ผู้เขียน หัวข้อ: หยุดโลก บทเรียนจากดอนฮวน : ๑๖. วงแหวนของพลัง  (อ่าน 2179 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



๑๖. วงแหวนของพลัง


เสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๑๘๖๒
             
               ดอนฮวนยกน้ำเต้าใส่อาหารขึ้นเพื่อชั่งดูน้ำหนักแล้วกล่าวสรุปว่าเราจัดการกับเสบียงเกือบจะหมดแล้วและเป็นเวลาที่ต้องเดินทางกลับ ผมกล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่าเราต้องเดินทางอย่างน้อยสองวันจึงจะถึงจุดหมาย ดอนฮวนบอกว่าเราไม่กลับไปซอนาร่าแต่จะไปที่เมืองชายแดนแห่งหนึ่งเพื่อทำธุระของแก
             ผมคิดว่าเราจะเดินทางลงจากภูเขาทางโตรกที่เป็นแหล่งน้ำ แต่ดอนฮวนกลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นที่ราบสูงเกิดจากลาวาเช่นเดียวกัน เมื่อเดินไปได้สักหนึ่งชั่วโมง แกพาผมลัดเลาะไปตามโตรกผาซึ่งไปจบเอาตรงที่ยอดเขาสองลูกเกือบจะมาบรรจบกัน ที่นั่นมีเนินลาดสูงขึ้นไปจนเกือบจะถึงยอดเขา มันเป็นเนินรูปประหลาดเหมือนกับสะพานโค้งเชื่อมระหว่างยอดเขาทั้งสองลูกนั้น
             ดอนฮวนชี้ให้ดูบริเวณด้านหน้าของเนินเขานั้น
             "จงเพ่งดูตรงนั้นให้ดี" แกบอก "ดวงอาทิตย์อยู่เกือบจะอยู่เหนือเนินนั้นขึ้นไป"
             แกอธิบายว่า ในเวลาเที่ยงวันแสงแดดอาจช่วยให้ผม "ไม่-กระทำ" ได้ ต่อมาแกออกคำสั่งมากมายเช่นให้คลายเสื้อผ้าที่รัดแน่น นั่งในท่าขัดสมาธิ และมองตรงไปยังจุดที่แกบอกเป็นต้น
             มีเมฆสองสามก้อนลอยอยู่บนท้องฟ้า ทางด้านทิศตะวันตกไม่มีเมฆเลย วันนั้นอากาศร้อนมาก แสงแดดสาดจ้าลงมากระทบหินลาวาที่แข็งตัวแล้ว และผมใส่ใจเฝ้าดูจุดที่ดอนฮวนบอกนั้นอย่างจดจ่อ

             เมื่อจ้องดูอยู่นานผมถามขึ้นมาว่า ผมควรจะดูอะไรเป็นพิเศษ แต่ดอนฮวนโบกมือให้ผมเงียบ
             ผมรู้สึกเหนื่อยและอยากจะหลับตา ผมหรี่ตาลง นัยน์ตาคันยิบๆ ผมจึงยกมือขยี้ มือของผมชื้นเหงื่อและเมื่อเหงื่อเข้าไปในตาทำให้ตาแสบ ผมมองดูยอดของภูเขาลาวาด้วยตาที่เกือบจะปิดแต่ทันใดนั้นเองภูเขาทั้งลูกสว่างโพลงขึ้นมา
             ผมบอกกับดอนฮวนว่า ถ้าผมหรี่ตาผมก็จะเห็นเทือกเขาทั้งหมดเป็นยวงแสงรุ่งเรืองขึ้นมา
             แกบอกให้ผมหายใจให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อคงภาพยวงแสงที่เห็นอยู่นั้นไว้ และต้องไม่จ้องตรงเข้าไปแต่ให้มองผ่านๆ ไปดูที่จุดหนึ่งบนขอบฟ้าที่อยู่เหนือเนินเขา ผมทำตามคำแนะนำนั้นและสามารถที่จะคงภาพยวงแสงเรื่อเรืองที่ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุดนั้นไว้ได้
             ดอนฮวนพูดออกมาค่อยๆ ว่า ให้ผมแยกบริเวณที่เป็นเงามืดแห่งหนึ่งจากยวงแสงทั้งหมด และในทันทีที่พบบริเวณดังกล่าว ให้ผมลืมตาขึ้นมาเต็มที่เพื่อดูว่าบริเวณนั้นอยู่ตรงจุดไหนของเนินเขา
             ผมมองไม่เห็นเงาดำในที่ตรงไหนเลย ผมหรี่ตาและลืมมันขึ้นหลายครั้ง ดอนฮวนขยับเข้ามาใกล้แล้วชี้ให้มองดูที่จุดจุดหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมพอดี ผมพยายามที่จะขยับตัว ผมคิดว่า บางทีหากผมขยับตัวผมจะมองเห็นเงามืดที่ดอนฮวนชี้ให้ดู แต่แกสั่นแขนผมอย่างแรงแล้วบอกด้วยเสียงเครียดให้ผมนั่งนิ่งๆ และอดทนเข้าไว้
             ผมหรี่ตาลงอีกครั้งและมองเห็นยวงแสงนั้นอีก ผมมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดตาให้กว้างขึ้น ขณะนั้นเองผมได้ยินเสียงครืนเบาๆ เสียงนั้นน่าจะบอกได้ว่าเป็นเสียงของเครื่องบินไอพ่นที่บินในระยะไกล และทันใดนั้นผมต้องเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นเทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นจุดของแสงมากมายบริเวณใหญ่โตมโหฬารมันเหมือนกับว่า ในชั่วระยะเวลาอันสั้นนั้นบริเวณจุดที่เป็นโลหะบนหินลาวาอันแข็งตัวแล้วนั้นพากันสะท้อนแสงแดดออกมาพร้อมกัน ต่อมาแสงแดดจางลงแล้วดับไป ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นสีน้ำตาลแก่และลมพัดแรงขึ้นจนรู้สึกหนาว

             ผมอยากจะหันไปดูว่าดวงอาทิตย์ลับไปหลังก้อนเมฆหรืออย่างไร แต่ดอนฮวนจับหัวของผมไว้ไม่ยอมให้ผมเคลื่อนไหว แกบอกว่าถ้าหากผมหันกลับผมจะเห็นวิญญาณของภูเขาแวบหนึ่งซึ่งเป็นพันธมิตรที่ตามเรามา แกยืนยันว่าผมไม่มีพลังเพียงพอที่จะต้านทานภาพที่ผมเห็น แกพูดเสริมอีกว่า เสียงครืนที่ผมได้ยินนั้นเป็นลักษณะพิเศษที่พันธมิตรตัวนี้ประกาศปรากฏตัวของมัน
             ต่อมาแกลุกขึ้นยืนแล้วบอกดังๆ ว่า เราจะปีนขึ้นไปบนเนินนั้น
             "เราจะไปที่จุดไหนล่ะ" ผมถาม
              ดอนฮวนชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งที่แกบอกว่าเห็นเงามืด แกอธิบายว่า "การไม่-กระทำ" ทำให้แกเลือกเอาที่ตรงนั้นเป็นศูนย์ของพลัง และบางทีเราอาจพบของขลังที่จุดนั้นก็ได้
             เราปีนขึ้นไปด้วยความยากเย็นจนถึงจุดดังกล่าว ดอนฮวนยืนนิ่งห่างจากผมไปประมาณสามฟุต ผมจะเดินเข้าไปใกล้แต่แกโบกมือให้ผมหยุดอยู่ที่เดิม แกทำท่าจะหันตัว ผมเห็นท้ายทอยของแกเคลื่อนไหวเหมือนกับว่าแกกวาดสายตาขึ้นๆลงๆ ตามไหล่เขา

             ต่อมาแกเดินอย่างมั่นใจไปที่แนวหินที่ยื่นออกมา แกนั่งลงเอามือกวาดดินร่วนออกจากแนวหินนั้น แล้วเอานิ้วมือเขี่ยรอบๆ หินก้อนเล็กๆ ที่โผล่ขึ้นมา เช็ดเอาดินออกแล้วสั่งให้ผมขุดมันขึ้นมา
             เมื่อผมขุดหินก้อนนั้นขึ้นมาได้ ดอนฮวนบอกให้ผมยัดมันเข้าไปในเสื้อในทันที เพราะมันคือของขลังที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผมแล้ว แกบอกว่า แกให้ผมเก็บรักษาเอาไว้ ผมต้องขัดถูและรักษาหินก้อนนี้
              ต่อมาเราเดินลงมาทางโตรกผาที่มีน้ำ และอีกประมาณสองชั่วโมงเรามาถึงที่ราบสูงที่เป็นทะเลทรายเชิงภูเขาลาวา  ดอนฮวนเดินห่างออกไปข้างหน้าของผมราว ๑๐ ฟุต แกเดินด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ เรามุ่งหน้าไปทางทิศใต้จนถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ก้อนเมฆหนาทางทิศตะวันตกบังดวงอาทิตย์เอาไว้ เราหยุดเดินจนดวงอาทิตย์ลับหายไป
             ดอนฮวนเปลี่ยนทิศทาง แกมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เราต้องเดินข้ามเนินเขา และเมื่อเรามาถึงยอดเนินนั้นผมมองเห็นชายสี่คนกำลังเดินมาหาเราจากทางทิศใต้ ผมมองดูดอนฮวน เราไม่เคยพบผู้คนเลยในการท่องเที่ยวไปด้วยกันหลายครั้ง และผมไม่ทราบว่าจะปฏิบัติอย่างไรในกรณีเช่นนี้ แต่ดอนฮวนดูเหมือนไม่สนใจในเรื่องนี้เลย แกคงเดินต่อไปตามปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

             ชายทั้งสี่คนเดินราวกับว่าไม่รีบเร่งจะไปไหน พวกเขาเดินลดเลี้ยวมาหาเราอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเดินเข้ามาใกล้ผมก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มชาวอินเดียนแดงสี่คน พวกเขาดูจะจำดอนฮวนได้และดอนฮวนพูดกับชายหนุ่มทั้งสี่เป็นภาษาเสปน พวกเขาพูดจาค่อยๆ และปฏิบัติกับดอนฮวนด้วยความเคารพ มีคนเดียวเท่านั้นที่พูดกับผม ผมกระซิบถามดอนฮวนว่าผมจะพูดกับชายหนุ่มเหล่านี้ได้หรือไม่ แกผงกหัวอนุญาต

              เมื่อผมเริ่มพูดคุย ชายหนุ่มทั้งสี่ก็แสดงท่าทีเป็นกันเองขึ้นและพูดกันรู้เรื่องดี โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ผมพูดด้วยเป็นคนแรก พวกเขาบอกกับผมว่าพากันมาเลาะหาหินเขี้ยวหนุมานประจุพลังและได้เร่ร่อนไปรอบๆ ภูเขาลาวานี้หลายวันแล้ว แต่ไม่มีโชคดีพอที่จะพบผลึกหินดังกล่าวแม้แต่ก้อนเดียว
             ดอนฮวนมองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่มีก้อนหินใหญ่ๆ วางอยู่เกะกะซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๒๐๐ หลา
             "ตรงนั้นเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการหยุดพักชั่วครู่" แกบอก
              แกเดินไปยังที่แห่งนั้น และพวกเราออกเดินตาม ดอนฮวนเลือกเอาที่ที่ขรุขระ ไม่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ และพวกเรานั่งลงบนก้อนหิน ดอนฮวนประกาศขึ้นมาว่าแกจะเดินย้อนไปที่ละเมาะไม้เพื่อเก็บกิ่งไม้มาก่อไฟ ผมอยากจะช่วยแก แต่แกกระซิบว่า นี่เป็นกองไฟชนิดพิเศษสำหรับชายหนุ่มผู้กล้าหาญเหล่านี้ แกจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผม

             ชายหนุ่มทั้งสี่นั่งลงรอบตัวของผมชิดกันเป็นกลุ่ม คนหนึ่งนั่งหันหลังชนผมทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจนัก
             ดอนฮวนกลับมาพร้อมกับกิ่งไม้แห้งหอบหนึ่ง แกเอ่ยปากชมความเอาใจใส่ระมัดระวังของชายหนุ่มทั้งสี่ และบอกกับผมว่าชายหนุ่มเหล่านี้เป็นศิษย์ของหมอผีผู้หนึ่ง และถือเป็นกฎอยู่ว่าเมื่อออกแสวงหาของขลังกันเป็นกลุ่มนั้นจะต้องนั่งเป็นวงกลมให้ชายสองคนหันหลังชนกันอยู่ตรงกลาง
             ชายหนุ่มคนหนึ่งถามผมว่า ผมเคยพบผลึกแก้วบ้างหรือไม่ ผมบอกว่า ดอนฮวนไม่เคยพาผมออกหาวัตถุชนิดนี้
             ดอนฮวนเลือกเอาที่แห่งหนึ่งใกล้กับหินก้อนใหญ่แล้วก่อไฟขึ้น ไม่มีชายหนุ่มคนใดเข้าไปช่วยเหลือแกแต่ทุกคนพากันมองดูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อกิ่งไม้ทุกกิ่งติดไฟแล้ว ดอนฮวนนั่งลงเอาหลังพิงก้อนหิน กองไฟอยู่ทางขวามือของแก

              เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มทั้งสี่ทราบดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมไม่ทราบเลยแม้แต่นิดเดียวในสิ่งที่ต้องทำ เมื่อพบกับศิษย์ฝึกหัดของหมอผีเหล่านี้
             ผมเฝ้าดูชายหนุ่มทั้งสี่ พวกเขานั่งหันหน้าไปทางดอนฮวนเป็นรูปครึ่งวงกลม ผมสังเกตเห็นว่าดอนฮวนนั่งอยู่ตรงหน้าของผมและชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ทางขวามือของผม ส่วนอีกสองคนนั่งอยู่ทางซ้ายมือ
             ดอนฮวนเริ่มต้นโดยบอกกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า ผมไปที่ภูเขาลาวาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับ "การไม่-กระทำ" และพันธมิตรได้ตามเรามา ผมคิดว่านั่นเป็นการเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้นเลยทีเดียว ซึ่งผมคาดถูกต้องแล้ว

             ชายหนุ่มทั้งสี่เปลี่ยนท่านั่งโดยนั่งทับลงบนเท้าซ้ายที่งอเข้ามา ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตว่าพวกเขานั่งกันอย่างไร ผมเดาว่าคงจะนั่งเหมือนกับผมคือนั่งขัดสมาธิ ผมเหลือบไปดูดอนฮวนแวบหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าแกนั่งทับเท้าซ้ายที่งอเข้ามา เช่นกัน แกไหวคางพอให้สังเกตได้บอกให้ผมเปลี่ยนท่านั่ง ผมงอเท้าซ้ายเข้าไปทันที

             คราวหนึ่งดอนฮวนบอกผมว่า นี่เป็นท่านั่งที่หมอผีใช้เมื่อสิ่งต่างๆ อยู่ในสภาวะที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ท่านั่งเช่นนี้ทำให้ผมปวดร้าวมากเสมอไป ผมรู้ว่ามันจะต้องเป็นท่านั่งที่ทรมานมากหากผมต้องขดอยู่ในท่านี้ตลอดเวลาที่ดอนฮวนพูด
             ดูเหมือนแกจะทราบถึงความลำบากของผมโดยตลอด และด้วยการรวบรัดตัดคำอธิบายแกบอกกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า ผลึกแก้วอาจหาได้พบตรงไหนบ้างในแถบนั้น และเมื่อหามันพบแล้วพวกเขาต้องเชิญชวนให้มันละที่อยู่ด้วยวิธีการเป็นพิเศษหลายอย่าง หลังจากนั้นผลึกแก้วก็จะเป็นชายคนนั้น และอำนาจของมันเกินกว่าที่จะคาดคะเนเอาได้

             ดอนฮวนบอกว่า โดยทั่วไปนั้นแก้วผลึกจะพบในลักษณะที่จับกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคนที่พบจะเลือกเอาผลึกที่ยาวและมองดูสวยคมที่สุดห้าผลึกแล้วงัดออกมาจากเง่าของมัน ผู้พบต้องรับภาระในการแกะ และขัดผลึกแก้วเหล่านี้ให้แหลมและให้มีขนาด รูปร่างเหมือนกับนิ้วมือขวาทั้งห้าของเขา
              แกบอกพวกเราอีกว่า ผลึกแก้วเขี้ยวหนุมานเป็นอาวุธที่หมอผีขว้างออกไป มันจะแทงเข้าไปในร่างของศัตรูแล้วกลับมาหาเจ้าของราวกับว่ามันไม่ได้จากไปไหนเลย
             ต่อมาดอนฮวนเล่าถึงการเสาะหาวิญญาณที่จะมาเปลี่ยนผลึกแก้วธรรมดาให้เป็นอาวุธ แกบอกว่า แรกทีเดียวที่เราต้องทำคือเลือกหาที่ที่เหมาะในการล่อวิญญาณให้ออกมา สถานที่ดังกล่าวต้องอยู่บนยอดเขา และพบได้ด้วยการเอามือลูบที่พื้นดินและรู้สึกว่ามีความร้อนที่อุ่นขึ้นมาตามฝ่ามือ เราจะจุดไฟตรงจุดนั้น ดอนฮวนบอกว่าวิญญาณชนิดนี้ชอบเปลวไฟและจะปรากฏต้วด้วยเสียงร้องที่ร้องติดต่อกัน ผู้เสาะหาวิญญาณดังกล่าวจะตามเสียงนั้นไปจนมันปรากฏตัวให้เห็น แล้วเขาจะปล้ำให้มันล้มลงกับพื้นเพื่อเอาชนะมันให้ได้ เมื่อมาถึงตอนนี้เขาก็จะบังคับให้วิญญาณแตะที่ผลึกแก้วเพื่อประจุพลังเข้าไป

              แกเตือนเราว่า มีพลังอื่นมากมายในภูเขาลาวาเหล่านี้ ซึ่งเป็นพลังที่ไม่ใช่วิญญาณที่กล่าวถึงแล้ว พวกมันไม่เปล่งเสียงร้องแต่จะปรากฏตัวเป็นเงาวูบวาบ และพวกมันไม่มีพลังอยู่เลย
             ดอนฮวนขยายความต่อไปว่า ขนนกที่มีสีสวยหรือแก้วผลึกที่ขัดไว้แวววาวทำให้วิญญาณสนใจ แต่ในระยะยาววัตถุชนิดไหนก็มีผลทัดเทียมกัน เพราะว่าจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเสาะแสวงหาวัตถุเหล่านั้นแต่อยู่ที่การค้นหาพลังของวิญญาณที่จะมาประจุพลังเข้าไปในวัตถุต่างหาก
             "การมีแก้วผลึกขัดแวววาวสวยงามจะมีประโยชน์อะไรถ้าหากคุณไม่สามารถหาวิญญาณที่จะมาประจุพลังเข้าไป" แกพูด "ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าคุณไม่มีแก้วผลึกแต่คุณหาวิญญาณได้ คุณอาจจะเอาอะไรก็ได้ให้มันสัมผัส คุณอาจยื่นมังกรยักษ์ของคุณให้มันแตะก็ได้เหมือนกันถ้าคุณหาสิ่งอื่นไม่พบ"

             ชายหนุ่มทั้งสี่หัวเราะคิกๆ ออกมา คนที่กล้าที่สุดคือคนที่พูดกับผมเป็นคนแรกหัวเราะออกมาอย่างดัง
             ผมเห็นดอนฮวนเอาขาไขว้กันและนั่งอยู่ในที่ที่สบาย ชายหนุ่มทั้งสี่ก็เปลี่ยนเป็นนั่งไขว้ขาเช่นเดียวกันผมพยายามจะเปลี่ยนท่านั่งด้วยแต่เข่าข้างซ้ายของผมปวดอยู่หนุบๆ และ ปวดร้าวไปหมด ผมต้องลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งซอยเท้าอยู่กับที่อยู่หลายนาที
             ดอนฮวนตั้งข้อสังเกตอย่างติดตลก ผมบอกว่าผมไม่ได้ฝึกท่าคุกเข่านานแล้วเพราะตั้งแต่ผมท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนกับแก ผมก็หยุดไปคุกเข่าสารภาพบาปมาหลายปี

             คำพูดของผมทำให้เกิดเสียงดังเกรียวกราวขี้นมาในหมู่ชายหนุ่มทั้งสี พวกเขาหัวเราะออกมาอย่างดัง บางคนเอามือปิดหน้าแล้วหัวเราะคักๆ ออกมาด้วยความหวาดกลัว
             "ผมจะแสดงอะไรบางอย่างให้พวกคุณดู" ดอนฮวนพูดขึ้นมาลอยๆ หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสี่หยุดหัวเราะ
             ผมเดาว่าแกคงงัดเอาวัตถุทรงพลังที่อยู่ในย่ามของแกออกมาให้เราดู สักประเดี๋ยวผมคิดว่าชายหนุ่มเหล่านี้คงจะเข้าไปรุมล้อมตัวของดอนฮวนเพราะพวกเขาไหวตัวขึ้นมาพร้อมๆ กัน แต่ละคนโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกับจะลุกขึ้น แต่พวกเขากลับงอขาซ้ายเข้ามาแล้วนั่งในท่าลึกลับเหมือนเดิมซึ่งจะทรมานหัวเข่าของผมมาก

             ผมดึงขาซ้ายเข้ามาเท่าที่จะทำได้ และผมพบว่าหากผมไม่นั่งทับเท้าซ้ายแต่โหย่งตัวกึ่งคุกเข่าแล้ว เข่าของผมก็จะไม่เจ็บมากนัก
             ดอนฮวนลุกขึ้นแล้วเดินลับไปเบื้องหลังก้อนหิน
             แกคงซุกไม้ฟืนเข้าไปในกองไฟขณะที่ผมงอเท้าเข้ามาอย่างแน่นอนเพราะกิ่งไม้ประทุไฟขึ้นมาและเปลวไฟลุกโพลงขึ้น ภาพที่เห็นน่าดูมาก เปลวไฟพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า และทันใดนั้นเองดอนฮวนก้าวออกมาจากหลังหินใหญ่ก้อนนั้นแล้วยืนอยู่ตรงที่แกเคยนั่ง ผมตะลึงไปครู่หนึ่ง ดอนฮวนสวมหมวกสีดำตลกมากมันมีกระบังหมวกด้านข้างและมียอดกลม ผมรู้สึกว่านี่คงเป็นหมวกของโจรสลัดนั่นเอง แกสวมเสื้อคลุมสีดำชายด้านหลังยาวกลัดด้วยกระดุมโลหะที่ขัดแวววาวเพียงกระดุมเดียว และแกยืนอยู่บนขาไม้ข้างหนึ่ง

             ผมหัวเราะกับตัวเอง ในเครื่องแต่งตัวของโจรสลัดนี้ดอนฮวนดูจะทึ่มๆ อย่างไรชอบกล ผมสงสัยขึ้นมาว่า แกไปเอาเครื่องแบบนี้มาจากไหนในป่าเขาเช่นนี้ ผมเดาเอาว่ามันคงถูกซ่อนเอาไว้หลังก้อนหิน ผมบอกกับตัวเองว่าถ้าจะให้เหมือนโจรสลัดจริงๆ แล้ว ดอนฮวนต้องปิดนัยน์ตาไว้ข้างหนึ่งและมีนกแก้วจับอยู่บนไหล่ของแก
             ดอนฮวนมองดูพวกเราทุกคนในกลุ่มโดยกวาดสายตาจากซ้ายไปขวา ต่อมาแกมองตรงไปที่ความมืดเหนือศีรษะของพวกเรา แกยืนในท่านั้นชั่วครู่แล้วเดินไปทางหลังก้อนหินจนลับตัวไป
             ผมไม่ได้สังเกตท่าทางที่แกเดิน เห็นได้ชัดว่าขาของแกต้องโก่งเพื่อแสดงท่าเดินของคนที่สวมขาไม้ข้างหนึ่ง เมื่อแกหันเดินไปหลังก้อนหินนั้น ผมน่าจะเห็นขาโก่งของแก แต่การกระทำของแกทำให้ผมงงมากจนผมไม่ได้ใส่ใจดูรายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่น

             
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด




ตอนที่ดอนฮวนเดินไปที่หลังก้อนหินนั้นเปลวไฟอ่อนแสงลง ผมคิดว่าแกกะเวลาได้เยี่ยมจริงๆ แกคงกะไว้เรียบร้อยแล้วว่า ไม้ฟืนที่ซุกเข้าไปในกองไฟนั้นจะลุกได้นานเท่าใด และแกสวมเสื้อฟ้าเดินออกมาและกลับไปตามเวลาที่ได้กะเอาไว้
             กองไฟที่หรี่ลงนั้นทำให้คนในกลุ่มตื่นเต้นขึ้นมา มีกระแสของความหวาดกลัวปรากฏในชายหนุ่มทั้งสี่ ขณะที่กองไฟหรี่แสงลงนั้น พวกเขาขยับเข้ามาหากันแล้วนั่งในท่าขัดสมาธิ
             ผมคิดว่าดอนฮวนจะก้าวออกมาจากหลังก้อนหินในทันทีแล้วนั่งลงตรงที่ที่แกเคยนั่ง แต่แกไม่ทำเช่นนั้น แกหายตัวไป และผมคอยอยู่อย่างกระวนกระวาย ชายหนุ่มทั้งสี่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นปกตินัก

             ผมไม่เข้าใจว่าดอนฮวนตั้งใจแสดงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทำไม หลังจากที่ได้คอยอยู่ นานผมหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทางขวามือแล้วถามขึ้นด้วยเสียงต่ำๆว่า เครื่องแต่งตัวชิ้นต่างๆ ที่ดอนฮวนสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกทรงตลกหรือเสื้อคลุมชายยาว และความจริงที่แกยืนอยู่บนขาไม้ข้างหนึ่งนั้นมีความหมายอะไรสำหรับเขาหรือเปล่า
             พวกเขามองดูกันและกันราวกับว่ารู้สึกสับสนอย่างที่สุด ผมบอกว่า หมวกใบนั้น เสื้อคลุมตัวนั้นและขาข้างที่ด้วน ทำให้ดอนฮวนเป็นโจรสลัดขึ้นมา

             ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสี่เบียดเข้ามารอบตัวผม พวกเขาหัวเราะค่อยๆ และขยุกขยิกไปมาด้วยความกลัวดูเหมือนทุกคนไม่มีปากจะพูด แต่ในที่สุดคนที่กล้าที่สุดอ้าปากพูดกับผม เขาบอกว่าดอนฮวนไม่ได้สวมหมวก ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมยาว และขาก็ไม่ด้วน แต่แกมีผ้าดำหรือผ้าคลุมศีรษะอย่างพระโพกอยู่ที่หัวและสวมเสื้อคลุมสีดำยาวลากพื้น เหมือนกับเสื้อคลุมของพระอีกเช่นกัน
             "ไม่ใช่หรอก" ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอุทานออกมา
             "ดอนฮวนไม่ได้โพกหัว"
             "จริง" อีกคนหนึ่งพูด ชายหนุ่มที่พูดเป็นคนแรกมองดูผมราวกับว่าไม่เชื่อเอาเลย

             ผมบอกกับพวกเขาว่า เราต้องทบทวนภาพที่เห็นมานั้นอย่างมีวิจารณญาณและทำกันเงียบๆ เพราะผมแน่ใจว่าดอนฮวนต้องการให้เราทำเช่นนี้ ดังนั้นแกจึงให้พวกเราอยู่กันโดยลำพัง
              ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทางขวาสุดของผมเล่าว่า ดอนฮวนใส่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง แกสวมเสื้อปอนโซขาดปุปะ หรืออาจจะเป็นเสื้อคลุมอย่างของชาวอินเดียนแดง และใส่กางเกงซอมเบโรที่เปื่อยยุ่ย แกหิ้วตะกร้าที่ใส่ของไว้เต็ม แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าของในตะกร้านั้นเป็นอะไรแน่ เขาพูดเสริมขึ้นมาว่า ดอนฮวนไม่ได้นุ่งห่มเหมือนกับขอทาน แต่น่าจะเหมือนกับคนที่กลับจากการเดินทางไกลมาเป็นเวลานานและหอบหิ้วเอาของแปลกๆ มาด้วย

             ชายหนุ่มที่เห็นดอนฮวนโพกหัวเหมือนพระบอกว่า ดอนฮวนไม่ได้ถืออะไรเลย แต่ผมของแกยาวและยุ่งเหยิงราวกับว่าแกเป็นคนที่ดุร้ายเพิ่งฆ่าพระมาหยกๆ และสวมเอาเครื่องแต่งตัวของพระรูปนั้น แต่ก็ไม่อาจซ่อนความดุร้ายของตนไว้ได้
             ชายหนุ่มคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของผมหัวเราะหึๆ ออกมาเบาๆ เขาเล่าถึงภาพน่าขนลุกที่เห็น เขาบอกว่า ดอนฮวนสวมเสื้อผ้าเหมือนกับจะเป็นบุคคลสำคัญที่เพิ่งก้าวลงจากหลังม้า แกสวมเครื่องหุ้มขาที่ทำด้วยหนัง มีสเปอร์อันโตที่ส้นเท้า มีแส้ที่แกสลัดไปๆ มาๆ และแกสวมหมวกซิฮัวหัวยอดเป็นกรวยแหลม และมีปืนพกลำกล้อง .๔๕ สองกระบอก เขาบอกว่า ภาพที่เขาเห็นนั้นดอนฮวนเป็น "แรนเชโร" ที่มั่งมีคนหนึ่ง
             ชายหนุ่มคนที่อยู่ทางซ้ายสุดของผม หัวเราะออกมาอย่างประหม่า เขาไม่พูดถึงสิ่งที่เห็นมาร่วมกับเรา ผมพยายามคะยั้นคะยอ แต่คนอื่นๆ ดูจะไม่มีความสนใจ ชายหนุ่มคนนี้ขี้อายมากจนพูดอะไรออกมาไม่ได้

             ดอนฮวนเดินออกมาจากหลังก้อนหินและกองไฟเกือบจะดับอยู่แล้ว
             "เราน่าจะปล่อยให้ชายหนุ่มเหล่านี้ทำอะไรตามที่ต้องการ" แกพูดกับผม "ล่ำลาพวกเขาเสีย"
             แกไม่มองมายังชายหนุ่มทั้งสี่ แต่ออกเดินไปช้าๆ เพื่อให้ผมได้มีเวลากล่าวคำอำลา

             ชายหนุ่มทั้งสี่สวมกอดผมไว้
             กองไฟไม่แลบเปลวออกมาอีกแล้ว มีแต่ถ่านที่คุอยู่ส่องแสงสลัวๆ ร่างกายดอนฮวนเป็นเงาดำห่างออกไม่กี่ก้าว และชายหนุ่มทั้งสี่ดูราวกับจะเป็นเงาดำนิ่งไม่ไหวตัว เป็นรูปโค้ง พวกเขาเหมือนกับแถวของรูปปั้นสีดำมะเมื่อมทาบอยู่กับความมืดด้านหลัง

             ตอนนี้เองที่สิ่งที่เคยได้ประสบมากระทบเข้ากับใจของผม ความเย็นเยียบแล่นไปตามกระดูกสันหลัง ผมสาวเท้าให้ทันดอนฮวน แกบอกผมด้วยน้ำเสียงที่ลุกลนว่า อย่าหันกลับไปดูชายเหล่านั้นเพราะขณะนี้พวกเขาเป็นวงกลมของเงา
             พลังบางชนิดจากภายนอกจู่โจมเข้ามาในกระเพาะของผมมันเหมือนกับว่ามีมือชนิดหนึ่งมาจับตัวของผมไว้ ผมกรีดร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ ดอนฮวนกระซิบบอกว่ามีพลังมากมายในบริเวณนี้ และน่าจะเป็นเรื่องง่ายที่ผมจะใช้ "ท่าของพลัง"
              เราวิ่งเหย่าๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง ผมล้มลงไปห้าครั้งและดอนฮวนนับทุกครั้งขณะที่ผมซวนกายลงไป ต่อมาแกหยุดวิ่ง
             "นั่งลง เบียดตัวไปที่ก้อนหินแล้วเอามือทาบเข้าไปที่ท้องน้อย" แกกระซิบที่หูของผม



อาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน ๑๙๖๒

             ในตอนเช้ามืดเมื่อมีแสงสว่างพอมองเห็นทางเราเริ่มออกเดินต่อ ดอนฮวนนำผมมาถึงที่ที่เราจอดรถไว้ ผมหิวแต่กลับรู้สึกสดชื่นและรู้สึกว่าได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม
             เรารับประทานขนมปังกรอบและดื่มน้ำแร่จากขวดที่ผมมีติดไว้ในรถ ผมอยากจะถามปัญหาที่รุมเร้าอยู่หลายอย่าง แต่ดอนฮวนเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก

             ในราวเที่ยงวันเราเดินทางมาถึงเมืองชายแดน ที่ดอนฮวนบอกให้ผมละแกไว้ เราไปภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ที่นั่นไม่มีคน เรานั่งที่โต๊ะติดกับหน้าต่าง มองออกไปเห็นถนนใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านแล้วสั่งอาหาร
             ดอนฮวนดูจะมีอารมณ์ดีขึ้นมาก นัยน์ตาของแกมีแววซุกซน ผมรู้สึกกล้าขึ้นจึงถามปัญหาต่างๆ กับแก จุดใหญ่ผมอยากจะทราบถึงการปลอมแปลงตัวของแก
             "ผมแสดง การไม่-กระทำ เล็กๆ น้อยๆ ของผมให้คุณดู" แกพูด นัยน์ตาของแกคล้ายจะฉายแววออกมา
             "แต่ไม่มีใครเลยในหมู่พวกเราที่เห็นอย่างเดียวกัน" ผมบอก "คุณทำได้อย่างไร"
             "ง่ายมาก" แกบอก "นั่นเป็นเพียงการปลอมแปลงตัวเท่านั้นเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำลงไปก็มีลักษณะเดียวกันคือเป็นเพียงการปลอมแปลง ผมเคยบอกคุณแล้วว่า ทุกสิ่งที่เราทำเป็น การกระทำ มนุษย์ผู้รู้แจ้งสามารถเกี่ยวตัวเองไว้กับ การกระทำ ของทุกคนแล้วทำให้เกิดสิ่งลึกลับน่าทึ่งต่างๆ นานา แต่นี่ไม่น่าพิศวงงงงวยอะไรหรอก ไม่เลยจริงๆ มันน่าขนลุก สำหรับผู้ที่ถูกจับไว้ด้วย การกระทำ เท่านั้น...
             "ชายหนุ่มทั้งสี่รวมทั้งตัวของคุณยังไม่ทราบ การไม่-กระทำ ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะหลอกพวกคุณ"
             "คุณหลอกพวกเราอย่างไรดอนฮวน"
              "มันไม่ทำให้คุณเข้าใจอะไรได้หรอก ไม่มีทางที่คุณจะทำความเข้าใจได้เลย"
             "กรุณาทดลองกับผมหน่อยสิ"

             "ขอให้พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนที่ทุกคนเกิดขึ้นมานั้น เขาเอาแหวนของพลังวงเล็กๆ ติดออกมาด้วย วงแหวนเล็กๆ วงนั้นถูกนำมาใช้เกือบจะในทันที ดังนั้นเราทุกคนจึงถูกเกี่ยวเอาไว้นับตั้งแต่เราอุบัติขึ้นมาในโลก และวงแหวนของพลังของเรานี้เชื่อมสัมพันธ์กับวงแหวนของคนอื่นๆ พูดอีกนัยหนึ่ง วงแหวนของพลังของเราถูกเกี่ยวไว้กับ การกระทำ ของโลกเพื่อจะสร้างโลก"
             "ขอให้ยกตัวอย่างที่ผมอาจจะเข้าใจได้หน่อยสิ" ผมพูด
             "ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้วงแหวนแห่งพลังของเรา คือของคุณและของผมกำลังถูกเกี่ยวไว้กับ การกระทำ ในห้องนี้ เรากำลังทำห้องนี้ขึ้นมา วงแหวนแห่งพลังของเรากำลังสร้างห้องนี้ขึ้นมาในลักษณะนี้"
             "เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน" ผมร้องออกมา "ห้องนี้มีอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ผมไม่ได้สร้างมันขึ้นมา ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันเลยนี่นา"

             ดอนฮวนดูจะไม่สนใจกับคำค้านชวนให้ทะเลาะของผม แกกล่าวย้ำต่อไปอย่างสงบว่า ห้องที่เรานั่งอยู่นี้ถูกทำให้เกิดขึ้นและทำให้คงอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะพลังที่มาจากวงแหวนแห่งพลังของทุกคน
             "เห็นไหมล่ะ ว่า" แกพูดต่อ "เราทุกคนรู้ถึง การกระทำ ห้องชนิดต่างๆ เพราะว่าจะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้อง แต่ในทางตรงกันข้าม มนุษย์ผู้รู้แจ้งทำให้วงแหวนอีกชนิดหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมา ผมขอเรียกมันว่า วงแหวนของ การไม่-กระทำ ดังนั้น เนื่องจากแหวนวงนี้เองที่เขาทำให้เกิดโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา"

             หญิงสาวบริกรนำอาหารออกมา และดูเหมือนจะระแวงเรามาก ดอนฮวนกระซิบว่าผมควรจะจ่ายเงินเพื่อแสดงว่าผมมีเงินพอจ่ายค่าอาหาร
             "ผมไม่ตำหนิเธอหรอกที่ระแวงในตัวของคุณ" แกพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างดัง "คุณเหมือนกับคนที่เพิ่งออกมาจากขุมนรก"
             ผมจ่ายค่าอาหารและให้เงินรางวัลหญิงบริกร เมื่อเธอจากไปแล้วผมจ้องดูดอนฮวน พยายามที่จะหาทางวกเข้ามาสนทนาในเรื่องเดิม แกช่วยผมให้สำเร็จจุดประสงค์ในที่สุด

             "ความยุ่งยากของคุณคือ คุณยังไม่ทำให้เกิดวงแหวนแห่งพลังชนิดใหม่นี้ขึ้นมา และร่างกายของคุณไม่ทราบถึง การไม่-กระทำ" แกพูด
             ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ดอนฮวนพูด จิตของผมวนเวียนอยู่กับเรื่องพื้นๆ ผมอยากทราบเพียงว่า แกสวมเครื่องแบบของโจรสลัดจริงหรือเปล่าเท่านั้น

              ดอนฮวนไม่ตอบ แต่หัวเราะออกมาอย่างดัง ผมอ้อนวอนให้แกอธิบายเรื่องนี้
             "ผมเพิ่งอธิบายจบไปหยกๆ นี่นา" แกแย้งขึ้นมา
             "หมายความว่าคุณไม่ได้สวมเสื้อผ้าเพื่อปลอมตัวใดๆ เลย"
             "ทั้งหมดที่ผมทำคือ เกี่ยววงแหวนแห่งพลังของผมไว้กับ การกระทำ ของคุณ" แกตอบ "นอกเหนือออกไปจากนั้นเป็นเรื่องที่คุณทำขึ้นมาเอง และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน"
             "ไม่น่าเชื่อเอาเลย!" ผมอุทานออกมา

              "เราทุกคนถูกอบรมสั่งสอนให้เห็นพ้องต้องกันใน การกระทำ" ดอนฮวนพูดค่อยๆ "คุณคิดไม่ถึงหรอกว่า พลังแห่งความเห็นพ้องต้องกันนั้นทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แต่นับเป็นโชคดีที่ การไม่-กระทำ ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์และทรงพลังทัดเทียมกัน"
             ผมรู้สึกถึงคลื่นที่ควบคุมไม่ได้ไหวตัวอยู่ในกระเพาะ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ และคำอธิบายของดอนฮวนเป็นเสมือนมีเหวลึกมาขวางไว้ไม่อาจเชื่อมประสานกันได้ เพื่อปกป้องตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งก็เหมือนกับทุกๆ คราวคือ ผมจบลงด้วยความไม่เชื่อ สงสัย และมีคำถามติดมาว่า "ถ้าดอนฮวนซักซ้อมไว้กับชายหนุ่มเหล่านั้นล่ะ ดอนฮวนเองน่ะแหละ ที่สร้างเรื่องทั้งหมดนั้นขึ้น"

             ผมเปลี่ยนเรื่องคุย ผมถามเกี่ยวกับศิษย์ของหมอผีทั้งสี่คนนั้น
             "คุณบอกผมไม่ใช่หรือว่า พวกเขาเป็นเงา" ผมถาม
              "ใช่"
             "ชายหนุ่มทั้งสี่เป็นวิญญาณอย่างนั้นหรือ"
             "ไม่หรอก พวกเขาเป็นศิษย์ของคนคนหนึ่งที่ผมรู้จัก"
             "แล้วทำไมคุณจึงบอกว่าพวกเขาเป็นเงาล่ะ"
              "เพราะในขณะเช่นนั้นชายหนุ่มทั้งสี่ถูกลูบไล้ด้วยพลังของ การไม่-กระทำ และเมื่อพวกเขาไม่ได้โง่เซอะเหมือนคุณ พวกเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งที่คุณรู้จักดี เพราะเหตุนี้เองที่ผมไม่ให้คุณหันกลับไปมองดู มันจะทำอันตรายกับคุณเท่านั้นเอง"

             ผมไม่มีคำถามข้ออื่นอีกและไม่หิวด้วย ดอนฮวนรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยและดูจะมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษแต่ผมรู้สึกเศร้าสลดใจ ผมเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาในทันใด ผมรู้ชัดขึ้นมาว่าวิถีทางของดอนฮวนนั้นลำบากยากเข็ญสำหรับผม ผมตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอผีเอาเลย
              "บางทีการพบกับเมสคาลิโตอีกสักครั้งหนึ่งจะช่วยคุณได้กระมัง"
             ผมให้คำรับรองกับแกว่า นั่นยิ่งห่างจากสิ่งที่ผมคิดไว้อย่างที่สุด และผมจะไม่นำมาคิดเลยว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้

             "เหตุการณ์ที่รุนแรงต้องเกิดขึ้นเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับประโยชน์จากสิ่งที่คุณเรียนรู้มาแล้วบ้าง"
             ผมลองออกความเห็นว่า ในเมื่อผมไม่ได้เป็นชาวอินเดียนแดง ผมจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอันมหัศจรรย์ของหมอผี
             "บางทีถ้าหากผมปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นจากความผูกพันทั้งหลายได้แล้ว ผมก็อาจจะเดินไปตามทางอย่างของคุณได้ดีขึ้น" ผมพูด "หรือไม่เช่นนั้น ถ้าผมท่องเที่ยวไปตามป่าเขากับคุณแล้วอยู่มันเสียที่นั่นเลย แต่เท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ความจริงที่ว่าผมก้าวเท้าไปเหยียบไว้ทั้งสองโลกนั้นทำให้ผมไม่มีประโยชน์ทั้งในโลกธรรมดาและโลกของหมอผี

             ดอนฮวนจ้องดูผมอยู่นาน
              "นั่นเป็นโลกของคุณ" แกพูดพร้อมกับชี้ไปที่ถนนอันพลุกพล่าน "คุณเป็นคนของโลกชนิดนี้ และข้างนอกนั่นแหละ ในโลกชนิดนั้นเองเป็นสนามแห่งการล่าของคุณ เราไม่มีทางที่จะหนีจาก การกระทำ ของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่นักรบกระทำลงไปคือเปลี่ยนโลกชนิดนี้ให้เป็นสถานที่ที่เขาจะออกล่า ในฐานะที่เป็นพราน นักรบทราบดีว่า โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นเขาใช้มันทุกชิ้นทุกสิ่ง นักรบก็เหมือนกับโจรสลัดนั่นเอง คือไม่เสียใจที่ได้สิ่งใดมาหรือสูญเสียสิ่งที่เขาต้องการนั้นไป นอกจากจะแตกต่างไปบ้าง คือนักรบจะไม่ใส่ใจหรือรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเมื่อเขาถูกใช้หรือถูกกลั่นแกล้งเลย" .



--------------------------------------------------------------------------------

http://olddreamz.com/bookshelf/ixtlan/lesson15-17.html
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
:13:  ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับผม
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~