ผู้เขียน หัวข้อ: พรหมจรรย์ บนเส้นทางธรรม เร้นกายมุ่งทางสงบ หลวงปู่แหวน  (อ่าน 9729 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



พรหมจรรย์ บนเส้นทางธรรม เร้นกายมุ่งทางสงบ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ.

เร้นกายมุ่งทางสงบ
นับตั้งแต่พระแหวนแน่วแน่ในการธุดงค์ ผู้ที่พบเห็นท่าน
มีไม่มาก ท่านปลีกตัวออกจากโลก หลีกเว้นจากเรื่องชื่อเสียง
ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ล้วนไม่ยินดีให้ผู้ใดรับทราบ

ไม่มีใครสามารถทราบได้หมดว่า หลวงปู่แหวนที่เราเคารพศรัทธา
ท่านท่องเดินธุดงค์ไปที่ใดบ้าง ศิษย์หลายคนเคยเรียนถามท่าน
ท่านก็ได้แต่หัวเราะในลำคอเบาๆ ตอบมาสั้นๆ ให้เข้าใจว่า...



“เฮาบ่มีอดีต เฮามีแต่ปัจจุบันและอนาคต
ชีวิตของเฮามีแต่พุทธศาสนา เฮามีแต่ป่าและวัด”




ศิษย์ หลายคนพากันบ่นว่า ท่านปิดกั้นอดีตโดยสิ้นเชิง แต่กระนั้นก็ตาม ได้มีบันทึก
ของพระเกจิอาจารย์บางท่าน ได้บันทึกเรื่องราวบางตอนที่เกี่ยวกับหลวงปู่แหวนเอาไว้
ทำให้ทราบว่า ปณิธานของท่านเด็ดเดี่ยว
แข็งแกรงประหนึ่งเหล็กกล้า พลังการควบคุมจิตใจก็หาใครเทียบได้น้อยนัก



บันทึกของหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวกการาม อ.สังขละ
จ.กาญจนบุรี
ช่วงหนึ่งบันทึกไว้ว่า ...



ด้วยความประสงค์ที่จะไปนมัสการพระเจดีย์อินทร์แขวน ซึ่งอยู่บนเขาในจังหวัดสะเทิม
ประเทศพม่า แนวเดียวกับอำเภอแม่ฮ่องสอน ลักษณะ เป็นชะง่อนผา มีหินก้อนใหญ่
ลักษณะคล้ายศีรษะฤาษี ตั้งอยู่อย่างไม่น่าจะตั้งอยู่ได้
ที่เรียกว่าพระเจดีย์อินทร์แขวน ก็เพราะชะง่อนผาและภูเขาแทบจะไม่ติดกัน

ว่า กันว่า พระอินทร์เป็นผู้สร้าง บนสุดของชะง่อนผามีพระเจดีย์องค์เล็กเหลืองอร่าม
ประดิษฐานอยู่ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้เรียกว่าพระเจดีย์อินทร์แขวน

ที่ พระเจดีย์อินทร์แขวนนี้เอง หลวงพ่ออุตตมะได้พบกับหลวงปู่แหวน แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง
เชียงใหม่ เมื่อทำความเคารพกันแล้ว ก็สนทนาด้วยภาษาพม่า
(หลวงปู่แหวนธุดงค์ระหว่างพม่าและไทยบ่อยครั้งจนพอพูดและสื่อภาษากันรู้ เรื่อง)



ถามไถ่กันว่าแต่ละท่านใช้สมถกรรมฐานแบบไหน หลวงปู่แหวนว่า ท่านใช้อานาปาณสติ
หลวงพ่ออุตตมะก็ว่าท่านก็ใช้เช่นเดียวกัน

หลวง ปู่แหวนได้ถามทางไปไหว้ศพพระกัสสปะมหาเถระ ซึ่งอยู่ในถ้ำป่าดิบมัณฑะเลย์
หลวงพ่ออุตตมะก็บอกทางให้ หลวงปู่ยังถามอีกว่า ศพนั้นเป็นศพพระกัสสปะจริงหรือ

หลวงพ่อตอบ ตอนที่ท่านบวชได้ประมาณ ๓ พรรษา ก็เคยไปดูมาครั้งหนึ่ง
ท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศพใคร

ใน บันทึกของหลวงพ่ออุตตมะยังได้บันทึกให้ทราบอีกว่า การเดินทางไปไหว้ศพ
พระกัสสปะนี้ หลวงปู่แหวนเกิดตกเหว ช่วงหัวไหล่และศีรษะไปฟาดหิน จนเส้นเอ็นที่คอเสีย
แต่ท่านไม่ยอมไปโรงพยาบาล คอจึงเอียงมาตั้งแต่บัดนั้น

ยัง มีเรื่องเล่าจากบันทึกนี้อีกว่า เมื่อหลวงพ่ออุตตมะได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย
และกำลังพัฒนาวัดวังก์วิเวกการามอยู่นั้น
ท่านได้พาคณะญาติโยมขึ้นไปกราบหลวงปูแหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง



แต่ เมื่อไปถึงประมาณบ่ายโมงเศษ หลวงปู่แหวนจำวัดปิดกุฏิเงียบ มีทั้งพระและลูกศิษย์
ลองเรียก ก็หามีคำตอบออกมาไม่ เนื่องจากเวลามีน้อย คณะญาติโยมต้องรีบเดินทางกลับ
เลยขอร้องให้หลวงพ่ออุตตมะติดต่อกับหลวงปู่ฯ ทางจิต

หลวง พ่อฯ ก็ลองดู นั่งสงบจิตถึงหลวงปู่แหวน เพียงไม่กี่อึดใจ หลวงปู่แหวนก็เปิดกุฏิออกมา
หลวงพ่ออุตตมะจึงเข้าทำความเคารพและส่งภาษาพม่าถามไถ่กัน ความว่า ...

หลวง ปู่ฯ ชมว่า หลวงพ่ออุตตมะยังไม่แก่เลย หลวงปู่ฯ สิแก่แล้ว ทั้งยังซักถามอีกว่า
 หลวงพ่ออุตตมะยังปฏิบัติเหมือนเดิมหรือไม่
ก็ได้รับคำตอบว่าเหมือนเดิม แต่ไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติเท่าใดนัก

คุยกันพักใหญ่ จึงเปิดโอกาสให้ญาติโยมที่มาเข้ากราบนมัสการ นับว่าเป็นบันทึก
ที่ไม่ค่อยจะมีใครได้ทราบกันนัก.




http //www zone-it.com
ขอบพระคุณ
ผู้รวบรวมข้อมูลนำมาแบ่งปัน : naruphol
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2013, 03:12:21 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
อนุโมทนาค่ะ พี่แป๋ม

หลวงปู่แหวนเป็นเสมือนพระประจำบ้านค่ะ
เพราะว่าตั้งแต่บัวจำความได้ พ่อกับแม่มักจะเล่าเรื่องบารมีของท่านให้ฟังเสมอๆ
บัวก็ยังรู้สึกเองว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตามากๆค่ะ ใบหน้าท่านยิมพ์ตลอดเวลาค่ะ
 :13:

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ดับลงที่ "สติ" หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2011, 12:42:53 pm »




มีพระ ถามหลวงปู่แหวนว่า "หลวงปู่ครับ การกินเจมีผลดีต่อการปฏิบัติภาวนาหรือไม่ ครับ
หลวงปู่เมตตาหันมองแล้วตอบว่า " วัว ควายมันก็กินแต่หญ้า ไม่เห็นเข้านิพพานได้สักตัว "






ดับลงที่ "สติ"
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ
รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ
ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ
ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุมมันหละ
ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ
รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ
คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ
พอใจไม่พอใจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ



ที่มา  : http://portal.in.th/i-dhamma/pages/8078/
Pics by : Google
สุขใจดอทคอม * อกาลิโกโฮม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2012, 07:27:02 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re:กลิ่นศีลของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 09, 2011, 05:04:18 pm »



พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

          พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอริยสงฆ์ ที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง จากพุทธศาสนิกชนทุกเทศทุกวัย ทั้งในและ ต่างประเทศ
แม้ หลวงปู่จะได้ลาขันธ์ไป ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ แต่ความทรงจำในกระแส เมตตา ปฎิปทาสัมมาปฎิบัติ จริยาวัตรที่งดงาม พร้อมกับธัมโมวาทอันล้ำค่า ของหลวงปู่ ก็ยังส่องสว่างอยู่กลางใจของพวกเราชาวพุทธทุกผู้ทุกนาม

          เมื่อน้อมระลึกถึงหลวงปู่ทีไร ความสุข สงบ ความโสมนัส ชื่นบาน ความสมหวัง โชคดี ความเป็นสิริมงคล จะดื่มด่ำอยู่ในจิตใจ อย่างไม่รู้อิ่มรู้คลาย ผู้ที่โชคดี มีโอกาสกราบไหว้ องค์หลวงปู่ ได้เคยฟังการปรารภธรรม แสดงธรรม  จากหลวงปู่ ต่างก็ประจักษ์ความไพเราะ นุ่มนวลละมุนละไม ประดุจเสียงทิพย์ที่ไพบูลย์ด้วยธรรมะ อันเป็นสากลสัจจะ ยังความอิ่มเอิบ เบิกบาน และเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต

          หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นผู้สืบเนื้อนาบุญอันไพศาล นับเป็นพระอริยสาวก ที่ควรแก่กราบ ไหว้บูชาอย่างแท้จริง ท่านเจ้าคุณพระวิบูลธรรมาภรณ์ แห่งวัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพๆ ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้รจนาถึงปฎิทาของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ดังนี้ :-

      " หลวงปู่แหวนท่านมีศีลที่สมบูรณ์ คือเป็นพระสงฆ์ ที่มีความปกติครบถ้วนไม่เกินหรือขาด สภาพของท่านเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กนานาชนิด ทั้งยืนต้น และล้มลุก มี ดอก ใบ ผล สมบูรณ์ ตามสภาพของพันธุ์นั้นๆ จะมีต่างอยู่ก็คือกลิ่นของดอกไม้ ในป่า หอมตามลม แต่กลิ่นศีลของหลวงปู่หวลตามลมและทวนลม และ ไม่นิยมกาลเวลา หอมอยู่เสมอ
      หลวง ปู่มีจริยาวัตร คือความประพฤติที่เรียบร้อย งดงาม เต็มพร้อมด้วยสิกขา วินัย กฎระเบียบ การปฎิบัติของท่านเรียบง่าย ถูกต้องทั้งในสมาคมสาธารณะ และในที่รโหฐาน จะเป็นที่ชุมชนใหญ่ เล็ก ท่านทำตนเป็นกลางเสมอเหมือน ความประพฤติของท่าน เสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีร่มเงามาก มีกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างให้คนเดินทางได้อาศัยร่มเงาพัก นกกาอาศัยเกาะกิ่ง มีกาฝากก็ขึ้นแซมบ้าง บางครั้งบางคราว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 10, 2011, 05:30:09 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: กลิ่นศีลของหลวงปู่แหวน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 05:47:26 pm »

      หลวงปู่ท่านมีปฎิทา คือทางดำเนินสายกลางพอเหมาะพองาม ไม่ชอบระคนด้วยกลุ่มชนมาก ชอบหลีกเร้นอยู่ในที่สงบ ชอบชีวิตธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตของท่านอยู่กับป่ามาโดยตลอด แม้ในวัยชรา หลวงปู่จะปรารภเสมอว่า ขณะนี้ป่าธรรมชาติจะหายไป แต่มีป่ามนุษย์เข้ามาเเทนที่ โดยท่านให้คติว่า ต้นไม้ในป่าต่างต้นต่างเจริญเติบโต แสวงหาอาหารเลี้ยงต้น ใบ ดอก ผลของมันเอง ไม่แก่งแย่งเบียดเบียนกัน แต่มนุษย์ก็มีทางดำเนินเลี้ยงชีวิตตรงกันข้ามกับต้นไม้ในป่า

      หลวงปู่ท่านมีเมตตาธรรมเป็นเลิศ มีสมาธิดี มีพลังจิตสูงเปี่ยมด้วยเมตตา ถ้าได้สนทนาธรรม กับท่าน สิ่งที่เป็นคำสอนอันสำคัญสำหรับชาวเราทั่วไป ก็คือ ท่านจะสอนให้หัดแผ่เมตตา ความปราถนาดี แก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร จะสอนให้แผ่ให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มากจะทำให้จิตใจ สบาย รักชีวิต ทรัพย์สินของคนอื่นเหมือนกับของตนเอง หลวงปู่ท่านสอนให้แผ่ความปราถนาดี ความสุขแก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะได้รับมากน้อยสุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น

      สรุป ได้ว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย ศีล จริยวัตร ปฎิปทา คุณธรรม แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งตามลมและทวนลม เกียรติคุณ บริสุทธิคุณ ปรากฎในชุมชน ทั่วไป
      คุณแห่งศีล และเมตตาของท่าน เป็นเสมือนมนต์ขลัง ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะ มีคนจำนวน มากเดินทางไปกราบขอศีลขอพร ขอบารมีธรรม และบางรายขอทุกอย่างที่ตนมีทุกข์ เพื่อจะให้ พ้นทุกข์
      ทำให้เกิดศรัทธาสองทาง คือ คุณธรรม และวัตถุธรรม ผู้ใดต้องการธรรมะ ก็สดับตรับฟัง ศึกษาเอา ผู้ใดต้องการของขลัง รูปเหรียญวัตถุมงคลที่ระลึก ก็แสวงหาเอา ใครผู้ใีดปราถนาหรือ ศรัทธาอย่างใดก็ปฎิบัติอย่างนั้น ซึ่งก็คงสำเร็จประโยชน์ไม่มากก็น้อย "

       ในสมัย ที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ประชาชนจากใกล้ไกล ต่างแห่แหนไปกราบ หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ ได้ปรารภถามว่า " พากันลำบากลำบนมากันทำไม "
       คำตอบจากประชาชนเหล่านั้นก็คือ " ต้องการมากราบบารมีของหลวงปู่ "
       หลวง ปู่ได้แนะนำว่า " บารมีต้องสร้างเอา เหมือนอยากให้มะม่วงของตนมีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา ไม่ใช่แห่ไปชื่นชมต้นมะม่วงของคนอื่น ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้างต้อง ทำเอาเอง "
   
(จาก หนังสือเรื่อง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓ เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
มีนาคม ๒๕๔๘ )



นำมาแบ่งปันโดย :
naruphol : http://www.zone-it.com/52641
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: เจตนาคือตัวกรรม หลวงปู่แหวน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 06:37:12 pm »



เจตนาคือตัวกรรม
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จังหวัดเชียงใหม่

คนเราบางคนเกิดมาแล้วชอบทำแต่ความชั่ว ทั้งก็เพราะเดิม เจตนากรรมบุญ เจตนามีบาป สองอย่างนี้ก็แหละตัวเจตนา เจตนาเป็นตัวกรรม กรรมชั่ว กรรมบุญ เจตนารักษาศีล คือการสำรวมระวัง รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ อาศัยความอดทน อดทนด้วยใจ ตีติกขา ความอดทนคือความ อดกลั้นต่อบาปอกุศล มันสำคัญอยู่ที่กาย วาจา ใจ อกุศลเจตนากรรมบาป อดีตอนาคตไม่ข้องเกี่ยวตัดออกหมด อดีตอนาคตเป็นธรรมเมา เอาในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน วางใจปัจจุบัน

ตั้งเจตนาให้ จริงกาย จริงวาจา จริงใจ กาย วาจา ใจ เขาเป็นปกติอยู่แล้ว ใจก็ไม่ไปที่ไหน คงตั้งอยู่เป็นปกติ ต้องเอาปัญญา ตัดอกุศลเจตนาออกจากใจ ตัดอย่าให้มันหมักอยู่ในใจ ประเดี๋ยวจะเดือดร้อน ตั้งเจตนาให้แน่วแน่ว่า เราจะทำจิตใจของเราให้เบิกบาน ให้บรรลุมรรคผลนิพพาน สัจจะ ความจริงกาย จริงวาจา จริงใจ ขันติปารมี อดกลั้น ด้วยกาย ด้วยวาจา ขันติปรมัตถปารมี อดกลั้นด้วยใจ ตีติกขา ความอดกลั้นเป็นบารมีธรรมอย่างเอก

ตัดอดีตอนาคต มุ่งเฉพาะปัจจุบันธรรม อดีต อนาคตมันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทั้งส่วนดีส่วนร้ายเนื่องมาจากตัณหาทั้งสาม คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความพอใจหรือไม่พอใจ ก็ตัณหานี้ ละออกจากจิตจากใจเสีย ก็สบาย รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ ทั้ง 5 ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา มันสำคัญก็ไม่ว่า ดีเขาก็ไม่ว่า มันสำคัญอยู่ที่เจตนา ตัวกรรมบุญ เจตนาตัวกรรมบาปเข้าไปครองจิตใจแล้วทำให้คิดไปปรุงแต่งไป เป็นรักเป็นชัง เป็นโกรธเป็นเกลียด ให้ละวางตัวนี้อย่าเอามาหมักไว้ในใจ ละอยู่ที่ใจ วางอยู่ที่ใจไม่ใช่ที่อื่น เอาใจนี้ละ เอาใจนี้วาง จึงใช้ได้ ไม่ใช่ไปจำ

เอาคำพูดในคัมภีร์มาพูดมาใช้ไม่ได้ มันต้องน้อมเข้ามาหากายหาใจของเรานี้ กำหนดการละ กำหนดการวางลงใจ กาย วาจา ใจ ของเรานี้รวมลงในไตรทวารนี้ ไม่ใช่ที่อื่น อดีต อนาคตที่ใจ นำมาก็ละเสีย หู ตา ก็อยู่เป็นปกติ อินทรีย์ 5 เขาก็ตั้งอยู่ปกติ รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ อันนั้น ต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่าน อย่าเอามา หมักไว้ในใจ ใจของเราให้ตั้งอยู่โดยปกติเวลาจะทำจิตใจทำใจของเราต้องวางหมด อย่าให้มีสิ่งไม่ดีอยู่ในใจจะเดือนร้อน ต้องนำออกให้หมด ทำใจให้ว่างให้มีความพอ อดีตอนาคตไม่ต้องเกี่ยวข้องทั้งหมด อย่าปล่อยให้ใจไปเกาะเที่ยวข้องแวะส่วนที่เป็นอดีตและอนาคต เป็นเครื่องบั่นทอนปัจจุบันธรรมให้รู้เฉพาะปัจจุบัน ละปัจจุบันให้รู้มรรค รู้ผล

"ต้องการละ ต้องหมั่นเจริญ " ต้องการ ละ ความพยาบาท หรือ ความคิดปองร้าย ต้องหมั่นเจริญเมตตา หรือ ไมตรีจิต คิดให้ผู้อื่นมีความสุข ต้องการ ละ ความคิดเบียดเบียนผู้อื่น ต้องหมั่น เจริญ กรุณา หรือ เอ็นดู คือช่วยเหลือผู้อื่นพ้นทุกข์ ต้องการ ละ ความอิจฉาริษยา ต้องหมั่น เจริญมุทิตา หรือ พลอยยินดีเมื่อผุ้อื่นได้ดี ต้องการ ละ ความขัดใจ ต้องหมั่น เจริญอุเบกขา หรือ การวางใจเป็นกลาง ต้องการ ละ ความกำหนัดยินดี ต้องหมั่น เจริญอสุภะ หรือ เห็นความไม่งามเบื้องหลังความงาม ต้องการ ละ ความถือตัวถือตน ต้องหมั่น เจริญ กฎการเปลี่ยนแปลง ให้เข้าใจ



นำมาแบ่งปันโดย : http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2273:2010-05-26-20-33-25&catid=39:2010-03-02-03-51-18
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: อาจาริโยวาทหลวงปู่แหวน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 07:01:10 pm »


อาจาริโยวาทเกี่ยวกับความตาย



โอวาทหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา
ได้ถูกไฟ 11... กอง เผาอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ

1.) ราคะ คือความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น
2.) ไฟโทสะ คือความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
3.) ไฟโมหะ ได้แก่ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพ
ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
4.) ชาติ คือไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์
5.) ชรา คือไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์

6.)  มรณะ คือไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์
7.)  โสกะ คือไฟแห่งความเศร้าโศก
8.)  ปริเทวะ คือไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน
9.)  ทุกขัง คือไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
10.) โทมนัส คือไฟแห่งความเสียใจ
11.) อุปายโส คือไฟแห่งความคับแค้นใจ


ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ต้องพากันงมงาย
เวียนว่ายตายเกิด
ได้รับทุกข์ต่างๆ.

คัดลอกโดย : สุนทร กองทรัพย์

"เอาใจนี่ละเป็นใหญ่พิจารณา
ทุกข์มันก็เกิดจากใจนี้ สมุทัยมันก็เกิดจากใจ
มรรคผลนิพพานก็เกิดจากใจนี่ละ กายนี่ละ
เป็นที่ตั้งของมรรคผลนิพพาน" หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

:http://portal.in.th/ms-pcare/pages/5878/
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2012, 11:25:31 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: "การละอารมณ์" หลวงปู่แหวน
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 08:05:20 pm »

           

"การละอารมณ์"

มรณาตัวนี้ตัวเดียว ทั้งโลกเต็มแผ่นดินนี้มีแต่มรณาทั้งนั้น เราก็คนหนึ่ง เราเกิดมาแล้ว มันต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกรูปทุกนาม มันเป็นกงจักรใหญ่ให้มนุษย์และสัตว์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกอันนี้ ในไตรโลกทั้งสามนี้แหละ ไม่พ้นไปสักที

ตัดอดีตอนาคตเป็นอันเดียวกัน อดีตอนาคตมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำดีก็ดี ทำร้ายก็ดี มุ่งอยู่ที่กามตัณหานี่แหละ ความพอใจก็ตัณหา ความไม่พอใจก็ตัณหา ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี ทั้งสามนี้ เหล่านี้ ละให้สิ้น มันเกิดขึ้นในใจ ก็นำออกจากจิตจากใจของตนเสีย

ศีลห้า อยู่ที่ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ทั้ง 5 ปล่อยให้ผ่านไปผ่านมา ดีก็ไม่ว่า ไม่ดีก็ไม่ว่า เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น

การหอบอดีตและอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด หูของเรา ตาของเรา จมูกของเรา ก็เป็นปกติอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์นนั้นต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา อย่าเอาหมักไว้ในใจ ใจของเราก็ไม่ได้ไปไหน มันก็ตั้งอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เราก็ตัดอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาออกเสีย ทำใจของเราให้สงบ มันก็ต้องวางหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งอดีตอนาคตอันใดที่ได้ยินมาพอแล้ว ได้เห็นมาพอแล้ว อยู่ทางโลกก็ดี อยู่คนเดียวก็ดี อันใดก็ดี วางอยู่ที่นี่แหละ ละอยู่ที่นี่แหละ ความหลงก็พอแล้ว โลภก็พอแล้ว โกรธก็พอแล้ว ความโศก ความเศร้า กิเลส ตัณหา ความพอใจ ความไม่พอใจ ก็ตัณหาแหละ ละมันเสีย

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: การสละออกจากใจ หลวงปู่แหวน
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 08:16:38 pm »



"การสละออกจากใจ"

จาโค ปฏินิสสัคโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย
คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง
เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ใจ ปล่อยผ่านไปเสีย
ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาทั้งหลาย ก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปทางกาย ทางวาจา ทางใจ บาปอันใดยังอยู่ละเสียให้หมด กายทุจริต วาจาทุจริต ใจทุจริต นำออกให้หมด แล้วรักษากายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริตไว้ เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้วจะเหลือแต่สุจริตธรรม ตั้งอยู่ในศีล กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็นศีล เป็นธรรม เป็นมรรค เป็นผล ตั้งขึ้นในจิตในใจ ละวางทุจริตธรรม สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้ว จิตก็เบาสบาย

อดีตที่ล่วงไปแล้ว ยังหอบเอามาหมักไว้ในใจก็เดือดร้อน ต้องเอาศีลนั่นแหละนำออกให้หมด
ธรรมปฏิบัติ เรื่องต้องน้อมเข้ามาสู่ใจ

ให้รักษาพระไตรสรณคมน์ให้แน่นหนา รักษาพระไตรสรคมน์ให้ตลอดชีวิต รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ อย่าลืมตัว เอาใจนี้แหละเป็นผู้รู้ ให้พิจารณากาย ใจนี้ให้รู้แจ้ง

หมายเหตุ: จากหนังสือ "ธรรมโอวาท 9 หลวงปู่อริยสงฆ์"



นำมาแบ่งปันโดย :
naruphol : http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=19135
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2013, 03:15:58 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ต๊ะติ้งโหน่ง

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 259
  • พลังกัลยาณมิตร 76
    • ดูรายละเอียด
 :29:

มีจุติ มีมรณา มีกรรม มีอวิชชา มีอีกหลายๆอย่างครับ