจิตกับคุณ ให้มันเข้ามาโอบอุ้มคุณไว้ ผมจะคอยอยู่ใกล้เพื่อช่วยเหลือคุณหากมีความจำเป็น"
           อะไรก็แล้วแต่เถอะ การที่อยู่คนเดียวท่ามกลางกลุ่มหมอกทำให้ผมกลัวมาก ผมคิดว่าบ้ามากที่แสดงกริยาผิดปกติออกมาเช่นนี้
           "คุณไม่อาจออกจากภูเขาอันเปล่าเปลี่ยวนี้โดยไม่กล่าวขอบคุณ" ดอนฮวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "นักรบไม่เคยหันหลังให้กับพลังโดยไม่เปล่งเสียงออกมาขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับโดยมีไมตรีจิต" แกนอนราบลง เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอยแล้วเอาหมวกปิดใบหน้าไว้
            "ผมจะคอยหมอบอย่างไรล่ะดอนฮวน" ผมถาม "คือผมควรจะทำอะไรดี"
            "เขียนสิ !" แกพูดออกมาจากภายใต้หมวก "แต่อย่าหลับหรือหันหลังให้กับมัน" ผมพยายามเขียนหนังสือ แต่ผมไม่สามารถคุมจิตให้จดจ่อลงไปได้ ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย ดอนฮวนเปิดหมวกออกแล้วมองมาทางผมอย่างรำคาญ
           "นั่งลง !" แกสั่ง
           แกบอกว่า การสู้รบของพลังยังไม่ยุติลงเลยและผมต้องสั่งสอนจิตวิญญาณของผมให้สงบ อย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผมทำลงไปส่อให้เห็นถึงความรู้สึกของผม นอกจากว่าผมอยากจะถูกจับตัวไว้ในภูเขาเหล่านี้
            แกลุกขึ้นนั่งและโบกไม้โบกมือแสดงความรีบด่วน แกบอกว่า ผมต้องทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเพราะสถานที่ของพลังชนิดที่เรานั่งอยู่นี้มีอำนาจดูเอาพลังของคนที่หวาดกลัว ดังนั้นคุณจะทำให้เกิดสายใยผูกพันที่ประหลาดและมีอันตรายกับสถานที่แห่งนี้
            "สายใยผูกพันนั้นจะเกี่ยวคน ๆ นั้นไว้กับสถานที่ของพลังแห่งใดแห่งหนึ่ง บางที่อาจเกี่ยวไว้ตลอดชีวิต" แกบอก "และที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุณ คุณไม่ได้พบมันด้วยตัวของคุณเองดังนั้นรัดเข็มขัดให้แน่นเข้าไว้อย่าให้กางเกงหลวมได้ !"
           คำเตือนของแกเหมือนจะเป็นมนต์ ผมนั่งเขียนบันทึกอยู่ได้นับเป็นชั่วโมงโดยไม่หยุดเลย

           ดอนฮวนหลับต่อไปและไม่ตื่นจนกระทั่งหมอกที่เลื่อนลงมาจากยอดเขาอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ หลา แกยืนขึ้นแล้วสำรวจดูภูมิประเทศ ผมมองไปรอบ ๆ โดยไม่หันตัว หมอกรุกเข้ามายังพื้นที่ต่ำข้างล่างโดยเลื่อนลงมาจากยอดเขาทางด้านขวามือ ทางด้านซ้ายมือของผมทัศนียภาพยังแจ่มใส ดูเหมือนลมจะพัดมาจากทางด้านขวาและผลักให้กลุ่มหมอกเคลื่อนลงไปสู่หุบเขาเบื้องล่าง เหมือนกับว่ามันจะล้อมเราไว้
           ดอนฮวนกระซิบว่าผมต้องอยู่ในสภาวะที่สงบและยืนอยู่ตรงที่ที่ผมนั่งอยู่นี้โดยไม่หลับตา และผมต้องไม่หันตัวไปโดยรอบจนกว่าหมอกจะล้อมตัวผมไว้ หลังจากนั้นเท่านั้นที่การเดินทางกลับของเราจะเป็นไปได้

            เรายึดเอาฐานของก้อนหินก้อนหนึ่งห่างออกไปไม่กี่ฟุตเป็นที่กำบังทางด้านหลังของผม
            ความเงียบในภูเขาเหล่านี้เป็นสิ่งพิเศษสุดและในบางคราวน่าหวาดกลัว สายลมอ่อนที่พาหมอกลงมานั้นทำให้ผมรู้สึกว่าหมอกกำลังเป่าที่ใบหูของผม หมอกกลุ่มใหญ่เคลื่อนลงมาเหมือนกับก้อนวัตถุตันสีขาวกลิ้งมาหาผม ผมได้กลิ่นหมอก มันมีส่วนผสมของกลิ่นฉุนและกลิ่นหอมที่ประหลาด และต่อมาหมอกกลุ่มนั้นโอบล้อมตัวของผมไว้

           ผมรู้สึกเหมือนกับว่าหมอกกำลังทำอะไรซักอย่างหนึ่งที่ขนตาของผม ขนตาหนักและผมอยากจะหลับตาลง ผมรู้สึกหนาว คันที่คอและอยากจะไอออกมาแต่ผมก็ไม่กล้าไอ ผมเงยคางขึ้น ยืดคอให้ทุเลาความรู้สึกอยากจะไอ และขณะที่ผมเงยขึ้นไปนั้น ผมรู้สึกว่ามองเห็นความหนาของกลุ่มหมอก มันเหมือนกับว่าตาสามารถประเมินความหนาโดยมองผ่านหมอกเข้าไปได้ ตาของผมเริ่มหรี่ลง ผมสู้กับความง่วงไม่ไหวและรู้สึกว่าตัวกำลังจะทรุดฮวบลงกับพื้นในขณะหนึ่งขณะใดก็ได้ ขณะนั้นเองดอนฮวนกระโดดเข้ามา ฉวยที่แขนแล้วสั่นตัวของผม แรงที่แกสั่นแรงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกแจ่มใสขึ้นมาได้
           แกกระซิบที่หูของผมว่า ผมต้องวิ่งลงเนินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แกจะวิ่งตามผมลงไปเพราะแกไม่อยากถูกทับด้วยก้อนหินที่ผมเตะพลิกขณะที่ผมวิ่ง แกบอกว่าผมเป็นหัวหน้า ในเมื่อนี่เป็นการประลองยุทธของพลังของผม ดังนั้นผมจึงต้องมีมันสมองที่แจ่มใส ปล่อยวาง เพื่อว่าจะได้นำเราไปสู่ที่ปลอดภัย
           "นี่คือความรู้สึกอันนั้น" แกพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง "ถ้าคุณไม่มีอารมณ์อย่างนักรบแล้วเราอาจจะไม่มีวันหนีออกจากกลุ่มหมอกนี้ได้"
           ผมรีรออยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าจะหาทางวิ่งลงไปจากเขาลูกนี้ได้
           "วิ่งเร็ว เจ้ากระต่ายน้อย วิ่ง!" ดอนฮวนตะโกนออกมาดังลั่นแล้วดันผมเบา ๆ ให้วิ่งลงเนินไป
             


--------------------------------------------------------------------------------

(ตั้งแต่บทที่ ๑๒ เป็นต้นไป
ได้รับความเอื้อเฟื้อในการคีย์ข้อมูลและตรวจพิสูจน์อักษร
โดย "คุณบี" และ "คุณวรวุฒิ"
ขอได้รับความขอบคุณจาก ODZ)


http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson11-12.html#ixt11
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13:  ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~