...
เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งความทุกข์และความสุขมีแนวโน้มจะ "ติดต่อกันได้คล้ายโรคระบาด (infectious)" สำนักข่าว BBC กล่าวว่า 'Happiness is infectious...' ซึ่งตรงกับภาษาไทยว่า ความสุขนั้นระบาดได้คล้ายโรคติดต่อ
การศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 5,000 คนพบว่า การมีเพื่อนที่มีความสุขอยู่ในระยะทางไม่เกิน 1 ไมล์ เพิ่มโอกาสที่จะทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความสุขเพิ่มขึ้น (เฉลี่ย) 25%
...
ภาพประกอบจาก [ BBC ]
...
ศาสตราจารย์นิโคลัส คริสทาคิส และคณะ แห่งแพทย์ฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ ทำการศึกษาข้อมูลจากชาวเมืองฟรามิงแฮม สหรัฐฯ (Framingham heart study) ผลการศึกษาพบว่า
ประเภท ผลกระทบต่อการเพิ่มควมสุข (ร้อยละ)
คู่ครอง (สามี ภรรยา) 8%
ลูกพี่ลูกน้อง (siblings) 14%
เพื่อนบ้าน 34%
...
เรื่องที่น่าสนใจมากๆ คือ การอยู่ใกล้คนที่มีความสุขนี้สามารถ "ถ่ายทอด" ความสุขคล้ายๆ กับการ "ออกอากาศ (broadcast)" ความสุขจากเพื่อนไปสู่เพื่อนของเพื่อน และไปสู่เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนได้ รวมแล้วเป็นการถ่ายทอด 3 ลำดับด้วยกัน
ปัจจัยที่สำคัญมากในการ "ถ่ายทอด" ความสุขขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดทางกายภาพ นั่นคือ ระยะทางยิ่งใกล้ยิ่งมีผลมาก
...
[ Wikipedia ]
...
เมื่อเพื่อนที่มีความสุขในระยะ 1 ไมล์ หรือ 1.6 กิโลเมตรมีความสุข คนเราจะมีโอกาสมีความสุขเพิ่มขึ้น 46%
อาจารย์คริสทาคิสกล่าวว่า ผลการศึกษานี้สนับสนุนว่า ความสุขนั้น "แผ่" ออกไปจากคนๆ หนึ่งไปยังคนรอบข้างได้ โดยไม่ได้ผ่านการสื่อสารทั่วๆ ไป
...
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนกับเป็นเรื่อง "ใหม่" ในสายตาฝรั่ง (ชาวตะวันตก) ทว่า... เรื่องเมตตา การแผ่เมตตา การได้รับผลกระทบจากการเจริญเมตตา และอานิสงส์ของเมตตานั้นเป็นที่ทราบกันดีในคำสอนทางพระพุทธศาสนามานานแล้ว
ทว่า... เมื่อมีผลการศึกษาวิจัยยืนยันขึ้นมาก็มีส่วนสนับสนุนให้พวกเราควรหาทางอบรม เจริญเมตตากันให้มาก กระทำความปรารถนาดีซึ่งกันและกันให้มาก ซึ่งคนแรกที่จะได้รับผลจากเมตตาก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหนนอกจาก "ตัวเรา" และ "คนรอบข้าง"
...
[ Wikipedia ]
ภาพเมืองแมนฮัททัน สหรัฐอเมริกาจากวิกิพีเดีย
...
ถ้าคนในชุมชนใดอบรมเจริญเมตตามาก... สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข ตรงกันข้ามถ้าคนในชุมชนใดอบรมเจริญพยาบาท วิหิงสา (ความคิดที่จะเบียดเบียน ทำร้าย) คนอื่นมากๆ ยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกร้าวรานมาก สังคมก็จะเป็นสังคมแห่งความทุกข์และบีบคั้น
หันมาทำให้เมืองไทยเราเป็นสังคมที่มากไปด้วยเมตตา มากด้วยความปรารถนาดีให้ได้ แบบนี้น่าจะดีกับบ้านกับเมืองมากทีเดียว
...
วิธีฝึกเมตตาง่ายๆ เริ่มได้ด้วยการหัดมองความดีของตัวเราและคนรอบข้างให้ได้ โดยเริ่มจากการระลึกถึงการทำดีของตัวเองในใจให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
เรื่องความดีของตัวเรานั้น... ดีที่สุดคือ ระลึกในใจ ไม่จำเป็นต้องท่องหรือสาธยายการทำดีของเราออกมาดังๆ เพื่อป้องกันคนรอบข้างไม่ให้หมั่นไส้ หรือตั้งตัวเป็นศัตรู
...
[ Wikipedia ]
ส่วนความดีของคนรอบข้างนั้น... ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรกล่าวเป็นคำพูดหรือเขียนออกมา เพื่อขัดเกลาความตระหนี่คำชม (วัณณมัจฉริยะ / วัณณะ = ผิวพรรณ ในที่นี้หมายถึงคำชม; มัจฉริยะ = ตระหนี่ ขี้เหนียว) และแสดงความจริงใจออกมาอย่างหนักแน่น
ตัวอย่างการชมคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่พวกเราควรทำให้ได้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเป็นอย่างน้อยวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร เช่น อาหารจานนี้อร่อยให้ชมคนทำ บ้านสะอาดให้ชมคนทำงานบ้าน ฯลฯ
...
เมื่อฝึกมองโลกในแง่ดีแล้ว... ควรอบรมเจริญเมตตา หรือความปรารถนาดีต่อตัวเรา แล้วค่อยๆ แผ่ไปยังคนรอบข้าง คนที่เราเคารพ คนที่เรารัก คนกลางๆ จนถึงคนที่เราชิงชัง (ศัตรู) ให้ได้
คนที่จะได้รับผลหรืออานิสงส์ (อานิสงส์ = กำไร) ของเมตตาคนแรกก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน หากเป็นตัวเรา ทำให้สุขภาพของตัวเราและคนรอบข้างดีขึ้นได้มาก สังคมที่มากไปด้วยเมตตาและการให้อภัยจะเป็นสังคมที่สงบร่มเย็น และทำให้คนในสังคมมีสุขภาพดีอย่างกว้างขวางต่อไป
...
[ Wikipedia ]
...
ใครว่าความเลวแผ่ไป กระจายไปได้อย่างเดียวเห็นจะไม่จริง เพราะการทำความดีก็กระจายได้ แผ่ออกไปได้เช่นกัน
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
http://www.semsikkha.org/sem/2010-02-20-06-31-28/430-2010-09-28-02-01-10.html