ผู้เขียน หัวข้อ: 'พัน พลุแตก'จากครูแนะแนวสู่เส้นทางตลก  (อ่าน 1870 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

กำลังจะกลายเป็นนักแสดงตลกชื่อดัง ระดับแถวหน้าในเร็ววันนี้ สำหรับ “พัน-ภาณุพันธ์ ครุฑโต” เพราะล่าสุดเจ้าพ่อเกมโชว์เมืองไทยผู้ที่มีสายตาเฉียบคมอย่าง “เสี่ยตา-ปัญญา  นิรันดร์กุล” ประกาศชัดเจน! ขอดันสุดแรงเกิด โดยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “พัน พลุแตก”  ซึ่งหมายถึงความโด่งดังสว่างไสวเฉกเช่นดังพลุ ลองเสี่ยตาตั้งใจดันขนาดนี้ การันตีได้เลยว่า พัน พลุแตก จะเป็นตลกคุณภาพอีกคนหนึ่ง ที่จะเดินตามรอยรุ่นพี่ เหมือนที่เสี่ยตาปั้นมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ชะชะช่า, ส้มเช้ง สามช่า และ ตุ๊กกี้ ชิงร้อย   
   
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย “พัน” ผ่านช่วงชีวิตที่ลำบากมาแล้วมากมาย เขาต้องขายบ้านเพื่อใช้หนี้ ขณะที่รับจ้างทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินไปรักษาพ่อที่ป่วย และเพื่อส่งน้องเรียน  จากผู้ชายที่หน้าตาไม่หล่อเหลา คิดว่าเรียนจบจะเป็นครูแนะแนว ตามที่หวังไว้ แต่สุดท้ายโชคชะตาก็พาเขามาสู่เส้นทางบันเทิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากที่เคยคิดว่าขอแค่ให้ได้ทำงานเป็นพิธีกรสักรายการเดียวก็พอใจแล้ว ปัจจุบันเขามีงานเข้ามามากมาย ทั้งงานแสดงและงานพิธีกร  อาทิ รับบทเป็น “จ่าพัน” ในซิทคอมระเบิดเถิดเทิง, ชิงร้อยชิงล้านฯ, ตลก 6 ฉาก และเป็นพิธีกรช่วงรถไฟรัก ในรายการ ล้วงลับตับแตก  ทั้งหมดล้วนมาจากความสามารถของเขาล้วน ๆ ที่มีผู้ใหญ่ให้โอกาสอยู่ข้างหลัง
   
วันนี้เราก็เลยมานั่งคุยกับ “พัน พลุแตก”  พิธีกรน้องใหม่ ชีวิตก่อนเข้าวงการเป็นอย่างไร? “ผมเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวฝั่งธนฯ เมื่อก่อนพ่อเป็นครู ส่วนตัวผมเรียนจบครูมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ก็เลยเป็นครูแนะแนวอยู่ที่ รร.ศึกษานารี ไม่กี่เดือนก็ลาออก  เพราะเงินเดือนครูน้อยไม่พอใช้ แล้วผมก็เป็นพี่ชายคนโตด้วย มีภาระครอบครัวหลายอย่าง แรก ๆ ครอบครัวเราก็พอมีพอกิน แต่พอพ่อเริ่มป่วยเราก็เริ่มลำบาก เพราะพ่อไม่ได้ทำงานเป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรค สุดท้ายต้องตัดขาไปข้างนึง แม่ผมเป็นสาวโรงงานซึ่งรายได้ไม่พออยู่แล้ว”
   
พอเลิกเป็นครู แล้วไปหางานทำที่ไหน “มีคนชวนไปทำงานตามโรงงานตามร้านวิดีโอ ทำงานคาเฟ่บ้างนิดหน่อย ไปเป็นวงแบคอัพให้เขา ตีกลองบ้างยกของบ้าง แต่รายได้ก็ยังไม่พอ คราวนี้ก็มานั่งคิดว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายก็เลยเขียน จ.ม. ไปตามรายการทีวีต่าง ๆ อย่างกามเทพผิดคิวของเวิร์คพอยท์ฯ เป็นรายการแรกที่ผมเขียนจดหมายเข้ามาแล้วเขาเรียกตัวมาให้แคส ตอนนั้นอยากได้เงินมาก ปรากฏว่าแคสผ่าน แล้วก็ได้เข้าไปเล่นเป็นตัวเลือก ซึ่งผมโดนเลือกด้วยครับ จำได้ว่าเงินรางวัลไม่กี่พัน แต่ว่าได้ของเยอะมากผมต้องเหมารถกระบะมาขนของกลับเลยล่ะครับ พอได้ของมาก็เอาของไปแจกและเอาไปให้เจ้าหนี้  เพื่อใช้หนี้ที่บ้านผมไปกู้เค้ามารักษาพ่อ ตอนแรกเจ้าหนี้ก็ไม่เอา แต่ลูกกับเมียเจ้าหนี้เขาสงสารก็เลยต้องรับไว้ เลยได้ปลดหนี้ไปก้อนนึง”
   
พอมาร่วมงานกับ เวิร์คพอยท์ฯ ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยน?  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะหลังจากมาออกรายการกามเทพผิดคิว เวิร์คพอยท์ก็โทรฯ มาเรื่อย ๆ เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมก้าวเข้ามาในเวิร์คพอยท์ ด้วยทีมงานคงเห็นว่าผมพูดเก่ง สมัยเรียนผมเป็นพิธีกรหมด งานบุญผมก็เป็น เคยไปทำงานที่แดนเนรมิตก็เป็นพิธีกรเหมือนกัน จนเขาจะปิดตัว ผมก็ได้สะสมประสบการณ์พิธีกร และก็หยุดไปปีนึง จากนั้นก็มาสมัครงานที่ฝ่ายบุคคลที่เวิร์คพอยท์ฯ นี่ละครับ พอดีเขาอยากได้คนที่มีประสบการณ์ด้านการทำกิจกรรม ซึ่งมันตรงกับตัวเรา ก็เลยได้ทำงานตามที่ตั้งใจ”
   
“พอมาเป็นพนักงานประจำ ทางทีมรายการระเบิดเถิดเทิงเห็นแววว่า เราน่าจะเล่นได้เลยดึงมาเล่นในบทตำรวจ ทีนี้ก็เริ่มเป็น จ่าพัน แล้ว จนกระทั่งเริ่มทำคู่กับ พี่ธงชัย ประสงค์สันติ ในรายการสู้เพื่อแม่ คนก็เริ่มจำได้กลายมาเป็น ลุงพัน ทำได้สักพักก็ถูกดึงมาเล่นเป็นตัวละครบางตัวในชิงร้อยฯ จริง ๆ แล้วผมอยากบอกว่าในชิงร้อยฯ ผมน่าจะเป็นคนปูมุกมากกว่าไม่ได้เป็นตัวฮาขนาดแก๊งสามช่า แต่ผมคือตัวนึงที่ไปร่วมเล่นแล้วลงตัวพอดี” คิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงตลกแนวไหน? “จริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่เล่นตลกได้เข้าใจทางตลก แต่ว่าด้วยคาแรกเตอร์ผมดูเป็นคนเรียบร้อยมันเหมือนเป็นตลกหน้าหวาน แต่ด้วยมันไม่ชัดเจนเหมือนตุ๊กกี้ เหมือนพี่หม่ำที่หน้าตาคาแรกเตอร์เขาชัดเจนมาก คนดูก็จะขำกับภาพที่เห็น ส่วนตัวผมพี่ ๆ ในแก๊งสามช่าจะบอกว่าผมเป็นตลกคำพูด คือสามารถทันมุกและจังหวะดี แต่ละคำที่พูดออกมาทำให้คนดูฮาได้ แบบประมาณว่า ไอ้นี่มันคิดได้ยังไง”   
           
เคยคิดว่า ตัวเองจะมีวันนี้มั้ย?  “ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงเลยครับ คิดแค่ว่าอยากได้ทำงานประจำ ที่มีเงินเดือน  มีสวัสดิการ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้  แต่เพราะเรามีความสามารถมีความตั้งใจ มันก็เลยได้มาทางนี้  คือเขาหยิบยื่นโอกาสให้แล้วเราทำได้มันก็เป็นการสนับสนุนตัวเรา ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณเวิร์คพอยท์ฯ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำอะไรที่ท้าทาย ต้องขอขอบคุณพี่จิก พี่ตา ที่มอบโอกาสนี้ให้ผม จริง ๆ ผมแค่คนเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่ตลกโดยตรง แต่ในเมื่อผู้ใหญ่ให้โอกาส ผมก็จะพยายามทำให้สุดความสามารถครับ” ตอนนี้ฟีดแบ็กจากคนดูเป็นไงบ้าง? “หลังจากออกจอทีวีคนก็จำผมได้ หลายคนเดินเข้ามาทักทาย แต่ว่ายังเรียกชื่อกันหลากหลาย เช่น จ่าพัน, ลุงพัน รถไฟรัก แต่พอเรามีชื่อตรงนี้คนน่าจะเรียกเราไปในทางเดียวกัน เหมือนพี่ตาเขาสร้างตัวตนให้เราขึ้นมา จะใช้คำว่าปั้นก็ได้เหมือนก่อนหน้านี้เราเป็นแค่ภาพสเกตช์ แต่ตอนนี้เรามีรูปร่างแล้วเป็นสามมิติ จนตอนนี้มีตัวตนขึ้นมาเป็น พัน พลุแตก”
   
จากนี้วางอนาคตต่อไปอย่างไร? “หลังจากเป็นพัน พลุแตกแล้ว มันทำให้เราพัฒนาตัวเองนะ ให้สมกับโอกาสที่เราได้รับมา มันเหมือนเป็นการขอบคุณโอกาสที่พี่เขาตั้งใจให้เรามา เราเองก็ต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุด พี่ตาเองก็ไม่เคยหยุดคิดเหมือนเขาเป็นแบบอย่างให้เราดู เราเองก็ต้องพัฒนาทั้งการแสดงและอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อให้มันดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ ส่วนเป้าหมายของชีวิตหลังจากนี้ คงไม่พ้นรายการทีวี เพราะรายการทีวีมันเป็นตัวเรา มันเป็นทางเรามากกว่า” แก๊งสามช่าให้คำแนะนำอะไรเราบ้าง “แก๊ง 3 ช่าก็สอนเรื่องการแสดง อย่างโหน่งเองก็จะรุ่น ๆ เดียวกันมีสอนบ้างแนะนำบ้าง ส่วนพี่เท่งแกจะเป็นคนเฉย ๆ แต่จะมาแนะนำเวลาซ้อม มาสอนว่าเล่นแบบนี้ดีกว่า ส่วนใหญ่ทุกคนจะคอยบอกคอยสอนมากกว่า  ให้เราอาศัยดูการเล่นของเขา บางทีก็ไม่บอก  ให้เราเล่นไปก่อนและค่อยแนะนำว่าแบบนี้น่าจะดีกว่าประมาณนี้   ผมเองก็พยายามทำการบ้านไปซื้อซีดีตลกมาดู  อ่านหนังสือตลก ๆ เอามาดัดแปลงเองคิดเพิ่มไปเรื่อย ๆ”
   
“พัน” เคยผ่านช่วงชีวิตที่วิกฤติมาแล้ว อยากให้พูดอะไรสักนิด เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังประสบปัญหาชีวิต “แน่นอนส่วนใหญ่คนที่เจอปัญหาชีวิต มักจะท้อ..ท้อได้มั้ยท้อได้แต่ต้องไม่ถอย เราท้อเราก็หยุดพักแล้วเราก็ไปต่อ ผมเองก็พยายามนะที่ไหนมีรับพิธีกร ผมก็ไปสมัครไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมคิดว่าถ้าอันไหนมันใช่ของเรามันก็จะเป็นของเรา อย่างผมนับถือศาสนาคริสต์ผมก็จะอธิษฐานกับพระเจ้า  รู้สึกมีกำลังใจ มีที่ยึดเหนี่ยว  ผมว่าความพยายามเป็นสิ่งที่ดีกับทุกเหตุการณ์  เรื่องคิดฆ่าตัวตายผมไม่เคยคิดเลย ชีวิตมันเป็นอะไรที่คุ้มค่า กว่าพ่อแม่จะเลี้ยงดูเรามา มันมีค่ามากกว่าที่จะคิดแค่ช่วงวินาทีเดียว และที่อยากให้ทุกคนเป็นคือ การมองโลกในแง่ดี ตอนที่บ้านถูกยึดผมมองว่ามันไม่ใช่ของเรา และอีกอย่างมันเป็นแค่วัตถุ  ผมว่าเราสามารถหาได้  ผมมองว่าครอบครัวสำคัญกว่า เพราะฉะนั้นจึงต้องให้กำลังใจกันและกัน”
   
และนี่คือความเป็นตัวตนของผู้ชายสู้ชีวิต ที่ถนนสายบันเทิงกำลังอ้าแขนรับ  “พัน พลุแตก”  ในฐานะนักแสดงคุณภาพทั้งในจอและนอกจอ  เราก็ขอเป็นแรงเชียร์ให้น้องใหม่ไฟแรงเช่นเขาคนนี้.


ปรางค์ ปิ๊กมี่

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=78&contentId=120675
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...