ถาม : ท่านคิดว่าวัตถุนิยมทางศาสนธรรมเป็นปัญหาเฉพาะของอเมริกันหรือเปล่า
ตอบ : เมื่อใดก็ตามที่คำสอนมาจากนอกบ้านนอกเมือง ปัญหาวัตถุนิยมทางศาสนธรรมจเข้มข้นยิ่งขึ้น ขณะนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อเมริกาเป็นผืนดินอันอุดมที่พร้อมสำหรับคำสอน และเพราะว่าอเมริกานี้อุดมสมบูรณ์ กำลังแสวงหาศาสนธรรม จึงเป็นไปได้ที่อเมริกาจะบันดาลให้เกิดปราชญ์จอมปลอมขึ้น ปราชญ์จอมปลอมนี้จะมีไม่ได้ถ้าไม่มีใครสนับสนุนให้เขาทำเช่นนั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะกลายเป็นโจรปล้นธนาคารหรือมหาโจร เพราะพวกเขาต้องการร่ำรวยและมีชื่อเสียง ด้วยเหตุที่อเมริการ่ำร้องหาศาสนธรรมกันมาก ศาสนาจึงกลายเป็นวิธีรวยลัดและเด่นดังได้ง่าย ดังนั้นเราจึงเห็นปราชญ์จอมปลอม ในรูปนักศึกษา เชละ (Chela) ตลอดจนครูบาอาจารย์ถื่นถม ข้าพเจ้าคิดว่าอเมริกาในขณะนี้เป็นดินแดนที่น่าสนใจไม่น้อย
ถาม : ท่านเคยยอมรับครูบาอาจารย์ของศาสนธรรมท่านใดเป็นครูหรือเปล่า หมายถึงครูบาอาจารย์ทางศาสนธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่
ตอบ : เวลานี้ไม่มี ข้าพเจ้าทิ้งคุรุและครูอาจารย์ของข้าพเจ้าไว้ในธิเบตแต่ในทางกายนะ ส่วนคำสอนนั้นยังอยู่กับข้าพเจ้าและยังดำเนินต่อไป
ถาม : แล้วตอนนี้ท่านดำเนินตามใครล่ะ
ตอบ : สถานการณ์เป็นเสียงของคุรุของข้าพเจ้า เป็นการดำรงอยู่ในปัจจุบันของคุรุของข้าพเจ้า
ถาม : หลังจากที่พระพุทธศากยมุนีได้ตรัสรู้แล้ว ยังมีร่องรอยของอัตตาหลงเหลือในพระองค์เพื่อจะได้ใช้ในการสั่งสอนหรือเปล่า
ตอบ : การสั่งสอนนั้นเพียงแต่ปรากฏขึ้น ท่านไม่ได้อยากที่จะสอนหรือไม่อยากสอน พระองค์ประทับนั่งอยู่ใต้ร่มไม้และเสด็จไปตามริมฝั่งน้ำ ครั้นแล้วพระองค์ทรงพบบุคคลผู้หนึ่ง พระองค์ทรงเริ่มแสดงธรรม ไม่มีทางอื่น คุณอยู่ที่นั่น เป็นบุคคลที่เปิดอยู่ (open person) ครั้นแล้วสถานการณ์ก็เปิดเผยตัวมันเอง และการสั่งสอนก็เริ่มขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า “พุทธจริยา” (Buddha Activity)
ถาม : มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้เกิดความอยากได้อยากมีศาสนธรรม ความอยากได้นี้เป็นสิ่งที่จะก่อร่างขึ้นในการดำเนินไปตามมรรคหรือเปล่า
ตอบ : คุณจะต้องปล่อยให้แรงกระตุ้นในครั้งแรกดับลง แรงกระตุ้นครั้งแรกของคุณที่มีต่อศาสนธรรมอาจจะผลักคุณเข้าสู่ภาวะทางศาสนธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หากคุณกระทำการด้วยแรงกระตุ้นนั้น แรงกระตุ้นจะค่อย ๆ ดับลงและถึงขั้นหนึ่ง จะเริ่มน่าเบื่อและตายตัว นี้เป็นข่าวสารที่เป็นประโยชน์ เห็นไหมว่า คุณจำเป็นจะต้องสัมพันธ์กับตัวคุณเอง กับประสบการณ์ของคุณ อย่างจริงจัง ถ้าเราไม่สัมพันธ์กับตัวเราเอง มรรควิถีทางศาสนธรรมจะเป็นหนทางที่อันตราย จะกลายเป็นความบันเทิงภายนอกล้วน ๆ มากกว่าที่จะเป็นประสบการณ์ส่วนตนที่งอกงามขึ้นเอง
ถาม : ถ้าเราตัดสินใจแสวงหาทางออกจากความไม่รู้ เราอาจจะสมมติไปเลยได้ว่า อะไรก็ตามที่เราทำแล้วรู้สึกดีงาม จะไปเป็นประโยชน์กับอัตตาและมักจะขวางกั้นมรรคาไว้ อะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าถูกต้องจะเป็นเรื่องที่ผิด และอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่รู้สึกกลับหัวกลับหางจะเผาผลาญเรา มีหนทางออกจากอาการที่ว่านี้หรือไม่
ตอบ : หากคุณกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนถูกต้อง ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นผิด เพราะว่าทั้งผิดและถูกนั้นต่างเป็นเรื่องนอกประเด็นทั้งคู่ คุณไม่ได้กำลังกระทำการอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าฝ่าย “ดี” หรือฝ่าย “ชั่ว” แต่คุณกำลังกระทำการร่วมกับผลรวมทั้งหมด ไปพ้นจาก “นี่” และ “นั่น” ผมอาจพูดได้ว่ามีเพียงการกระทำที่สมบูรณ์ ไม่มีการกระทำเพียงบางส่วน แต่อะไรก็ตามที่เราทำแล้วเกี่ยวโยงกับดีหรือชั่ว จะดูเหมือนว่าเป็นเพียงการกระทำบางส่วน
ถาม : ถ้าเรากำลังสับสนมากและพยายามหาทางออก มันอาจจะดูคล้ายกับว่าเรากำลังพยายามหนักเกินไป แต่หากเราไม่พยายามเสียเลย เราจะมองสิ่งนั้นว่าเป็นการหลอกลวงตัวเองอยู่หรือเปล่า
ตอบ : ใช่ และนั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยู่อย่างพยายามจนหนักเกินไป หรือไม่พยายามเอาเสียเลย เราจะต้องกระทำการชนิดที่เป็น “สายกลาง” อันเป็นสภาวะอย่างสมบูรณ์ของ “การเป็นอย่างที่คุณเป็น” เราอาจจะอธิบายสิ่งนี้ได้มากมาย แต่เราจะต้องกระทำมันอย่างจริงจัง ถาคุณเริ่มใช้ชีวิตโดยทางสายกลาง คุณจะเห็นมันเอง คุณจะพบมันเอง คุณจะต้องยอมให้ตัวคุณไว้ใจตัวคุณเอง ไว้ใจปัญญาของคุณเอง เราเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์ เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิเศษมหัศจรรย์อยู่ในตัวเรา เราเพียงแต่ปล่อยให้ตัวเราเป็นสิ่งช่วยเหลือภายนอกช่วยอะไรไม่ได้ หากคุณไม่เต็มใจปล่อยให้ตัวคุณเองเติบโต คุณจะตกสู่กระบวนการทำลายตัวเองด้วยความสับสน มันเป็นการทำลายตัวเองมากกว่าการทำลายโดยใครคนใดคนหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมการทำลายนั้นจึงมีประสิทธิภาพยิ่ง เพราะมันเป็นการทำลาย
ถาม : อะไรคือศรัทธา มีประโยชน์หรือเปล่า
ตอบ : ศรัทธาอาจจะเป็นไปโดยจิตใจที่เรียบง่าย เป็นการไว้ใจ เป็นความงมงาย (Blind Faith) หรืออาจเป็นความมั่นใจอย่างเฉียบขาดที่ไม่มีอะไรมาทำลายได้ความงมงายนั้นขาดแรงบันดาลใจ เป็นอาการเซื่อง ๆ ไม่สร้างสรรค์ แม้จะไม่เป็นไปในทางทำลายเสมอไป มันไม่สร้างสรรค์เพราะศรัทธากับตัวคุณเองไม่มีความเกี่ยวดองกัน ไม่มีการสื่อสารกัน คุณเพียงแต่ยอมรับความเชื่อทั้งหมดอย่างบอด ๆ อย่างเซื่อง ๆ
ส่วนศรัทธาที่เป็นความมั่นใจ จะมีเหตุผลที่มีชีวิตชีวาที่ทำให้มั่นใจ คุณจะไม่คาดหวังว่าจะมีสูตรสำเร็จที่ส่งมาให้คุณอย่างแปลกพิสดาร แต่คุณจะกระทำการกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างปราศจากความกลัว ปราศจากความลังเลสงสัยในการเกี่ยวพันกับตัวคุณเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่สร้างสรรค์และเป็นไปโดยนัยบวกอย่างยิ่ง หากคุณมีความมั่นใจอย่างเฉียบคม คุณจะแน่ใจในตัวเองยิ่ง จนคุณไม่ต้องตรวจสอบตัวเอง มันเป็นความมั่นใจอย่างถึงที่สุด (absolute) เป็นความเข้าใจถ่องแท้ถึงสิ่งที่กำลังเป็นไปในปัจจุบัน ฉะนั้นคุณจึงไม่ต้องลังเลที่จะหันไปทางอื่น หรือไม่ลังเลกับวิธีอื่น ๆ อีกเมื่อจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ตามที่จำเป็นต่อสถานการณ์ใหม่ ๆ ในแต่ละสถานการณ์
ถาม : อะไรจะนำเราไปในมรรควิถี
ตอบ : โดยปกติ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องนำทางที่ตายตัว อันที่จริงถ้ามีใครกำลังนำคุณอยู่ นั่นกลับเป็นเรื่องน่าสงสัยเพราะคุณกำลังพึ่งพิงอยู่กับสิ่งภายนอก การเป็นในสิ่งที่คุณเป็นอย่างแท้จริงในตัวของคุณเองจะกลายเป็นเครื่องนำทางเอง แต่ไม่ใช่ในความหมายของผู้พิทักษ์อุดมการณ์ เพราะคุณไม่มีเครื่องชี้นำที่จะต้องตาม คุณไม่ต้องตามก้นใคร แต่แล่นเรือไปเรื่อย ๆ พูดอีกนัยหนึ่ง เครื่องนำทางมิได้เดินไปข้างหน้าคุณ แต่เดินไปกับคุณ
ถาม : ท่านจะพูดอะไรบ้างได้ไหม เกี่ยวกับหนทางที่การทำสมาธิภาวนาสามารถลัดวงจรปราการของอัตตาได้
ตอบ : กลไกป้องกันของอัตตาก่อให้เกิดการตรวจสอบตัวเอง ซึ่งเป็นการสังเกตตัวเองแบบที่ไม่จำเป็น การทำสมาธิภาวนาไม่ได้มีรากฐานอยู่บนการใจจดใจจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างเฉพาะเจาะจง ดังเช่นการตรวจสอบตัวเองแต่การทำสมาธภาวนาเป็นการน้อมตนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมรรควิถีอันใดก็ตามที่คุณกำลังใช้อยู่ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีความพยายามที่จะต้องปกป้องตัวเองในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ถาม : ผมดูเหมือนจะอยู่ในกองขยะทางศาสนธรรม ผมจะทำให้มันเป็นห้องเรียบ ๆ ง่าย ๆ ที่มีวัตถุอันสวยงามอยู่ชิ้นหนึ่งได้อย่างไร
ตอบ : การที่คุณจะพัฒนาให้ชื่นชมในสิ่งที่คุณสะสมได้ คุณจะต้องเริ่มต้นจากชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เราจะต้องหาบันไดก้าวแรกอันเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจ บางทีคุณอาจจะไม่ต้องไปยุ่งกับชิ้นที่เหลืออยู่ในกองของคุณเลย ถ้าคุณศึกษาวัตถุสักชิ้นหนึ่ง วัตถุชิ้นเดียวกันนั้นอาจจะเป็นป้ายบอกชื่อถนนที่คุณไปเอามาดื้อ ๆ มันอาจเป็นสิ่งที่ไม่มีความสลักสำคัญถึงขั้นนั้นได้ แต่เราจะต้องเริ่มจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มองให้เห็นความธรรมดาสามัญลักษระหยาบกร้านของวัตถุนี้จากกองขยะหรือวัตถุโบราณชิ้นนี้ ถ้าเราสามารถเริ่มด้วยเพียงสิ่งหนึ่ง นั่นก็เท่ากับกับมีวัตถุชิ้นหนึ่งในห้องว่าง ผมคิดว่าปัญหามันอยู่ที่การหาบันไดก้าวแรก เรามีข้าวของสะสมไว้มากมายก่ายกอง เพราะเหตุนี้ปัญหาส่วนใหญ่ของเราจึงอยู่ที่เราไม่รู้จะเริ่มที่ไหนดี เราจะต้องปล่อยให้สัญชาตญาณของเราตัดสินเอาว่า ชิ้นไหนเป็นชิ้นแรกที่เราจะหยิบขึ้นมา
ถาม : ทำไมท่านจึงคิดว่าคนเรามักปกป้องอัตตาของตัวเองกันนัก ทำไมจึงเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะปล่อยวงอัตตาของเรา
ตอบ : คนเรากลัวความว่างเปล่าของความว่าง หรือความพลัดพรากจากพวกพ้องบริษัทบริวาร ความพลัดพรากจากเขา การที่จะไม่มีใครสัมพันธ์ด้วยไม่มีอะไรเกี่ยวดองด้วย เป็นประสบการณ์ที่น่าหวาดหวั่นมาก เพียงคิดดังนี้ก็สามารถสร้างความตื่นตระหนกให้ได้อย่างสุดขีด แม้จะไม่ใช่ตัวประสบการณ์ที่แท้จริงก็ตาม มันเป็นเพียงการกลัวความว่าง กลัวว่าเราจะไม่สามารถทอดสมอตัวเราเองลงบนพื้นดิน ว่าเราจะสูญเสียความเป็นตัวตนที่เที่ยงแท้แน่นอนและแน่นหนา นี่สามารถเป็นเรื่องที่คุกคามขู่เข็ญขนาดหนักเอาการทีเดียวการยอมจำนน
ถึงตรงนี้ เราอาจจะมาถึงข้อสรุปที่ว่า เราจะต้องทิ้งการเล่นเกมวัตถุนิยมทางศาสนธรรมกันเสียที นั่นก็คือเราควรจะเลิกพยายามปกป้องหรือปรับปรุงตัวเราเอง เราคงจะพอเห็นได้ราง ๆ แล้ว ว่าการต่อสู้ดิ้นรนของเรานั้นเป็นเรื่องไร้สาระ และเราอาจจะปรารถนาที่จะยอมจำนน อันเป็นการละทิ้งความพยายามที่จะปกป้องตัวเราเองอย่างสิ้นเชิง อันเป็นการละทิ้งความพยายามที่จะปกป้องตัวเราเองอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเราสักกี่คนจะทำเช่นนี้ได้จริง ๆ จัง ๆ มันไม่ได้เรียบและง่ายอย่างที่เราคิด เราปล่อยวางและเปิดเผยเราเองได้จริง ๆ จัง ๆ สักแค่ไหน ถึงจุดไหนที่เราจะหันมาปกป้องตัวเราเอง
ในบทนี้ เราจะพูดถึงการยอมจำนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างการทำความเข้าใจสภาพพิกลพิการทางจิต กับการปฏิบัติธรรมร่วมกับคุรุหรือครูบาอาจารย์ของเรา การยอมจำนนต่อ “คุรุ” อาจจะหมายถึงการเผยจิตใจของเราต่อสถานการณ์ชีวิต หรือต่อครูบาอาจารย์คนใดคนหนึ่งก็ได้ อย่างไรก็ดี หากแบบแผนการดำรงชีวิตและแรงบันดาลใจของเรากำลังมุ่งไปสู่การคลี่คลายแห่งจิตใจ เราก็จะได้พบคุรุส่วนตัวของเราอย่างแน่นอนเช่นกัน ดังนั้น ที่เราจะสนทนาต่อไปนี้เราจะเน้นไปที่การสัมพันธ์กับครูบาอาจารย์ของเรา
ความยุ่งยากประการหนึ่งในการยอมวางคลายต่อคุรุก็คือบัญญัติล่วงหน้าที่เราวางไว้เกี่ยวกับตัวเขา และความคาดหวังของเราว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรมร่วมกับเขา ความคิดที่ว่าเราอยากจะประสบเช่นนั้นเช่นนี้กับครูบาอาจารย์ของเรา จะเข้าครอบงำเรา “ฉันอยากจะเข้าใจไอ้นี่” นั่นย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะเข้าใจมัน ฉันอยากจะประสบกับสภาวะเช่นนี้ เพราะมันตรงกับที่ฉันหวังและดึงดูดใจฉันได้”
ดังนั้นเราจึงพยายามจัดสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าร่องเข้ารอย พยายามจัดสภาพให้เข้ากับความคาดหวังของเรา และเราไม่อาจจะยอมวางความคาดการณ์ของเราสักน้อยหนึ่งกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดได้ ถ้าเราแสวงหาคุรุหรือครูบาอาจารย์สักคนหนึ่ง เราก็คาดว่าเขาจะเป็นประหนึ่งเทวดา ท่าทางสงบ เงียบขรึม เป็นคนเรียบง่ายแต่ฉลาดหลักแหลม ครั้นเมื่อเราพบว่าเขาไม่เข้ากับความคาดหวังของเรา เราจะเริ่มไม่พอใจ เราจะเริ่มสงสัย
ในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์อย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องละทิ้งบัญญัติที่เราวางไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์นั้น ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ของการเปิดเผยและยอมจำนน “การยอมจำนน” หมายถึงการเปิดเผยตัวเราเองอย่างสิ้นเชิง พยายามไปให้พ้นจากแรงดึงดูดใจและความคาดหวัง
การยอมจำนนยังหมายถึงการยอมรับสภาพอันหยาบกร้านเหลวไหลและน่าสะดุ้งของอัตตาของเรา ทั้งยอมรับและทั้งยอมคลายออก โดยปกติเราจะเห็นเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับสภาพอันหยาบกร้านของอัตตา แม้ว่าเราอาจจะเกลียดตัวเราเอง ขณะเดียวกันเราจะพบว่าการเกลียดตัวเองของเรานั้นก็เป็นการยึดครองอย่างหนึ่ง แม้เราไม่ชอบตัวเราเอง และการประณามตัวเองก็ทำให้เราเจ็บปวด แต่เราก็ยังไม่สามารถสลัดมันทิ้งไปโดยสิ้นเชิงอีกด้วย หากเราละทิ้งการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง เราจะรู้สึกว่าเรากำลังสูญเสียการยึดครองของเราไป คล้ายกับว่ามีใครกำลังมาแย่งงานของเราไป เราไม่มีอะไรยึดครองอีกต่อไป หากเราต้องคลายทุกสิ่งทุกอย่าง จะไม่มีอะไรให้เรายึดไว้ได้อีก โดยพื้นฐานแล้วการประเมินตนเองและการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองเป็นแนวโน้มของสภาพพิกลพิการที่มาจากการที่เราไม่มีความมั่นใจอย่างเพียงพอในตัวเราเอง “ความมั่นใจ” ในที่นี้หมายถึงความเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น รู้ในสิ่งที่เราเป็น รู้ว่าเราพร้อมที่จะเปิดเผยตัวเราเองได้ เราพร้อมที่จะคลายคุณลักษณ์อันหยาบกร้านพิกลพิการของอัตตาของเรา และก้าวออกจากความดึงดูดใจทั้งหลาย ก้าวออกจากความคิดคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหลาย
เราจะต้องยอมปล่อยวางความหวังและความคาดคิดของเรา ตลอดจนความกลัว แล้วก้าวอาด ๆ ตรงสู่ความขัดข้องใจกระทำการร่วมกับมัน ตรงดิ่งเข้าไปและทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของเรา ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ยากยิ่งที่จะกระทำ ความขัดข้องใจเป็นสัญลักษณ์ที่ดีของปัญญาในขั้นต้น จะเปรียบกับอะไรก็คงจะไม่ได้ มันเป็นปัญญาที่แหลมคม เฉียบขาด ชัดแจ้งและตรงแน่ว หากเราสามารถเปิดเผยตัวเราเองได้ เราจะเห็นได้ทันทีว่าความคาดหวังของเรานั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพความเป็นจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่ สิ่งนี้จะก่อให้เกิดความรู้สึกขัดข้องใจโดยอัตโนมัติ
ความขัดข้องใจเป็นรถข้าศึกที่ดีที่สุดที่จะใช้บนเส้นทางแห่งธรรมะ ความขัดแย้งใจจะไม่ยืนยันความมีอยู่และความฝันของอัตตาของเรา อย่างไรก็ตามถ้าเรายังง่วนอยู่กับวัตถุนิยมทางศาสนธรรม ถ้าเรายังเห็นศาสนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสะสมความรู้และคุณธรรมของเรา ถ้าศาสนธรรมเป็นหนทางหนึ่งของการสร้างตัวเราเองขึ้นมา แน่ล่ะกระบวนการทั้งหมดของการยอมจำนนจะบิดเบี้ยวไป หากเราเห็นศาสนธรรมเป็นหนทางสร้างความสะดวกสบายให้เรา เมื่อเราประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ น่าขัดข้องใจ เราจะพยายามหาเหตุผลให้มัน “แน่ละ นี่จะต้องเป็นการกระทำด้วยปัญญาญาณของท่านอาจารย์ เพราะฉันรู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ทำสิ่งเลวร้ายเป็นแน่ ท่านอาจารย์เป็นการดำรงลงไปนั้นก็เพื่อฉัน เพราะท่านอยู่ฝ่ายเดียวกับฉัน ดังนั้นฉันจึงพร้อมที่จะเปิดเผย ฉันจะยอมจำนนได้อย่างปลอดภัย ฉันรู้ว่าฉันกำลังมุ่งหน้าไปตามมรรคาอันถูกต้อง” ทัศนะดังกล่าวดูจะมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องนัก อย่างดีที่สุดมันก็ดูง่ายและเซื่อง แท้ที่จริงเรากำลังถูกตรึงอยู่กับแง่มุมที่น่าเกรงขาม อันเป็นแหล่งบันดาลใจ ทรงภูมิและเต็มไปด้วยสีสันของ “ท่านอาจารย์” เราไม่กล้ามองในแง่มุมอื่น เราสร้างความฝังใจว่าอะไรก็ตามที่เราประสบ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางศาสนธรรมของเรา “ฉันทำได้แล้ว ฉันประสบมันแล้ว ฉันเป็นบุคคลที่ก่อร่างสร้างตัวเองขึ้นมา ฉันรู้ทุกอย่าง อย่างน้อยก็เพราะฉันได้อ่านหนังสือมากมายก่ายกอง และทั้งหมดต่างยืนยันความเชื่อของฉัน ความถูกต้องของฉัน ความคิดของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างสมพงษ์กันไปหมด”
อีกทางหนึ่งที่เราไม่ยอมจำนน ก็เพราะเรารู้สึกว่าเรานี้เป็นผู้ดีมีตระกูล หัวสูง และเป็นคนมีเกียรติ “แน่นอน เราไม่อาจจะมอบตัวเราเองให้แก่ความจริงอันแสนจะสามัญและสกปรกนี้ได้” เรารู้สึกว่าทุกย่างก้าวของมรรคาที่เราก้าวไปจะต้องเป็นกลีบบัว ฉะนั้นเราจึงสร้างระบบเหตุผลที่ตีความทุกสิ่งทุกอย่างเข้าข้างตัวเราเอง หากเราล้มลง เราก็สร้างที่ทางที่จะล้มไว้เสียอ่อนนุ่มซึ่งจะกันไม่ให้ขวัญเสีย การยอมจำนนไม่ได้รวมถึงการเตรียมที่ล้มอันอ่อนนุ่ม หากหมายเพียงการล้มสู่ผืนดินที่แข็งลงสู่ท้องทุ่งที่รกเป็นพงและตะปุ่มตะป่ำ เมื่อเราเปิดเผยตัวเราเองได้แล้ว เราก็จะล้มลงสู่สิ่งที่เป็นอยู่
แต่เดิมนั้น การยอมจำนนจะมีสัญลักษณ์ด้วยการก้มลงกราบ ซึ่งเป็นกาการตกลงสู่ผืนดินในท่วงทีที่ยอมจำนน ขณะเดียวกันเราจะเผยจิตใจของเราและยอมจำนนโดยสิ้นเชิง ด้วยการแสดงตนเข้ากับส่วนที่ต่ำที่สุดของที่ต่ำ ตระหนักในลักษณะอันหยาบและกร้านของเรา เมื่อเราได้แสดงตนเข้ากับส่วนที่ต่ำที่สุดของที่ต่ำแล้ว เราจะไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีก เราตระเตรียมตัวเราให้เป็นภาชนะอันว่างเปล่า พร้อมที่จะรับคำสั่งสอน
ในทางพุทธ มีคำกล่าวเบื้องต้นว่า “ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง”* ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง นี้เป็นตัวอย่างแห่งการยอมจำนน เป็นตัวอย่างของการยอมรับการแข็งขืนของเรา ว่าเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เราขนแต่งขึ้นและเปิดเผยมันออก ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง-ธรรมะ “กฎแห่งความเป็นไป” ชีวิตตามที่เป็นจริง ฉันเต็มใจที่จะเปิดดวงตาของฉันแก่สภาพของชีวิตตามที่มันเป็น ฉันจะไม่มองมันสูงส่งเป็นศาสนธรรมหรือลี้ลับ แต่ฉันพร้อมที่จะเข้าใจสภาพการณ์ของชีวิตอย่างที่มันเป็นจริง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง “สงฆ์” หมายถึง “หมู่แห่งบุคคลผู้ดำเนินตามมรรควิถีทางศาสนธรรม” “หมู่มิตร” ฉันเต็มใจที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมของชีวิตทั้งหมดกับเพื่อนร่วมจาริกของฉัน