ก็ดีใจที่ "พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" ออกจากโรงพยาบาลศิริราช กลับไปยังวัดป่าบ้านตาด ที่อุดรธานี แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ ๓ มกรา ผมอ่านข่าวเขาบอกว่า ท่านกลับโดยเที่ยวบินพิเศษ จากกรุงเทพฯ ไปลงที่กองบิน ๒๓ กองพลที่ ๒ อุดรธานี จากนั้นก็มีแพทย์-พยาบาล และคณะศิษย์มารับท่านนั่งรถต่อไปยังวัด
ก็ขอกราบพึ่งบารมีพระหลวงตามหาบัวตรงนี้แหละ ไม่เคยได้ไปกราบท่าน หรือเคยพบท่านมาก่อน ดูแต่รูป อ่านแต่หนังสือ ฟังแต่เทปคำสอนธรรมของท่าน ทราบว่าพระหลวงตาเป็นศิษย์ที่ยังสภาพสังขารอยู่ในจำนวนไม่กี่รูป ที่ได้รับการบ่มเพาะโดยตรงจาก "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" พระผู้เป็นพระขีณาสพ
อีก ๒-๓ ปี พระหลวงตาก็จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปี กายสังขารท่านมีอันเสื่อมไป เรียกว่ามีอาการป่วยไข้เป็นธรรมดา แต่ส่วนจิตท่านนั้นหาได้ป่วยไข้ตามไปด้วยไม่ ใครที่ยังเที่ยวปีใหม่วนๆ อยู่แถวๆ อุดรฯ-หนองคาย ควรหาโอกาสอันหาได้ยากไปที่วัดป่าบ้านตาด เพื่อมงคลแห่งชีวิตตนเอง
ไม่ต้องกราบต่อหน้าท่านหรอก ได้เข้าไปในเขตวัด แล้วตั้งใจระลึกถึงท่าน กราบผ่านแผ่นดินวัด ก็เหมือนได้นั่งอยู่ตรงหน้าท่าน และได้กราบท่าน ขอเพียงตั้งใจให้ตรง ให้มั่น ให้สะอาด ในศีล ในธรรม ในคำสั่งสอนพระบรมศาสดาเจ้า แค่นั้นบารมีธรรมพระหลวงตามหาบัวก็คุ้มหัวให้แล้ว
เหตุที่ผมนำเรื่องนี้มาปรารภอีกครั้ง นอกจากจะบอกกรณีพระหลวงตาออกจากโรงพยาบาลกลับวัดแล้ว ยังอยากจะบอกว่า หนังสือ "เทวดาวันขึ้นกุฏิใหม่หลวงตา วัดป่าบ้านตาด ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑" ที่คุณหลวงและคณะรวบรวมจัดพิมพ์ และผมเคยบอกตรงนี้ไปเมื่อปีที่แล้วว่า ท่านใดประสงค์จะได้รับไปอ่าน ให้ไปรับได้ที่คุณหลวง หรือที่ไทยโพสต์นั้น
ถึงตอนนี้ ยังมีมอบให้กับทุกท่านที่มารับ ฉะนั้นมารับกันได้ สะดวกทางไหนไปทางนั้น คือจะไปรับที่คุณหลวง หรือที่ไทยโพสต์ "เหมือนกัน"
บางท่านอาจคิดในใจว่า....แหม ช่วยใส่ซอง ปิดแสตมป์ ส่งให้อ่านถึงหัวกระไดบ้านอย่างที่เคยทำหน่อยไม่ได้หรือ เพราะขี้เกียจมาเอา อีกทั้งมาก็ยากแสนยาก!
ผมก็อยากกราบเรียนว่า อย่ากระนั้นเลย ทั้งที่ผมจะทำอย่างนั้นก็ทำได้ แต่ที่ครั้งนี้ไม่ทำด้วยเจตนาว่า หนังสือนี้มีค่าสำหรับคนที่รู้ค่า และมีความปรารถนาจริงใจในอันที่จะเสาะหาไปอ่านจริงๆเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับบางท่านที่เห็นผมบอกว่าโทร.แจ้งชื่อมาแล้วจะส่งไปให้ ก็ขอรับไปอย่างนั้นเอง
เปิดๆ ดูแล้วก็วางไว้ ด้วยนึกในใจ "ว่างเมื่อไหร่ค่อยอ่าน"!
แบบนั้นน่ะ ถึงชาติหน้าก็ยังหาเวลาอ่านไม่ได้ นี่เหตุหนึ่งล่ะที่ผมต้องให้มารับเอง เพราะการซอกซอนมารับถึงไทยโพสต์ แสดงว่าท่านศรัทธาต่อพระหลวงตา และมีความตั้งใจจริงที่จะได้หนังสือเล่มนี้ไปอ่านจริงๆ
อีกประการ ในฐานะคนทำหนังสือ ผมเห็นหนังสือที่คุณหลวงและคณะสละทุนทรัพย์ สละเวลาค้นคว้า รวบรวม เรียบเรียงและจัดพิมพ์แล้วบอกได้ว่า เฉพาะด้านธุรกิจก็ต้องบอกว่า ตกเล่มละหลายสิบบาท หรือถึงเกือบร้อยบาท เพราะพิมพ์ด้วยกระดาษอย่างดี ๔ สีทั้งเล่ม อย่างพิมพ์ครั้งนี้เป็นการพิมพ์ครั้งที่ ๒ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม
ตกเฉียดล้าน!
แต่แจกเป็นธรรมทาน
และเมื่อพูดถึงด้านคุณค่า ก็ต้องทำความเข้าใจว่า คุณค่าหนังสือนั้นขึ้นอยู่ว่า "ผู้รับไปอ่านแต่ละท่านจะเข้าถึง 'คุณวิเศษ' อันมีอยู่ในเนื้อหานั้นระดับไหน-ขนาดไหน?"
บางท่านอ่านแล้ว เห็นคุณค่ามาก บางท่านเห็นคุณค่าน้อย และบางท่านอาจไม่เห็นคุณอะไรเลยนอกจากความเป็น "หนังสือเล่มหนึ่ง" ฉะนั้น ให้ออกแรงขวนขวายในการมารับ-มาได้ซักหน่อย เป็นการปรับศรัทธา-ปสาทะไปในตัว รับไปแล้วจะได้ตั้งใจอ่านให้สมเหนื่อยยาก และจากใจที่ตั้งนั้นจะพลันให้เห็นค่า
อีกประการ เมื่อคุณหลวงนำหนังสือมาให้ กว่าผมจะมีโอกาสได้นำมาบอกกล่าวก็ตกปลายปี เห็นว่าปลายปีมีแต่คนส่ง ส.ค.ส. บุรุษไปรษณีย์ทำงานหนัก ถ้าผมบอกกล่าวให้แจ้งชื่อมาแล้วจะส่งหนังสือไปให้ ก็จะกลายเป็นการเพิ่มงาน "หนัก" ให้ไปรษณีย์ในโอกาสปีใหม่ขึ้นไปอีก เพราะหนังสือเล่มนี้ "หนักจริงๆ"
ผมก็เลยงดส่งไปรษณีย์ ใครอยากได้ให้มารับเอง!
ความจริง ตกปีใหม่ คนโน้นมารับ-คนนี้มารับ บ้างก็บอกว่ามีคนฝากให้มารับแทนด้วย ก็แจกๆ ไปเกือบหมดอยู่แล้ว พอดีคุณหลวงท่านก็ส่งมาให้อีก ๑ ลัง คงประมาณ ๑๐๐ เล่มเห็นจะได้
ผมก็มานั่งนึกๆ ดูว่า ท่านที่เดินทางมารับเอง ก็ต้องเป็นคนอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วท่านที่อยู่ต่างจังหวัดต้องการจะได้คนละซักเล่มล่ะ จะต้องให้นั่งรถไฟ ขึ้นเรือบินมารับถึงไทยโพสต์อย่างนั้นด้วยหรือ?
อืมมม...มีเหตุผลน่ารับฟังจริงๆ แฟนไทยโพสต์ในต่างจังหวัดถึงจะมีไม่มากมาย แต่ใจที่ให้กับไทยโพสต์ไม่เคยน้อยกว่าใครเลย เอาอย่างนี้นะครับ เฉพาะท่านที่อยู่ต่างจังหวัด ถ้าประสงค์จะรับหนังสือเทวดาวันขึ้นกุฏิใหม่ฯ ให้ท่านเขียนจ่าหน้าซอง หมายถึงชื่อ นามสกุล สถานที่อยู่ของท่านเองใส่กระดาษ แล้วใส่ซองจดหมายส่งมาให้ผมที่ไทยโพสต์
แล้วผมจะส่งหนังสือไปให้ท่าน ไม่ต้องส่งเงินหรือแสตมป์ให้ผมนะครับ ถือว่าเป็น ส.ค.ส.จากผมก็แล้วกัน (แฮ่ะๆ ชิงความดี-ความชอบซะเลย)!
อ้อ...เกือบลืม ที่ผมเคยบอกว่า ท่าน ว.วชิรเมธี เรียกผมไปรับของดีวันปีใหม่ และได้มาหลายห่อใหญ่นั้น ผมแกะดูแล้วครับ เป็นหนังสือ "๙ มนต์เพื่อความก้าวหน้า" เหมาะเป็นหนังสือวางไว้ประจำห้องพระ หรือหน้าหิ้งพระในบ้าน เรียกว่าเป็นพุทธมนต์ประจำบ้านก็ได้ หรือเวลาท่านจะไปไหน-มาไหน พกใส่กระเป๋าติดตัวไปอ่าน ไปสวด เรียกว่าเหมือนพระมาอยู่กับตัวเลยทีเดียว
และอีกเล่มเป็นหนังสือ "หน้าที่-น่าทำ" จริยธรรมมาตรฐาน เพื่อความเกษมศานต์แห่งชีวิต Delightful Duties Basic Ethics for pleasures in life รูปเล่มอย่างที่พวกมือถือสมัยใหม่เขาเรียกว่า palm เป็นหัวข้อจริยธรรมสั้นๆ สำหรับมนุษยชาติพึงรู้-พึงปฏิบัติ ท่าน ว.เรียบเรียงเป็น "ธรรมะ ๒ ภาษา ไทย-อังกฤษ"
เหตุที่ท่านแปลเป็น ๒ ภาษา เพราะตอนกลางปีท่านได้รับนิมนต์ไปเผยแผ่พุทธธรรมที่ ฝรั่งเศส อิตาลี โปรตุเกส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และตอนพำนักอยู่เมืองออกซฟอร์ด ท่านได้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อแจกจ่ายเป็นการตอบแทนกัลยาณจิตของชาวต่างประเทศที่มีต่อท่าน
ทั้ง ๒ เล่มนี้ ท่านใดมาขอรับหนังสือเทวดาวันขึ้นกุฏิใหม่ฯ ตอนนี้ ผมจะมอบให้ไปพร้อมกันเลย ส่วนท่านที่ขอรับจากต่างจังหวัดก็ไม่ต้องร้อนใจ ผมจะใส่ซองรวมไปให้ท่านด้วย รวมเป็นท่านละ ๓ เล่ม!
ครับ...สรุปแล้ว วันนี้ไม่ได้คุยอะไรที่เป็นเนื้อ-เป็นหนังเลย หากแต่เป็น "หนังสือแจก" ประเดิมปีใหม่ล้วนๆ และผมก็คุยกับท่าน "อัดแห้ง" ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๓ มกรา เพราะวันที่ ๔ มกรา ได้รับนิมนต์ เอ๊ย...รับเชิญไปสนทนาธรรมกับคุณพ่อประเสริฐ แห่งบ้านเณรแสงธรรม สามพราน ที่บ้านคริสต์ศาสนิกชนท่านหนึ่งริมแม่น้ำท่าจีน ก็คงกลับมืดค่ำ
เลยต้องคุย "อัดแห้ง" ไว้ ๑ วันอย่างว่า ก็ต้องบอกท่าน ไม่อยากเป็น "นักเรียนหนีเที่ยว" แล้วมาคุยเลี้ยวลดให้ท่านสงสัยว่า "เอ๊ะ..วันนี้คุยอะไร ไม่เห็นตรงเรื่อง-ตรงสถานการณ์ประจำวันเลย"!
ชีวิตผมตอนนี้ นอกจากพุทธธรรมนำชีวิตแล้ว ยังได้รับเมตตาจากคริสต์ศาสนิกชนขอพรพระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองผมอีกตะหาก ทั้งคุณพ่อประเสริฐ และซิสเตอร์ท่านหนึ่ง เมื่อทราบว่าการชราภาพของผมได้รับการเยี่ยมเยือนจากโรคภัยไข้เจ็บเมื่อปีที่แล้ว ท่านก็เมตตาสวดมนต์ขอพรให้จนผมผ่อนคลายหายโรค
ใจนี้ซาบซึ้งนัก ระลึกมิคลายถึงเมตตาที่แผ่มาสู่ผม ทั้งที่มิเคยได้พบพานกันมาแต่กาลก่อนเลย!
เอาหละ..ท่านได้พัก และเที่ยวปีใหม่กันมาคนละหลายๆ วัน ทิ้งให้ผมเฝ้าโยงกรุงเทพฯโดดเดี่ยว เหลียวไปทางไหนก็เหงา ฉะนั้นก็..อนุญาตเถอะ...ให้ผมได้ไปเที่ยวเล่นปีใหม่ริมแม่น้ำท่าจีนบ้างซักวันจะเป็นไร เอาไว้คุยกันแบบ "หนักเนื้อ-เบาน้ำ" ในวันพรุ่งนี้ แล้วมีอะไรดีๆ ผมจะเก็บมาฝากเน้อ.
http://www.thaipost.net/news/050111/32402