วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม

ว่าด้วย ทางพ้นทุกข์

<< < (2/3) > >>

lek:
มีมาก อยากมาก ทุกข์มาก ไม่มี ไม่อยาก ไม่ทุกข์
 :07:
มีน้อย อยากน้อย ทุกข์น้อย
มีอยากจึงทุกข์... ทางเจอทุกข์:45:

ฐิตา:

ทางพ้นทุกข์
ย่อจาก.. พระธรรมเทศนา : หลวงปู่ชา สุภัทโท

ธรรมชาติของจิตฝึกได้เสมอ

ธรรมชาติของใจนี้มันฝึกกันได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ เปรียบได้กับต้นไม้ในป่า
ถ้าปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติของมัน เราก็จะเอามันมาสร้างบ้านไม่ได้ จะเอามาทำแผ่นกระดานก็ไม่ได้
หรือทำอะไรอย่างอื่นที่จะใช้สร้างบ้านก็ไม่ได้ แต่ถ้าช่างไม้ผ่านมาต้องการไม้ไปสร้างบ้าน

เขาก็จะมองหาต้นไม้ในป่านี้ และตัดต้นในป่านี้เอาไปใช้ประโยชน์ ไม่ช้าเขาก็สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย
การปฏิบัติภาวนาและการพัฒนาจิตก็คล้ายกันอย่างนี้ ก็ต้องเอาใจที่ยังไม่ได้ฝึก

เหมือนไม้ในป่านี่แหละ มาฝึกมัน จนมันละเอียดประณีตขึ้น รู้ขึ้น และว่องไวขึ้น
ทุกอย่างมันเป็นไปตามภาวะธรรมชาติของมัน เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ
เราก็เปลี่ยนมันได้ ทิ้งมันก็ได้ ปล่อยมันไปก็ได้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป

จิตยึดมั่นมันก็สับสนวุ่นวาย

ธรรมชาติของใจเรามันก็อย่างนั้น เมื่อใดที่เกาะเกี่ยวผูกพันยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดความวุ่นวายสับสน
เดี๋ยวมันก็จะวิ่งวุ่นไปโน่นไปนี่ พอมันวุ่นวายสับสนมากๆเข้า เราก็คิดว่าคงจะฝึกอบรมมันไม่ได้แล้ว
แล้วก็เป็นทุกข์ นี่ก็เพราะไม่เข้าใจว่ามันต้องเป็นของมันอย่างนั้นเอง ความคิด ความรู้สึก มันจะวิ่งไปวิ่งมา
อยู่อย่างนี้ แม้เราจะพยายามฝึกปฏิบัติ พยายามให้มันสงบ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เมื่อเราติดตามพิจารณาดูธรรมชาติของใจอยู่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆเข้าใจ
ว่าธรรมชาติของใจมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต

พระองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน
อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ ดังนั้นนักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง
เอาจริงเอาจังให้ใจมันผ่องใสขึ้น สว่างขึ้น ให้มันเป็นใจอิสระ ทำความดีอะไรแล้วก็ปล่อยมันไป
อย่าไปยึดไว้ หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี้และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรืออนาคต
คำสอนที่เข้าใจผิดกันมาก แล้วก็ถกเถียงกันมากที่สุด ตามความคิดเห็นของตน

ก็คือเรื่อง "การปล่อยวาง" หรือ "การทำงานด้วยจิตว่าง" นี่แหละ การพูดอย่างนี้
เรียกว่าพูด "ภาษาธรรม" เมื่อเอามาคิดเป็นภาษาโลกมันก็เลยยุ่ง
แล้วก็ตีความหมายว่าอย่างนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบละซิ
ความจริงมันมีความหมายอย่างนี้ อุปมาเหมือนว่าเราแบกก้อนหินหนัก
อยู่ก้อนหนึ่ง แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันก็ได้ แต่แบกอยู่อย่างนั้นแหละ
พอมีใครบอกว่า ให้โยนมันทิ้งเสียซี ก็มาคิดอีกแหละว่า "เอ...ถ้าเราโยนทิ้งไปแล้ว
เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ" ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง

ฐิตา:

ประโยชน์ของการปล่อยวาง

ถ้าจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งเถอะ แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้ เราก็ยัง
ไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มที จนแบกไม่ไหวแล้วก็เลยปล่อยมันตกลง

ตอนที่ปล่อยให้มันตกลงนี้แหละก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย
เราจะรู้สึกเบาสบาย แล้วก็รู้ได้ด้วยตนเองว่า การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด
แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้นเราไม่รู้หรอก ว่าการปล่อยวางมีประโยชน์เพียงใด

ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกให้ปล่อยวาง คนที่ยังมืดอยู่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ก็จะหลับหูหลับตา
แบกก้อนหินก้อนนั้นยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมันหนักจนเหลือที่จะทนนั่นแหละ
ถึงจะยอมปล่อยแล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยตนเอง ว่ามันเบามันสบายแค่ไหนที่ปล่อยมันไปได้
ต่อมาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได้ แต่ตอนนี้เราพอรู้แล้วว่า ผลของการแบกนั้น
เป็นอย่างไร เราก็ปล่อยมันได้โดยง่ายขึ้น ความเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของการแบกหาม
และความเบาสบายของการปล่อยวางนี่แหละ คือตัวอย่างที่แสดงถึงการรู้จักตัวเอง

ถ้ายึดมั่นเข้าเราก็ถูกกัด

เรื่องของใจมันเป็นอย่างนี้ บางทีก็คิดดี บางทีก็คิดชั่ว ใจมันหลอกลวง เป็นมายา จงอย่าไว้ใจมัน
แต่จงมองเข้าไปที่ใจ มองให้เห็นความเป็นอยู่อย่างนั้นของมัน ยอมรับมันทั้งนั้น ทั้งใจดีใจชั่ว
เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือมัน มันก็เป็นของมันอยู่แค่นั้น
แต่ถ้าเราไปยึดมันเข้า เราก็จะถูกมันกัดเอา แล้วเราก็เป็นทุกข์ ถ้าใจเราเป็นสัมมาทิฎฐิแล้ว
ก็จะมีแต่ความสงบ จะเป็นสมาธิ จะมีความฉลาด ไม่ว่าจะนั่งหรือจะนอน ก็จะมีแต่ความสงบ
ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไรก็จะมีแต่ความสงบ

ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา

วิธีปฏิบัติธรรมมีมากมายเป็นล้านๆวิธี พูดเรื่องการภาวนาไม่มีที่จบ สิ่งที่จะทำให้เกิดความสงสัย
มีมากมายหลายอย่าง แต่ให้กวาดมันออกไปเรื่อยๆ แล้วจะไม่เหลือความสงสัย
เมื่อเรามีความเข้าใจถูกต้องเช่นนี้ ไม่ว่าจะนั่งหรือจะเดิน ก็มีแต่ความสงบ ความสบาย ไม่ว่าจะ
ปฏิบัติภาวนาที่ไหน ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อย่าถือว่าจะปฏิบัติภาวนาแต่เฉพาะขณะนั่งหรือ
เดินเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทุกหนทุกแห่งเป็นการปฏิบัติได้ทั้งนั้น

ฝึกใจได้ใจจักปราศจากกิเลส

ถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างนี้ ท่านก็จะเหมือนกับบ้านว่าง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือใจว่าง
เป็นใจที่ว่างและอิสระจากกิเลส ความชั่วทั้งหลาย เราเรียกว่าใจว่าง
แต่ไม่ใช่ว่างเหมือนว่าไม่มีอะไร มันว่างจากกิเลส แต่เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา
~ ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา จะมีแต่ปัญญาเท่านั้น ~



ถ้าท่านทั้งหลายกลัวต่อความทุกข์ ถ้าความทุกข์ไม่เป็นที่รักของท่านทั้งหลายไซร้
ท่านทั้งหลายอย่าได้ทำบาปกรรม ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับเลย
ถ้าท่านทั้งหลายจักทำหรือทำอยู่ซึ่งบาปกรรมไซร้
ท่านทั้งหลายแม้จะเหาะหนีไป ก็ย่อมไม่พ้นไปจากความทุกข์เลย

กุมารกสูตร พุทธอุทาน

ฐิตา:


ทางพ้นทุกข์
จากพระธรรมเทศนา : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้วเป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฎชัดแก่เราได้...?

เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาเฉพาะตัวของเราก็อยากจะพ้นจากทุกข์อย่างเดียว ดิ้นรนกระเสือกกระสน
หาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ มันพ้นไม่ได้หรอก คนเราเกิดขึ้นมาทุกคนใครจะพ้นจากทุกข์
ในโลกอันนี้ไม่มี ถึงพระพุทธเจ้าเองหรือสาวกทั้งปวงก็เหมือนกัน วิบากขันธ์ยังอยู่ตราบใด
ไม่พ้นทุกข์ตราบนั้น ที่ท่านพ้นจากทุกข์เพราะท่านรู้เรื่องรู้เหตุของทุกข์นั้นต่างหาก
แต่ถึงขนาดนั้นกองทุกข์ก็ยังมีอยู่ร่ำไป ทุกข์เพราะขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้านี้ยังมีอยู่ตราบใดแล้ว
ก็ไม่พ้นจากทุกข์ตราบนั้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายล้วนเป็นแต่กองทุกข์

ท่านพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะปัญญาของท่านเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดรู้เท่าของเรื่องขันธ์ห้า
ขันธ์ห้าเป็นของติดตามอยู่ตราบใดแล้ว กองทุกข์ก็ยังไม่พ้นอยู่ตราบนั้น ท่านพิจารณาเห็นเหตุ
แห่งกองทุกข์เกิดจากขันธ์ห้า ทุกข์ทั้งหลายหมดในโลกนี้ ถ้ามีขันธ์ห้าตราบใดแล้ว มันต้องทุกข์
อยู่ตราบนั้น เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาสามัญ ต้องการพ้นจากทุกข์ คือต้องการผล ไม่ต้องการเหตุ

เหตุให้เกิดทุกข์คือความทะเยอทะยานดิ้นรนได้แก่ตัณหาอย่างทุกวันนี้แหละ ขอให้คิดดูว่า
ความหนาวเกิดจากอะไร ความหนาวที่สัมผัสถูกต้องร่างกาย ความเยือกเย็นกระทบกระเทือนร่างกาย
เป็นเหตุให้เราเดือดร้อนทนทุกข์ทรมานอยู่เดี๋ยวนี้ ใครจะพ้นจากทุกข์ได้ ความอยู่ไม่สุขสบายนั้น
เรียกว่าทุกข์ ความทุกข์นั้นทุกคนก็พากันดิ้นรนอยากจะพ้นจากทุกข์ เช่นหาผ้าห่มมานุ่งมาห่ม
หาเครื่องอบอุ่นมาบำรุงบำเรอเพื่อให้พ้นจากทุกข์ มันพ้นที่ไหนเล่า ผ้าไม่ใช่มันเกิดเอง ไม่ใช่ของ
ทิพย์ มันต้องหาเงินหาทองมาซื้อ คนที่มีเงินมีทองซื้อก็เข้าใจว่าได้ง่ายสบาย

คนไม่มีเงินไม่มีทอง หาเงินกว่าจะได้ก็ลำบากตรากตรำพอแรงแล้ว ขณะที่หาเงินนั้นฝ่าอุปสรรค
ขัดข้องหลายอย่างหลายประการ ซื้อมาแล้วมานุ่งมาห่มปกป้องความเย็นความร้อน
แล้วความเย็นความหนาวอันนั้นมันหายไปไหนเล่า มันก็ยังอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ว่าพออบอุ่น
ไปได้ชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีใครหายได้สักคนเดียว หาผ้ามาเท่าไรก็หามาเถอะ
อาตมาเคยถูกหนาวมาแล้วห่มผ้า ๔-๕ ผืนก็ห่มไปเถิดไม่อุ่นหรอก ต้องนอนผิงไฟ นอนผิงไฟ
ก็ยังไม่อุ่นอยู่นั่นแหละ อันที่ว่าป้องกันความเย็นความหนาวนั้นป้องกันไม่ได้หรอก

หากไม่หมดฤดูกาลของมันๆ ก็ยังหนาวเย็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่คราวนี้พอหนาวหมดฤดูกาล
ของมันแล้วก็ไปหาร้อน ความร้อนนั้นทำยังไงๆ มันก็ไม่หายอีกเหมือนกัน อาบน้ำก็แล้วพัดลมก็แล้ว
ตากอากาศก็แล้ว มันก็ยังร้อนอยู่นั่นแหละ หาเครื่องทำให้มันเย็นเอาพัดลมมาเป่ามันก็ยังร้อน
อยู่อย่างนั้นร่ำไป ที่พูดนี้ว่าแต่ เย็นกับร้อนเป็นทุกข์ คราวนี้ อย่างแก่ อย่างเจ็บ อย่างป่วยอาพาธ
ด้วยประการต่างๆ ก็เป็นทุกข์อีก ถ้ามีเงินมีทองก็ค่อยยังชั่วหน่อย พอแก้ไขบำบัดให้บรรเทาไป

ไม่ใช่หายนะ บรรเทานะชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ ในชั่วชีวิตนี้จะเจ็บป่วยอยู่อย่างนั้นนับไม่ถ้วน
หายไปแล้วเจ็บมาอีก หายอย่างนี้ก็ไปเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด
หมดเงินเปลืองทองไปมากมาย ความเจ็บป่วยนี้เรียกว่าเป็นบางครั้งบางคราว ความเฒ่าทำยังไงๆ
ก็ไม่หาย แม้แต่หมอเองก็แก่ก็เฒ่า หมอเองก็แก่ชรา ความแก่ความเฒ่าความชำรุดทรุดโทรม

ไม่มีใครทำให้หายได้สักคนเดียว ผลที่สุดคือความตาย ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ต่างแต่ว่าตายก่อน
หรือตายหลัง นี่คือความทุกข์อีกเหมือนกัน ทุกข์เพราะหิวกระหายประจำวัน
วันหนึ่งๆ นั้น รับประทานตั้ง ๒-๓ มื้อ หิวกระหายอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา พอหายจากรับประทานใน
วันหนึ่งๆ ในมื้อหนึ่งๆ เข้าใจว่าอิ่มหนำสำราญอยู่เป็นสุข คิดดูว่ากว่าจะได้รับประทานวันหนึ่งมิใช่ของง่ายๆ

เพราะมิใช่ของเกิดเองเป็นเองต้องหาเงินหาทองมาซื้อมาแลกเปลี่ยนถึงจะได้รับประทาน
ทุกข์นี้เราไม่ค่อยจะคิดถึงยิ่งเป็นแม่ครัวด้วยแล้วโอ้โฮยบางทีทำอาหารมากๆ จนเหนื่อยไม่อยาก
รับประทานด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุจำเป็นมันต้องทำ นี้ก็เป็นทุกข์อันหนึ่งเหมือนกัน

ฐิตา:

อธิบายเรื่องทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เรานอนมากก็เป็นทุกข์ ยืนมากก็เป็นทุกข์
เรานอนเข้าใจว่าได้ความสุขสบาย แท้ที่จริงบำบัดทุกข์เท่านั้นแหละ บำบัดนั้นหมายความว่า
ให้มันหายไปชั่วคราวในเมื่อนอนครั้งแรก บางทีนอนหลับๆ มันก็พลิกตัวไปเพราะเหตุที่มันเหน็ดเหนื่อย
ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้นั้น คนเราต้องการอยากจะพ้นจากทุกข์ฝ่ายเดียวไม่เหมือนพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมากมายถึงแม้ในปัจฉิมชาติ เมื่อเป็นสิทธัตถะราชกุมารก็อุตส่าห์
บำเพ็ญเพื่อความพ้นจากทุกข์ ทำทุกรกริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา กว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้ถึงเหตุของมัน

พอพระองค์รู้เรื่องเหตุของทุกข์คือความทะเยอทะยานอยาก ก็เลยเอามาประกาศแก่พุทธบริษัท
ความทะเยอทะยานอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ยิ่งทะเยอทะยานเท่าไหร่ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
เปรียบเหมือนกับเชือกรัดขาหมู ธรรมดาเขาผูกหมูต้องเอาเชือกผูกขา หมูมันก็ดิ้นรนใหญ่เชือกก็รัด
จนหนังขาด เนื้อขาด เอ็นขาด จนกระทั่งถึงกระดูกนั่นแหละเพราะความดิ้นรน
ตัวไหนถ้ามันไม่ดิ้นรนเลยคือนอนสบายเสียมันก็ไม่เจ็บขา แต่เขาผูกหมูไว้เพื่ออะไร
ผูกไว้เพื่อฆ่ากิน คือนอนท่าความตายนั่นเอง

คนเราถ้าดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งรัดเข้ายิ่งเดือดร้อนมากเข้า ถ้าไม่ดิ้นรนแล้วคราวนี้นอนท่าความตาย
ก็ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ไม่มีอะไรเป็นสรณะคอยแต่วันตายเท่านั้น
พระพุทธองค์เมื่อครั้งยังเป็นพระสิทธัตถะราชกุมาร พระองค์ดิ้นรนจนกระทั่งรอดตาย พระองค์ทรง
บำเพ็ญทุกรกริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา
จนคนทั้งหลายเข้าใจว่าพระองค์ตายแล้ว จึงประสบหนทางพ้นจากทุกข์

ซึ่งได้แก่การพิจารณาเห็นเหตุ คือตัวสมุทัย เรื่องความทุกข์ต่างๆ พระองค์ไม่แก้หรอก
พระองค์แก้เหตุของทุกข์ ต่างหาก ที่จริงพระองค์สอนพวกเรา
แต่สอนเท่าไรพวกเราก็ไม่เข้าใจ สอนพวกเราให้เห็นทุกข์และเหตุของทุกข์ เราก็อยาก
พ้นจากทุกข์อย่างเดียว ไม่เข้าถึงเรื่องเหตุของมัน จึงต้องทนทุกข์เวทนาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
ทุกๆ คนขอให้พากันพิจารณาถึงเรื่องทุกข์ คนใดถ้าไม่เอาทุกข์มาเป็นอารมณ์ไม่มีทาง
ที่จะพ้นจากทุกข์ได้คนเราถ้าหากไม่เห็นทุกข์ด้วยตนเองแล้วมันจะเห็นทางพ้นจากทุกข์
ได้ที่ไหน ไม่ว่าคนในชาติศาสนาใดๆ คนมีวิชาอาคมหรือคนฉลาดเฉลียวต่างๆ
จะเป็นชาติไหนๆ ก็เอาเถอะหรือศาสนาใดๆก็เอาเถอะ

ธรรมแท้คือทุกข์ ถ้าตกลงถึงทุกข์ที่สุดต้องได้ประสบการพ้นจากทุกข์
คือทุกข์แค้นแสนสาหัสก็ยอมเสียสละเพื่อทุกข์นั้น ยอมสละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ความยอมสละ
จึงกลายเป็นความสุข คนเรากลัวตายจึงไม่พ้นจากทุกข์
ถ้าไม่กลัวตายยอมสละเสีย แล้วต่อสู้มันจนถึงที่สุด เห็นความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญย่อมประสบสุข
เหมือนกับคนสู้เสือ ธรรมดาเห็นเสือทีแรกต้องกลัว เมื่อเข้าเผชิญหน้าจริงๆ จังๆ ไม่กลัวแล้ว
คราวนี้ไม่มีอะไรกำปั้นก็สู้กับเสือ ในผลที่สุด ต้องได้รับผลประโยชน์ในการต่อสู้อันนั้น ความทุกข์
ทรมานใครๆ ก็ไม่อยากเห็นมัน แต่ไม่ยอมเสียสละก็เลยไม่ได้พบความสุข

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version