หลวงตามหาบัว เตือนให้ฆ่ากิเลสความรู้ของผู้อยู่ใต้อำนาจของกิเลส จะรู้ขนาดไหน กิเลสต้องครอบงำอยู่นั่นแล
หลวง ตามหาบัวเตือนศิษยานุศิษย์อยู่เนืองๆ ให้ระวังกิเลสเข้าครอบงำ ธรรมเทศนาของท่านเป็นธรรมะจริงแท้ จากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยข้อธรรมอันเป็นคติเตือนใจ และหลักธรรมที่ชี้ทางให้พุทธศาสนิกชนดำเนินชีวิตในทางสว่าง ทำให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์เดินทางสู่วัดป่าบ้านตาดไม่ขาดสาย
คลื่น ศรัทธาส่วนหนึ่ง เพื่อร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2554 ส่วนคลื่นศรัทธาอีกไม่น้อยต้องการกราบนมัสการสังขารของหลวงตาอีกครั้ง ก่อนจากกันตลอดกาล
ผู้เยือนวัดป่าบ้านตาดนอกจากชาวบ้านแล้ว ยังมีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่เข้าไปร่วมงานจากวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และญาติธรรมสายอื่นๆจากทั่วประเทศ
บรรยากาศ ในวัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เต็มไปด้วยการเตรียมความพร้อม ทั้งสถานที่รองรับผู้คน ลาน จอดรถ และเตรียมเมรุพระราชทานเพลิงศพ
รายรอบเมรุชั่วคราวของหลวงตา ประดับดอกบัวทั้งสิ้น 6 สายพันธุ์ ชี้ชวนให้พุทธศาสนิกชนได้ตระหนักนึกในสมณกิจของท่าน ที่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอมา หลวงตามหาบัวเสมือนหนึ่งแว่นส่องให้เห็นธรรมะแห่งพระพุทธองค์ ตลอดชีพครองสมณเพศ ท่านเทศนาโปรดญาติโยมด้วยคำพูดง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้าน แม้ท่านจะจบเปรียญธรรมถึง 3 ประโยคก็ตาม
"ความรู้ระดับมหา 3 ประโยคนี้ ก็เพียงพอแล้ว กับการจะออกปฏิบัติกรรมฐาน วิชาความรู้ขนาดเป็นมหาแล้ว ย่อมไม่จนตรอกจนมุมง่าย"
หลวงตามหาบัวประกาศปณิธานอันแรงกล้า เมื่อพระเถระผู้ใหญ่
ต้องการให้ท่านเรียนต่อไปอีก สืบมาแม้ท่านจะไม่ได้ศึกษาเปรียญธรรม แต่ท่านศึกษาธรรมทั้งจากพุทธพจน์และจากชีวิตจริงจนแตกฉาน ทำให้
เมื่อแสดงธรรมเทศนาคราใด พุทธศาสนิกชนจักเกิดความเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วกัน
ลีลา การเทศน์ของหลวงตา พระเถระผู้หนึ่งถึงกับเอ่ยปากชมว่า "ข้อยพูดตามความจริงนะบัว เจ้าเทศน์ แหม มันถึงใจข้อยเหลือเกิน ว่าไม่อึ๊ ไม่อ๊ะ ไหลไปเลย...การตอบปัญหาเจ้าก็เป็นที่หนึ่ง มันถึงใจข้อยเหลือเกินนะบัว"
เพราะว่า "ตอบเร็วที่สุด ปั๊บเลย ใส่ปั๊บๆ"
นอกจาก เป็นพระนักเทศน์แล้ว หลวงตามหาบัวยังเป็นพระนักฆ่ากิเลส เห็นได้จากทั้งข้อวัตรปฏิบัติประจำวัน พระธรรมเทศนา และคำสอนศิษยานุศิษย์ของท่านในโอกาสต่างๆ
พื้นฐานการฆ่ากิเลส ท่านเริ่มจากการปฏิบัติตนง่ายๆโดยเริ่มที่ใจ เมื่อใจรู้จักกิเลส รู้ทันกิเลส ใจก็จะเห็นความเป็นจริงของชีวิต และเห็นธรรม
เกราะป้องกันกิเลสที่ดีที่สุด เราต้อง "ประดับที่หัวใจด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ประดับเข้าๆ ชำระสิ่งสกปรกโสมมออกไปๆ น้ำอรรถน้ำธรรมที่สะอาดชะล้างเข้าไปๆนั่น ท่านชำระภายในให้สะอาด ภายใน ท่านไม่ได้มาสะอาดกับสิ่งภายนอกอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ"
เรื่องของธรรมแล้ว ต้องสะอาดทั้งภายนอกและภายใน
ท่าน ยังเปรียบเทียบให้เห็นว่า บางคนทำหน้าที่การงานเรียบร้อย ดีงาม นั่นเป็นสะอาดภายนอก แต่พุทธศาสนิกชนควรสะอาดภายในด้วย นั่นคือสะอาดใจ ภาวะอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องยาก เพราะต้องบำเพ็ญเพียรให้เกิดความสงบเย็น จากนั้นจะค่อยๆกระจ่างขึ้นมาโดยลำดับ
"ทีนี้ เมื่อภายในมีหลัก มีเกณฑ์ มีความสง่างามแล้ว อยู่ที่ไหนก็สง่างามหมด อดบ้างอิ่มบ้างก็ไม่เป็นทุกข์ ท่านไม่เป็นกังวล ใครจะอดอยากขาดแคลนยิ่งกว่ากรรมฐานผู้มุ่งต่อต่างๆ จากปัจจัย 4 คือที่อยู่
ที่อะไร คือท่านไม่สนใจ ท่านไม่เอา เพราะไม่ใช่ทาง เพียงอาศัยไปวันหนึ่งๆเท่านั้นพอ"
การ พิจารณาของหลวงตา เพื่อให้พ้นไปจากรูปอันเป็นมายา ท่านใช้พิจารณาเรียกว่าอสุภะ พิจารณาจน "มองเห็นรูป มันทะลุไปเลย เป็นเนื้อเป็นกระดูกไปหมดในร่างกายนั่น ไม่เป็นหญิงสาวสวยหญิงงาม คนสวยคนงามเลย เพราะอำนาจของอสุภะมีกำลังแรง เห็นเป็นกองกระดูกไปหมด มันจะเอาอะไรไปกำหนัดยินดีเล่า ในเวลาจิตเป็นเช่นนั้น"
แล้วยัง "หาอุบายใหม่ว่า ราคะนี้มันสิ้นไปจนไม่มีอะไรเหลือนั้น มันสิ้นในขณะใดด้วยอุบายใด"
มอง มายังชาวบ้านทั่วไป หลวงตาท่านบอกว่า "พวกเรายังมัวเมาเกาหมัดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลืมหูลืมตา รื่นเริงบันเทิงกับมูตรกับคูถตลอดเวลา มันน่าสังเวชไหม"
น่าสังเวช หรือไม่ สถานอบายมุขที่ผุดพรายเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ ชานเมือง และจังหวัดต่างๆ น่าจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี เรื่องนี้หลวงตาเตือนว่า "เวลานี้ ยังโอ่อ่าฟู่ฟ่าอยู่นะ เป็นบ้ากับยศกับลาภกับสรรเสริญเยินยอ ให้เขานับหน้าถือตา อวดมั่งอวดมีอวดดีอวดเด่น อ๊วด...ไปอย่างไม่มีลมๆแล้งๆ หาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้"
เหล่านี้คือ "กิเลสหลอกคนให้เป็นบ้า"
พลางเปรียบเปรยว่า คนเรามักไม่มองธรรมะเป็นของจริง กิเลสเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับฝูงหนอนที่อยู่ในห้องน้ำ แค่เราลืมตาที่เห็นธรรมดูเท่านั้น เราก็จะเห็นความเป็นจริงของชีวิต แต่เป็นเรื่องแปลกที่คนเรามักไม่มองกัน
แม้ธรรมเป็นของวิเศษ กิเลสเป็นของสกปรก "แต่โลกไม่อยากมองดู มันมองดูแต่ส้วมแต่ถานตลอดเวลา ไม่ว่าเขาว่าเรานะ อย่าไปตำหนิ
ใครนะ หมายถึงหัวใจแต่ละดวงๆ มีแต่ไฟ ทนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา
ถ้า กิริยาท่าทางออกมาแสดงประดับร้านว่าสวยว่างามว่าโอ่อ่าฟู่ฟ่า มีบ้านมีเรือนมีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย มีบริษัทบริวารมาก นี่เอามาโอ่อ่าฟู่ฟ่าประดับร้าน แต่ภายในหัวใจเป็นไฟด้วยกันหมด"
ถ้าไม่เชื่อ "ก็ลองเอาธรรมไปจับดูสิ"
หลวง ตาชี้ไปที่คนของประชาชนด้วยว่า เพราะไม่ยอมเผากิเลส ทำให้ภาษีของประชาชนถูกคดโกงไป "เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาจากประชาราษฎร์ทั้งนั้น เป็นภาษีอากรเข้ามา เพื่ออุดหนุนประเทศชาติ บ้านเมืองให้มีความแน่นหนามั่นคง กลับมาเป็นเปรตเป็นผี ให้เปรตให้ ผีไปกินเสียหมด มันก็ใช้ไม่ได้"
แม้ พวกกินภาษีของประชาชนจะเป็นคนเลวร้าย แต่หลวงตาก็มีเมตตา เปิดทางให้คนได้ทำความดี เพราะ "สัตว์โลกนี่มีผิดมีพลาดด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อให้อภัยกันแล้ว อยู่ด้วยกันได้ ถ้าต่างคนต่างเบ่งกันนั้นล่ะ ถ้าเป็นหมาก็กัดกันได้เร็วนะ แม้จิตใจจะลุกเป็นไฟมาก็ตาม เมื่อน้ำดับไฟคือการขอโทษซึ่งกันและกันแล้วก็ให้อภัยกันได้อย่างง่ายดาย"
ท้ายที่สุด สำหรับพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ท่านฝากไว้ว่าให้เข้าใจคำว่า โลกุตรธรรม
"โลกุตรธรรมคือ ธรรมเหนือโลก เป็นความรู้เหนือโลกนี้ต่างหาก ที่จะทำโลกให้ร่มเย็น ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกกิเลสครอบหัว"
หลวงตามหาบัว ท่านได้ฆ่ากิเลสจากตัวท่านเรียบร้อยแล้ว แม้กาลเวลาได้พรากสังขารของท่านจากพุทธศาสนิกชนไป
แต่ธรรมของท่านนั้น ท้าทายให้ศึกษาสืบไป.
http://www.thairath.co.th/today/view/153148