ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ครึ่งทางของการเดินทางของอารยธรรม  (อ่าน 1411 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



คำว่าอารยธรรมในที่นี้หมายถึงวิถีชีวิต ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในทุกที่ว่างในสมองของมนุษย์ส่วนมากทั่วทั้งโลก คือใหญ่กว่าวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชนที่แยกย่อยลงมา ซึ่งหมายถึงวิถีชีวิตหรือจิตของมนุษย์โดยรวมเหมือนกัน ผิดกันที่ขนาดหรือสเกล (scale) หรือท้องถิ่นภูมิภาค หรือชุมชนเท่านั้น หากเรามองเช่นนี้และมองย้อนกลับไปในอดีต โบราณคดีวิทยาศาสตร์  (archeology) กับประวัติศาสตร์ที่ยอมรับกันจะบอกเราว่ามนุษย์ที่มีรูปกายเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบันในด้านมนุษยชีววิทยา และมียีนพันธุกรรมอย่างเดียวกัน คือ ผสมพันธุ์กันได้ มนุษย์เราจริงๆ - ตั้งแต่มีมนุษย์โฮโมซาเปียนส์ ซาเปียนส์คนแรกได้อุบัติขึ้นมาในโลกก็เป็นเวลาประมาณ 150,000 ปี - นักมานุษยวิทยา นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวยุโรปหรือฝรั่งตะวันตก (ที่มองแต่เผ่าพันธุ์ของฝรั่งตะวันตก) มักคิดว่าตนสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์โครมายอน  (Cromagon) ที่ฝรั่งเศส เมื่อประมาณ 35,000 ปีมาแล้ว โดยการไล่ล่าสัตว์และการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชเป็นอาหารเป็นครั้งแรก (hunter-gatherer) ซึ่งในตอนนั้นนักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่าคือเวลาที่มนุษยชาติมีวิวัฒนาการทางจิตผ่านพ้นความเป็นสัตว์เป็นครั้งแรก มีจิตรู้ (conscious) จากการสะท้อน (reflection)  ประสบการณ์เป็นครั้งแรก เพราะมีเวลาที่จะคิด คิดที่จะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์ เพราะมนุษย์ไม่มีขน เรามาตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานจริงๆ มีอารยธรรมเกษตรขั้นพื้นฐาน  (agrarian period) จริงๆ เช่น ที่ชะทัลยูฮุค หรือที่ยาโม ฯลฯ ก็ประมาณ 12,000 ปีแล้ว ก่อนจะพัฒนามาเป็นระบบเกษตรเต็มขั้นและการทดน้ำมาใช้ (เขื่อน) (agriculture period) มนุษย์เราพยายามที่จะแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติเรื่อยๆ มา จริงๆ แล้วเราเพิ่งมองว่าคนเป็นศัตรูกันและมีกองทัพเพื่อรุกรานกัน  และมีการแย่งดินแดนและประชาชนกันก็เมื่อกษัตริย์ทุสมอสที่ 2 แห่งเปอร์เซีย เมื่อ 6,000 ปีมานี้เอง  เป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้ายของมนุษย์ ทั้งๆ ที่โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนได้มีวิวัฒนาการล่วงพ้นความเป็นสัตว์แล้ว นั่นเป็นความหมายของอารยธรรมและวัฒนธรรมของสังคมในบทความนี้

เพราะฉะนั้น แม้จักรวาลของเราจักรวาลนี้จะเกิดมาถึง 13.7 พันล้านปี แต่โลกเราก็จะมีอายุเพียง  4.6 พันล้านปี คือมีอายุเพียง 1 ใน 3 ของอายุจักรวาล และโลกแม้จะมีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ 3.6 พันล้านปีก่อน  ก็อยู่เฉยๆ เพราะไม่มีออกซิเจนในอากาศ เพิ่งมีวิวัฒนาการจริงๆ ก็ย่างเข้า 1 ใน 3 ของอายุของโลก นั่นเท่าๆ กับอายุของผู้หญิงหรือแม่ที่มีประจำเดือนและพร้อมจะมีลูกเมื่อเทียบกับอายุเฉลี่ยของแม่หรือผู้หญิงตอนแก่ตาย นักควอนตัมฟิสิกส์ถึงได้พบหลักการที่บอกว่าจักรวาลนี้มีขึ้นมาเพื่อโลกจะได้มีมนุษย์จริงๆ (cosmological anthropic principle) ซึ่งเป็นที่เชื่อถือของนักฟิสิกส์ใหม่ส่วนใหญ่ เพราะอย่างนี้ผู้เขียนถึงได้ไม่เชื่อเรื่องโลกแตก โลกไม่แตกหรอก แต่ผู้เขียนเชื่อจริงๆ ว่าประชากรของโลกจะหายไปทันทีถึง 80% ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวและช่วยประคับประคองโลกอย่างใดหรือไม่ เพราะมันคือกรรมร่วมโดยรวมของมนุษย์ - ภายใน 2-3 ปีนี้ หรืออย่างดีก็ภายใน 2020 เราจะพบว่าอายุหรือเวลาส่วนใหญ่ของโลกเป็นเวลาของการวิวัฒนาการของวัตถุ (lithosphere) โลกนี้ช่างเป็นโลกแห่งรูปกายวัตถุจริงๆ โดยเฉพาะในตอนแรกๆ

จริงอยู่ว่าวิวัฒนาการของโลก และในที่นี้ของมนุษย์และสังคมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องทางกายและทางจิตด้วยกัน แต่ว่าความรู้ที่ได้มาจากทางตะวันตก เราจะพูดกันหรือวิจัยกันเฉพาะของกายเป็นหลัก  เช่น วิวัฒนาการของการเจริญเติบโตของเด็กของฌ็อง เปียเจต์ หรือวัฒนธรรมขึ้น-ลงของสังคมโลกของพิตเแรม โซโรกิน เพิ่งมาในระยะหลังๆ นี้เท่านั้นที่มีการพูดถึงจิตกันบ้าง แต่ผู้เขียนเชื่อว่าวิวัฒนาการของจิตคือจุดตั้งต้นและเป็นจุดสุดท้าย ตามที่จอร์จ วอลด์ ว่า “มันอยู่ของมันมาตั้งแต่ต้น” และก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาบอกเรา ฉะนั้นอะไรๆ ทั่วทั้งจักรวาลนี้เลยจึงตั้งต้นที่จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่คาร์ล ซี จุง ว่า  ซึ่งผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าเป็นสมองที่เปลี่ยนจิตไร้สำนึกนั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้ (conscious  cognition)

อารยธรรม (และวัฒนธรรม) ของมนุษย์เกิดมีขึ้นมาเพราะจิตสำนึกที่ว่านั้น แต่นั่น-เป็นจิตร่วมโดยรวมที่สร้างสรรค์ขึ้น พฤติกรรมของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพราะจิตสำนึกหรือจิตรู้ทั้งสิ้น โดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่ประการเดียว และเมื่อไล่เรียงต่อไปแล้วต่างก็ได้มาด้วยจิตไร้สำนึกของจักรวาลของคาร์ล จุง ทั้งสิ้น จึงไม่รู้ว่าโลกเราได้หลักการวัตถุนิยม เนื้อเยื่อนิยม และพฤติกรรมนิยมมาจากไหน?       

จริงๆ แล้วเราเดินมาเกินครึ่งทางเล็กน้อย คือเรามีวิวัฒนาการทางกายที่ผู้เขียนได้พูดมาตลอดว่าแทบจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วมาตั้งแต่เรามีโฮโม ซาเปียนส์ อุบัติขึ้นมาบนโลกแล้ว เค็น วิลเบอร์ บอกว่า มีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มเดินตัวตรง (โฮโมอีเรคตัส) หัวชี้ฟ้าและมองฟ้าได้เกือบ 360 ดีกรี (แต่แปลก? ที่ผู้เขียนคิดถึงความพิเศษที่ประเสริฐสุดๆ ของมนุษย์ที่ตรงนี้ เหมือนพ่อหมอเสม พริ้มพวงแก้ว เปี๊ยบ) แต่สำหรับวิวัฒนาการทางจิตนั้น ผู้เขียนและนักวิจัยบางคนคิดว่าเป็นมาแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่งก่อนที่เราจะมีวิวัฒนาการทางจิตถึงปัจจุบันที่ระดับตัวตนและเหตุผล (self-rational or self-egoic rational) การเดินทางที่โจเซฟ แคมพ์เบลป์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งที่ไม่มีใครไม่รู้จักบอกว่า เป็นการเดินทางของวีรบุรุษ ซึ่งก็คือการเดินทางทางจิต (ที่ควบคุมพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวง) ของเรา หรือมนุษย์ทุกๆ คนในโลก...ย้ำ...ของมนุษย์ทุกๆ คนที่จะต้องประสบโดยไม่มีการยกเว้น เพราะเป็นเส้นทางของวิวัฒนาการทางจิตไปตามธรรมชาติของสเปกตรัม คือเป็นการมีจิตสำนึกหรือตัวรู้ (ผ่านการบริหารที่สมอง) นั่นคือการเรียนรู้ไปตามกรรมของการเกิดมาของมนุษย์ในภพภูมินี้หรือของโลกนี้ นั่นคือทุกข์ที่พระพุทธองค์บอก และเรา จะต้องเรียนรู้ ความสุขที่เรามีชั่วขณะ ซึ่งฝรั่งตะวันตกบอก และเราในประเทศกำลังพัฒนา เช่นประเทศไทยเชื่อมั่นว่าเป็นความสุขที่แท้จริงนั้น ซึ่งฝรั่งเองก็ไม่รู้ แต่ผู้เขียนคิดว่ารู้และมันเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และเกี่ยวข้องกับที่เราเรียกว่าสติปัญญาความฉลาด  (intelligence) ความทุกข์และความสุขที่แท้จริงนั้น โดยเฉพาะความสุขเกี่ยวข้องกันตรงนั้น เพราะว่าความทุกข์นั้นทางพุทธศาสนาได้กล่าวรายละเอียดไว้แล้ว จงอย่ามองเรื่องของ “ทุกขา” ว่าเป็นการมองชีวิตทางด้านลบ (annihilate) แต่จงมองในด้านกลางๆ หรือเป็นธรรมชาติว่าเพราะชีวิตทั้งชีวิตและตลอดชีวิต นอกจากมีความสุขเพียงประเดี๋ยวประด๋าวและจำต้องหาความสุขอื่นๆ อยู่เรื่อยไปไม่เคยพอ ส่วนเวลาที่เหลือนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ยกเว้นเวลาหลับ ทุกข์ของการจำพราก ทุกข์ของการอิจฉาตาร้อน ทุกข์ของการสิ้นหวังไม่ได้ในสิ่งที่ตนพอใจ หรือไม่อาจกำจัดสิ่งหรือคนที่ตนไม่พอใจได้ ฯลฯ  ส่วนความสุขที่ว่าเกี่ยวกับการเรียนรู้และเกี่ยวกับสติปัญญาความฉลาด (intelligence) นั้น ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของกายและของจิตเช่นความทุกข์เหมือนกัน แต่ทางพุทธศาสนาไม่ได้มีการกล่าวโดยเฉพาะไว้ (ที่ในพุทธศาสนาพูดเฉพาะ “ทุกขา” ส่วนความสุขก็เป็น bliss ไม่ใช่ happiness)  ความสุขที่ฝรั่งตะวันตกพูดถึงคือคำหลัง ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นวิวัฒนาการทางกาย หรือทางวิญญาณขันธ์  อันเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่ผ่านการบริหารจากสมองของจิตไร้สำนึกของจักรวาล (ตรงนี้เราจำต้องไม่ลืมว่าความรู้ของฝรั่งตะวันตกที่เราทุกคนเรียนนั้น ตะวันตกจะพูดถึงอวัยวะที่เป็นประสาทสัมผัส  (sense organs) ว่ามีอยู่ 5 อย่างเท่านั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ส่วนทางเราหรือตะวันออกจะรวมจิตใจหรือใจ หรือวิญญาณขันธ์ที่เป็นภายใน แต่เป็นเรื่องของการรู้หรือตัวรู้ อันเป็นสติอย่างหยาบไว้ด้วย  (conscious mind or secondary awareness) จิตสำนึกรู้จึงอาจจะจัดให้เป็นกายก็ได้หากมองจากความรู้ทางตะวันออก เราชาวโลกในปัจจุบันกำลังอยู่หลังครึ่งทางวิวัฒนาการทางจิตไปแล้วเล็กน้อยดังที่กล่าวแล้วข้างบน และตามที่ได้บอกมาแล้วข้างบนเช่นเดียวกันว่าในปัจจุบันนี้มนุษย์เรา ส่วนใหญ่จะมีวิวัฒนาการทางจิตอยู่ที่ระดับของตัวตนและเหตุผล (self-rational or self - egoic rational) เราในปัจจุบันจึงเคารพเหตุผลมาตั้งแต่ยุคแห่งเหตุผลเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน จนกระทั่งวันนี้และเดี๋ยวนี้ แต่เรากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) นั่นคือ เราชาวโลกกำลังจะมีกระบวนทัศน์ใหม่ พาราไดม์ใหม่ - ดูวัด ดูจิต จิตตปัญญาศึกษา จิตอาสา ฯลฯ แต่ผู้เขียนเชื่อในรายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ (Noetic Science Institute 2007 Report on Evidence of World Transformation) ที่กล่าวว่า  คาตาลิสต์หรือตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น แรงที่สุดและเป็นสาเหตุที่เข้มข้นที่สุดสำหรับมนุษย์คือความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด และเป็นเช่นนั้นเองประกอบกับเราได้พัฒนาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีและการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปเกือบทั่วทั้งโลกแล้วในปัจจุบันนี้ เราจึงได้ติดลบแก่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวงถึงกว่า 25%  อย่าลืมว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี กับเทคโนโลยีนิยมวัตถุหรือหลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่ม (materialism) นั้นเป็นคอหอยลูกกระเดือกให้กับการอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการตลาดเสรีอย่างที่แยกออกจากกันไม่ได้ และสิ่งเหล่านี้เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญของผู้เขียนที่มองปี 2012-2013 และปี 2020 เป็นปีที่ประชากรโลกถึง  80% จะหายไปในทันทีทันใด พร้อมๆ กับมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองของผู้ที่เหลือรอด (สู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) อย่างแรกเพราะการสลับขั้วแม่เหล็กโลกและการย้ายขั้วโลกเหนือไป 30 ดีกรี ตรงตามที่เผ่ามายาและลัทธิพระเวทบอก อย่างหลังเพราะโลกร้อน (ยูเอ็นและอังกฤษ-อเมริกัน) หรือยุคน้ำแข็ง (รัสเซีย) ไมต้องห่วงว่าจะรบพุ่งกัน แม้แต่ที่ปลายสุดด้ามขวานเองก็ยุติ

การเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษยชาติสู่พาราไดม์ใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่นี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตสำนึกใหม่หรือตัวรู้ใหม่ตามสเปกตรัมของจิต หรือสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) นั้นดังได้บอกมาแล้ว เป็นสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลาย โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ระดับโลกทั้งมวล รวมทั้งคนไทยที่ไปวัดหรือเข้าคอร์สจิตปัญญาศึกษา คือการแสวงหาความหลุดพ้น (enlightenment) ผู้เขียนคิดว่าการมองอย่าง  Duain Elgin (The living universe 2010) อาจจะไม่ถูกทีเดียว เพราะผู้เขียนเชื่อในพุทธศาสนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนที่เป็นวัฏจักร (วงกลม) หรือคล้ายๆ กับอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีผนังกั้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติที่อยู่ในระดับตัวตนและเหตุผลอย่างในปัจจุบัน แต่หากจะเป็นผนังที่เป็นพลวัต (Dynamicity) เคลื่อนไหวเป็นวงกลมไล่ต่อไป เส้นทางของการเรียนรู้ของมนุษยชาติผ่านสติปัญญาความฉลาด วิวัฒนาการของมนุษยชาติทั้งหมดตั้งแต่ต้นมาจนถึงระดับตัวตนและเหตุผลเป็นการผิดครรลองของธรรมชาติ ซึ่งเป็นการแยกจากธรรมชาติที่เป็นวิวัฒนาการทางจิตมนุษยชาติ ระดับจิตวิญญาณต่างหากเป็นระดับที่มนุษยชาติแสวงหา เรามาถึงวิวัฒนาการทางจิตได้ครึ่งทางแล้วที่ตัวตนและเหตุผล ต่อไปนี้เรากำลังจะเข้าไปสู่สภาวะจิตวิญญาณ การเข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณนั้นมันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่สังคม เพราะทุกคนเคารพเหตุผลว่าสังคมสำคัญที่สุด ใหญ่ที่สุด ประเทศชาติมีความยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นเราจึงเคารพเหตุผล แต่สภาวะจิตวิญญาณหรือการวิวัฒนาการสู่ระดับต่อไปตามสเปกตรัมนั้นไม่ได้เป็นการแยกจากธรรมชาติ หากแต่เป็นการร่วมกับธรรมชาติ (Reunion).

http://www.thaipost.net/sunday/200211/34627

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...