การต่อสู้กับวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางมาก เพราะให้คำตอบสำเร็จรูป เข้าใจง่ายเนื่องจากมองอะไรเป็นขาว-ดำชัดเจนเจน เช่น ให้คำตอบว่าที่เยอรมันเสื่อมโทรมก็เพราะยิว ศาสนาฮินดูในอินเดียตกต่ำก็เพราะมุสลิม ศาสนาพุทธในเมืองไทยวุ่นวายก็เพราะศาสนาคริสต์และอิสลามอยู่เบื้องหลัง
ใช่แต่เท่านั้น วัฒนธรรมแบบนี้ยังได้รับการหนุนหลังจากนักการเมือง ที่ต้องการหาคะแนนเสียงด้วยการสร้างความเกลียดชัง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการหาแพะรับบาปหรือโยนความผิดพลาดไปให้ผู้อื่น ยิ่งสร้างศัตรูภายนอกมาก ๆ ความจงเกลียดจงชังก็จะพุ่งเป้าไปที่คนเหล่านั้น แทนที่จะพุ่งมาที่รัฐบาล
เราจะต้องถือเป็นภารกิจในการต่อสู้ทัดทานวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง เริ่มต้นด้วยการไม่หลงติดกับการมองแบบทวิภาวะ แบ่งฝักฝ่ายหรือ ขีดเส้นขาว-ดำชัดเจน ตระหนักว่าเราเองก็มีส่วนแห่งความชั่วร้ายที่สามารถแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
ความเกลียดชังนั้นเป็นปฏิปักษ์กับความจริง และชอบบิดเบือนความจริง กล่าวคือถ้าอยากจะทำให้ผู้คนเกลียดชังใครสักคนก็ต้องสร้างภาพคน ๆ นั้นให้เป็นยักษ์เป็นมาร และเมื่อเกิดความเกลียดชังแล้ว ก็เห็นเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ดังนั้นเราจึงต้องพยายามแสวงหาความจริงอยู่เสมอ และปกป้องความจริงมิให้เป็นเหยื่อของความเกลียดชัง
ในการรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง นอกจากปัญญาที่แลเห็นความจริงแล้ว เมตตากรุณาก็สำคัญมาก ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น "ศัตรู" หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม
เดี๋ยวนี้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองคนบางประเภท อาทิอาชญากรว่าไม่ใช่คน ไม่มีสิทธิใด ๆ แม้กระทั่งสิทธิในชีวิต และสมควรถูกกำจัดโดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น กรณี "ฆ่าทั่วไทย"ในสงครามยาเสพติดเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ผู้คนแทบจะทั้งประเทศพากันแซ่ซร้องสนับสนุนเมื่อเกิดการฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด โดยไม่สนใจว่าผู้ฆ่านั้นจะเป็นโจรด้วยกันหรือเป็นตำรวจ เราต้องไม่ลืมว่าแม้ผู้ค้ายาจะเป็นอาชญากรร้ายแรง อย่างน้อยเขาก็ยังมีสิทธิในชีวิตซึ่งอย่าว่าแต่ศาสนาที่ลุ่มลึกเลย แม้แต่กฎหมายอย่างโลก ๆ ก็ให้ความคุ้มครองคนเหล่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงที่ประชาชนเรียกร้องสนับสนุนให้รัฐยิงทิ้งคนเหล่านั้น ไม่ว่าด้วยการกระซิบหรือส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นผู้ลงมือโดยอ้างว่าเป็นการฆ่าตัดตอน และสามารถนำยอดคนตายไปเป็นผลงานได้ ถึงอย่างไรเขายังก็เป็นมนุษย์ รัฐไม่มีสิทธิยิงทิ้งเขาตามใจชอบ และถึงแม้ว่าผู้ฆ่าตัดตอนเป็นผู้ค้ายาบ้าเอง เราก็ยังจำต้องค้านนโยบายดังกล่าว ที่เปิดโอกาสให้ผู้ค้ายาบ้าไล่ฆ่ากันเองโดยตำรวจไม่สนใจติดตามดำเนินคดี ทั้งนี้เพราะเขาเป็นประชาชน มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นผู้ผิด แม้ถูกตัดสินว่าผิดแล้ว ก็ยังมีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ใครจะยิงทิ้งเขาในคุกตามอำเภอใจไม่ได้
เวลานี้ใครที่ค้านนโยบายดังกล่าวจะถูกกล่าวหาว่า เป็นแนวร่วมผู้ค้ายาบ้าง เห็นว่าชีวิตของพวกค้ายามีความสำคัญมากกว่าตำรวจหรือผู้เสพยาบ้าง นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่าความจริงมักตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง แท้ที่จริงการคัดค้านนโยบายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะรักษาหลักนิติธรรม และการเคารพในสิทธิ ศักดิ์ศรี และคุณค่าของทุกชีวิต ที่สำคัญนี้เป็นการพยายามสถาปนาวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์ เพราะหากวันนี้ฆ่าคนค้ายาบ้าได้เสรี ต่อไปก็ฆ่าขโมยย่องเบาได้ไม่ยาก จากนั้นก็เป็นการง่ายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่เห็นต่างจากรัฐหรือคนส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีความอดกลั้น ไม่มีเมตตาธรรม ไม่เคารพกฎหมายหรือหลักนิติธรรม อะไร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น ดังที่พวกก่อการร้ายฆ่าคนบริสุทธิ์หากเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเขา ทั้งนี้โดยอ้างศาสนา ความยุติธรรม หรือเหตุผลที่สวยสดงดงาม
อีกด้านหนึ่งของความสุดขั้ว วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
ในยุคแห่งความสุดขั้ว ไม่ได้มีแค่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอย่างเดียว ควบคู่กับวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังก็คือ วัฒนธรรมแห่งความละโมบ ซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อยในปัจจุบัน ทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีลักษณะตรงข้ามกันหลายอย่างจนอยู่คนละขั้วก็ว่าได้ ขั้วหนึ่งมีลักษณะผลักไส อีกขั้วมีลักษณะพุ่งเข้าหา ขั้วหนึ่งต้องการทำลายให้ดับสูญ อีกขั้วต้องการยึดถือครอบครองให้เป็นอมตะ
ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ คือ ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งกลายเป็นกระแสใหญ่อีกกระแสหนึ่งที่ครอบงำทั่วทั้งโลก มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คนตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ แม้แต่วัยรุ่นก็ยอมขายตัวเพื่อจะได้มีโทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋ายี่ห้อแพง ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่เอาอัตลักษณ์ของตนไปผูกติดอยู่ที่การบริโภค ตัวเองจะมีคุณค่าน่าภาคภูมิใจแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ว่าทำดีหรือชั่ว แต่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของสินค้าที่สวมใส่หรือครอบครอง เวลาจะรวมกลุ่ม ก็รวมกลุ่มเพื่อบริโภคมากกว่า เช่นเที่ยวห้าง ดูคอนเสิร์ต หรือรวมกลุ่มในหมู่คนที่ใช้ของยี่ห้อเดียวกัน
แทบไม่มีมุมไหนของโลกที่ปลอดจากบริโภคนิยม อันเป็นผลจากโทรคมนาคมยุคโลกาภิวัตน์ ดาวเทียมเป็นพาหะอย่างดีสำหรับการโฆษณาและรายการโทรทัศน์ที่กระตุ้นบริโภคนิยม
เงินกลายเป็นสรณะอย่างใหม่ ผู้คนต่างมุ่งถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ ก่อให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย สังคมจึงเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ การคอรัปชั่น สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์ หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์ ใช่แต่เท่านั้นลึก ๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม
วัฒนธรรมความละโมบกับความยากจน
วัฒนธรรมแห่งความละโมบทำให้ปัญหาความยากจนเพิ่มขึ้น ในด้านหนึ่งผู้คนตกเป็นทาสของบริโภคนิยม ถอนตัวได้ยากเหมือนติดยาเสพติด เกิดปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะ การมีเครดิตการ์ดอย่างง่ายดายทำให้ภาวะหนี้สินและล้มละลายเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ
อีกด้านหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งความละโมบ ก็คือการตักตวงทรัพยากร เช่น ที่ดิน แร่ธาตุ ธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อมาตอบสนองลัทธิบริโภคนิยม ในกระบวนการดังกล่าว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา
สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดปัญหาความยากจน ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สิน
โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้น อาทิ
การเปิดเสรีทางด้านการนำเข้า ทำให้ชาวนาชาวไร่ขายพืชผลได้น้อยลง
การเปิดเสรีทางด้านการลงทุนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายเร็วเข้า
การเปิดเสรีให้แก่อุตสาหกรรมการเกษตร ทำให้เกษตรกรรายย่อยล้มละลาย หาไม่ก็ต้องพึ่งวัตถุดิบ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง ทำให้อาหารมีต้นทุนสูงขึ้น
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทำให้สาธารณูปโภคมีราคาแพงขึ้น
การลดสวัสดิการและเงินอุดหนุนทางด้านสาธารณูปโภค มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านระดับล่างโดยตรง
สองวัฒนธรรมในยุคแห่งความสุดขั้ว ความต่างและความเหมือน
กล่าวโดยสรุปในยุคแห่งความสุดขั้ว มีวัฒนธรรม ๒ ขั้วที่กำลังบั่นทอนชีวิตและผู้คนทั้ง ๒ มีที่มาและแรงสนับสนุนต่างกัน ในหลายประเทศ วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง เป็นความพยายามของคนชายขอบที่ปกป้องตนเองและตอบโต้ภัยคุกคาม โดยอาศัยอัตลักษณ์และประเพณีดั้งเดิม ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ มักถูกกำหนดและกำกับโดยกลุ่มอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติ ทั้งนี้โดยอาศัยเทคโนโลยีและค่านิยมใหม่เป็นเครื่องมือ
สองกระแสใหญ่ยังมีความแตกต่างกันอีกหลายด้าน กล่าววัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง พยายามปลุกเร้าความกลัว เน้นความมั่นคง ความเป็นกลุ่มก้อน ขาดขันติธรรม และมีเส้นแบ่งความดีความชั่วชัดเจน ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความละโมบ ปลุกเร้าความฝัน เน้นเสรีภาพ มีลักษณะปัจเจกนิยม และถือว่าไม่มีอะไรถูก อะไรผิด
อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๒ วัฒนธรรม มีสิ่งหนึ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต่างมีองค์ประกอบหรือลักษณะของศาสนา เช่น พิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังทำหน้าที่เหมือนศาสนา กล่าวคือ ทำให้ชีวิตมีค่า มีความหมาย สร้างความเต็มอิ่มให้แก่ชีวิต วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังมีแรงดึงดูดไม่น้อยสำหรับคนที่ต้องการให้ชีวิตของตนมีคุณค่า คนเหล่านี้พร้อมตายได้เพื่อลัทธิศาสนา และเชื้อชาติของตน ส่วนวัฒนธรรมแห่งความละโมบแพร่หลายได้ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้คนรู้สึกว่าวัตถุหรือสิ่งเสพต่าง ๆ ทำให้ชีวิตมีเป้าหมายน่าภาคภูมิใจ ทั้ง ๒ วัฒนธรรมสามารถสร้างความปีติเอิบอิ่มให้แก่ผู้คนได้โดยเฉพาะเมื่อรวมกลุ่มกัน ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มประท้วงและทำลายศัตรูอีกฝ่ายหนึ่ง หรือการรวมกลุ่มกันชมคอนเสิร์ตหรือดูฟุตบอลโลก
ที่สำคัญคือทั้ง ๒ วัฒนธรรมต่างตอบสนองความต้องการส่วนลึกของตัวตน วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังอาทิ ลัทธิเชื้อชาตินิยมและความเชื่อทางศาสนาแบบเคร่งจารีตหรือ fundamentalism เป็นที่นิยมเพราะตอบสนองความต้องการของผู้คนที่อยากมีตัวตนอมตะ ความเชื่อและความหวังว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" ทำให้ผู้คนจำนวนมากมายยอมตายเพื่อเชื้อชาติหรือศาสนาของตน ขณะที่คนอีกมากรู้สึกว่าการเอาตัวตนไปผูกติดกับวัตถุสิ่งเสพทำให้รู้สึกว่าตัวตนมั่นคงไม่ว่างเปล่าหรือเคว้งคว้าง
จะเห็นได้ว่าทั้ง ๒ วัฒนธรรมมีแรงดึงดูดทางด้านศาสนา จึงสามารถจับจิตใจคนได้มาก แม้ในหมู่คนที่ไม่เชื่อศาสนาก็ตาม จะเรียกว่าทั้งสองเป็นศาสนาสมัยใหม่ก็ได้ แต่เป็นศาสนาเทียม ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกซึ้งของมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน แค่ให้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว อีกทั้งไม่ได้ก่อให้เกิดความสงบสันติแก่โลกได้อย่างแท้จริง
เราจะทำอะไรได้บ้าง
สิ่งที่เราทำได้ในสถานการณ์ดังกล่าวก็คือ
๑) ไม่หลงตกเป็นเหยื่อของศาสนาเทียมเหล่านี้ ดังได้กล่าวแล้วว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังและความละโมบมีแรงดึงดูดทางศาสนา และสามารถมีอิทธิพลในหมู่คนที่ต้องการแสวงหาความหมายของชีวิต นี้ก็ไม่ต่างจากลัทธินาซีที่สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและปัญญาชนเยอรมัน ที่มีอุดมคติ จำนวนมาก ให้มาสนับสนุนฮิตเลอร์อย่างสุดจิตสุดใจ ในทำนองเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียและจีน ก็ได้รับความสนับสนุนจากหนุ่มสาวจำนวนมากมาย
พร้อมกันนั้นเราก็ต้องมีความมั่นคงในจิตใจพอที่จะไม่ยอมให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วบีบบังคับให้เราเข้าไปสนับสนุนมัน หรือเป็นทาสของมัน แม้จะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ รักศาสนา หรือถูกค่อนแคะว่าไม่ทันสมัย ไม่เอาเพื่อนก็ตาม
๒) พยายามเข้าถึงศาสนธรรมที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกคน ศาสนาที่แท้จริงนั้นสามารถนำทางให้เราเข้าถึงได้ศาสนธรรมหรือความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณได้ แต่ศาสนาเทียม รวมทั้งลัทธิเคร่งจารีต อาจนำไปผิดทางได้
ศาสนธรรมที่แท้ ต้องมีพื้นฐานอยู่ที่สำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ อันได้แก่ความเมตตา ไม่มุ่งเบียดเบียน จิตไม่คับแคบ และมีทัศนะที่ไปพ้นทวิภาวะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา หรือขีดเส้นแบ่งดีชั่วชัดเจน จนเป็นสูตรสำเร็จรูป หรือเป็นกลไก ศาสนธรรมที่แท้ยังจะช่วยให้เราเข้าถึงความสุขประณีตจากภายใน ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของวัตถุหรือบริโภคนิยม
ศาสนธรรมที่แท้ต้องช่วยให้เราตระหนักถึงจุดอ่อนหรือความชั่วร้ายที่แฝงฝังอยู่ในตัวเรา และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาเป็นใหญ่ ตระหนักว่ากิเลสอาทิ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอาจจะแฝงตัวมาในคราบของอุดมคติหรือแม้แต่กระแสเสียงของพระเจ้าได้ เช่นเดียวกับความโกรธเกลียดสามารถจะผลักดันให้ผู้คนเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติในนามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ดังกรณี ๖ ตุลา
๓) ตีแผ่และเปิดเผยความจริงที่ถูกบิดเบือนและปิดบัง ทั้งนี้เพราะความจริงมักเป็นเหยื่ออันดับแรกของวัฒนธรรมทั้ง ๒ขั้ว ขณะที่วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังทำให้คนกลุ่มหนึ่งถูกวาดภาพว่าเป็นตัวเลวร้าย เพียงเพราะต่างเชื้อชาติต่างศาสนา (หรือเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคนที่มีความเชื่ออันคับแคบดังกล่าว) วัฒนธรรมแห่งความละโมบ ก็ใช้สื่อเพื่อวาดภาพสินค้าให้ดูสวยหรูเลอเลิศ และสามารถดลบันดาลให้ผู้บริโภคกลายเป็นคนใหม่ได้
๔) ร่วมกันยับยั้งมิให้วัฒนธรรมทั้ง ๒ ขั้วแพร่กระจาย ไม่ว่าจะสร้างความเกลียดชัง ความเป็นปฏิปักษ์ในสังคม หรือกระตุ้นตัณหาจนเกิดการเอารัดเอาเปรียบและแย่งชิงทรัพยากร ในการนี้เราควรยับยั้งขัดขวางกลไก มาตรการ และโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองที่ส่งเสริมให้เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ในทางเชื้อชาติศาสนา หรือมุ่งแต่ความเจริญทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตและความผาสุกในสังคม
๕) ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติและสมานฉันท์ อันมีพื้นฐานอยู่ที่ศาสนธรรมที่แท้จริง กล่าวคือเคารพคุณค่าของชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เห็นสรรพชีวิตเป็นพี่น้องกัน ควรส่งเสริมให้เกิดระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่ตั้งมั่นในสัจจะและส่งเสริมภราดรภาพ ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธิบริโภคนิยมตลอดจนเชื้อชาตินิยมแบบคับแคบ
๖) ผสานศาสนธรรมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการและเครือข่ายภาคประชาชน ทั้งในด้านวิสัยทัศน์และในด้านปฏิบัติการทางสังคม
การมีวิสัยทัศน์ที่อิงอยู่กับศาสนธรรมหมายถึงการมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ความผาสุกทางจิตใจ มิใช่มุ่งแต่ความเจริญมั่งคั่งทางโภคทรัพย์ ทั้งนี้โดยตระหนักว่าความสุขขั้นสูงสุดคืออิสรภาพทางจิตใจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเป็นไปเพื่อให้เกิดชีวิตที่ดีงามทั้งทางกายและใจ ไม่หยุดเพียงแค่อยู่ดีกินดีทางวัตถุ พร้อมกันนั้นก็ช่วยให้ตระหนักถึงความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติ ไม่แบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย เห็นว่ามนุษย์กับธรรมชาติต้องอยู่อย่างบรรสานสอดคล้อง
ในด้านปฏิบัติการทางสังคมก็ควรอิงอยู่กับศาสนธรรม กล่าวคือมั่นคงในสันติวิธี มีเมตตาธรรมเป็นพื้นฐาน ไม่ถือเอาความรุนแรงเป็นคำตอบ เปิดโอกาสให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกขั้นตอน มิใช่รวมศูนย์อยู่ที่ผู้นำ ทั้งนี้โดยตระหนักว่าวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังและความละโมบนั้น มีรากเหง้าที่ลึกลงลึกไปในจิตใจของผู้คน ขณะเดียวกันก็ครอบงำกำกับผู้คนผ่านโครงสร้างที่อยู่เหนือตัวบุคคล ความรุนแรงนั้นขจัดได้แค่ตัวบุคคล แต่ไม่สามารถขจัดความเกลียดชังและความละโมบไปจากจิตใจของผู้คนได้ อีกทั้งไม่สามารถสถาปนาโครงสร้างและวัฒนธรรมอันสันติขึ้นมาได้ มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะเปลี่ยนจิตใจของผู้คนและนำโครงสร้างใหม่มาแทนที่ได้
พลังของศาสนธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ ความสามารถในการประสานผู้คนให้เชื่อมโยงถึงกันจนเกิดเป็นเครือข่ายระดับโลก ดังเห็นได้จากกระแสต่อต้านสงครามอิรักที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ กระแสดังกล่าวเกิดขึ้นทุกมุมโลก และกำลังจะเชื่อมโยงกันหนาแน่นมากขึ้นทุกที ทั้งนี้เพราะมีความสำนึกร่วมกัน อันได้แก่ความเอื้ออาทรและความสำนึกในภราดรภาพระหว่างมนุษยชาติ แม้คนเหล่านี้จะต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษาก็ตาม สำนึกดังกล่าวได้ทำให้คนเล็กคนน้อยกลายเป็นพลังระดับโลกที่มหาอำนาจนึกไม่ถึง แม้วันนี้จะยังไม่อาจยับยั้งผู้นำที่คลั่งอำนาจได้ แต่หากสงครามยืดเยื้อนานวัน พลังของเครือข่ายสันติภาพทั่วทั้งโลกย่อมแข็งแกร่งจนอาจยุติสงครามนี้ได้ในที่สุด
สงครามฉันใด วัฒนธรรมสุดขั้วทั้ง ๒ กระแสก็ฉันนั้น เครือข่ายประชาชนระดับโลกที่มีศาสนธรรมเป็นพื้นฐาน ย่อมสามารถทัดทานมิให้นำพาโลกสู่หายนะได้ในที่สุด แต่จะทำเช่นนั้นได้เราต้องเริ่มต้นด้วยการกลับไปค้นหาศาสนธรรมในตัวเราให้พบ และนำมาเป็นพลังในการฝึกฝนตนและสร้างสรรค์สังคมอย่างไม่รู้จักย่อท้อหรือสิ้นหวัง..
http://www.skyd.org/html/life-social/stream.html