ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท  (อ่าน 8133 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 06:58:53 am »


๐ การพิจารณาเข้าหาธรรม

ถ้าเราทำภาวนา อย่าให้กิเลสตัณหามันรู้เงื่อนรู้ปลายได้ ท่านจะเอาอย่างไร มันมาถามเรา จะเอาขนาดไหน จะเอาประมาณเท่าไรดึกเท่าไร มันมาทำให้เราตกลงกับมัน ถ้าเราไปว่าจะเอาสักสองยามแล้วก็มันจะเล่นงานเราทันที นั่งไปยังไม่ถึงชั่วโมงต้องร้อนรนออกจากสมาธิแล้วก็เกิดนิวรณ์ว่า มันจะตายหรือยังกันนะ ว่าจะเอาให้มันแน่พยาบาทตัวเอง ไม่มีคนพยาบาทก็เป็นทุกข์อีกนั่นแหละ ถ้าได้อธิฐานแล้วต้องเอาให้มันรอด หรือตายโน่น อย่าไปหยุดมันจึงจะถูก

เราค่อยทำค่อยไปเสียก่อน ไม่ต้องอธิฐาน
พยายามฝึกหัดไป บางครั้งจิตสงบ ความเจ็บปวดทางร่างกายก็หยุด เรื่องปวดแข้งปวดขามันหายไปเอง การปฏิบัติอีกแบบหนึ่งนั้นเห็นอะไรก็ให้พิจารณา ทำอะไรก็ให้พิจารณาทุกอย่าง อย่าทิ้งเรื่องภาวนา บางคนพอออกจากทำความเพียรแล้ว คิดว่าตัวเองหยุดแล้ว พักแล้ว พักแล้ว จึงหยุดกำหนดหยุดพิจารณาเสีย เราอย่าเอาอย่างนั้น เห็นอะไรให้พิจารณา เห็นคนดีคนชั่ว คนใหญ่คนโต คนร่ำรวย คนยากจน เห็นคนเฒ่าคนแก่ เห็นเด็กเห็นเล็ก ให้พิจารณาไปทุกอย่าง นี่เรื่องการภาวนาของเรา

การพิจารณาเข้าหาธรรมะนั้น ให้เราพิจารณาดูอาการเหตุผลต่างๆนานา มันน้อยใหญ่ ดำขาว ดีชั่ว อารมณ์ทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าคิดเรียกว่ามันคิด แล้วพิจารณาว่ามันก็เท่านั้นแหละ สิ่งเหล่านี้อยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย นี่แหละป่าช้าของมันทิ้งมันใส่ลงตรงนี้ จึงเป็นความจริง

๐ นิมิต

“สิ่งเหล่านี้อย่าว่าเป็นของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิต คือ ของหลอกลวงให้เราชอบ ให้เรารัก ให้กลัว นิมิตเป็นของหลอกลวงใจเรา มันไม่แน่นอน ถ้าเห็นแล้วอย่าไปหมายมั่น ไม่ใช่ของเรา อย่าวิ่งตามมัน อาจพูดลืมตัวเองเป็นบ้าไปได้ ไม่กลับมาพูดกับเรา เพราะหนีจากคอกแล้ว ให้เชื่อตัวเองแน่นอน เห็นอะไรมาก็ตาม ถ้านิมิตเกิดขึ้นมาจิตตัวเอง จิตต้องสงบ มันจึงเป็น ถ้าเป็นมา ให้เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่ของเรา นิมิตนี้ให้ประโยชน์แก่คนมีปัญญา ให้โทษแก่คนไม่มีปัญญา

ทำความเพียรไปจนเราไม่ตื่นเต้นในนิมิต
มันอยากเกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด ไม่กลัวมัน เชื่อใจได้อย่างนี้ ไม่เป็นไร ทีแรกเราตื่น ของน่าดูมันก็อยากดู ความดีใจเกิดขึ้นมาอย่างนี้ก็หลง ไม่อยากให้มันดีก็ดี ไม่รู้จะทำอย่างไร ปฏิบัติไม่ถูกก็เป็นทุกข์ มันอยากดีใจช่างมัน ให้เรารู้ความดีใจนั่นเองว่าความดีใจนี้ก็ผิด ไม่แน่นอนเช่นกัน แก้มันอย่างนี้ อย่าไปแก้ว่า ไม่อยากให้มันดีใจ ทำไมจึงดีใจ นี่ผิดอยู่นะ ผิดอยู่กับของเหล่านี้ ผิดอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้อยู่ไกลหรอก อย่ากลัวนิมิต ไม่ต้องกลัว เรื่องภาวนานี้พอพูดให้ฟังได้เพราะเคยทำมา ไม่ว่าจะถูกหรือไม่นะ ให้เอาไปพิจารณาเอาเอง”





ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 09:03:58 am »



๐ นิวรณ์

นิวรณ์ คือธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี  พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ามี ๕ ประการ คือ

๑. กามฉันทะ ความพอใจในกาม
๒. พยาบาท ความคิดร้าย ขัดเคืองใจ
๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่และเซื่องซึม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านกระวนกระวาย กลุ้มใจร้อนใจ
๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

หลวงพ่อท่านให้ภาวนาตั้งท่าทีทัศนะต่อนิวรณ์ที่กำลังรุมเร้ารบกวนจิตใจอยู่ว่า เป็นครูบาอาจารย์หรือเครื่องทดสอบสติปัญญาของตน มากกว่าที่จะมองเห็นนิวรณ์เป็นตัวศัตรูที่น่าเกลียด อันอาจทำให้เกิดความตึงเครียดเป็น วิภวตัณหา ซึ่งเป็นเหตุให้ความไม่อยากให้นิวรณ์นั้นอยู่ในใจของตนทุกข์เพิ่มทวี อีกวิธีการหนึ่งที่หลวงพ่อสอนสำหรับแก้องค์นิวรณ์ คือคำว่า “ไม่แน่”

“เมื่อมันเกิดอะไรขึ้นมาในใจของเรานี่ มันเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา ที่เราชอบใจก็ตาม เราเห็นว่ามันผิดมันถูกก็ตามเถอะ ให้เราตัดมันไปเลยว่า อันนั้นมันไม่แน่ จะเกิดอะไรขึ้นมาก็ช่างมันเถอะ สับมันลงไป ไม่แน่ ไม่แน่ อย่างเดียว ขวานเล่มเดียวสับลงไป ไม่แน่ทั้งนั้นแหละ มันแน่ตรงที่ไหนล่ะ ถ้าเห็นว่ามันไม่แน่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ราคามันก็น้อยลง อารมณ์ทั้งหลายมันเป็นของที่ไม่มีราคาแล้ว ของที่ไม่มีราคาแล้วเราจะเอาไปทำไม

นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้พูดถึงนิวรณ์แต่ละอย่างไว้ด้วย คือ

๑. กามฉันทะ

การบรรเทาความใคร่ในกามให้เบาบางลง ต้องใช้หลายวิธีด้วยกัน เพื่อควบคุมการคึกคะนองของจิต สิ่งที่หลวงพ่อเน้นอยู่เสมอ คือการกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ความเป็นผู้มีอินทรีย์สังวร การเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค และใช้อสุภกรรมฐานเป็นอุบายเครื่องแก้

ท่านบอกว่า กามราคะจะบรรเทาลงได้ ด้วยการพิจารณาไตร่ตรองถึงความน่าเกลียดโสโครก การหลงติดอยู่ในรูปกายเป็นสุดโต่งข้างหนึ่ง ซึ่งเราต้องมองให้เห็นสิ่งตรงข้าม จงพิจารณาร่างกายเหมือนซากศพและเห็นการเปลี่ยนแปลงเปื่อยเน่า หรือพิจารณาอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ม้าม ไขมัน อุจจาระ และอื่นๆ จำอันนี้ไว้แล้วพิจารณาให้เห็นจริงถึงความน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย เมื่อมีกามเกิดขึ้น ก็ช่วยให้เอาชนะกามราคะได้ เห็นเมื่อใดก็เท่ากับมองซากศพ เห็นผู้หญิงก็ซากศพ เห็นผู้ชายก็ซากศพ ตัวเราเองก็เป็นซากศพด้วยเหมือนกัน พยายามเจริญให้มาก บำเพ็ญให้อยู่ในใจนี้มากขึ้นอีก ท่านบอกว่ามันสนุกจริงๆ ถ้าเราทำ แต่ถ้ามัวอ่านแต่ตำราอยู่มันยาก ต้องทำเอาจริงๆ ทำให้มีกรรมฐานในใจเรา

๒. พยาบาท

ต่อเรื่องนี้ มีพระลูกศิษย์ผู้มีโทสจริตรูปหนึ่ง กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า

“เมื่อผมโกรธควรจะทำอย่างไรครับ”

“ท่านต้องแผ่เมตตา ถ้าท่านมีโทสะในขณะภาวนาให้แก้ด้วยการแผ่เมตตา ถ้าใครทำไม่ดีหรือโกรธก็อย่าโกรธตอบ ถ้าท่านโกรธตอบท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา จงเป็นคนฉลาด สงสารเห็นใจเขา เพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์ จงมีเมตตาเต็มเปี่ยมเหมือนหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่าน เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เมตตาเท่านั้นที่จะเอาชนะโทสะและความเกลียดได้

บางครั้งนิวรณ์ตัวนี้เกิดขึ้นในลักษณะความไม่พอใจ หรือขัดเคืองกับการปฏิบัติของตัวเอง หลวงพ่ออธิบายว่า

“ใจวุ่นวาย ทำไมจึงวุ่นวาย เพราะมีตัณหา ไม่อยากให้คิด ไม่อยากให้มีอารมณ์ ความไม่อยากนี่แหละตัวอยาก คือวิภวตัณหา ยิ่งไม่อยากเท่าไรมันยิ่งชวนกันมา เราไม่อยากมันทำไมจึงมา ? ไม่อยากให้มันเป็นทำไมมันเป็น ? นั่นแหละเราอยากให้มันเป็นเพราะเราไม่รู้จักใจเจ้าของ (ตัวเอง)”




ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 10:26:44 am »



๓. ถีนมิทธะ

พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบการถูกถีนมิทธนิวรณ์ครอบงำจิตว่า เสมือนการถูกกักขังไว้ในเรือนจำ มืดมิดอึดอัด ไม่เป็นอิสระ นิวรณ์ตัวนี้ทำให้นักปฏิบัติจำนวนไม่น้อยต้องหนักอกหนักใจ แต่อุบายในการแก้ไขความง่วงมีอยู่มากมายหลายวิธี หลวงพ่อกล่าวว่า

“มีวิธีเอาชนะความง่วงได้หลายวิธี ถ้านั่งอยู่ในที่มืด ย้ายไปอยู่ที่สว่าง ลืมตาขึ้น ลุกไปล้างหน้า

ตบหน้าตนเอง หรือไปอาบน้ำ ถ้ายังง่วงอยู่อีก ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เดินให้มากหรือเดินถอยหลัง ความกลัวว่าจะเดินไปชนเอาอะไรเข้าจะทำให้หายง่วง ถ้ายังง่วงอยู่จงยืนนิ่งๆ ทำใจให้สดชื่น และสมมติว่าขณะนั้นสว่างเป็นกลางวัน หรือนั่งบนหน้าผาสูงหรือบ่อลึก จะไม่กล้าหลับ ถ้าทำอย่างๆ ก็ไม่หายง่วง ก็จงนอนเสีย เอนกายลงอย่างสำรวมระวัง และรู้ตัวอยู่จนกระทั่งหลับไป เมื่อรู้สึกตัวตื่นจงลุกขึ้นทันที อย่ามองดูนาฬิกาแล้วพลิกไปพลิกมา เริ่มต้นมีสติ ระลึกรู้ทันทีที่ตื่น

ถ้าง่วงนอนอยู่ทุกวัน ลองฉันอาหารน้อยลง สำรวจตัวเอง ถ้าอีก ๕ คำจะอิ่ม หยุดแล้วดื่มน้ำจนอิ่มพอดี แล้วกลับไปนั่งดูต่ออีก เฝ้าดูความง่วงและความหิว กะฉันอาหารให้อิ่มพอดี เมื่อฝึกปฏิบัติต่อไปอีก จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นและฉันน้อยลง ต้องปรับตัวเองให้ได้

๔. อุทธัจจกุกกุจจะ

หลวงพ่อบอกว่า เวลาฟุ้งซ่านให้ตามดูว่าจิตของเรามันฟุ้งไปที่ไหน

“...ถ้ามันแวบไปแวบมา ก็ว่ามันแวบไปแวบมา ถ้ามันนิ่งเฉยๆ ก็ว่านิ่งเฉยๆ จะเอาอะไรล่ะ ให้รู้เท่าทันมันทั้งสองอย่าง วันนี้มันมีความสงบก็คิดว่า มันมาให้ปัญญาเกิด แต่บางคนเห็นว่าสงบนี่ดีนะ ชอบ ดีใจ วันนี้ฉันทำสมาธิมันสงบดีเหลือเกิน แน่ะ อย่างนี้ เมื่อวันที่สองมาไม่ได้เรื่องเลย วุ่นวายทั้งนั้นแหละ แน่ะ วันนี้ไม่ดีเหลือเกิน

เรื่องดีไม่ดีมันมีราคาเท่ากัน เรื่องดีมันก็ไม่เที่ยง เรื่องไม่ดีมันก็ไม่เที่ยง จะไปหมายมั่นมันทำไม ? มันฟุ้งซ่านก็ดูมันฟุ้งซ่านไปซิ มันสงบก็ดูมันสงบซิ อย่างนี้ให้ปัญญามันเกิด มันเป็นเรื่องของมันจะเป็นอย่างนี้ เป็นอาการของจิตมันเป็นอย่างนั้น เราอย่าไปยุ่งกับมันมากซิ ลักษณะอันนั้นอย่างเราเห็นลิงตัวหนึ่งนะ มันไม่นิ่งใช่ไหม โยมก็ไม่สบายใจเพราะลิงมันไม่นิ่ง มันจะนิ่งเมื่อไร โยมจะให้มันนิ่งโยมถึงจะสบายใจ มันจะได้เรื่องของลิงนะ ลิงมันเป็นเช่นนี้ ลิงที่กรุงเทพฯ มันก็เหมือนลิงตัวนี้แหละ ลิงที่อุบลราชธานีก็เหมือนลิงที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ ลิงมันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ก็หมดปัญหาเท่านั้นแหละ เอาอย่างนี้แหละจะได้หมดปัญหาของมันไป อันนี้ลิงก็ไม่นิ่ง เราก็เป็นทุกข์อยู่เสมอ อย่างนั้นก็ตายเท่านั้นแหละ เราเป็นลิงยิ่งกว่าลิงเสียแล้วกระมัง”

๕. วิจิกิจฉา

ความลังเลสงสัย เป็นนิวรณ์ที่มักเป็นอุปสรรคสำคัญของนักปฏิบัติ ที่มีการศึกษาในระดับสูง เพราะการศึกษาทางโลกทำให้คนคิดมากขึ้น รู้จักเปรียบเทียบ วิเคราะห์วิจัย ใช้เหตุผล ซึ่งมีประโยชน์มากในชีวิตประจำวัน แต่โทษที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ผู้รู้มากมักสงสัยมาก นักปฏิบัติพวกนี้ตกเป็นเหยื่อของนิวรณ์ตัวนี้ จึงเป็นนักภาวนาจับจด ไม่เอาจริงเอาจัง หลวงพ่อเปรียบเทียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟัง คือ

“ผลไม้หนึ่งผล รสผลไม้มันหวาน เราก็รู้จัก มันหอมเราก็รู้จัก รู้จักทุกอย่าง แต่ว่ามันขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่รู้จักชื่อของผลไม้ว่าชื่ออะไร สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของจำเป็นอะไรหรอก ถ้าเรารู้จักว่าผลไม้ชื่ออะไร มันก็ไม่เพิ่มความหวานขึ้นมาอีก รสชาติก็ยังเหมือนเดิมอยู่ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงเหตุที่ควรจะรู้ก็ให้รู้ เหตุที่ไม่ควรจะรู้ก็ไม่ต้องรู้ ไม่รู้ชื่อของมันก็ไม่เป็นไร รสของมันเรารู้แล้ว...เรื่องชื่อก็ไม่จำเป็นเท่าไร ถ้ามีใครมาบอกก็รับไว้ แต่ถ้าไม่มีใครมาบอกก็อย่าเดือดร้อน




ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 10:47:41 am »


๐ หลักธรรมสำคัญในการปฏิบัติ

พระอาจารย์เที่ยงได้วิเคราะห์สรุปหัวข้อธรรมะที่ท่านเห็นว่า เป็นหัวใจของคำสอนของหลวงพ่อ มี ๒ อย่าง คือ

๑. เน้นสติ

“เรื่องแรก ท่านก็บอกให้ตั้งสตินี่แหละให้คงที่ สตินี้ให้ติดต่อ สตินี้อย่าให้หลง อย่าให้เผลอ อย่าให้ขาด ท่านถึงได้บอกว่าธรรมะของท่านไม่มีเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องสั้น เบื้องยาวอะไร ท่านบอกว่า คล้ายๆ กับว่า ลูกมะพร้าวที่ผมปั้นกลมๆ ให้เป็นลูกอย่างนี้ ท่านให้ตั้งสติ ให้ปลูกศรัทธาความเชื่อ น้อมถึงพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแม้ตัวท่านเองก็เคารพจริงๆ และสอนให้เราเคารพจริงๆ ตั้งจิตใจ มีสติ การตั้งสตินี้ ถึงแม้กราบก็ให้มีสติ ไม่ได้กราบก็ให้มีสติ ท่านบอกว่าถ้าเราเผลอไป หลงไป สติของเราก็ไม่ดี มันต้องบกพร่องอะไรอย่างหนึ่ง เมื่อจิตใจของเราไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน จิตใจไม่เยือกเย็น ไม่ปกติ มันต้องมีสิ่งหนึ่งของเราที่มันผิดหรือจะต้องขาดสติ...

...ถ้าขาดสติจะไปทำกรรมฐานอะไร จะไปนั่งสมาธิอะไร ไปทำความบริสุทธิ์อะไร มันก็ไม่เป็นหรอก ต้องเรื่องสตินั่นแหละสำคัญ ความเยือกเย็นก็เกิดอยู่ที่สติ ความสงบก็เกิดอยู่ที่สติ ความสบายภายในภายนอกก็อยู่ที่สติ ธรรมวินัย ข้อปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่สติ เราไม่มีสติจะเอาอะไรมารู้ ท่านสอนหลักความจริงของท่านอย่างนี้”

๒. ละทิฏฐิ

“เป็นพระเป็นเณร อย่าไปถือตนถือเขาถือเรา ถือชาติถือตระกูลอะไรกันไม่ได้ มันไม่เป็นศีลธรรม ปฏิบัติไม่เห็น เราต้องปล่อยทิ้งจริงๆ มุ่งละทิฏฐิมานะเท่านั้น ท่านไม่ให้มีทิฏฐิมานะ เป็นพระเป็นเณรอยู่ด้วยกัน อย่าไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกันมากนัก ถือว่าเหมือนกันคล้ายกัน อย่าไปคิดเอาผิดเอาถูกกันอย่างนั้นอย่างนี้ การพูดว่ากันมันเป็นเรื่องธรรมดา คนเราเวลาผิดก็เรื่องของความผิด ก็ทิ้งมันไป อย่าไปยึดผิดยึดถูก ถ้าเราไปยึดมันก็ไม่ถูกธรรมวินัย ถ้าเราถูกมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่นี่มันเป็นทั้งธรรมทั้งวินัยน่ะแหละ ถ้าเราไปยึดเสียแล้ว อย่าไปสอน รักษาวินัยเป็นอย่างนี้ ธรรมปัจจุบันเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นทั้งธรรมทั้งวินัยน่ะแหละ ยึดไม่เป็นธรรมก็ได้ ยึดไม่เป็นวินัยก็ได้ มันผิดทั้งนั้น

ถ้าถูกวินัยมันก็ถูกธรรม ปฏิบัติวินัยมันก็ปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ท่านพูดคล้ายๆ กับว่ามันเป็นทางที่เนื่องกันไป ธรรมกับวินัยท่านไม่แยก ก็เหมือนอย่างที่ท่านสอนให้รักษาศีลธรรมนั่นแหละ ไม่ถูกศีลมันจะเป็นธรรมได้ยังไง หลักของท่าน ท่านสอนให้เนื่องกันไป ถ้ามันถูกแล้ว เราไม่ต้องไปคิดให้มากหรอก อย่างมรรค ๘ ที่ท่านสอนว่าปัญญาชอบน่ะ สิ่งที่ถูกก็ชอบเท่านั้นแหละ มันถูกทั้งหมดน่ะแหละ ที่ท่านเขียนเอาไว้ ท่านสอนเนื่องกันไปอย่างนี้ ท่านถึงได้บอกว่าธรรมของผมนี่ไม่มีสั้นมียาวนะ มันปั้นเข้าไปกลมๆ เหมือนผลส้มโอหรือมะพร้าว”

วัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญว่า เป็นสิ่งที่จะเป็นตะแกรงร่อนคนได้ ดังนั้น แม้ท่านจะถูกการเสนอให้ได้รับการยกเว้นวัตรให้ ท่านก็ไม่ยอมรับ เพราะได้เห็นประโยชน์อันใหญ่หลวงนี้เอง วัตรปฏิบัติของท่านและลูกศิษย์จึงดำเนินไปอย่างเข้มข้นไม่มีย่อหย่อนยกเว้น ไม่ว่ากรณีใดๆ




ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 11:06:31 am »



๐ แนวทางการเผยแผ่พระศาสนา

หลวงพ่อท่านเน้นนักหนาให้พระภิกษุสามเณร ต้องอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เอาจริงเอาจัง จะหละหลวมย่อหย่อนแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ วิถีทางแห่งนักปฏิบัติไม่ใช่วิถีทางที่สะดวกสบายตามใจกิเลส พระอาจารย์เที่ยง ได้ปรารภถึงความเอาจริงเอาจังของหลวงพ่อว่า

“หลวงพ่อท่านสอนยังไงต้องทำอย่างนั้น แต่ก่อนถ้าเดินต้องเดิน ไม่เดินไม่ได้ ถ้านั่งต้องนั่ง ลุกไม่ได้ ไม่ใช่พูดเล่นนะ ท่านพูดเล่นไม่เป็น ไม่ทำไม่ได้ ถ้าท่านเห็นต้องเรียกมาด่า เณรท่านก็ด่า พระก็ด่า เรียกประชุมเลย...จะไปนั่งเล่นที่โน่นที่นี่ ผลุบเข้าผลุบออกไม่ได้ ถามทันที ไปทำไม...มีคนไปปัสสาวะเป็นชั่วโมง คราวหลังจะไปปัสสาวะมาบอกผมนะ ผมจะไปดูด้วย

เพราะฉะนั้น จะไม่กลัวก็ไม่ได้ ไม่อยากทำก็ไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ปล่อยตามเรื่องตามราว ทางเดินจงกรมไม่มีก็ไม่ได้ ลานวัดไม่กวาดก็ไม่ได้ ข้ามวันหรือ ๒ วันไม่ได้ …กระดิกตัวไม่ได้เลย เล่นเหลาะแหละไม่ได้ ถ้าสั่งเลิกประชุม ปล่อยให้ทำความเพียรภาวนาตามลำพัง เห็นพระเณรเดินไปเดินมาเอาแล้ว คุณ คุณ ออกมาเพ่นพ่านอะไรอีกล่ะ ตาไวจริงๆ ไม่ปล่อยเลย นิดเดียวก็ไม่ปล่อย ถ้าให้เดิน ไม่เดินก็ไม่ได้ ถ้าเลิกแล้ว อยู่ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเกิดเรื่อง พอเลิกต้องไปทันที แต่ถ้าไม่เลิกจะหนีไปไม่ได้ เป็นอะไรต้องบอก”

พระอาจารย์เอนกได้พูดถึงหลวงพ่อในแง่เดียวกันนี้ว่า

“...ภิกษุสามเณรจึงพากันกลัวนักกลัวหนา กลัวจะได้ฟังเทศน์กัณฑ์ใหญ่ มักพูดตักเตือนหมู่คณะเดี่ยวกันอยู่เสมอ ถ้าท่านรู้ว่าใครทำอะไรผิดขึ้นมา ท่านไม่ยอมปล่อยให้ข้ามวันข้ามคือเลย เรียกตัวมาอบรม หรือไม่ก็อบรมเป็นส่วนรวมเลย ท่านเข้มงวดกวดขันอยู่เสมอ ใครจะทำอะไรหรือมีกิจอะไรจำเป็นขนาดไหนก็ตาม ต้องไปกราบเรียนท่านเสียก่อนจึงจะทำได้ จะทำอะไรไปโดยพลการไม่ได้ ถ้าท่านรู้เป็นต้องได้ฟังเทศน์กัณฑ์ใหญ่แน่นอนทีเดียว

ใครไม่มาทำวัตรหรือมาทำวัตรไม่ทัน ช้าไป ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาทีเป็นไม่ได้เลย เวลาเดินเข้าไปในบริเวณศาลา ก็ต้องเดินเบาที่สุดจนแทบไม่มีเสียง ใครเดินเสียงดังไม่ได้ เดี๋ยวโดนดุ เพราะมันรบกวนสมาธิของบุคคลอื่นที่ท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว มันจะเป็นบาปเป็นกรรมและเสียมารยาทของนักปฏิบัติ อีกทั้งยังขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สำรวมอายตนะ เป็นเรื่องเสียหายมากสำหรับนักปฏิบัติเรา ท่านว่าอย่างนั้น...”

ลักษณะวิธีการสอนแบบตามจี้ตลอดของท่านนี้ อาจดูว่าจู้จี้เกินไป คงไม่เป็นที่น่าพอใจนักสำหรับคนที่ไม่ได้ตั้งใจเพื่อไปปฏิบัติขัดเกลาตน
แต่การสอนลักษณะเดียวกันนี้ก็คือวิธีการสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้มาแล้ว โดยพิจารณาได้จากพุทธพจน์ว่า

น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
อานนท์ เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม

ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อที่ยังเปียกยังดิบอยู่

นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด

ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

โย สาโร โส ฐสฺสติ
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช.

คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าวคำขนาบอยู่เสมอไป
ว่าคนนั้นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ละ ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น

ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
เมื่อคบหาบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย

เพราะฉะนั้น พระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจริงๆ จึงน้อมรับวิธีการของท่านด้วยความยินดียิ่ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งได้ผ่านการอบรมจากสำนักแห่งนี้ จึงมีภูมิธรรมอันสามารถในการคุ้มครองตนได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งยังแผ่ขยายสู่เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายได้อย่างถ้วนทั่ว





ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 11:28:53 am »


๐ ภาษาคน ภาษาธรรม

เป็นที่น่าแปลกใจว่า บุคคลผู้มีความรู้ทางโลกเพียงแค่ ป.๑ อย่างหลวงพ่อ ทำไม่จึงมีลูกศิษย์ลูกหาชาวต่างประเทศ ที่อุทิศตนเป็นพุทธสาวกอย่างจริงจังจำนวนมากขนาดนั้น และลูกศิษย์ชาวตะวันตกของหลวงพ่อยังได้เป็นตัวแทนที่เข้มแข็ง และมีประสิทธิภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้กว้างไกลออกไปยังต่างประเทศด้วย

เกี่ยวกับเรื่องการสอนพระชาวต่างประเทศนี้นี้ มีคนตั้งคำถามกับหลวงพ่อหลายครั้งหลายครา ทำนองว่า ท่านพูดภาษาฝรั่งไม่ได้ แล้วเขาก็พูดภาษาเราไม่ได้ แล้วท่านสอนเขาอย่างไร หลวงพ่อตอบในเชิงถามย้อนว่า

“ที่บ้านโยมมีสัตว์เลี้ยงไหม ? อย่างหมาแม่ หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาพูดกับมัน โยมต้องรู้ภาษาของมันด้วยหรือเปล่า ? ” หรือไม่ก็ตอบอย่างคมคายว่า

น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอทวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อภายนอก ถ้าเอามือจุ่มลงไปก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” เป็นต้น

เคล็ดลับในการสอนของหลวงพ่อ ก็คือท่านสอนด้วยการกระทำ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาอะไรมาก ท่านบอกว่า ถึงแม้มีลูกศิษย์เมืองนอกมาอยู่ด้วยมากๆ อย่างนี้ ก็ไม่ได้เทศน์ให้เขาฟังมากนัก พาเขาทำเอาเลย ทำดีได้ดี ถ้าทำไม่ดีก็ได้ของไม่ดี พาเขาทำดู เมื่อเขาทำจริงๆ เขาจึงได้ดีไป เขาก็เลยเชื่อ ไม่ใช่มาอ่านหนังสือเท่านั้น ทำจริงๆ จังๆ สิ่งใดไม่ดีก็ละมัน อันไหนไม่ดีก็เลิกมันเสีย มันก็เป็นความดีขึ้นมา

การสอนแบบ “พาเขาทำเอาเลย” นี้ บางทีหลวงพ่อก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า “ไม่ยากหรอก ดึงไปดึงมาเหมือนควาย เดี๋ยวมันก็เป็นเท่านั้นล่ะ” และที่หลวงพ่อนำมาใช้ผลได้เป็นอย่างดีนี้ ก็เพราะเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่หลวงพ่อท่านทำอยู่แล้วปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ถิ่นไหนชาติไหน ท่านก็สอนด้วยการพาทำเอาเลยมาแต่เดิมอยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการสอนของท่านแบบนี้จึงเป็นไปอย่างธรรมชาติและสมบูรณ์ ในตัว




ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 11:39:29 am »


๐ สตรี

เกี่ยวกับเรื่องสตรี หลวงพ่อท่านจะเข้มงวดเอากับลูกศิษย์ของท่านมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า กามราคะ เป็นมารตัวสำคัญที่ทำให้พระต้องสึกหาลาเพศ เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการประพฤติปฏิบัติ ในพระวินัยบัญญัติก็มีหลายสิกขาบทที่วางหลักไว้อย่างเข้มงวด เพื่อกำกับการติดต่อกับมาตุคาม ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะสายเกินแก้

การที่ท่านเข้มงวดกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ก็เนื่องจากว่าท่านเคยต้องผจญกับพญามารตัวนี้มาแล้วอย่างยากลำบาก อย่างที่ท่านเล่าไว้ เมื่อไปจำพรรษากับท่านอาจารย์กินรี กามราคะก็เล่นงานท่านอย่างรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งกามราคะก็เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออยู่ในอิริยาบถก็ใดก็ตาม ปรากฏว่ามีอวัยวะเพศของผู้หญิงลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรงจนแทนทำความเพียรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็น หลวงพ่อเล่าว่า ความรู้สึกต่อกามราคะในครั้งนั้นย่ำยีจิตใจรุนแรงพอๆ กับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่ไปป่าช้าครั้งแรก เดินจงกรมก็ไม่ได้ เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เข้าไปทำที่จงกรมในป่าทึบเพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืด และเวลาเดินต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะเป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นานถึง ๑๐ วัน ความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นจึงสงบและขาดหายไป

เนื่องด้วยเรื่องนี้ หลวงพ่อเห็นว่าเป็นคติธรรมที่ดี โดยเฉพาะแก่พระหนุ่มวัยฉกรรจ์ เมื่อลูกศิษย์ทำการรวบรวมชีวประวัติของท่าน ก็รู้สึกไม่แน่ใจว่าสมควรจะเผยแผ่ต่อสาธารณชนหรือไม่ แต่หลวงพ่อก็ได้กำชับว่า

“ต้องเอาลง ถ้าไม่เอาตอนนี้ในหนังสือด้วย ก็ไม่ต้องพิมพ์ประวัติเลย”

หลวงพ่อเองก็ระวังตัวมาก ใต้ถุนกุฏิท่านซึ่งใช้เป็นที่รับแขกก็โล่ง ถ้ามีแขกผู้หญิงมา ต้องมีพระหรือเณร หรือโยมผู้ชายเป็นพยานรู้เห็นสิ่งที่หลวงพ่อสนทนากับผู้หญิงนั้นด้วย และท่านก็เตือนพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า “ระวังเถอะผู้หญิง อย่าไปใกล้มัน ไม่ใช่ใกล้ไม่ใช่ไกล แค่สายตาไปผ่านพริบเท่านั้นแหละ มันเป็นพิษเลย

ท่านกล่าวอธิบายพุทธพจน์ เกี่ยวกับเรื่องที่พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าในเรื่องการติดต่อกับผู้หญิง ว่า ไม่ให้เห็นดีกว่า ถ้าเหตุจะต้องเห็นมีอยู่ ก็ไม่ต้องพูดด้วย เหตุจะต้องพูดมีอยู่จะทำยังไง ต้องมีสติให้มาก นี่คือการปฏิบัติต่อสตรีเพศ





ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 12:01:56 pm »


๐ การตอบปัญหา

การตอบปัญหาของหลวงพ่อนั้น ท่านพยายามหาคำที่เข้าใจง่ายๆ คำพูดที่ชาวบ้านเขาใช้กันรู้จักกันดีนั้นแหละเป็นสื่อ และถ้าเป็นปัญหาที่ถามเพราะสงสัยอยากรู้เฉยๆ ท่านจะตอบแบบตัดปัญหา คือจะตอบแบบสั้นๆ ไม่อธิบายให้ยืดยาว เพราะการตอบปัญหาคนพวกนี้ ถ้าอธิบายมากย่อมไม่อาจจบลงได้ง่ายๆ แต่ถ้าเป็นข้อสงสัยในเรื่องของการปฏิบัติ ท่านจึงจะพยายามอธิบายจนผู้ถามหายสงสัยเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป

เคยมีคนถามเรื่องปฏิจจสมุปบาท (คนที่ถามปัญหาแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องเป็นผู้ทรงภูมิความรู้ในด้านปริยัติอย่างมากทีเดียว) ท่านตอบว่า

“คุณเคยตกต้นไม้ไหม พอมือหลุดจากที่ มันจะไปถึงพื้น มันจะไปถึงทุกข์ วาระจิตจากนี้มาจะไม่รู้เลย อันนี้เราลืมหมดเลย ไม่มีสติในช่วงนี้ นั่นมันเร็วถึงขนาดนั้น มันไปถึงทุกข์นี้ ทุกข์มันจะเกิดได้เพราะเหตุนี้ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา...”

อีกตัวอย่างหนึ่ง คนที่นับถือพระเจ้าไม่ยอมรับคำสอนเรื่องอนัตตา ของศาสนาพุทธ เหตุผลของเขา ก็คือ “จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเล่า ถ้าไม่ใช่อัตตา” จึงมีชาวคริสต์ถามหลวงพ่อว่า “ใครรู้อนัตตา

หลวงพ่อจึงตอบกลับไปแบบปฏิปุจฉาพยากรณ์ว่า “แล้วใครรู้อัตตา

ต่อคำตอบนี้ คนถามถึงกลับนิ่งอึ้งไป เพราะไม่คาดคิดว่าจะโดนย้อมถามแบบนั้น และการย้อนถามดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงภูมิธรรมของผู้ตอบด้วย ถ้าถามต่อไปอีกก็มีแต่จะเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่

การตอบปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะต้องพูดถึงในที่นี้ ก็คือท่าทีต่ออัพยากตปัญหา หรือปัญหาอันไม่ทรงพยากรณ์ ซึ่งท่านก็วางตัวได้เหมาะเสมอย่างยิ่งกับการต้องตอบปัญหาดังกล่าว เพราะท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลย เหมือนไม่สนใจ ท่านไม่กล่าวถึง ถ้ามีคนไปถามเรื่องนี้ท่านก็จะตัดบท หรือพูดชักนำออกไปในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เสีย ตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่งมีคนไปถามท่านว่า

“เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นจริงเหาะได้หรือเปล่า”
หลวงพ่อตอบได้อย่างน่าชม โดยทำให้เรื่องเหาะเป็นเรื่องน่าขันไปเสียว่า
“เรื่องเหาะเรื่องบินนี่ไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่มันก็บินได้”


มีครูคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศ ของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งเคยอ่านพบว่าเป็นความจริงหรือไม่ ท่านตอบง่ายๆ ว่า

“ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้นๆ ที่จะตำเท้าเรานี่ดีกว่า”

หรือ เคยมีโยมถามเกี่ยวกับชาติหน้ามีจริงหรือไม่ หลวงพ่อได้ให้คำตอบไว้ค่อนข้างชัดเจนดังนี้

โยม “ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?”
หลวงพ่อ “ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?”
โยม “เชื่อครับ”
หลวงพ่อ “ถ้าเชื่อคุณก็โง่”
คำพูดดังกล่าวของหลวงพ่อเล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ


“หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร ? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

รูปแบบการสอนของหลวงพ่อ สอดคล้องสมดุลเป็นอย่างยิ่งกับข้อวัตรปฏิบัติของท่าน กล่าวคือการยึดเอาหลักความถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยเป็นหลักเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังเน้นความเป็นพระเอาไว้ว่าต้องทรงวินัยอย่างเคร่งครัด เพราะวินัยเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติในจุดที่สูงขึ้นไป และในความเป็นพระนั้นต้องประกอบเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาไว้เป็นอารมณ์เสมอด้วย





ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 12:09:54 pm »


๐ การปกครองและนิกาย

เรื่องข้องใจต่อความเป็นนิกายนี้ หลวงพ่อเคยสงสัยและก็ได้รับความกระจ่างจากหลวงปู่มั่นมาแล้ว หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่พอได้เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ที่มีพระภิกษุสามเณรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีปัญหาเรื่องนี้ให้หลวงพ่อต้องสะสาง

ครั้งหนึ่ง มีพระสายธรรมยุติมาขอจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้ถามความเห็นของที่ประชุมสงฆ์ว่า จะรับให้พระอาคันตุกะเข้าร่วมลงอุโบสถด้วยหรือไม่ ซึ่งพระส่วนมากก็ลงความเห็นว่าไม่ควร ด้วยเหตุผลว่า “ทางฝ่ายเขาก็ปฏิเสธฝ่ายเราอยู่” หลวงพ่อได้ให้เหตุผลแย้งที่ประชุมด้วยมุมมองที่เฉียบคมอย่างยิ่งว่า

“การทำอย่างนั้นมันก็ดีอยู่ แต่มันยังไม่เป็นธรรมเป็นวินัย มันยังเป็นทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ มีความถือเนื้อถือตัวมาก มันไม่สบาย เอาอย่างพระพุทธเจ้าจะได้ไหม คือเราไม่ถือธรรมยุติไม่ถือมหานิกาย แต่เราถือพระธรรมพระวินัย ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะเป็นธรรมยุติหรือมหานิกายก็ให้ลงได้ ถ้าไม่ดี ไม่มีความละอายต่อบาป ถึงเป็นธรรมยุติก็ไม่ให้ร่วม เป็นมหานิกายก็ไม่ให้ร่วม ถ้าเราเอาอย่างนี้ก็จะถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ

จากแนวคิดที่ยึดพระธรรมวินัยหรือความถูกต้องเป็นใหญ่นี้ ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่จะต้องถือเอาเป็นตัวอย่างทีเดียว และนี่ก็คือการปกครองที่เรียกกันว่าธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นระบบที่นักปกครองทั้งหลายต้องหยิบยกขึ้นมาขบคิดกัน





ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ประวัติและปฏิปทา ของ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มกราคม 31, 2011, 12:48:53 pm »


๐ ธรรมาธิปไตย

ในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟู ใครๆ ก็มักเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดและยุติธรรมที่สุด อาจจะเป็นระบบที่สามารถประสานผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ในสังคมได้ดีกว่าระบบอื่นๆ แต่สำหรับชุมชนนักบวชที่เรียกว่า สงฆ์ นั้น มีความแตกต่างจากชุมชนอื่นๆ ในสังคมมนุษย์อยู่หลายประการ ด้วยเหตุที่เป็นชุมชนอิสระ ไม่ขึ้นกับระบบและทั้งไม่ยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคม ทั้งสมาชิกของชุมชนไม่รับผลประโยชน์จากการทำงานของตน แต่เป็นอยู่ด้วยปัจจัยเฉพาะที่เกื้อกูลแก่การประพฤติปฏิบัติ ที่คนในสังคมอุทิศถวายด้วยศรัทธาเท่านั้น ฉะนั้น ในวัดหรือในชุมชนสงฆ์จึงไม่มีกลุ่มผลประโยชน์ และที่สำคัญสมาชิกทุกคนของชุมชนอยู่ด้วยความสมัครใจ ด้วยจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือการปฏิบัติเพื่อพ้นจากความทุกข์ ทุกคนเต็มใจประพฤติตามกฎระเบียบของสงฆ์ด้วยความพอใจ และมีสิทธิที่จะออกจากการเป็นสมาชิกของชุมชน (ลาสิกขา) เมื่อไรก็ได้

เมื่อโครงสร้างของสังคมสงฆ์อยู่ในลักษณะนี้ ตราบใดที่ผู้บริหารปกครองหมู่คณะตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ที่เรียกว่าปกครองโดยชอบธรรม หรือด้วยระบบธรรมาธิปไตยแล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงข้างมากเสมอไป และการที่ลูกศิษย์มาขออาศัยในอาวาสก็ได้มอบฉันทะไว้กับท่านเจ้าอาวาสด้วยศรัทธาในสติปัญญา จึงต้องยอมรับการตัดสินของท่าน เสมือนหนึ่งลูกยอมอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ฉันนั้น

อย่างไรก็ตาม พระภิกษุสามเณรทุกๆ รูป รวมทั้งเจ้าอาวาส ต้องปวารณาตัวไว้กับสงฆ์ว่า ถ้ามีการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้วยประการใดก็ตาม ทุกรูปพร้อมที่จะรับฟังคำตักเตือนว่ากล่าวอยู่เสมอ และการประชุมสงฆ์อยู่เนืองนิตย์ก็เป็นโอกาสที่พระทุกรูป จะได้ยกปัญหาที่เกิดขึ้นมาปรึกษาพระสงฆ์

สรุปได้ว่า สงฆ์ต้องเป็นใหญ่ในกิจทั้งปวง แต่ต้องไม่ใช่พวกมากลากไป กรณีตัวอย่างของระบบธรรมาธิปไตยที่ชัดเจนที่สุดคือ กรณีที่มีโยมมาขอถวายรถยนต์แก่วัด

วันหนึ่ง หลังจากประชุมสวดปาฏิโมกข์แล้ว ก็เป็นโอกาสที่ได้พูดคุยปรึกษาหารือกันตามธรรมเนียม หลวงพ่อได้เล่าเรื่องที่มีโยมมาขอถวายรถยนต์ ซึ่งท่านยังมิได้ให้คำตอบแก่เขาว่าจะรับหรือไม่ และได้ถามความเห็นที่ประชุมสงฆ์ พระสงฆ์ทุกรูปต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะรับ ด้วยเหตุผลที่ว่าจะสะดวกเวลาที่หลวงพ่อจะไปเยี่ยมสำนักสาขาต่างๆ ซึ่งมีมากมายกว่า ๔๐ สาขา อีกทั้งเวลาพระเณรอาพาธเจ็บป่วยก็จะได้นำส่งหมอได้ทันท่วงที หลวงพ่อรับฟังข้อเสนอของบรรดาสานุศิษย์อย่างสงบ ในที่สุดท่านก็ได้ให้โอวาทแก่ที่ประชุมว่า

“สำหรับผมมีความเห็นไม่เหมือนกับพวกท่าน ผมเห็นว่าเราเป็นพระ เป็นสมณะ คือผู้สงบระงับ เราต้องเป็นคนมักน้อย สันโดษ เวลาเช้าเราอุ้มบาตรออกไปเที่ยวบิณฑบาต รับอาหารจากาชาวบ้านมาเลี้ยงชีวิตเพื่อยังอัตภาพนี้ให้เป็นไป ชาวบ้านส่วนมากเขาเป็นคนยากจน เรารับอาหารมาจากเขา เรามีรถยนต์ แต่เขาไม่มี นี่ลองคิดดูซิว่า มันจะเป็นอย่างไร เราอยู่ในฐานะอย่างไร เราต้องรู้จักตัวเอง เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าไม่มีรถ เราก็อย่ามีเลยดีกว่า ถ้ามี สักวันหนึ่งก็จะมีข่าวว่ารถวัดนั้นวัดนี้คว่ำที่นั่น รถวัดนี้ไปชนคนที่นี่...อะไรวุ่นวาย เป็นภาระยุ่งยากในการรักษาเมื่อก่อนนี้จะไปไหนแต่ละทีมีแต่เดินไปทั้งนั้น ไปธุดงค์สมัยก่อนไม่ได้นั่งรถไปเหมือนทุกวันนี้ ถ้าไปธุดงค์ก็ธุดงค์กันจริงๆ ขึ้นเขาลงห้วยมีแต่เดินทั้งนั้น เดินกันจนเท้าพองทีเดียว แต่ทุกวันนี้พระเณรเขาไปธุดงค์มีแต่นั่งรถกันทั้งนั้น เขาไปเที่ยวดูบ้านนั้นเมืองนี้กัน ผมเรียกว่า ทะลุดง ไม่ใช่ ธุดงค์ เพราะดงที่ไหนมีทะลุกันไปหมด นั่งรถทะลุมันเลย ไม่มีรถก็ช่างมันเถอะ ขอแต่ให้เราประพฤติปฏิบัติให้ดีเข้าไว้ก็แล้วกัน เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใสศรัทธาเองหรอก ผมไม่รับรถยนต์ที่เขาจะเอามาถวายก็เพราะเหตุนี้ ยิ่งสบายเสียอีก ไม่ต้องเช็ดไม่ต้องล้างให้เหนื่อย ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้ อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายกันนักเลย

หลักธรรมาธิปไตย จึงไม่ยึดติดอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ยึดติดที่หัวหน้าชุมชน ไม่ยึดติดที่เสียงข้างมาก ไม่ยึดติดที่ธรรมเนียมประเพณี แต่ต้องยึดความถูกต้องดีงามเป็นหลักใหญ่ ซึ่งวัดค่าได้โดยการตรวจสอบว่าถูกต้องตรงกับหลักพระธรรมวินัยหรือไม่ ถ้าเอนเอียงหรือบิดเบือนออกนอกกรอบแห่งพระธรรมวินัย ย่อมถือได้ว่าผิดหลักธรรมาธิปไตย แม้ว่าจะตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ หรือตรงกับขนบธรรมเนียมค่านิยมของสังคมก็ตามที