ดอนฮวนไม่พูดอะไรออกมา แกยืนห่างออกไปประมาณสามฟุต ทันใดนั้นแกกระโดดฉากออกไป และด้วยความคล่องแคล่วแทบไม่น่าเชื่อ แกวิ่งและกระโดดข้ามพุ่มไม้ขึ้นไปยังยอดของหินก้อนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
"เกิดอะไรขึ้นล่ะ" ผมถามด้วยความตกใจ
"ดูทิศทางที่ลมจะพัดใบไม้เหล่านั้น" แกบอก "นับมันเร็วลมพัดมาแล้ว เก็บใบไม้ครึ่งหนึ่งแล้วสอดมันเข้าไปที่ท้องน้อยของคุณตามเดิม"
ผมนับได้ ๒๐ ใบละสอดใบไม้ ๑๐ ใบเข้าไปใต้ชายเสื้อ ต่อมาลมพัดแรงวูบหนึ่งเป่าใบไม้ที่เหลือไปทางทิศตะวันตก ผมรู้สึกขนลุกเมื่อเห็นใบไม้เหล่านั้นปลิวไปเหมือนกับว่ามีสิ่งหนึ่งตั้งใจกวาดมันไปที่กลุ่มของพุ่มไม้สีเขียวไม่มีรูปร่างนั้น
ดอนฮวนเดินกลับมาหาผมแล้วนั่งลงทางซ้ายหันหน้าไปทางทิศใต้ เราไม่ปริปากพูดกันเลยเป็นเวลานาน ผมไม่ทราบจะพูดอะไรออกมา มันเหนื่อยและผมอยากหลับตาลงแต่ก็ไม่กล้าทำ ดอนฮวนคงสังเกตเห็นจึงพูดออกมาว่า เป็นการสมควรแล้วที่ผมจะนอน แกบอกให้ผมแนบมือไว้ตรงสะดือบนใบไม้เหล่านั้นและพยายามทำความรู้สึกให้ได้ว่าผมนอนอยู่บนเตียง "เชือก" ที่แกเคยทำให้ผมใน "สถานที่ที่ผมเลือกสรรแล้ว" นั้น
ผมหลับตาและความทรงจำถึงความสงบและความเต็มเปี่ยมที่ประสบมาเมื่อนอนอยู่บนยอดเขาแห่งนั้นซึมซาบเข้ามา เลยอยากรู้ว่าผมรู้สึกตัวลอยอยู่จริง ๆ หรือ แต่ผมหลับไปเสียก่อน ผมตื่นขึ้นก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดิน
การนอนหลับทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและดอนฮวนก็นอนเหมือนกัน แกลืมตาขึ้นขณะเดียวกับที่ผมตื่น ลมพัดจัดแต่ก็ไม่หนาว ใบไม้ที่ท้องของผมทำหน้าที่เหมือนกับเตาไฟหรือเตาผิงชนิดหนึ่ง ผมสำรวจดูสิ่งที่อยู่โดยรอบ ที่ตรงที่เลือกเป็นแอ่งเล็ก ๆ พอนั่งลงเหมือนกับนั่งอยู่บนรถพ่วงยาวมีกำแพงหินพอที่จะพิงหลังได้ ผมพบอีกว่าดอนฮวนเอาเครื่องเขียนของผมออกมาแล้วสอดไว้ใต้ศีรษะของผม
"คุณพบที่ที่เหมาะมาก" แกพูดพร้อมกับยิ้ม "และอาการที่เกิดขึ้นนั้น ผมก็บอกคุณก่อนแล้ว พลังนำคุณมาที่นี่โดยที่คุณไม่มีโครงการอะไรเลย"
"คุณเด็ดเอาใบไม้ชนิดไหนมาให้ผม ดอนฮวน" ผมถาม ความร้อนที่แผ่ออกมาจากใบไม้เหล่านั้นแหละ ที่ทำให้ผมอบอุ่นโดยไม่ต้องใช้ผ้าห่มหรือเสื้อหนา ๆ เหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่ผมสนใจมาก
"มันเป็นใบไม้ธรรมดานี่เอง" แกบอก "คุณหมายถึงว่า ผมจะเด็ดมันมาจากต้นไม้ต้นไหนก็ได้และมันจะทำให้เกิดผลอย่างนี้ใช่ไหม"
"ไม่หรอก คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณไม่มีพลังส่วนตัว ผมหมายถึงว่า ใบไม้ชนิดไหนก็จะทำให้เกิดผลดังกล่าวเพียงแต่ว่า คนที่เอาใบไม้เหล่านั้นมาให้คุณต้องมีพลังด้วย สิ่งที่มาช่วยคุณวันนี้ไม่ใช่ใบไม้ แต่เป็นพลัง"
"พลังของคุณใช่ไหมดอนฮวน"
"คุณอาจจะพูดได้ว่าเป็นพลังของผมถึงแม้ว่านั่นจะไม่ตรงนักก็ตาม พลังไม่เป็นของผู้ใด พวกเราบางคนสะสมพลังไว้และต่อมาก็มอบให้กับผู้อื่นโดยตรง คุณเห็นไหมล่ะว่า กุญแจสำคัญในการสะสมก็คือ พลังสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้อื่นสะสมพลังเท่านั้น"
ผมถามแกว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว พลังของแกมีขอบเขตในการใช้เพียงเพื่อช่วยผู้อื่นเท่านั้นสิ
ดอนฮวนอธิบายต่ออย่างอดทนว่า แกอาจใช้พลังส่วนตัวของแกกับทุกสิ่งที่ต้องการเท่าที่แกพอใจจะใช้ แต่เมื่อพลังถูกนำมามอบให้กับผู้อื่นโดยตรงแล้ว พลังจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอก จากว่าผู้รับใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการแสวงหาพลังส่วนตัวของเขา
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำขึ้นเกี่ยวข้องอยู่กับพลังส่วนตัวของเขา" ดอนฮวนอธิบายต่อ "ดังนั้นในสายตาของผู้ที่ไม่มีพลัง การกระทำของผู้มีพลังมหาศาลจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เราต้องใช้พลังแม้จะไม่รู้ว่าพลังคืออะไร นี่คือสิ่งที่ผมพยายามที่จะบอกกับคุณตลอดมา แต่ผมก็ทราบดีว่าคุณไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากจะเข้าใจ แต่เพราะว่าคุณมีพลังส่วนตัวน้อยมาก"
"ผมควรจะทำอย่างไรล่ะดอนฮวน"
"ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำเท่าที่คุณทำอยู่ในขณะนี้ พลังจะหาทางของมันได้เอง"
แกยืนขึ้นแล้วหมุนตัวไปรอบ ๆ เป็นวงกลมจ้องดูทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างกายของดอนฮวนหมุนไปในขณะที่ตาของแกมองไปในทิศนั้นด้วย การกระทำของแกคล้ายกับตุ๊กตากลที่หมุนได้รอบตัวในลักษณะที่สม่ำเสมอและลงตัว ผมอ้าปากค้างมองดู ดอนฮวนซ่อนยิ้มไว้ในหน้าด้วยทราบถึงความประหลาดใจของผมดี
"วันนี้คุณจะล่าพลังในความมืด" แกพูดแล้วนั่งลง
"ขอประทานโทษ"
"คืนนี้คุณจะเสี่ยงภัยเข้าไปในภูเขาที่ลึกลับเหล่านั้น ในความมืดมันไม่ใช่ภูเขาหรอก"
"แล้วมันเป็นอะไรล่ะ" "ภูเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งอื่น เป็นสิ่งหนึ่งที่คุณคิดไม่ถึงในเมื่อคุณไม่เคยสังเกตการณ์ปรากฏของมันมาก่อน"
"คุณหมายถึงอะไรดอนฮวน คุณทำให้ผมหวาดเสียวบ่อย ๆ ด้วยคำพูดที่น่ากลัวเหล่านั้น"
แกหัวเราะพลางเอาเท้าเตะที่น่องของผมเบา ๆ
"โลกเป็นสิ่งลึกลับ" แกพูด "และมันไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แกครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หัวของแกผงกขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะที่แกสั่นให้เป็นจังหวะ แกยิ้มและพูดเสริมขึ้นมา
"โลกคือภาพที่คุณคิดว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแหละ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของโลก มีอะไรมากกว่านั้น คุณมองเห็นภาพเหล่านั้นตลอดเวลา แต่บางทีคืนวันนี้คุณจะเห็นอีกภาพหนึ่งเพิ่มขึ้น"
เสียงที่แกพูดทำให้ผมเย็นวาบไปทั้งตัว
"คุณวางแผนอะไรอยู่ดอนฮวน" ผมถาม
"ผมไม่ได้วางแผนทำอะไรหรอก สิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดจะถูกกำหนดจากพลังที่ยอมให้คุณหาที่ที่เราพักนี่เอง"
แกยืนขึ้นแล้วชี้ไปยังสิ่งหนึ่งไกลออกไป ผมสรุปเอาว่าแกคงต้องการที่จะให้ผมยืนขึ้นและมองดูด้วย ผมจึงผลุดลุกขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะยืนขึ้นมาสุดตัว ดอนฮวนกลับกดผมลงไปอย่างแรง
"ผมไม่ได้บอกให้คุณทำตาม" แกพูดด้วยเสียงเครียดแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
"คุณจะเจอกับเรื่องที่ยากมากในคืนนี้ และคุณจำต้องใช้พลังส่วนตัวของคุณทั้งหมดเท่าที่คุณจะบังคับมันได้ จงนั่งอยู่ที่เดิม รักษาตัวเองไว้เผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น"
แกอธิบายว่า แกไม่ได้ชี้ให้ผมดูอะไร แต่แกเองอยากทำความแน่ใจว่าสิ่งนั้นอยู่ที่นั่น แกให้คำมั่นกับผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ผมต้องนั่งอยู่เงียบ ๆ และทำงานไปเรื่อย ๆ ผมมีเวลาพอในการจดบันทึกก่อนที่ความมืดจะคืบคลานเข้ามา ยิ้มของแกปลอบโยนและทำให้ผมอบอุ่น
"แต่เราจะทำอะไรต่อไปล่ะดอนฮวน" แกสั่นหัวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งราวกับว่าจะไม่เชื่อ
"เขียนสิ!" แกสั่งแล้วหันหลังให้ผม
ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วที่ผมจะทำ ผมนั่งจดบันทึกจนมืดเกินกว่าที่จะเขียนได้ ดอนฮวนนั่งในท่าเดิมตลอดเวลาที่ผมเขียน ดูเหมือนว่าแกจะสนใจอยู่กับการมองดูไกลออกไปทางทิศตะวันตก แต่ในทันทีที่ผมหยุดเขียนแกหันมาทางผมแล้วพูดในทำนองล้อเลียนว่า มีทางเดียวที่จะหุบปากของผมเสียได้คือ ให้ผมกิน หรือเขียนหรือไม่ก็ให้ผมหลับไปเสียเลย
แกหยิบเอาห่อเล็ก ๆ ออกมาจากย่าม แล้วเปิดห่อนั้นออกอย่างมีพิธีรีตอง ในห่อมีเนื้อแห้ง แกยื่นให้ผมชิ้นหนึ่งและสำหรับตัวแกเองชิ้นหนึ่ง แกเริ่มเคี้ยวเนื้อแห้งชิ้นนั้นพลางบอกกับผมว่านี่เป็นเนื้อประจุพลัง เราจะต้องกินมันเข้าไปในโอกาสเช่นนี้ ผมหิวมากเกินกว่าที่จะคิดไปถึงความเป็นไปได้ว่า เนื้อนั้นอาจผสมยาลวงจิตเข้าไปด้วย
เราเคี้ยวเนื้อนั้นโดยไม่พูดกันเลยจนหมด ขณะนั้นมืดมากแล้ว ดอนฮวนยืนขึ้น เหยียดแขนและลำตัว แกแนะว่าผมควรจะทำอย่างเดียวกัน และบอกว่าการยืดตัวหลังจากนอน นั่ง หรือเดินทางไกลเป็นการฝึกฝนที่ดีมาก
ผมทำตามคำแนะนำของแกซึ่งทำให้ใบไม้ที่ผมซุกไว้ใต้ชายเสื้อร่วงลงไปตามขากางเกง ผมพะวงอยู่ว่าจะเก็บมันขึ้นมาหรือไม่ แต่ดอนฮวนบอกให้ลืมมันเสีย ให้มันหล่นลงไปได้เพราะมันไม่มีความสำคัญใด ๆ อีกแล้ว
ต่อมาดอนฮวนก้าวเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบที่หูข้างขวาของผมว่า ผมต้องเลียนการกระทำของแกให้ใกล้เคียงที่สุด และเดินตามแกอย่าให้ห่างนัก แกบอกว่า เราจะปลอดภัยในจุดที่เรายืนอยู่เพราะว่าเราอยู่ตรงขอบของกลางคืน
"ตรงนี้ไม่ใช่กลางคืน" แกกระซิบพลางเอาเท้าย่ำลงบนก้อนหินที่เรายืนอยู่ "กลางคืนอยู่ข้างนอกโน่น" แกชี้ไปยังความมืดที่อยู่รอบ ๆ แล้วแกตรวจดูถุงตาข่ายที่ใส่ของเพื่อดูว่า น้ำเต้าใส่อาหารและเครื่องเขียนของผมอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยแกพูดออกมาเบา ๆ
"นักรบต้องทำความแน่ใจก่อนว่าทุกสิ่งอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะนักรบเชื่อว่าเขาจะมีชีวิตรอดจากความลำบากสาหัสสากรรจ์ที่ต้องเผชิญ แต่เพราะว่าการทำเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมอันบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนของเขา"
คำตักเตือนของแกแทนที่จะทำให้ผมสบายใจขึ้นกลับทำให้ผมปักใจลงไปจริง ๆ จัง ๆ ว่าจุดจบของผมใกล้เข้ามาแล้ว ผมอยากจะร้องไห้ ผมแน่ใจเหมือนกันว่าดอนฮวนเองก็รู้ดีถึงผลของคำพูดที่แกกล่าวออกมา
"จงวางใจในพลังส่วนตัวของคุณ" แกกระซิบที่หูของผม "ในโลกที่ลึกลับนี้ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์มี"
แกดึงผมเบา ๆ และเราเริ่มออกเดิน ดอนฮวนเดินนำไปข้างหน้าประมาณสองก้าว ผมเดินตาม ตาจ้องดูที่พื้น ไม่กล้ามองไปรอบ ๆ ผมเพ่งที่พื้นดิน และนั่นทำให้ผมสงบลงได้อย่างประหลาดแทบว่าจะสะกดไม่ให้เกิดความรู้สึกอย่างอื่น
เมื่อเดินมาได้สักครู่หนึ่ง ดอนฮวนหยุดแล้วกระซิบว่า ความมืดสนิทอยู่ใกล้นิดเดียวและแกจะออกนำไปข้างหน้า แต่แกจะบอกตำแหน่งที่แกอยู่โดยการทำเสียงนกฮูกชนิดหนึ่ง แกเตือนความจำของผมว่า ผมรู้แล้วถึงเสียงนกฮูกที่แกทำซึ่งจะเริ่มด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูและจะอ่อนโยนลงเหมือนเสียงนกฮูกจริง ๆ แกเตือนให้ผมระวังอย่างยิ่งยวดถึงเสียงร้องของนกฮูกตัวอื่นที่ไม่เหมือนที่แกทำขึ้น พอดอนฮวนให้คำแนะนำจบลงผมแทบชักลงไปด้วยความกลัว ผมยึดแขนของแกไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เวลาสองสามนาทีผ่านไปกว่าที่ผมจะเปล่งคำพูดออกมาได้ คลื่นของความกลัวไหวอยู่ในกระเพาะและแถวบริเวณท้องน้อยทำให้ผมพูดออกมาไม่ปะติดปะต่อกัน ดอนฮวนพูดออกมาเบาเบา ราบเรียบ ให้ผมควบคุมตัวเองให้ได้ เพราะความมืดก็เหมือนกับลมที่เราเคยพบ มีสภาพเช่นเดียวกับสิ่งที่เราไม่รู้โดยทั่วไป อาจหลอกล่อผมได้หากผมไม่ระวัง ผมต้องสงบลงได้จริง ๆ เพื่อจะจัดการกับมัน
"คุณต้องปล่อยตัวตน เพื่อให้พลังส่วนตัวของคุณกลืนเข้าเป็นอันเดียวกับพลังของกลางคืน" แกพูดที่หูของผม แกบอกว่าแกจะเคลื่อนไปข้างหน้า และนั่นทำให้ผมกลัวขึ้นมาอีก
"นี่เป็นเรื่องบ้าอย่างที่สุด" ผมค้าน ดอนฮวนไม่โกรธหรือแสดงว่าหมดขันติ แกหัวเราะเบา ๆ และพูดอะไรบางอย่างที่หูจองผมซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจนัก
"คุณพูดว่าอย่างไรดอนฮวน" ผมพูดออกมาอย่างดังปากคอสั่นไปหมด
แกเอามือปิดปากของผมไว้แล้วกระซิบว่า นักรบกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปเหมือนกับว่าเขาทราบดีถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย แกพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ อยู่ถึง ๓-๔ ครั้ง ราวกับว่าจะทำให้ผมท่องเอาไว้ แกบอกว่า
"นักรบเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนเมื่อเขาวางใจในพลังส่วนตัวของตนไม่ว่ามันจะมากหรือน้อย"
แกคอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า ผมพร้อมหรือยัง ผมผงกศีรษะและดอนฮวนวูบหายไปจากคลองสายตาอย่างเงียบเชียบ ผมพยายามที่จะมองไปโดยรอบ ดูเหมือนว่าผมยืนอยู่ในบริเวณที่มีพุ่มไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น สิ่งที่ผมเห็นค่อนข้างชัดคือเงาดำของพุ่มไม้หรือบางทีอาจจะเป็นต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ผมเงี่ยหูฟังเสียง แต่ไม่มีอะไรที่พิเศษออกไป เสียงหวูหวิวของสายลมกลบเสียงอื่นหมดสิ้นนอกจากเสียงร้องแหลมของนกฮูกตัวโตและเสียงวี้ด ๆ ของนกชนิดหนึ่งที่ร้องเป็นครั้งคราว
ผมคอยในสภาพที่ตั้งใจอย่างเต็มที่อยู่ครู่หนึ่ง ต่อมาเสียงร้องแหลมยาวของนกฮูกตัวเล็กดังขึ้นซึ่งผมไม่สงสัยเลยว่านั่นต้องเป็นดอนฮวน เสียงนั้นมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับแล้วเดินไปยังทิศที่ได้ยินเสียง ผมเคลื่อนไปช้า ๆ เพราะผมรู้สึกว่าความมืดเป็นอุปสรรคที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย ผมเดินอยู่ราว ๑๐ นาที
ทันใดนั้นมีเงาดำกระโดดตัดหน้าผมไป ผมร้องเสียงแหลมออกมาแล้วหงายหลังลงไปนั่งอยู่กับพื้นหูของผมดังหึ่ง ๆ ความตกใจกลัวสุดขีดทำให้ผมลืมหายใจ ผมต้องอ้าปากเพื่อสูดลมเข้าไป
"ลุกขึ้น" ดอนฮวนพูดค่อย ๆ "ผมไม่ได้มาหลอกคุณหรอก ผมมาพบคุณเท่านั้น"
แกบอกว่า แกเฝ้าดูท่าเดินอันเอื่อยเฉื่อยของผมอยู่และเมื่อผมก้าวไปในความมืด ผมจะเหมือนกับยายแก่ร่างกายพิการเดินย่องไปตามหลุมโคลน แกคงเห็นภาพที่แกพูดน่าขันมากจึงหัวเราะออกมาอย่างดัง
ต่อมาแกแสดงท่าเดินในความมืดให้ผมดู แกเรียกท่านี้ว่า "ท่าของพลัง" แกยืนอยู่ข้างหน้าของผมโน้มกายไปข้างหน้า แกให้ผมเอามือคลำดูหลังและเข่าของแกเพื่อจะทราบถึงลักษณะที่ร่างของแกยืนอยู่ ลำตัวของดอนฮวนโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยกระดูกสันหลังของแกตั้งตรง เข่าหย่อน แกออกเดินช้า ๆ ข้างหน้าของผมเพื่อแสดงให้ผมเห็นว่า แกยกเข่าขึ้นสูงเกือบถึงหน้าอกทุกครั้งที่แกก้าวแล้วแกวิ่งลับหายไปแล้ววิ่งกลับมา ผมไม่เข้าใจเลยว่าแกวิ่งในความมืดได้อย่างไร
"ท่าของพลังใช้สำหรับวิ่งในเวลากลางคืน" แกกระซิบที่หูของผม แกยุให้ผมทำดู ผมบอกแกว่า ผมแน่ใจได้เลยว่าจะต้องหล่นลงไปในรอยแยกหรือก้อนหินขาหัก ดอนฮวนพูดอย่างใจเย็นว่า "ท่าของพลัง" ทำให้ปลอดภัยแน่นอน ผมบอกว่า
มีทางเดียวที่ผมพอจะเข้าใจการวิ่งของแกคือสรุปเอาว่าแกรู้จักภูเขาเหล่านี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเลี่ยงรอยแยกที่มีอยู่ได้ ดอนฮวนจับศีรษะของผมไว้ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
"นี่คือกลางคืน! และกลางคืนคือพลัง!"
แกปล่อยมืออกแล้วพูดต่อว่า ในเวลากลางคืนโลกจะต่างออกไปมาก และการที่แกสามารถจะวิ่งในความมืด ไม่เกี่ยวกับการที่แกรู้จักภูเขาเหล่านี้ดีแต่อย่างใด แกบอกว่ากุญแจสำคัญที่จะมาไขเรื่องนี้คือ ให้พลังส่วนตัวไหลออกมาอย่างมีอิสระเพื่อว่ามันจะกลมกลืนเข้ากับพลังของกลางคืน และตราบใดที่พลังนำเราไปแล้ว จะไม่มีการสะดุดล้มหรือชนอะไรได้เลย
ดอนฮวนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเครียดมากว่า ถ้าผมสงสัยในเรื่องนี้แล้วก็ให้หยุดพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับคนที่มีอายุมากแล้วอย่างแกการวิ่งในภูเขาเหล่านี้และในช่วงเวลานี้ ย่อมหมายถึงการฆ่าตัวตาย หากว่าพลังของกลางคืนไม่นำทางให้กับแก
"ดูแล้วกัน!" แกบอกแล้ววิ่งอย่างว่องไวลับตัวไปในความมืด แล้ววิ่งกลับมาที่เดิม
การเคลื่อนไหวของดอนฮวนน่าดูเป็นพิเศษจนผมแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่มองเห็น แกจะซอยเท้าอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ท่าทางที่แกยกเท้าขึ้นมาทำให้ผมนึกภาพนักกีฬาอุ่นเครื่องก่อนที่จะออกวิ่ง ต่อมาแกบอกให้ผมวิ่งตาม
ผมวิ่งด้วยความเครียดและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ผมพยายามเพ่งมองตรงจุดที่จะเหยียบลงไปอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกะระยะได้อย่างถูกต้อง
ดอนฮวนวิ่งกลับมาแล้ววิ่งเหย่า ๆ ข้างตัวของผม แกกระซิบว่าผมต้องปล่อยตัวเองให้กับพลังของกลางคืนและเชื่อในพลังอันน้อยนิดที่ผมมีอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วผมจะเคลื่อนไปอย่างมีอิสระไม่ได้เลย และการที่ความมืดเป็นอุปสรรคก็เพราะผมพึ่งสายตาเพียงอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่ายังมีวิธีอื่นที่จะทำให้วิ่งไปได้นั่นก็คือ ให้พลังเป็นผู้นำทาง
ผมพยายามอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ผมปล่อยวางไม่ได้ความกลัวว่าขาจะหักมีมาก ดอนฮวนสั่งให้ผมวิ่งอยู่กับที่แล้วดูว่า ผมใช้ "ท่าของพลัง" จริง ๆ หรือยัง
ต่อมาแกบอกว่าแกจะวิ่งนำไปข้างหน้า และให้ผมคอยฟังเสียงร้องอย่างนกฮูกของแก แกหายไปในความมืดก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกมา ผมหลับตาอยู่ครู่หนึ่งแล้ววิ่งซอยเท้าอยู่กับที่ราวหนึ่งชั่วโมงโดยให้เข่าและลำตัวโน้มไปข้างหน้า ความเครียดทุเลาลงไปทีละเล็กละน้อยจนผมรู้สึกเป็นปกติ เสียงนกฮูกของดอนฮวนก็ดังขึ้น
ผมวิ่งไปได้สัก ๕-๖ หลาทางทิศที่ผมได้ยินเสียงร้อง พยายามที่จะ "ปล่อยวางตัวเองลง" อย่างที่ดอนฮวนแนะ แต่การวิ่งผ่าเข้าไปในพุ่มไม้ทำให้รู้สึกขึ้นมาในทันใดว่า ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
ดอนฮวนคอยผมอยู่และแกพยายามแก้ท่าให้ แกบอกว่าผมต้องงอนิ้วเข้าไปกำไว้ในอุ้งมือ เหยียดออกมาเฉพาะนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ แกพูดว่า ผมหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองไม่พร้อม ซึ่งความจริงแล้ว ผมมองเห็นทางได้ชัดตลอดเวลา ไม่ว่าจะมืดสักขนาดไหนก็ตาม เพียงแต่ว่าผมจะไม่เพ่งลงไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่กวาดตาดูที่พื้นดินเบื้องหน้าเท่านั้น
"ท่าของพลัง" คล้ายคลึงกับการหาจุดที่พัก การกระทำทั้งสองอย่างนี้ต้องการความรู้สึกที่ปล่อยวาง และความรู้สึกเชื่อมั่นลงไปใน "ท่าของพลัง" เราต้องพุ่งสายตาลงไปเบื้องหน้า เพราะการชำเลืองดูข้างทางจะทำให้การเคลื่อนไหวสะดุดลงได้
แกอธิบายต่อไปว่า การโน้มลำตัวไปข้างหน้านั้นมีความจำเป็นมากเพราะจะทำให้ตามองต่ำลง ส่วนเหตุผลที่ต้องยกเข่าขึ้นสูงจรดหน้าอกเพราะจะทำให้ก้าวออกไปได้สั้นและปลอดภัย แกเตือนผมว่า ผมจะหกล้มหลายครั้งในตอนแรก แต่แกก็ให้คำมั่นใจกับผมว่าจากการฝึกฝน ผมจะสามารถวิ่งได้อย่างคล่องแคล่วและปลอดภัยเหมือนกับวิ่งในเวลากลางวันทีเดียว
ผมพยายามเลียนการวิ่งของดอนฮวนอยู่หลายชั่วโมง และพยายามที่จะรู้สึกอย่างที่แกบอก ดอนฮวนวิ่งเหย่า ๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทนอยู่ข้างหน้า บางทีแกจะวิ่งนำไประยะสั้น ๆ แล้ววิ่งกลับมาเพื่อจะให้ผมได้ดูว่าแกเคลื่อนตัวไปอย่างไร แกถึงกับผลักและรุนให้ผมวิ่งในระยะสั้น ๆ ต่อมาแกวิ่งลับไปแล้วเรียกผมด้วยเสียงร้องของนกฮูกชุดหนึ่ง มันบอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ผมออกวิ่งด้วยความมั่นใจชนิดที่คาดไม่ถึง เท่าที่ทราบ ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว แต่ร่างกายจะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ต้องคิด ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่วิ่งไปนั้นผมมองไม่เห็นแง่หินหรอกแต่เท้าก็จะเหยียบลงไปที่เหลี่ยมของมัน และจะไม่ก้าวลงไปในรอยแยกนอกจากว่าผมจะเสียการทรงตัวเนื่องจากคิดวอกแวกออกไป สมาธิที่นำมาใช้ในการกวาดตาไปข้างหน้านั้นเต็มเปี่ยม และดังที่ดอนฮวนเตือนเอาไว้ การชำเลืองดูทางด้านข้างเพียงแวบเดียวหรือมองไกลออกไปมากก็จะทำให้สะดุดได้
หลังจากที่หาอยู่นานผมก็พบดอนฮวน แกนั่งอยู่บนเงาดำ ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้ แกเดินมาหาผมแล้วบอกว่าผมทำได้ดีแต่ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องออกจากที่นี่แล้วเพราะแกผิวปากเป็นเสียงร้องของนกฮูกอยู่นานจนแน่ใจได้ว่า ขณะนี้จะมีสิ่งอื่นร้องเลียนเสียงนี้ได้แล้ว
ผมเห็นด้วยกับแกว่าน่าจะหยุดเสียที ความพยายามที่จะวิ่งนั้นทำให้ผมแทบจะหมดกำลัง ผมโล่งใจไปถนัดและถามแกว่าใครล่ะที่จะมาเลียนเสียงของแก "พลัง พันธมิตร (Ally เป็นพลัง หรือ วิญญาณชนิดหนึ่งที่เป็นเพื่อนของนักรบขณะที่เขาเสาะแสวงหาพลังเพื่อจะเป็นผู้รู้แจ้ง-ผู้แปล) วิญญาณ อะไรก็ได้ใครจะรู้" แกพูด กระซิบกระซาบ
แกอธิบายว่า "วิญญาณของกลางคืน" เหล่านี้มักจะทำเสียงโหยหวน แต่มันเลียนเสียงร้องแหลมของมนุษย์และเสียงหวีดหวิวของนกไม่ได้ แกเตือนให้ผมระวังที่จะไม่วิ่งไปทางเสียงร้องโหยหวนและให้จำสิ่งที่แกบอกไว้อยู่ตลอดเวลา เพราะในโอกาสต่อไปผมอาจต้องบอกให้แกรู้ว่าอยู่ตรงไหน
ด้วยเสียงที่หนักแน่น แกบอกว่า ผมรู้ชัดแจ้งดีแล้วถึง "ท่าของพลัง" และการที่จะวิ่งอย่างนั้นให้ได้อย่างชำนาญนั้นผมต้องการสิ่งที่มากระตุ้นเพียงนิดเดียว ซึ่งผมจะพบในโอกาสอื่นเมื่อเราเสี่ยงภัยในเวลากลางคืนอีก แกเอามือมาตบที่ไหล่ของผม แล้วประกาศว่า แกพร้อมที่จะจากไปแล้ว
"ออกจากที่นี่กันเถอะ" แกพูดแล้วจะออกวิ่ง
"เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน!" ผมร้องเสียงหลงออกมา "เดินไปดีกว่าน่า"
ดอนฮวนหยุดวิ่งแล้วถอดหมวกออก "ว้า!" แกพูดออกมาอย่างหัวเสีย "เราอยู่ในระหว่างอันตราย คุณก็รู้แล้วว่าผมไม่เดินในความมืด ผมวิ่งได้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเดินผมก็ขาหักเท่านั้นเอง"
ผมรู้สึกว่าแกจะยิ้มยิงฟันเยาะเมื่อแกพูดออกมาเช่นนั้น แม้ผมจะมองไม่เห็นใบหน้าของแกก็ตามที แกยืนยันอีกว่า แกแก่เกินไปที่จะเดิน และการฝึก "ท่าของพลัง" เพียงน้อยนิดที่ผมรู้นั้นต้องนำมาใช้ในโอกาสเช่นนี้ "ถ้าเราไม่ใช้ 'ท่าของพลัง' แล้ว เราจะถูกเหยียบขยี้ยับลงไปเหมือนต้นหญ้า"
"ใครล่ะที่จะมาขยี้เรา"
"มีหลายสิ่งหลายอย่างในเวลากลางคืนที่กระทำต่อมนุษย์" แกกระซิบด้วยเสียงที่ทำให้ผมเย็นวาบไปทั้งตัว ดอนฮวนบอกว่า ไม่จำเป็นที่จะวิ่งร่วมไปกับแก เพราะแกจะให้สัญญาณเป็นเสียงร้องของนกฮูกสี่ครั้งติด ๆ กันในคราวหนึ่ง ๆ เพื่อว่าผมจะตามแกไปได้
ผมเสนอว่า เราน่าจะพักที่เขาลูกนี้เสียเลย เมื่อสว่างแล้วค่อยออกเดินทางต่อ แกแย้งขึ้งขังด้วยน้ำเสียงเกินจริงว่า การพักที่นี่หมายถึงการฆ่าตัวตายนั่นเอง และแม้ว่าเราจะรอดกลับไปได้ กลางคืนก็จะถ่ายพลังของเราออกไปหมดสิ้น จนเราไม่อาจเสี่ยงจากการเป็นเหยื่อของภัยชนิดแรก ที่จะเกิดขึ้นในตอนกลางวัน
"อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย" แกพูดด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง "ไปกันเถอะ"
แกให้คำมั่นใจกับผมว่า แกจะวิ่งให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้และแกกำชับผมเป็นครั้งสุดท้ายว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมต้องไม่เปล่งเสียงใด ๆ ออกมา แม้การอ้าปากหายใจแรง ๆ ก็ไม่ควรทำ แกแนะทิศทางที่เราจะวิ่ง แล้วแกออกวิ่งด้วยฝีเท้าที่ไม่เร็วนัก ผมวิ่งตาม แต่ไม่ว่าดอนฮวนจะวิ่งช้าขนาดไหนผมก็ตามแกไม่ทันอยู่ดี ในไม่ช้าแกก็หายไปในความมืดเบื้องหน้า