ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว  (อ่าน 5370 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 06:49:13 am »
หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว



หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ละสังขารแล้วเมื่อเวลา 3.41น.วันที่ 30 ม.ค. หลังอาพาธด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริรวมอายุ 98 ปี
เมื่อเวลา 4.30น. คณะศิษย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี แจ้งว่า หลวงตามหาบัว ได้ละสังขารแล้ว เมื่อเวลา 3.41 น. ของวันที่ 30 ม.ค. หลังอาพาธต่อเนื่องด้วยอาการปอดติดเชื้อ สิริรวมอายุ 98 ปี
ทั้งนี้ที่ผ่านมา หลวงตามหาบัว ได้เดินทางเข้ารับการรักษาอาการอาพาธยังโรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ตามคำนิมนต์ของคณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และ โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ที่ได้ให้การรักษามาก่อนหน้านี้ และได้เดินทางกลับมาพักรักษาตัวที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 3 ม.ค.
คอลัมน์คาบใบลานผ่านลานพระในหนังสือ พิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 3 มี.ค.2552 ได้เคยตีพิมพ์ประวัติหลวงตามหาบัวเอาไว้จึงขอนำมาเสนออีกครั้งดังนี้
"ไร้รอยขยับปีกของนกในนภากาศ" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โดย.....ภัทระ คำพิทักษ์
ณ พ.ศ.นี้ คงมีน้อยคนนักที่ไม่รู้จักนาม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เพราะพระป่ารูปนี้เคลื่อนทัพพระกรรมฐานออกมาบิณฑบาตกู้ชาติ คราวประเทศประสบหายนะเมื่อปี พ.ศ. 2540
การเคลื่อนแถวพระกรรมฐานออกจากป่ามาสู่เมืองในเวลานั้น ยังผลให้เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 ประการ
1.ไม่เพียงยกบ้านเมืองขึ้นจาก หายนะ การบิณฑบาตความเสียสละครั้งนั้นท่านยังเปิดโลกทัศน์ใหม่ของความสัมพันธ์ ระหว่างธรรมกับโลก วัดกับบ้านเมืองขึ้นด้วย
สิ่งที่คนทั่วไปเห็นตกลงในบาตรของท่านคือ เงินทองนับหมื่นล้านบาทนั้นว่าน่าอัศจรรย์แล้ว แต่สิ่งที่ตกสู่บาตรอย่างแท้จริงนั้นอัศจรรย์ยิ่งกว่า เพราะท่านบิณฑบาตเอาปัญญา เอาความถูกต้อง เอาความเสียสละและความสามัคคีของคนในชาติออกมา ในที่สุดประเทศไทยซึ่งกำลังตกลงสู่หุบเหวแห่งหายนะจึงถูกยกขึ้นอีกครั้ง หนึ่ง

หากสิ่งที่กล่าวไปนั้นเป็นนามธรรม แต่ถ้าพินิจข้อเท็จจริงทางประวัติ ศาสตร์ที่ว่า การที่หลวงตามหาบัว ขัดขวางมิให้มีการรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ทำให้ ทิศทางของการแก้ไขปัญหาเข้าสู่ทิศทางที่ถูกต้อง และการที่ผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาร่วมบุญ ปลดสร้อยคอ สร้อยมือ ตุ้มหู แหวน ฯลฯ สละเป็นทานกับท่านนั้นได้กลายเป็นต้นธารของสำนึกอันสำคัญที่ทำให้การขาย พันธบัตรกู้ชาติ 3 แสนล้านบาท หมดเกลี้ยงภายใน 2 วันครึ่ง ทำให้ประเทศปลดภาระหนี้อันมหาศาลออกจากบ่าได้ในที่สุด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แม้แต่ผู้บริหารบ้านเมืองยังตื่นตะลึงนั้น เป็นดอกผลของการที่พระภิกษุชราอายุร่วม 80 ปี ต้องหอบสังขารไปทั่วประเทศ การปลุกผู้คนมิให้งอมืองอเท้า แต่ให้ลุกขึ้นออกมาช่วยกันกู้บ้านกู้เมือง
มิเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นรูปธรรมของ โลกทัศน์ใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างธรรมกับโลก วัดกับบ้านเมือง จะเรียกว่ากระไร?
2.ในทางธรรมนั้นท่านได้ทำให้คนในสังคมอีกจำนวนมากที่ห่างไกลวัดได้รู้จักพระกรรมฐาน
3.การเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ท่านคือ ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา พระอรหันต์มีจริง พระ นิพพานมีจริง ในขณะที่ทุนนิยมและเทคโนโลยีกำลังลากถูผู้คนให้ไป หมกมุ่นอยู่กับการบริโภคอย่างสุดขั้ว แม้แต่พุทธศาสนาบางส่วนก็หนีไม่พ้นจากพลังเช่นว่านั้น ไม่เพียงแต่ได้สร้างผลสะท้านสะเทือนต่อความคิดความเชื่อความศรัทธาของผู้คน จำนวนมาก หากแต่ยังทำให้พุทธศาสนายืนหยัดเผชิญความผันผวนและเปลี่ยนแปลงของโลกได้ อย่างองอาจ
"บัว" ดอกนี้กำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ปี พ.ศ. 2457 เป็นบุตรคนที่สองในจำนวน 16 คน ในสกุล "โลหิตดี" ครอบครัวชาวนา จ.มหาสารคาม ซึ่งอพยพมาลงหลักปักฐานที่บ้านตาด จ.อุดรธานี ตั้งแต่ครั้งสถานที่แห่งนั้นยังเป็นป่าดงดิบ
ในชีวิตนี้ท่านเกิดสองหน หนแรกกำเนิดจาก นายทองดี และนางแพง โลหิตดี ครั้งที่สองเกิดภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชาย์ เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ปี พ.ศ. 2477
การเกิดหนแรกเติบโตขึ้นมาด้วยบังใบของพ่อแม่ ก่อนก่อกำเนิดอีกหนแล้วหยั่งรากลึกแผ่ร่มเงาออกไปอย่างไพศาล โดยการนำทางของพระภิกษุ 2 รูป รูปแรกคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กทม. ผู้เป็นครูทางปริยัติ และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บุรพาจารย์ของพระกรรมฐานร่วมสมัยเป็นครูทางปฏิบัติ
เดิมนั้นท่านมิได้ตั้งใจบวช แต่พ่อแม่เพียรรบเร้า หนักเข้าเมื่อพ่อแม่ ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ คาวงข้าว เพราะลูกไม่ตอบสนองความปรารถนาดี ท่านจึงตัดสินใจ บวชเรียนเมื่ออายุได้ 21 ปี
ด้วยพื้นนิสัยเป็นคนทำอะไรทำจริง ลองได้ตั้งมั่นแล้วไม่เลิก เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง แม้แต่พาควายไปไถนาท่านยังไถตั้งแต่เช้ายันเย็น เปลี่ยนควายถึง 4 ผลัด พอบวชแล้วก็เรียนจริง ปฏิบัติจริง และได้ผลจริง
ก่อนที่มหา 3 ประโยคผู้ฝักใฝ่การปฏิบัติ บวชเรียนมาแล้ว 7 ปี กำลังเผชิญความผันผวนของการเจริญขึ้นและเสื่อมลงของสมาธิ ก่อนจะมาพบหลวงปู่มั่นที่บ้านโคก ต.ตองโขบ อ.เมือง จ.สกลนคร ในเดือนพ.ค. ปี พ.ศ. 2485 หลวงปู่มั่นผู้มีอนาคตังสญาณได้กล่าวไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านหลีกเร้นคณะไปวิเวกอยู่แถวภาคเหนือแล้วว่า "ในอนาคตกาลอีกไม่นาน จะมีพระหนุ่มรูปหนึ่งเข้ามาหาเราเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เธอจะทำประโยชน์ใหญ่ให้กับประเทศชาติและพระศาสนา"
การอยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นเป็นเวลานานถึง 8 ปี นั้นได้เปลี่ยนชีวิตของท่านโดยสิ้นเชิง เพียงแค่ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นในครั้งแรก ก็มิลังเลสงสัยแล้วว่า มรรค ผล นิพพาน มีจริงหรือไม่
ไม่เพียงแค่คลายสงสัย หากแต่ยังตั้งมั่นด้วยว่า "อยากเป็นพระอรหันต์"
แม้จะมีความปริยัติเป็นเปรียญ 3 ประโยค แต่ท่านก็สำนึกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระอาจารย์มั่นแล้ว ตนเองเป็นเพียงแค่ท่อนซุงท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ท่อนซุงท่อนนี้ก็ได้พัฒนาตนเองกระทั่งได้รับมอบหมายให้เป็นพ่อบ้านใหญ่ ของสำนักพระอาจารย์มั่นที่หนองผือ และท้ายสุดก่อนหลวงปู่มั่นดับขันธ์ยังได้กล่าวกับเหล่าศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ หนองผือว่า "สิ้นเราแล้ว ท่านจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหาบัว"
พระอาจารย์มั่นได้มรณภาพเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ปี พ.ศ. 2492 วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร หลังจากนั้นในเวลา 23.00 น. ของคืนเดือนดับ แรม 15 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันจันทร์ที่ 15 พ.ค. ปี พ.ศ. 2493 หลวงตามหาบัวก็บรรลุธรรม ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
6 เดือนในช่วงนั้นเป็นช่วงคับขันทางจิตของหลวงตามหาบัว ท่านเล่าว่า ตั้งแต่วันเดือน 3 ข้างแรมแล้วที่ถาม ตนเองว่า "เอ จิตนี่ทำไมอัศจรรย์ นักหนานะ"
ท่านว่า ขณะนั้นจิตมันสว่างไสวมาก แต่พอถามตนเองเช่นว่าแล้ว ขณะจิตหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันว่า "ถ้ามีจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแล คือ ตัวภพ...เพียงเท่านี้เราเลยงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย..."
ท่านติดปัญหานี้อยู่ 3 เดือน ก่อนจะจบลงที่ทางจงกรมหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์
ท่านว่า "จุดสว่างมันเห็นเป็นดวงอยู่ในจิต สว่างจ้าอยู่ภายในจิตนี้ พูดง่ายๆ เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ มันสว่างจากไส้ตะเกียง นั่นตัวไส้มันละคือ ที่จุดที่สว่าง มันก็เห็นอยู่แล้ว นี้ก็เป็นอย่างนั้น มันสว่างจ้าอยู่กับจิต จุดแห่งความสว่างมันก็เห็นได้อย่างขัดๆ แต่มันไม่จี้เข้าตรงนี้สิ กลับไปลูบคลำประสาโง่...ความจริงคำว่า จุดก็หมายถึงจุดผู้รู้นั้นเอง ถ้าเราเข้าใจปัญหานี้ตรงตามความจริงที่ผุดบอกขึ้นมา มันก็ดับกันได้ในขณะนั้นแหละ แต่นี้มันกลับไปงงเสียแทนที่จะเข้าใจ เพราะเราไม่เคยรู้เคยเห็น ถ้ามีจุดก็จุดผู้รู้ ถ้ามีต่อมก็มีต่อมผู้รู้ อยู่สถานใดก็ที่จิตดวงรู้ รู้นั้นแล คือ ตัวภพ อุบายที่ผุดขึ้นภายในจิตนั้นก็บอกชัดๆ ไม่ผิดอะไรเลย แต่เรามันงงไปเอง..."
ท่านว่า เมื่อความเศร้าหมอง ผ่องใส ความสุข ความทุกข์ รวมลงในอนัตตา เมื่อเฉยด้วยมหาสติมหาปัญญา วางเฉยโดยไม่ใช่เผลอ อะไรผางขึ้นมาไม่ว่า อัตตา อนัตตา มันก็ปัดพรึบคว่ำลง
"ที่ว่าจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมอง ผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียว ผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี่เหมือนฟ้าถล่ม กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิต กระเทือนทั่วโลกธาตุ...จากนั้นมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่า กายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้อย่างนี้ละเหรอ..."
หลวงตามหาบัว ระบุว่า "ความผ่องใสคือ อวิชชา" ถ้าพลิกเทศนากัณฑ์ "เรียงอริยภูมิ" ซึ่งท่านเทศน์ไว้เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ปี พ.ศ. 2507 ก็จะพบคำอธิบายว่า อวิชชาทั่วๆ ไป ได้แก่ ธรรมชาติที่รวมความลวงทั้งภายนอกและภายในอันเป็นตัวกิเลสไว้ด้วยกัน เปรียบเสมือนต้นไม้ทั้งต้น เมื่อใช้ความเพียรตัดต้นโค่นรากมันแล้ว ก็จะเหลืออวิชชาจริงๆ เมื่อมันรวมที่จิตแห่งเดียว เป็นจุดตัวจริงของอวิชชาแล้ว ถึงมันจะไม่มีสมุนเหมือนเรืองอำนาจ แต่มันก็เก็บรวมสิ่งประหลาดซ่อนไว้ในตัวหลายอย่าง
สิ่งที่พอเทียบเคียงพอนำจะมาอธิบายได้ แต่ของจริงนั้นเทียบเป็นสมมติไม่ได้ทั้งหมดก็คือ สิ่งที่แทรกซึมอยู่ 4 ประการ
ความผ่องใสดวงเด่น ประหนึ่งเป็นสิ่งสำเร็จรูปโดยสมบูรณ์แล้ว หนึ่ง
เป็นความสุขเพราะอำนาจความผ่องใสครองตัวอยู่ ซึ่งเป็นความสุขที่แปลกประหลาด ราวกับเป็นความสุขที่หลุดพ้นจากแดนสมมติ หนึ่ง
เป็นความองอาจภายในตัวเอง ประหนึ่งจะไม่มีสิ่งอาจเอื้อมเข้าไปเกี่ยวข้องได้ หนึ่ง
ความติดใจและสงวนธรรมชาตินั้นประหนึ่งทองคำธรรมชาติ หนึ่ง
ต่อเมื่อได้ผ่านอุปสรรคทั้งหมด นี้ไปแล้ว จึงจะทราบความผิดถูก ของตน
หากสรรเสริญกันแบบโลกๆ ว่า พระอาจารย์มั่น เป็นสดมภ์หลักของพระกรรมฐานในยุคกึ่งพุทธกาล ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ที่รับไม้สืบต่อแนวปฏิบัติ ปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์มาเป็นสดมภ์หลักของพระกรรมฐานในยุคปัจจุบันได้ อย่างเต็มภาคภูมิคือ หลวงตามหาบัว
คนส่วนใหญ่อาจจะเพิ่งประจักษ์ถึงบทบาทของหลวงตามหาบัวเอาเมื่อหลังปี พ.ศ. 2540 แต่ผู้ที่รู้ก่อนใครว่าภิกษุรูปนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อวงพระกรรมฐานและบ้าน เมืองคือ พระอาจารย์มั่น
แม้ท่านจะบอกเพียงว่า "สิ้นเราแล้ว ท่านจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหาบัว" แต่ถ้าไล่ตามลงไปในรายละเอียดของหลายปีให้หลังต่อมาจะพบว่า เฉพาะบทบาทต่อวงพระกรรมฐานนั้น ท่านมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาให้พระกรรมฐานหลายรูปซึ่งตกอยู่ในภาวะโค้ง สุดท้ายของการปฏิบัติทางจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมาก ไม่ว่า หลวงปู่บัว สิริปุณโณ หลวงปู่คำดี ประภาโส พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต ฯลฯ รวมทั้งแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์แห่งบ้านห้วยทราย
แม้แต่หลวงปู่คำดีซึ่งมีอาวุโสพรรษากว่าท่าน และเป็นศิษย์สำนักพระอาจารย์มั่นมาก่อน ก็ยังยอมรับว่าหลวงตาเป็นพระอาจารย์ของท่าน
เหตุเพราะในช่วงคับขันนั้น จู่ๆ หลวงตาก็ไปปรากฏตัวที่ถ้ำผาปู่ จ.เลย ท่านปิดประตูห้องว่ากันอยู่หลายชั่วโมงใหญ่ จากนั้นหลวงตามหาบัวแยกมาพำนักอยู่กุฏิข้างๆ หลวงตาคำดีท่านว่า เมื่อพิจารณาไปตามการชี้แนะของหลวงตามหาบัวแล้ว "คานแห่ง อวิชชามันขาดสะบั้นลง" ท่านปีติซาบซึ้ง และก้มลงกราบหลวงตามหาบัวในกุฏิตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ปฐมศิษย์แห่งหลวงปู่มั่นรุ่นแรกๆ ก็ระบุว่า ถ้าอยากจะเห็นว่า สำนักพระอาจารย์มั่นในครั้งอดีตเป็นอย่างไร ก็ให้ไปดูที่บ้านตาด
"บัว" ดอกนี้ไม่ได้บานเฉพาะองค์ท่านเอง หากแต่ยังได้เพาะบ่มศิษย์ชั้นเพชรน้ำเอกขึ้นในวงกรรมฐานจำนวนมาก สามารถแยกได้ 4 รุ่น
รุ่นแรกคือ ยุคที่ปักหลักอยู่ที่บ้านห้วยทราย เรียกว่า ยุคห้วยทราย ซึ่งกินระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2494-2498 ประกอบด้วย 1.พระอาจารย์สิงห์ทอง วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร 2.หลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี 3.หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร 4.หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากง จ.ร้อยเอ็ด 5.พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม 6.หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่านาคูณ จ.อุดรธานี 7.หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี 8.หลวงปู่ลี วัดถ้ำภูผาแดง จ.อุดรธานี 9.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู 10.หลวงปู่คำตัน วัดป่าศรีสำราญ จ.หนองคาย
ยุดที่สองคือ ยุคบ้านตาดยุคแรก กินระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2499-2510 ประกอบด้วย 1.พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี 2.อาจารย์แสวง โอภาโส วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี 3.พระอาจารย์บุญกู้ อนุวัฑโฒ วัดป่าบ้านตาด 4.พระอาจารย์เชอรี่ อภิเจโต วัดป่าบ้านตาด
ยุคสามคือ ระหว่างปี พ.ศ. 2511-2528 ซึ่งก็มีศิษย์เด่นๆ ร่วม 20 องค์ อาทิ พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสัสโก วัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี พระอาจารย์สุชาติ สุชาโต วัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี พระอาจารย์บุญทัน ฐิตสีโล วัดเขาเจริญธรรม จ.เพชรบูรณ์ พระอาจารย์ณรงค์ อาจาโร วัดป่ากกสะทอน จ.อุดรธานี พระอาจารย์วันชัย วัดป่าภูสังโฆ จ.อุดรธานี
ยุคปัจจุบันคือหลังปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคเปิดรั้ววัดบ้านตาดมีผู้เข้าออกจำนวนมาก
วันนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักนาม หลวงตามหาบัว ประวัติคำสอนของท่านมีอยู่ทั่วไป ทั้งที่เป็นเอกสาร สิ่งพิมพ์ ในอินเทอร์เน็ต หรือกระจายเสียงผ่านสถานีวิทยุ แต่น้อยคนนัก จะเงี่ยหูฟัง แถมยังตั้งข้อกังขาโดยยังไม่ทันลงมือศึกษาปฏิบัติ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิติเตียนท่าน แต่ถึงที่สุดแล้วถ้อยคำเหล่านั้นก็เป็นเพียงคำวิจารณ์ที่มีต่อรอยขยับปีกของ นกในนภากาศ
สำหรับผู้ที่พ้นไปแล้วนั้น ท่านประกาศชัดว่า "เรามีชีวิตอยู่นี้ เราทำด้วยเมตตา สงสารต่อโลก เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่มาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล"




โพสต์ทูเดย์ กทม.-ภูมิภาค : หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.-%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99/72128/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 07:03:54 am »
ด่วน"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้ว




เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินจากที่ประทับแรมในตัวเมืองอุดรธานี มาถึงวัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นการส่วนพระองค์ โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำข้าราชการเฝ้ารับเสด็จฯ ที่เรือนประทับรับรอง ภายในวัดป่าบ้านตาด ก่อนเสด็จเฝ้าเยี่ยมอาการหลวงตามหาบัว ที่ห้องปลอดเชื้อกุฏิหลวงตามหาบัว
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่อาพาธยังพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องปลอดเชื้อ โดยการรักษาอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวครั้งนี้ มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ซึ่งหมายถึง “หมอจีน” แม้ว่าจะมีคำแถลงของคณะสงฆ์ออกมาทุกครั้งว่า การรักษาอาการอาพาธหลวงตามหาบัว จะเลือกใช้ทั้ง 2 ทาง แต่วันนี้กลุ่มเครือญาติหลวงตามหาบัว ได้ทำจดหมายเวียนลงชื่อ 89 คน ถึงคณะสงฆ์และคณะแพทย์ ไม่ยินยอมให้คณะแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะกับหลวงตามหาบัว หลังจากร่วมประชุมกันและได้ข้อสรุปตั้งแต่คืนวันที่ 28 ม.ค.

โดยใจความในหนังสือโดยย่อ ระบุว่า “ ด้วยลูกหลาน ญาติพี่น้อง ในองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ประชุมกันแล้ว มีความเห็นตรงกันเป็นหนึ่งเดียวว่า ขอปฏิเสธขอให้การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะทุกประเภท และปฏิเสธการใช้สารโปรตีนแอลบูลมีนทุกประการ เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่า ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะและสารโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว อาการของหลวงตานั้นแจ่มใส แข็งแรง พอสมควร แต่ภายหลังการใช้ยาดังกล่าวอาการองค์หลวงตาขาดการตอบรับ ทั้งนี้การรักษาพยาบาลและดำเนินการใดๆ ต่อองค์หลวงตา ให้เป็นไปตามวิธีการของท่านอาจารย์วันชัย วิจิตโต โดยความเห็นชอบของหลวงปู่ลี กุสลธโร ตามที่คณะสงฆ์ได้ลงความเห็นร่วมกัน เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ณ กุฏิองค์หลวงตา”

ด้านนายสมผล ตระกูลรุ่ง ตัวแทนของกลุ่มญาติของหลวงตามหาบัวฯ และนางสมจันทร์ ศิริสุวรรณ ลูกของนางศรีเพ็ญ โลหิตดี น้องสาวของหลวงตามหาบัวฯ ร่วมกันเปิดเผยว่า ญาติๆองค์หลวงตามหาบัวฯ เห็นการรักษาที่ผ่านๆมานั้น อาการยังไม่ดี โดยญาติๆ ยังมีความมั่นใจว่าการรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งเคยรักษามาก่อนแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อธาตุขันธ์ต่อองค์หลวงตามหาบัวฯ เพราะในภาวะอย่างนี้ธาตุขันธ์ขององค์หลวงตารับไม่ได้กับยาปฏิชีวนะ ที่ผ่านมาหลวงตาเคยเทศน์เอาไว้ว่าถูกกับยาจีน ท่านเคยหายจากโรคมะเร็งลำไส้เพราะยาจีน
นางสมจันทร์ฯ กล่าวว่า ญาติๆของหลวงตามีความเห็นว่า อยากให้ทำการรักษาด้วยยาของอาจารย์วันชัยฯ และการที่ญาติๆหลวงตามหาบัวฯออกมาแสดงตัวเช่นนี้ ก็ไม่ได้เจตนาที่หลบหลู่การรักษาของคณะแพทย์ แต่ญาติๆของหลวงตาฯ ต่างเห็นพ้องกัน

ต่อมากลุ่มญาติหลวงตามหาบัว ยังแจกจ่ายเอกสารอีก 1 ฉบับ เป็นข้อตกลงแนวทางการรักษาหลวงตามหาบัว วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นบทสนทนาของ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กับคณะศิษย์ฯ ยอมรับว่า ได้หยุดใช้ยาปฏิชีวนะและโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว ให้แต่น้ำเกลือกับสารอาหาร และเครื่องช่วยหายใจแต่ไม่มาก หลังจากให้การรักษา ความดันก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนบรรยากาศที่วัดป่าบ้านตาดตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ได้มีพุทธศานิกชนหลายพันคน เดินทางมาทำบุญตักบาตรที่หน้าวัด และเข้ามาในวัดเฝ้าติดตามดูอาการอาพาธของหลวงตามหาบัว หลังจากเมื่อวันที่ 28 ม.ค. มีกระแสข่าวลือสะพัดว่า “หลวงตาจะละสังขาร” จนคณะสงฆ์ และคณะแพทย์ ต้องออกมาแถลงอาการในช่วงบ่าย ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนภายในวัดป่าบ้านตาด มีพระสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐาน หรือพระวัดป่า ทั้งใกล้และไกล เดินทางมาเฝ้าอาการหลวงตามหาบัวฯเช่นกัน มีหลายองค์จำวัดอยู่ภายในวัดป่าบ้านตาด บางองค์เดินทางกลับหลังจากทราบอาการ ขณะพุทธศาสนิกชนหลังจากใส่บาตร ได้เข้ามาร่วมทำบุญสงเคราะห์โลก ถวายผ้าป่าทองคำ ดอลลาร์เข้าคลังหลวง ผ้าป่าช่วยชาติ และผ้าป่าสร้างอาคารสงฆ์อาพาธ 98 หลวงตามหาบัว รพ.ศูนย์อุดรธานี จำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย บางส่วนคอยฟังคำแถลงอาการอาพาธของหลวงตา และคอยเวลาเข้าไปกราบหลวงตาที่กุฏิ ซึ่งคณะสงฆ์อนุญาตในบางช่วงเวลา

ด้านพระอาจารย์อินถวาย สันตุสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี อ่านแถลงว่า คณะแพทย์ได้กราบรายงานต่อคณะสงฆ์ว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงร่วมประชุมกับคณะศิษย์ หลวงตายังมีอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย สัญญาณชีพปกติ ฟังเสียงปอดด้านขวาผิดปกติ เอ็กซเรย์ปอดพบชายปอดด้านขวาทึบ แพทย์วินิจฉัยว่า มีอักเสบติดเชื้อในกระแสโลหิต หลวงตาอนุญาตให้ใช้ยาปฏิชีวนะนัดระงับอาการติดเชื้อ แพทย์ได้ถวายการรักษาเพื่อประคับประคองธาตุขันธ์ จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

“อาการหลวงตามหาบัว ทรงๆทรุดๆ ผู้ที่อยู่ทางไกลก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอประกอบคุณงามความดี สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เท่านั้นก็บูชาองค์หลวงตาบัวแล้ว” พระอาจารย์อินถวาย กล่าว

ต่อมาเวลา 15.00 น. พระอาจารย์นภดล บันทะโน เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ ร่วมกับ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.อุดรธานี แถลงอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวว่า วันนี้หลวงตามหาบัวยังมีอาการอ่อนเพลีย หอบเหนื่อย และมีเสมหะ ยังคงใส่เครื่องช่วยหายใจและพบยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ความดันโลหิตเริ่มลดต่ำลง ส่วนผลเอกซเรย์ปอดพบว่า มีการอักเสบในกลีบปอดข้างขวาล่างเพิ่มมากขึ้น โดยสรุปปัญหาขณะนี้ คือ ปอดอักเสบติดเชื้อ ความดันโลหิตลดต่ำลง หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นบางครั้ง สำหรับการรักษานั้น เป็นแบบประคับประคอง โดยให้อาหารทางเส้นเลือด
เวลา 18.10 น. พระอาจารย์นภดล ได้ประกาศแถลงข่าวอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวอีกครั้ง ซึ่งคณะแพทย์มีความเห็นว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ ทางคณะสงฆ์มีความเห็นจะแถลงอาการทุก 1 ชั่วโมง โดยเมื่อเวลา 18.00 น.หลวงตามหาบัวมีความดันลดลง อยู่ที่ 74/32 การหายใจที่หน้าอกลดลงกว่าเดิมและแรงกว่าเดิมเป็นบางครั้ง แต่ยังคงสม่ำเสมอ ต่างจากเมื่อ 15.00 น.ที่ได้แถลงข่าวอาการของหลวงมหาบัวว่ายังไม่น่าวิตกมากนัก กระทั่งเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง อาการหลวงตามหาบัวเริ่มเข้าขั้นวิกฤติ เนื่องจากยาพิเศษที่ใช้รักษาหมดลงไป คณะแพทย์ต้องสั่งให้นำยาขึ้นเครื่องบินมาส่ง และได้นำมารักษาหลวงตาฯ ซึ่งในขณะนี้อาการเริ่มดีขึ้น โดยความดันขึ้นมาอยู่ที่ 80/35 จนเวลา 18.50 น.ความดันอยู่ที่ 82 ซึ่งคณะแพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
ล่าสุด เมื่อเวลา 03.35 น. วันที่ 30 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงตาบัว ได้ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี คณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้


Daily News Online > หน้าภูมิภาค > ด่วน"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้ว


.
http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentID=118285


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 07:04:50 am »
พลิกปูมประวัติ“หลวงตามหาบัว”




พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เกิดเมื่อวันอังคารที่ 12 ส.ค.2456 ชื่อบัว โลหิตดี บิดาชื่อนายทองดี มารดาชื่อนางแพง โลหิตดี อยู่ที่บ้านตาด โดยหลวงตาบัวเป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 16 คน ที่เกิดมาในตระกูลชาวนาผู้มีฐานะดี ในสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น หลวงตาบัวได้เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ เมื่ออายุครบ 20 ปี พ่อแม่จึงอยากจะให้บวชตามประเพณี แต่หลวงตามีท่าทีเฉยๆ ทำให้พ่อแม่ถึงกับน้ำตาร่วง จนหลวงตารู้สึกสะเทือนใจ และเห็นใจพ่อแม่เป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจจะยอมบวชตามที่พ่อแม่ต้องการ และให้เป็นไปตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจในตอนแรกว่าจะบวชให้เพียงระยะสั้นเท่านั้น

เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2477 เป็นวันที่หลวงตามหาบัวได้บวช ณ วัดโยธานิมิตร บ้านหนองขอนกว้าง ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้บวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดรและมารดาแล้ว หลวงตาบัวได้ตั้งใจเอาบุญเอากุศลอย่างจริงจัง เมื่อก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยใฝ่ภาวนา และตั้งจุดมุ่งหมายของชีวิต

ต่อมาได้ออกจากบ้านตาดไปศึกษาเล่าเรียนในที่ต่างๆ กระทั่งได้ตั้งสัจอธิษฐานไว้ว่า “เมื่อจบเปรียญ 3 ประโยคแล้ว จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลังอยากเป็นพระอรหันต์นั่นเอง” ทำให้การศึกษาทางโลกของหลวงตาบัว จบประถม 3 ทางบาลีจบเปรียญ 3 และทางนักธรรมก็จบนักธรรมเอก เป็น 3 ตรงกันหมด 3 วาระ

ขณะเรียนปริยัติอยู่นั้น เมื่อว่างจากการเรียนหลวงตา พยายามหลบหลีกจากหมู่เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน แอบไปนั่งสมาธิในกุฏิคนเดียว หรือเดินจงกรมในช่วงเวลาดึกๆอยู่เสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติกรรมฐาน ก่อนออกไปแสวงหาครูบาอาจารย์ทางธรรมะ

ช่วงหนึ่ง ได้ออกเดินทางจาก จ.นครราชสีมา มุ่งหน้าไป จ.อุดรธานี ตั้งใจไว้ว่าจะไปจำพรรษากับอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนา ที่วัดป่าโนนนิเวศน์แต่ไม่พบ เลยจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งสว่าง จ.หนองคาย ประมาณ 3 เดือน ก่อนที่จะเดินทางไปหาอาจารย์มั่น ที่ บ้านโคก ต.หนองโขบ อ.เมือง จ.สกลนครในเวลาต่อมา และก็มีโอกาสได้พบกับอาจารย์มั่นสมใจ พร้อมกับได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์มั่น และได้อยู่ปรนนิบัติให้กับอาจารย์มั่น พร้อมปฏิธรรม บำเพ็ญเพียรตามป่าเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นอกจากจะเป็นพระนักปฏิบัติธรรมแล้ว หลวงตาบัวยังเป็นพระนักสงเคราะห์ ในการบริจาคทุนทรัพย์ช่วยเหลือแก่หน่วยงานราชการต่างๆมาโดยตลอด อาทิเช่น การช่วยเหลือบริจาคอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ก่อสร้างโรงพยาบาล สถานีอนามัย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ทั่วประเทศ รวมทั้งต่างประเทศ คือประเทศ สปป.ลาว

ความเมตตาสงเคราะห์โลกของหลวงตาบัว มิใช่ว่าจะสิ้นสุดเพียงที่กล่าวมา ท่านยังให้ความเมตตาเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือหน่วยงานอื่นๆอีกมากมาย เช่น กก.ตชด.24 อุดรธานี สถานีรถไฟอุดรธานี ตำรวจทางหลวง ตำรวจภูธร รพช. เรือนจำ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บ้านเด็กแสงตะวัน ศูนย์เลี้ยงเด็ก โรงเรียนต่างๆ บ้านเลี้ยงสุนัข บ้านสงเคราะห์เด็กปากเกร็ด บ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ฯลฯ ซึ่งในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล

ในปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยประสบกับปัญหา “วิกฤต” ทางเศรษฐกิจและความสับสนทางสังคม ที่ขยายวงกว้างขึ้นไปจนกลายเป็นความทุกข์ โดยรวมของคนทั้งชาติ ด้วยความเมตตาสงสารอย่างบริสุทธิ์ใจต่อพี่น้องชาวไทย หลวงตามหาบัวจึงได้ปรารภขึ้นด้วยความห่วงใยว่า “จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพี่น้องไทยทุกคน ให้ต่างเสียสละช่วยกันอย่างจริงจัง” เมื่อคำปรารภดังกล่าวกระจายออกไปสู่สังคมกว้างขึ้น ผู้ที่เคารพศรัทธาในหลวงตามหาบัว และผู้มีความรักชาติเป็นพื้นฐานเดิมในใจอยู่แล้ว ต่างออกมาแสดงน้ำใจสละเงินทองช่วยกัน เมื่อคนไทยทั้งในและต่างประเทศรับรู้เรื่องมากขึ้น น้ำใจแห่งความ “รักชาติ” จึงเริ่มหลั่งไหลมาช่วยเหลือไม่ขาดสาย กลายเป็นที่มาของ “โครงการผ้าป่าช่วยชาติ” ที่หลวงตามหาบัวต้องฝืนสังขารไปแสดงธรรมเทศนาเพื่อรับบริจาคในการช่วยชาติ แล้วหลวงตามหาบัวก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เม.ย.41 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นประธานและเงินทองที่ได้มาจากการบริจาคนี้ หลวงตามหาบัวจะยกให้กับคลังหลวงทั้งหมด ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายของหลวงตามหาบัว ที่ช่วยโลกอย่างเต็มหัวใจ

การช่วยชาติครั้งนี้ หลวงตามหาบัวมีความมุ่งหมายไว้ ที่ทองคำน้ำหนัก 10 ตัน และดอลล่าร์ 10 ล้านดอลล่าร์

นี่คือโครงการแห่งคุณค่าแห่งความรักชาติ คุณค่าแห่งความเสียสละ คุณค่าแห่งความสามัคคีของพี่น้องชาวไทย รวมตัวกันเข้าอุ้มชาติไทยทั้งชาติขึ้นได้ มีหลวงตามหาบัวเป็นผู้นำทาง ชี้แสงสว่าง โดยใช้ธรรมะเป็นสื่อให้คนไทยลุกขึ้นมาช่วยชาติ จนประสบความสำเร็จ ที่จะต้องจดจำและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย.


Daily News Online > ข่าวหน้า 1 > พลิกปูมประวัติ“หลวงตามหาบัว”
.

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=118300

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 07:11:46 am »
"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.



คมชัดลึก :"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.สิริมายุรวม 98 ปี ทีมแพทย์แถลงอีกครั้งเช้านี้

รายงานข่าวจากวัดป่าบ้าน ตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่าเมื่อเวลา 03.53 น. หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี ซึ่งคณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้

สำหรับ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นั้น นาม บัว โลหิตดี ชาติภูมิ ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธานี  เกิดเมื่อ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน๙ ปีฉลู ณ บ้านตาด อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี บิดา นายทองดี โลหิตดี    มารดา นางแพงศรี โลหิตดี พี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน  สถานภาพ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน   สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ  วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวงคู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี     

พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ โดยมีท่านพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายานามว่า "ญาณสมฺปนฺโน" แปลว่า "ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้"   เคารพพระวินัย ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้  เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่างๆตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน

หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้วต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียร ในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผาในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง สงสัย ช่วงเรียนปริยัติอยู่นี้ มีความลังเลสงสัยในใจว่า หากท่านดำเนินและปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้นจะบรรลุถึงจุดที่พระสาวกท่าน บรรลุหรือไม่ และบัดนี้จะยังมีมรรคผลนิพพานอยู่ เหมือนในครั้งพุทธกาลหรือไม่  ตั้งสัจจะ ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ว่า จะขอเรียนบาลีให้จบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่เป็นไร จากนั้นจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด  เรียนจบ ท่านสอบได้ทั้งนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยคในปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่แห่งนี้เอง เป็นที่แรกที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ต่อมา ได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ออกปฏิบัติ เมื่อเรียนจบมหาเปรียญแล้ว แม้จะมีพระมหาเถระในกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ท่านเรียนต่อในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปก็ตาม แต่ด้วยท่านเป็นคนรักคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ท่านจึงเข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ และออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าเขาแถบจังหวัดนครราชสีมา แล้วเข้าจำพรรษาที่ อำเภอจักราช นับเป็นพรรษาที่ ๘ ของการบวช พากเพียร ท่านเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา ไม่ทำการงานอื่นใดทั้งนั้น มีแต่ทำสมาธิภาวนา-เดินจงกรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน จนจิตได้รับความสงบจากสมาธิธรรม  มุ่งมั่น แม้พระเถระผู้ใหญ่ท่านอุตส่าห์เมตตาตามมาสั่งให้กลับเข้าเรียนบาลีต่อที่ กรุงเทพฯอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ภายในชาตินี้ ท่านจึงหาโอกาสปลีกตัวออกปฏิบัติได้อีกวาระหนึ่ง   จิตเสื่อม

จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อทำกลดไว้ใช้ในการออกวิเวกตามป่าเขาจิตที่เคยสงบร่มเย็น จึงกลับเริ่มเสื่อมลง ๆ เพราะเหตุที่ทำกลดคันนี้นี่เอง  เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ

ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ  ปริยัติ..ไม่เพียงพอ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแนะต่อว่า ธรรมที่เรียนมาถึงขั้นมหาเปรียญมากน้อยเพียงใด ยังไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ได้ แต่กลับจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะอดจะเป็นกังวล และนำธรรมที่เรียนมานั้น มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์ คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักได้ ดังนั้น เพื่อให้สะดวกในเวลาทำความสงบหรือจะใช้ปัญญาคิดค้น ให้ยกธรรมที่เรียนมานั้นขึ้นบูชาไว้ก่อน ต่อเมื่อถึงกาลอันสมควร ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามา ประสานกันกับด้านปฏิบัติ และกลมกลืนกันได้อย่างสนิท       

การศึกษาและปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จนกระทั่งหลวงปู่มั่นมรณภาพเป็นระยะเวลา ๘ ปี และถึงที่สุดแห่งธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร

ประวัติศาสตร์ช่วยชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นวันเปิดโครงการช่วยชาติ โดยมีเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จไปเป็นประธานเปิดที่สวนแสงธรรม  หลวงตาพูดว่า "(เวลานี้) น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ก็ได้ในเมืองไทยของเรา ที่ว่าพระเป็นผู้นำนี่ไม่เคยมีนะ เริ่มมีหลวงตาบัวคน เดียวนี้แหละออกประกาศตนทีเดียว โดยไม่มีใครชักชวน ไม่มีโครบอกเล่า ด้วยอำนาจแห่งความเมตตาชักชวนเอง ดูสภาพของเมืองไทยแล้วพี่น้องชาวไทยทั้งหลายต่างคนต่างมีความทุกข์ร้อนทุก หย่อมหญ้ากันไปโดยลำดับลำดาไม่ว่าสถานที่ใด ก็ทนใจอยู่ไม่ได้ จึงต้องออกความคิด ความเห็นในแง่ต่าง ๆ ที่จะนำชาติไทยของเราให้เป็นไปด้วยความแคล้วคลาด ปลอดภัย หาทางใดก็ไม่เจอ ตามความสามารถความคิดอ่านของตัวเอง หาแล้วหาเล่า หาไม่เจอ สุดท้ายก็เลยต้องเอาหลวงตาบัวเป็น ตัวประกัน นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อจะบริจาคทรัพย์ที่มีอยู่ของตนเข้าช่วยชาติของเราด้วย ความบริสุทธิ์ใจ นี้แหละเริ่มต้นเหตุเป็นอย่างนี้จึงได้ออกประกาศตน"

http://www.komchadluek.net/detail/20110130/87363/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B203.53%E0%B8%99..html

.



.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 01:11:54 pm »
“ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” เสด็จฯ แทนพระองค์พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “หลวงตามหาบัว” 18.00 น.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มกราคม 2554 10:27 น.

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด เวลา 18.00 น โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโกศโถ และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 3 วัน

วันนี้ (30 ม.ค.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด ในช่วงเวลา 18.00 น. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโกศโถ และทรงรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 3 วัน

โดยในการนี้ได้พระราชทานพวงมาลาพระราชทาน พวงมาลาประทานของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ วางที่หน้าโกศศพของหลวงตามหาบัว ซึ่งในช่วง 09.00 น.เป็นเวลาที่ทางวัดจัดให้มีการเคลื่อนย้ายศพหลวงตามหาบัว ไปให้ศิษยานุศิษย์ได้ทำความเคารพ

Manager Online -

.

[url]http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000012758


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 01:25:48 pm »




:13:     :45: :07: :45:



ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 03:50:02 pm »
ปชช.เรือนแสนแห่กราบสังขาร “หลวงตามหาบัว” เตรียมเคลื่อนตั้งศาลาใหญ่รับคลื่นมหาชน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มกราคม 2554 15:09 น.

อุดรธานี - ประชาชนเรือนแสนแห่กราบสังขารหลวงตามหาบัว คณะสงฆ์เตรียมย้ายตั้งศาลาใหญ่หน้าวัดป่าบ้านตาด รองรับคลื่นมหาชนจากทั่วประเทศ ขณะที่เย็นนี้จะมีพิธีน้ำหลวงอาบศพ ด้านพระอาจารย์อินถวายอ่านพิกรรมหลวงตา
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าวันนี้ (30 ม.ค.) ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เนืองแน่นไปด้วยประชาชนญาติธรรมหลวงตามหาบัว และพระชั้นผู้ใหญ่ พระสงฆ์จากทั่วประเทศที่เดินทางมากราบศพหลวงตา โดยศพหลวงตา ตั้งอยู่บนศาลาการเปรียญ กำหนดการเบื้องต้นในเวลาประมาณ 18.00 น.วันเดียวกันนี้ จะมีพิธิน้ำหลวงอาบศพและหลังจากนั้นจะมีการสวดพระอภิธรรม
       
       พระมหาธีรนาถ ธีรธัมโม พระอุปฐากหลวงตามหาบัว กล่าว ว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ จะมีการประชุมคณะสงฆ์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายศพองค์หลวงตามหาบัว ไปยังศาลาใหญ่หน้าวัดป่าบ้านตาด เพื่อรองรับประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมากราบศพหลวงตาอีกมาก เพราะศาลาภายในวัดป่าบ้านตาดมีขนาดเล็ก อาจทรุดตัวได้
       
       โดยพิธีการในช่วงเช้า คณะสงฆ์ได้ทำพิธีขอขมาศพหลวงตา จากนั้นพระอาจารย์อินถวาย สนฺตุสฺโก ได้อ่านพินัยกรรมของหลวงตามหาบัว ซึ่งพินัยกรรมของหลวงตามีดังนี้คือ "พินัยกรรมฉบับนี้ทำที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ทำเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2543 ข้าพเจ้าพระธรรมวิสุทธิมงคล (พระมหาบัว ญาณสัมปันโน) อายุ 87 ปี พำนักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้เพื่อให้ทราบว่า เมื่อข้าพเจ้ามรณภาพแล้ว ให้จัดการทรัพย์สินและทำงานศพข้าพเจ้าดังนี้
       
       บรรดาทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วในขณะที่ข้าพเจ้ามรณภาพ และบรรดาทรัพย์สินต่างๆ ที่จะได้รับบริจาคในงานศพของข้าพเจ้าให้จัดการดังนี้ ส่วนที่เป็นทองคำให้หลอมเป็นทองคำแท่ง ส่วนที่เป็นเงินไม่ว่าจะเป็นเงินสกุลใดให้นำเข้าซื้อทองคำแท่ง และให้นำทองคำแท่งไปมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อใช้เป็น เงินทุนสำรองเงินตราของฝ่ายบำบัดธนาคารแห่งประเทศไทย
       
       พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่ใช้บุคคลใด หรือคณะบุคคลใดนำไปใช้ในกานอันใด นอกจากใช้เป็นเงินทุนสำรองของประเทศ และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นจัดงานศพและจัดการดูแลทรัพย์สินทั้งปวงที่มีอยู่ใน ขณะมรณภาพ ส่วนเงินที่จะได้รับบริจาคในงานศพของข้าพเจ้า ให้ดำเนินการอย่างเปิดเผย และดำเนินการตามเจตนาของข้าพเจ้า
       
       ให้แต่งตั้งคณะกรรมการ 9 คน ประกอบด้วย พระอาจารย์ฝัก สันติธรรมโม (มรณภาพแล้ว) , พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก, พระปัญญา วัตโก, พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต องคมนตรี ดร.เชาวน์ ณ ศีลวัน, นายศิริ คูสกุล, ม.ร.ว.ทองศิริ ทองแถม, พ.ต.อ.กฤษดา บูรณพานิช และพ.ต.ประชัย นาวินรัตน์
       
       ข้าพเจ้าขอตั้งให้พระสุดใจ ทันตมโน เป็นผู้จัดการมรดกของข้าพเจ้า พินัยกรรมฉบับนี้ทำไว้ 3 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน เก็บไว้ 3 แห่ง คือ ฉบับแรกที่วัดป่าบ้านตาด ฉบับที่ 2 เก็บไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอุดรธานี ฉบับที่ 3 เก็บไว้ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาอุดรธานี
       
       พินัยกรรมฉบับนี้ทำขึ้นด้วยความสมัครใจของข้าพเจ้าและข้าพเจ้ายังมี สติสัมปชัญญะดีทุกอย่างจึงลงชื่อไว้ต่อหน้าพยาน ลงชื่อ พระมหาบัว ญาณสัมปัญโญ (พระธรรมวิสุทธิมงคล)
       
       ลงชื่อพระปัญญา วัตโก พยาน และ พระสุดใจ ทันตมโน พยาน



สมเด็จพระเจ้าลูกเธอฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ทรงเฝ้าศพหลวงตามหาบัว



คณะสงฆ์ทำพิธีขอขมาศพหลวงตามหาบัว




http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000012834


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 05:11:39 pm »




:13:      :45: :07: :45:





ออฟไลน์ แปดคิว

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 797
  • พลังกัลยาณมิตร 389
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.blogger.com/home
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 07:25:48 pm »
สิ้นแสงธรรมส่องโลกไปอีกดวงแล้ว


อนิจสังสังขารวันวานแว่ว

จากไปแล้ววันนี้ไม่มีเชื้อ

ทิ้งธรรมะและคำสอนไว้จุนเจือ

สิ่งที่เหลือไม่ดับคือความดี

ขอน้อมส่งหลวงตาผู้ชัวยชาติ

สู่นิวาสถึงนิพพานอันสุขขี

ไม่มีเกิดไม่มีดับดวงชีวี

เพราะดวงใจดวงนี้หมดเชื่อเอย


สาธุ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 30, 2011, 08:53:21 pm โดย แปดคิว »
*8q*

ก่อนเกิดใครเป็นเรา
เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร

สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่
ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า

ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
มองในสิ่งที่ไม่เห็น
ทำในสื่งที่ไม่มี   

ออฟไลน์ Siranya

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 113
  • พลังกัลยาณมิตร 47
    • ดูรายละเอียด
Re: หลวงตามหาบัวละสังขารแล้ว
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 09:59:21 pm »
เกิด...ด้วยแรง.......แห่งธรรม......กระทำก่อน
แก่...ก็สอน.......ให้เห็นผล......รูปโฉมว่า
เจ็บ...คือกาย.......ที่รับรู้......โลกมายา
ตาย...ละกาย.......อันอ่อนหล้า......สู้ผืนดิน

ลูกขอกราบองค์หลวงปู่สู่พระนิพานสาธุ
ธรรมะเพิ่มสติ..ทุกข์คลายใจสงบ