๑๓. การยืนหยัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของนักรบ
อาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม ๑๙๖๒
เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ดอนฮวนจึงเดินเข้ามาในบ้าน แกออกจากบ้านไปตั้งแต่รุ่งสาง ผมกล่าวคำทักทาย แกหัวเราะ แกแกล้งทำตลกด้วยการสั่นมือกับผมแล้วกล่าวคำทักทายอย่างเป็นพิธีการ
"เราจะออกเดินทางไม่ไกลนัก" แกบอก "คุณต้องขับรถไปยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งเพื่อค้นหาพลัง"
แกคลี่ร่างแหใส่ของออกแล้ววางน้ำเต้าที่บรรจุอาหารไว้เต็มลงไปสองลูก มัดด้วยเชือกเส้นเล็กแล้วยื่นร่างแหนั้นให้ผม
เราขับรถตามสบายมุ่งไปทางทิศเหนือประมาณ ๔๐๐ ไมล์ ต่อมาเราเลี้ยวออกจากถนนสายแพนอเมริกันไปตามถนนโรยกรวดมุ่งสู่ทิศตะวันตก นานนับชั่วโมงที่รถของเราดูจะเป็นรถเพียงคันเดียวบนถนนสายนั้น ขณะที่ขับไปเรื่อย ๆ นั้นผมเห็นว่ามองผ่านกระจกออกไปไม่ได้ ผมเพ่งดูสิ่งแวดล้อมโดยรอบแต่มันมืดมาก และกระจกหน้าเต็มไปด้วยแมลงและฝุ่นเกาะอยู่
ผมบอกดอนฮวนว่าผมต้องหยุดเพื่อเช็ดกระจก แต่แกสั่งให้ผมขับต่อไปแม้ว่าเราจะคลานในความเร็วสองไมล์ต่อชั่วโมงก็ตามที และให้ยื่นศีรษะออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูทาง แกบอกว่าผมหยุดไม่ได้จนกว่าจะถึงที่หมาย
เมื่อมาถึงที่แห่งหนึ่งแกบอกให้ผมเลี้ยวไปทางขวา มันมืดและฝุ่นคลุ้งขึ้นมาจนไฟหน้ารถไม่ช่วยอะไรได้มาก ผมกลัวว่าไหล่ถนนจะยุบแต่มันก็แน่นพอ
ผมขับต่อไปอีกประมาณ ๑๐๐ หลาด้วยความเร็วที่ต่ำที่สุดโดยการเปิดประตูออกเพื่อจะมองออกไป ในที่สุดดอนฮวนบอกให้ผมหยุด แกบอกว่า ให้จอดรถไว้หลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งจะบังรถของผมไว้
ผมก้าวลงมาจากรถแล้วเดินไปรอบ ๆ โดยอาศัยแสงไฟหน้ารถ ผมอยากจะสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เพราะผมไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนแน่ แต่ดอนฮวนปิดสวิทช์ไฟเสีย แกพูดออกมาอย่างดังว่าเราไม่มีเวลาพอที่จะมาทำให้เสียไป ให้ผมล็อคประตูรถเสียเพื่อเราจะออกเดินต่อไป
แกยื่นถุงน้ำเต้ามาให้ มันมืดมากจนผมสะดุดและเกือบจะทำให้น้ำเต้าหลุดมือลงไป ดอนฮวนสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นให้ผมนั่งลงจนกว่าตาจะชินกับความมืด แต่ปัญหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ตา เมื่อผมก้าวลงจากรถผมมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดดี แต่สิ่งที่ผิดปกติคือความหวาดวิตกที่แปลกมากทำให้ผมทำอะไรลงไปเหมือนกับว่าไม่มีจิตใจ ผมระแวงทุกสิ่งทุกอย่าง
"เราจะไปไหนกัน ดอนฮวน" ผมถาม
"เราจะออกเดินไปในความมืดสนิทนี้เพื่อไปสู่สถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง" แกบอก
"เพื่ออะไรล่ะ"
"เพื่อดูให้แน่ใจว่าคุณสามารถที่จะล่าพลังได้หรือเปล่า"
ผมถามแกว่า ถ้าสิ่งที่แกเสนอให้ทำนั้นเป็นการทดสอบและถ้าผมไม่ผ่านการทดสอบนั้น แกยังจะพูดกับผมและบอกเกี่ยวกับความรู้ที่แกมีหรือไม่
ดอนฮวนตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ แกบอกว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นไม่ใช่การทดสอบ แต่เราจะคอยลางชนิดหนึ่ง และถ้าลางชนิดนั้นไม่ปรากฏ ข้อสรุปก็อาจจะเป็นว่าผมไม่ประสบความสำเร็จในการล่าพลัง ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ผมจะเป็นอิสระจากสิ่งที่แกจะทำให้ทั้งมีอิสระที่จะอยู่อย่างโง่เง่าดังที่ผมต้องการ แต่แกก็บอกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามแกคงเป็นเพื่อนของผมและแกจะพูดกับผมตลอดไป อย่างไรก็ตามที ผมทราบว่าผมจะไม่เจอลางชนิดนั้น
"ลางนั่นไม่เกิดขึ้นหรอก" ผมพูดติดตลก "ผมรู้ดี ผมมีพลังอยู่เพียงนิดเดียว"
แกหัวเราะแล้วเอามือตบหลังผมเบา ๆ "อย่ากังวลไปเลย" แกย้อน "ลางจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ผมมีพลังมากกว่าคุณ"
แกคงเห็นว่าคำพูดของแกตลกมากกระมัง แกเอามือตบสะโพกแล้วปรบมือพร้อมกับหัวเราะดังก้อง แกมัดร่างแหที่ใส่น้ำเต้าไว้ติดหลังของผมแล้วบอกว่า ผมต้องเดินห่างจากแกหนึ่งก้าวแล้วเหยียบลงไปตามรอยเท้าของแกเท่าที่ผมจะทำได้
แกกระซิบออกมาอย่างจงใจจะให้น่าสนใจว่า
"นี่เป็นการเดินเพื่อพลัง ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมีความสำคัญทั้งสิ้น"
แกบอกว่า ถ้าหากผมเดินตามรอยเท้าของแกแล้ว พลังที่แกสูญเสียไปขณะที่เดินจะถ่ายเทมาที่ผม ผมมองดูนาฬิกา ขณะนั้นเวลาสี่ทุ่ม ดอนฮวนให้ผมตั้งแถวตอนเหมือนกับทหารที่อยู่ในท่าตรง ต่อมาแกผลักเท้าขวาของผมออกไปข้างหน้าแล้วให้ผมยืนเหมือนกับว่าผมเพิ่งก้าวเท้าออกไป แกยืนอยู่ข้างหน้าในท่าเดียวกัน หลังจากที่ได้กล่าวย้ำในสิ่งที่ต้องทำคือ ผมก้าวเท้าเหยียบลงไปที่รอยของแกให้ได้ทุกก้าว แล้วเราเริ่มออกเดิน
แกกระซิบบอกไว้ชัดว่า ผมต้องไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากก้าวลงไปที่รอยของแกเท่านั้น ผมต้องไม่มองไปข้างหน้าหรือหันไปดูข้างตัวแต่ให้มองตรงไปที่พื้นดินที่แกกำลังก้าวเท้าอยู่
ดอนฮวนเดินตามสบาย ผมจึงไม่เดือดร้อนอะไรที่จะก้าวตามรอยเท้าของแก เราเดินบนพื้นดินที่ค่อนข้างแข็ง เกือบสามสิบหลาที่ผมก้าวตามรอยเท้าของแกได้อย่างถูกต้อง แต่พอผมชำเลืองไปดูข้าง ๆ แวบหนึ่งผมชนโครมเข้าที่ตัวของดอนฮวน แกหัวเราะคิก ๆ ออกมาแล้วให้คำรับรองว่า ตอนที่ผมเหยียบลงไปด้วยรองเท้าอันใหญ่โตของผมนั้น ผมไม่ได้ทำให้ข้อเท้าของแกเป็นอันตรายหรอก แต่ถ้าหากผมยังคงเดินเซ่อซ่าอยู่อย่างนี้อีก เมื่อถึงตอนเช้า เราคนใดคนหนึ่งต้องพิการลงไปอย่างแน่นอน
แกหัวเราะแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ แต่มั่นคงว่า แกไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าจะได้รับความเจ็บปวดเพราะความโง่เขลาและการขาดสติของผม หากผมเหยียบแกอีกผมต้องเดินเท้าเปล่า
"ผมเดินโดยไม่สวมเท้าไม่ได้หรอก" ผมพูดด้วยเสียงดังบาดแก้วหู
ดอนฮวนหัวเราะดังเป็นสองเท่า และผมต้องยืนคอยจนแกหยุดหัวเราะ แกยืนยันกับผมว่าแกหมายความตามที่พูดจริง ๆ เรากำลังจาริกไปเพื่อเคาะเรียกให้พลังออกมา ดังนั้นทุกสิ่งที่เราทำต้องสมบูรณ์แบบ
เมื่อคิดถึงการที่จะต้องเดินโดยไม่สวมรองเท้าในทะเลทรายทำให้ผมกลัวมาก ดอนฮวนพูดติดตลกว่าครอบครัวของผมคงเป็นพวกชาวนาที่ไม่เคยถอดรองเท้าเลยแม้เวลาเข้านอนกระมัง
แน่นอน แกพูดถูก ผมไม่เคยเดินเท้าเปล่า และการเดินในทะเลทรายโดยไม่สวมรองเท้า คือการถูกฆาตกรรมดี ๆ นี่เองสำหรับผม
"ทะเลทรายแห่งนี้อาบซึมอยู่ด้วยพลัง" แกกระซิบที่หูของผม "ไม่มีเวลาที่จะขี้ขลาด"
เราออกเดินต่อ ดอนฮวนเดินตามสบาย ครู่หนึ่งต่อมาผมสังเกตว่าเราเดินผ่านพื้นที่ที่เป็นดินแข็งและกำลังเดินอยู่บนทรายนุ่ม ๆ เท้าของดอนฮวนจมลงไปในทรายทำให้เกิดรอยลึก เราเดินอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะหยุดพัก ดอนฮวนไม่หยุดอย่างกะทันหัน แต่เตือนผมก่อนว่าจะหยุดเพื่อกันไม่ให้ผมเดินชน
พื้นดินเปลี่ยนเป็นดินแข็งอีก และดูเหมือนเราจะเดินขึ้นไปตามเนิน ดอนฮวนบอกว่า ถ้าผมจะไปทำธุระหลังต้นไม้ก็ให้ทำเสีย เพราะหลังจากนั้นเราจะเดินรวดเดียวโดยไม่หยุดเลย ผมมองดูนาฬิกา ขณะนั้นเวลาหนึ่งนาฬิกาหลังเที่ยงคืน
เมื่อพักได้สัก ๑๐-๑๕ นาที ดอนฮวนให้ผมเข้าแถวตอนแล้วเราออกเดินต่อ แกพูดถูกทีเดียว ระยะทางไกลมาก และผมเองไม่เคยทำอะไรซึ่งต้องใช้สติถึงขนาดนี้มาก่อน
ดอนฮวนเดินเร็วมากและความเคร่งเครียดที่ต้องเพ่งดูทุกก้าวย่างนั้นถีบตัวขึ้นสูงจนช่วงหนึ่งที่ผมไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ ผมไม่รู้สึกที่เท้าและขาที่เคลื่อนไหวไป มันเหมือนกับว่าผมเดินอยู่ในอากาศและมีกำลังชนิดหนึ่งลากผมไปเรื่อย ๆ สมาธิเป็นไปอย่างสมบูรณ์จนผมไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแสงที่สว่างขึ้นโดยลำดับ
ทันใดนั้นผมรู้สึกว่าเห็นตัวดอนฮวนเดินอยู่ข้างหน้า และเห็นเท้าและรอยเท้าของแกโดยไม่ต้องเดาสุ่มเอาดังที่ทำมาเกือบครึ่งคืน พอถึงเวลาช่วงหนึ่ง ดอนฮวนกระโดดแผลวออกจากทางเดินโดยไม่บอกล่วงหน้า การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องทำให้ผมเดินไปได้อีกเกือบ ๒๐ หลา ขณะที่ผมเดินช้าลง ๆ นั้น ขาทั้งสองอ่อนกำลังลง สั่น และในที่สุดผมทรุดฮวบลงกับพื้น
ผมมองขึ้นไปเห็นดอนฮวนกำลังตรวจดูผมอย่างสงบ เหมือนแกจะไม่เหนื่อยเอาเลย ส่วนผมหอบและเปียกโชกไปทั้งตัว
ดอนฮวนจับที่แขนของผมแล้วเหวี่ยงไปรอบ ๆ ขณะที่ผมนอนอยู่อย่างนั้น แกบอกว่าถ้าหากผมต้องการที่จะเรียกกำลังให้กลับคืนมาแล้ว ผมต้องนอนหันหัวไปทางทิศตะวันออก ผมรู้สึกผ่อนคลายทีละเล็กละน้อยและพักร่างกายที่ปวดร้าว ในที่สุดผมมีกำลังพอที่จะยืนขึ้น ผมอยากมองดูที่นาฬิกาข้อมือ แต่ดอนฮวนเอามือมาปิดที่ข้อมือของผมไว้ แกจับตัวของผมหันเบา ๆ ไปทางทิศตะวันออกแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องบอกเวลาที่น่าเกลียดของผมเลย เราอยู่ในกาละอันมหัศจรรย์ และจะได้ดูให้แน่ชัดลงไปว่าผมจะสามารถล่าพลังได้หรือไม่
ผมมองไปรอบ ๆ เรายืนอยู่บนยอดเขาสูงและใหญ่ ผมอยากจะเดินไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนกับจะเป็นขอบ หรือรอยแยกของหิน แต่ดอนฮวนกระโดดเข้ามาแล้วยึดตัวของผมเอาไว้ แกสั่งเชิงบังคับให้ผมยืนอยู่ตรงที่ที่ผมล้มลงไปจนกระทั่งถึงเวลาดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาหลังยอดเขาอันดำทมึนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดอนฮวนชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วให้ผมสังเกตดูก้อนเมฆที่จับเป็นกลุ่มอยู่หนาแน่นเหนือขอบฟ้า แกบอกว่าจะเป็นลางดีหากว่าลมพัดเอาก้อนเมฆออกไปได้ทันเวลาที่รังสีแรกฉายของดวงอาทิตย์สาดมากระทบร่างของผมที่ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้
แกบอกให้ผมยืนนิ่ง ก้าวเท้าขวาออกไปข้างหน้า เหมือนกับว่าผมกำลังเดินอยู่ ผมต้องไม่มองตรงไปที่ขอบฟ้าแต่ให้มองโดยไม่เพ่งตรงจุดใดโดยเฉพาะ ขาของผมแข็งทื่อ และปลีน่องปวดร้าว มันเป็นท่ายืนที่ทรมานและกล้ามเนื้อที่ขาระบมเกินกว่าที่จะพยุงร่างเอาไว้ ผมยืนอยู่ในท่านั้นนานเท่าที่จะทำได้ ผมเกือบจะทรุดฮวบลงไป ขาทั้งสองสั่นระริกคุมเอาไว้ไม่ได้
ขณะที่ดอนฮวนบอกให้ผมเลิก แกพยุงให้ผมนั่งลง ก้อนเมฆไม่เคลื่อนออกไปเลย และเราไม่เห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ดอนฮวนออกความเห็นเพียงว่า "แย่จริง ๆ "
ผมไม่อยากจะถามในทันทีถึงเบื้องหลังความล้มเหลวของผม แต่เท่าที่ผมรู้จัก - ดอนฮวน แกจะทำตามข้อวินิจฉันอันได้จากลางที่เกิดขึ้น แต่เช้าวันนี้ไม่มีลางเอาเลย ความปวดร้าวที่น่องหายไป ผมรู้สึกดีขึ้นมากจึงลุกขึ้นวิ่งเหย่า ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ดอนฮวนบอกผมให้ค่อย ๆ วิ่งขึ้นไปบนเนินเขาที่อยู่ติดกัน แล้วเก็บเอาใบไม้จากต้นไม้พุ่มหนึ่งมาถูที่ขาเพื่อทุเลากล้ามเนื้อที่ปวดร้าว
จากจุดที่ผมยืนอยู่ ผมมองเห็นต้นไม้พุ่มใหญ่สีเขียวสด ใบของมันดูเหมือนเปียกน้ำค้าง ผมเคยใช้ใบของต้นไม้ชนิดนี้มาแล้วแต่มันก็ไม่เคยช่วยให้ผมดีขึ้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้นดอนฮวนก็ยืนยันอยู่เสมอว่าผลของมันละเอียดอ่อนมากจนเราแทบจะไม่รู้สึก และมันรักษาอาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเสมอไป
ผมวิ่งลงไปตามเนินแล้ววิ่งขึ้นไปตามลาดไหล่เขาลูกนั้น เมื่อมาถึงยอดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองใช้แรงมากไปหน่อย ผมหอบและรู้สึกผิดปกติที่ท้อง ผมนั่งยอง ๆ แล้วต่อมาเอามือกอดเข่าขดตัวอยู่ครู่หนึ่งจนหายเหนื่อย ผมยืนขึ้นแล้วเอื้อมมือจะเด็ดเอาใบไม้จากต้นที่ดอนฮวนบอก แต่ผมไม่เห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น
ผมมองไปรอบ ๆ และแน่ใจว่ามาถึงจุดที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเลยในบริเวณยอดเขาแห่งนั้นที่มีลักษณะเหมือนกับพุ่มไม้พุ่มนั้น แต่ที่ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่ผมมองเห็นต้นไม้ต้นนี้ ที่แห่งอื่นน่าจะไม่อยู่ในคลองสายตาของผู้ที่ยืนอยู่ตรงจุดที่ดอนฮวนยืน ผมเลิกหาแล้วเดินกลับมาที่เดิม
ขณะที่ผมอธิบายถึงความเข้าใจผิดของตัวเองนั้น ดอนฮวนยิ้มด้วยความเห็นใจ
"ทำไมคุณจึงบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดล่ะ" แกถาม "เพราะเห็นอยู่ชัดแจ้งว่าพุ่มไม้พุ่มนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น"
"แต่คุณก็มองเห็นมันไม่ใช่หรือ" "ผมคิดว่าผมมองเห็นมันเท่านั้นแหละ"
"แล้วคุณมองเห็นอะไรตรงที่ที่มันขึ้นอยู่ตอนนี้ล่ะ"
"ผมไม่เห็นอะไรเลย" ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวตรงจุดที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น
ผมพยายามที่จะอธิบายว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นอาการผิดปกติทางตาหรือเป็นภาพมายา ผมเหนื่อยมากและจากเหตุนี้เองที่ทำให้ผมคิดว่ามองเห็นต้นไม้ที่จุดจุดนั้น ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นเลย
ดอนฮวนหัวเราะออกมาเบา ๆ แกจ้องดูผมอยู่ครู่หนึ่ง
"ผมไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งสิ้น" แกพูด "พุ่มไม้พุ่มนั้นอยู่ที่นั่น อยู่บนยอดเขาลูกนั้นแหละ"
ตอนนี้ผมกลับหัวเราะออกมา ผมกวาดตาดูบริเวณทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน ผมไม่เห็นต้นไม้ชนิดนั้นเลยและสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ เท่าที่ผมรู้ เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
ดอนฮวนเดินลงไปตามเนินเขาเงียบ ๆ แล้วกวักมือเรียกผมให้ตามไป เราปีนขึ้นไปยังยอดเขาของเขาลูกนั้นด้วยกันแล้วยืนตรงจุดที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้พุ่มนั้น ผมหัวเราะหึ ๆ ออกมาด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าตัวเองถูก ดอนฮวนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
"เดินไปยังฝั่งตรงข้ามของเขาลูกนี้สิ" แกบอก "แล้วคุณจะพบพุ่มไม้พุ่มนี้"
ผมออกความเห็นว่า ซีกเขาอีกด้านหนึ่งไม่ได้อยู่ในคลองสายตาของผม พืชชนิดนี้อาจจะขึ้นอยู่ที่นั้นได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์อะไร
ดอนฮวนทำท่าด้วยศีรษะให้ผมเดินตาม แกเดินรอบยอดเขาแทนที่จะเดินตัดข้ามไป แล้วแกหยุดอย่างผึ่งผายข้างพุ่มไม้พุ่มหนึ่งโดยไม่มองดูมันเลย แกหันกลับแล้วมองมาทางผม สายตาของแกทิ่มแทงเข้าไปอย่างประหลาดที่สุด
"จะต้องมีพืชชนิดนี้นับร้อยต้นในบริเวณนี้" ผมพูด
ดอนฮวนเดินลงไปสู่อีกด้านหนึ่งของเขาลูกนั้นอย่างอดทนผมเดินตามแกไป เรามองหาพุ่มไม้ดังกล่าวในที่ทุกแห่งแต่ก็ไม่พบแม้แต่ต้นเดียว เราเดินไปอีกประมาณ ๑/๔ ไมล์จึงพบพุ่มไม้ชนิดเดียวกันอีกพุ่มหนึ่ง ดอนฮวนไม่กล่าวอะไรออกมาแต่พาผมกลับมายังเขาลูกเดิม
เรายืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง แล้วแกนำผมออกเดินต่อเพื่อหาต้นไม้ชนิดนั้นจากทิศที่อยู่ตรงกันข้าม เราเสาะหาในบริเวณนั้นและพบอีกสองต้นซึ่งคงอยู่ห่างออกไปประมาณสองไมล์ มันขึ้นอยู่ด้วยกันและยืนต้นขึ้นมาเป็นกระจุกสีเขียวสด เขียวชอุ่มยิ่งกว่าพุ่มไม้ที่อยู่โดยรอบ
ดอนฮวนมองมาทางผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผมไม่ทราบว่าจะคิดในเรื่องนี้อย่างไรดี
"นี่เป็นลางที่แปลกมาก" แกพูด
เราเดินกลับเขาลูกเดิมโดยอ้อมเป็นระยะทางไกลเพื่อที่จะมาถึงจากอีกทิศหนึ่ง ดูเหมือนดอนฮวนจะพาเดินออกจากทางเดิมเพื่อพิสูจน์กับผมว่ามีต้นไม้ชนิดนั้นไม่กี่ต้นในแถบนี้ ตลอดทางเราไม่พบมันเลย และเมื่อมาถึงยอดเขาเรานั่งลงเงียบ ๆ ดอนฮวนแก้เอาน้ำเต้าใส่อาหารของแกออกมา
"หลังจากรับประทานอาหารคุณจะรู้สึกดีขึ้น" แกบอก แกไม่อาจซ่อนความรู้สึกพึงพอใจไว้ได้ แกยิงฟันยิ้มอย่างกว้างขวางขณะที่แกเคาะที่หัวของผม ผมยังปรับความรู้สึกไม่ได้ สิ่งที่งอกเงยขึ้นมาใหม่นั้นรบกวนจิตใจมาก แต่ผมก็เหนื่อยและหิวเกินกว่าที่จะคิดพิจารณาในเรื่องนี้
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จผมง่วงนอนมาก ดอนฮวนแนะให้ผมใช้วิธีมองโดยไม่เพ่งที่จุดหนึ่งจุดใดเพื่อหาที่นอนพักบนเนินเขาที่ผมคิดว่ามองเห็นพุ่มไม้ ผมเลือกเอาที่แห่งหนึ่ง
ดอนฮวนเก็บเอาขยะออกจากบริเวณนั้นและทำเป็นรูปวงกลมโตขนาดที่ผมจะนอนเหยียดตัวได้ แกหักเอากิ่งไม้อย่างอ่อนโยนจากพุ่มไม้แถวนั้นแล้วกวาดตรงบริเวณที่ทำเป็นวงกลมได้
แกทำท่าว่ากวาดเท่านั้นแต่ไม่ได้ให้กิ่งไม้แตะพื้นแต่อย่างใด ต่อมาแกหยิบก้อนหินที่อยู่ในวงกลม เลือกขนาดอย่างระมัดระวังแล้วเอาไปวางตรงกลางวงแยกเป็นสองกองให้มีจำนวนเท่า ๆ กัน
"คุณจะทำอะไรกับก้อนหินเหล่านั้น" ผมถาม
"นั่นไม่ใช่ก้อนหิน" แกบอก "มันคือเชือก เชือกเหล่านั้นจะยกที่ของคุณขึ้น"
แกเก็บเอาก้อนหินเล็กกว่ามาวางเป็นเส้นรอบวง แกวางเป็นช่วงห่างเท่า ๆ กันและใช้กิ่งไม้มาช่วยทำให้ก้อนหินเหล่านั้นตั้งอยู่กับดินอย่างมั่นคง แกทำราวกับว่าเป็นช่างปูนคนหนึ่ง แกไม่ยอมให้ผมเข้าไปในวงกลมแต่บอกให้ผมเดินไปรอบ ๆ ได้เพื่อดูว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ แกนับทวนเข็มนาฬิกาได้หิน ๑๘ ก้อน
"เอาละ ตอนนี้คุณวิ่งลงไปที่เชิงเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น" แกบอก "และผมจะไปที่ไหล่เขาตรงนั้น เพื่อดูว่าคุณยืนอยู่ตรงจุดที่ถูกต้องหรือเปล่า"
"คุณจะทำอะไร ดอนฮวน"
"ผมจะโยนเชือกเหล่านี้ไปให้คุณ" แกบอกพร้อมกับชี้ไปที่กองหินก้อนโต "และคุณต้องวางมันลงกับพื้นตรงบริเวณที่ผมจะชี้ให้ วางให้เป็นวงกลมในลักษณะเดียวกับที่ผมวางหินก้อนเล็กเหล่านั้น
"คุณต้องระมัดระวังชนิดที่พลาดไม่ได้เลย เมื่อคุณมาเกี่ยวข้องกับพลัง คุณต้องสมบูรณ์แบบ สำหรับที่นี่ความผิดพลาดหมายถึงความตาย ก้อนหินแต่ละก้อนคือเส้นเชือกและเชือกแต่ละเส้นอาจฆ่าเราได้หากเราทิ้งมันไว้ทั่วไป หากคุณเขวไปจากเหตุใดก็แล้วแต่ เชือกเส้นนั้นก็จะเป็นก้อนหินธรรมดาและคุณไม่อาจที่จะเห็นความแตกต่างของมันกับหินก้อนอื่นที่วางอยู่แถวนั้น"
ผมเสนอว่า มันน่าจะง่ายกว่ามากหากว่าผมจะถือเอา "เชือก" เหล่านี้ลงเขาไปคราวละเส้น แกหัวเราะแล้วสั่นหัวไม่เห็นด้วย
"นี่คือเชือก" แกยืนยัน "และผมต้องเป็นคนโยนมันลงไป ส่วนคุณต้องเป็นคนเก็บมันขึ้นมา"
กว่างานนี้จะลุล่วงไปก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ความจดจ่อที่จำเป็นต้องนำมาใช้นั้นเหลือทนเหลือทานอย่างแท้จริง ดอนฮวนร้องเตือนผมทุกครั้งให้ระวังตัวและจ้องดู แกทำถูกแล้วที่บอกล่วงหน้าไว้ การเก็บเอาหินเหวี่ยงลงมากระทบหินอีกหลายก้อนกระจายออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหมุนได้จริง ๆ
เมื่อผมทำให้วงกลมปิดเข้าหากันได้สนิทแล้วเดินกลับขึ้นมายังยอดเขา ผมคิดว่าผมจะล้มลงขาดใจตายเสียแล้ว ดอนฮวนหักเอากิ่งไม้เล็ก ๆ แล้วนำมาปลูกในบริเวณที่เป็นวงกลมนั้น แกยื่นใบไม้จำนวนหนึ่งให้ผมแล้วบอกให้ผมสอดเข้าไปใต้กางเกงแนบกับผิวหนังตรงสะดือ แกบอกว่าใบไม้เหล่านี้จะทำให้ผมอบอุ่น และผมไม่จำเป็นต้องมีผ้าห่มในขณะที่นอน
ผมโผลงไปในวงกลมกิ่งไม้เป็นเสื่อที่นุ่มทีเดียว แล้วก็ผลอยหลับไปในทันที
เมื่อผมตื่นขึ้นมานั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว ลมพัดจัดและท้องฟ้ามีเมฆมาก ก้อนเมฆที่อยู่เหนือขึ้นไปเป็นกลุ่มเมฆเกาะกันหนาแน่น แต่ทางด้านทิศตะวันตกเมฆกลับบางใส แสงแดดสาดส่องลงมายังพื้นดินเป็นครั้งคราว
การนอนทำให้ผมฟื้นตัวขึ้น ผมรู้สึกว่าสดชื่นและมีความสุข ลมไม่ได้รบกวนและไม่ทำให้ผมหนาว ผมเอามือทั้งสองพยุงศีรษะขึ้นแล้วมองดูโดยรอบ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตเอาเลย ยอดเขาค่อนข้างสูงและทัศนียภาพทางด้านทิศตะวันตกน่าประทับใจมาก ผมมองเห็นบริเวณกว้างใหญ่ที่เป็นเนินเขาต่ำ ๆ และต่อจากนั้นเป็นทะเลทราย ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกมีเทือกเขายอดสีน้ำตาล ส่วนทางทิศใต้นั้นเป็นแผ่นดินเหยียดยาวออกไปไกล มีเนินเขาและภูเขาสีน้ำเงินอยู่ลิบ ๆ
ผมลุกขึ้นนั่ง ผมหาดอนฮวนไม่เจอ ความกลัวจู่โจมเข้ามาในทันใด ผมคิดว่าแกอาจจะปล่อยผมไว้ที่นี่คนเดียวกระมัง และผมก็ไม่รู้ทางกลับไปยังที่ที่รถจอดอยู่เสียด้วย ผมนอนลงไปที่เสื่อใบไม้นั้นอีก และช่างแปลกอะไรเช่นนั้นความหวาดกลัวอันตรธานไป ผมประสบกับความสงบอีกครั้งหนึ่ง เป็นความปลาบปลื้มในความเต็มเปี่ยม นี่เป็นความรู้สึกที่ใหม่มากสำหรับผม ความคิดทั้งหลายดูจะดับลง ผมเป็นสุข สดชื่น และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เอิบอาบ