
คนที่เชื่อในเรื่องกรรม ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อ 
คนที่เชื่อเรื่องกรรมย่อมสามารถอดทน 
รับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง 
ความขมขื่น และเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้ 
เพราะถือว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต 
ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม 
ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม 
ทำดีแล้วไม่ได้ดี 
คนที่เชื่อในเรื่องกรรมจะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป 
จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่น 
และจะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ 
คนที่ประกอบกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ 
ส่วนใหญ่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม 
ไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป 
ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด 
คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ 
และความสุขสบายให้แก่ตัว 
โดยไม่คำนึงว่าทรัพย์สมบัติ 
หรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด 
และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ 
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน 
กรรมนั้นย่อมเป็นของเราโดยเฉพาะ 
และเราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 
จะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้ 
เช่น เราทำกรรมชั่วอย่างหนึ่ง 
เราจะต้องรับผลของกรรมชั่วนั้น 
จะลบล้างหรอโอนไปให้ผู้อื่นไม่ได้ 
แม้ผู้นั้นจะยินดีรับโอนกรรมชั่วของเราก็ตาม 
กรรมดีก็เช่นเดียวกัน 
ผู้ใดทำกรรมดี กรรมดีย่อมเป็นของผู้ทำโดยเฉพาะ 
จะจ้างหรือวานให้ทำแทนกันหาได้ไม่ 
เช่นเราจะเอาเงินจ้างผู้อื่นให้ประกอบกรรมดี 
แล้วขอให้โอนกรรมดีที่ผู้นั้นทำมาให้แก่เราย่อมไม่ได้ 
หากเราต้องการกรรมดีเป็นของเรา 
เราก็ต้องประกอบกรรมดีเอง 
เหมือนกับการรับประทานอาหาร 
ผู้ใดรับประทานผู้นั้นก็เป็นผู้อิ่ม 
มนุษย์เรามีภาวะความเป็นไปต่าง ๆ กัน 
เช่น ดีหรือชั่ว รวยหรือจน เจริญหรือเสื่อม 
สุขหรือทุกข์ ก็เนื่องจากกรรมของตนเองทั้งสิ้น 
และกรรมใดที่ทำลงไปจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม 
ย่อมให้ผลตอบแทนเสมอ 
และย่อมติดตามผู้ทำเสมือนเงาติดตามตน 
หรือเหมือนกับล้อเกวียนที่หมุนตามรอยเท้าโคไปฉะนั้น 
ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย 
หากเราทำกรรมดีเราก็ได้รับความสุขความเจริญ 
กรรมดีจึงเหมือนกัลยาณมิตรที่คอยให้ความอุปการะ 
และส่งเสริมให้เราประสบแต่ความสุขและความเจริญ 
แต่ถ้าเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็คอยล้างผลาญเรา 
ให้ประสบแต่ความทุกข์และความเสื่อม 
http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=77ที่มา : 
http://www.jarun.orghttp://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=334.0