ผู้เขียน หัวข้อ: อริยสงฆ์แห่งวัดป่าบ้านตาด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  (อ่าน 4779 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
บำเพ็ญเพียรปฏิบัติจนกลายเป็นอริยสงฆ์

ชีวประวัติกำเนิด “นายบัว โลหิตดี”

   
หากย้อนเวลาถอยหลังกลับไปเกือบ 100 ปี ครอบครัว “โลหิตดี” นำโดยนายทองดี และนางแพง สองสามีภรรยา พากันโยกย้ายถิ่นฐานจากดินแดนลุ่มน้ำชี เมืองมหาสารคาม มาตั้งหลักปักฐานอยู่ ยังหมู่บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สมัยก่อนยังเป็นป่ารกชัฏเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ แต่สองผัวเมียก็หนักเอาเบาสู้ขยันขันแข็งทั้งทำนา เก็บหาของป่าขาย จนมีฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ จัดได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินของหมู่บ้านก็ว่าได้
   
...ปีฉลู ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 9 ครอบครัว “โลหิตดี” ได้ลูกชายคนที่ 2 มาเชยชม  นางแพง ดูเป็นกังวลเป็นพิเศษสำหรับลูกที่อยู่ในท้อง ไม่ใช่ความกังวลเหมือนคนท้องแรก แต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของลูกน้อย บ่อยครั้งที่ลูกไม่ยอมดิ้นเหมือนลูกคนอื่น แต่ครั้นดิ้นคราใดก็แรงเสียจนแม่เจ็บระบมไปทั้งท้อง วันอังคารที่  12 สิงหาคม พ.ศ.2456 ทารกน้อยเพศชาย รูปร่างหน้าตาน่ารักน่าชังได้ถือกำเนิดขึ้น มารดาตั้งชื่ออันเป็นมงคลให้กับทายาทคนที่สองว่า “บัว”
   
ตาของเด็กน้อยทำนายอนาคตหลานที่ตอนคลอดออกมามีสายรกพันเฉียงพาดลำตัวว่า ไม่แน่สายรกอาจเปรียบเสมือน สายบาตร  โตขึ้นจะเป็นนักปราชญ์ผู้เหยียบแผ่นดินสะเทือน, หรือไม่อาจเป็นตัวแทนของ สายกำยำ (ถุงใส่ดินปืน) ของนายพรานชำนาญไพร, หากเลวร้ายกว่านั้นอาจเป็น สายโซ่ โจรที่ติดคุกตะรางแตก ด้วยความกังวลเหล่านี้ทำให้ผู้เป็นตาพยายามสอนหลานคนนี้อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษแบบไม่คลาดสายตาตั้งแต่เล็กจนโต
   
เด็กชายบัว เป็นคนใจบุญสุนทานแตกต่างจากเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบตื่นเช้าใส่บาตรอยู่ประจำ เรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาที่ 3 ซึ่งถือเป็นภาคบังคับชั้นสูงสุดในสมัยนั้น พอเริ่มก้าวสู่วัยหนุ่มกระทงก็ช่วยพ่อแม่ทำนาอย่างขยันขันแข็ง เพราะครอบครัวโลหิตดีถือเป็นครอบครัวใหญ่มีลูกถึง 16 คน ครั้นอายุครบบวช พ่อพยายามเอ่ยรบเร้าในวงข้าวถามว่า พร้อมจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ได้เมื่อไร แต่บุตรชายกลับนิ่งเฉย พร้อมเปรยออกมาทำนองว่าตัวเองมีคนรักแล้วยังไม่อยากบวช ถ้อยคำพูดไม่กี่คำถึงกับทำให้พ่อน้ำตาร่วง
 


“หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน”
...ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้ !!

   
เรื่องที่ทำให้ผู้บังเกิดเกล้าน้ำตาร่วง หนุ่มบัวถึงกับต้องครุ่นคิดหนักทบทวนตัวเอง
   
สุดท้ายตัดสินใจทดแทนบุญคุณ โกนหัวก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อวันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ณ วัดโยธานิมิตร จ.อุดรธานี ได้รับฉายาว่า “ญาณสัมปันโน” แปลว่า “ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้” โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ด้วยแรกเริ่มต้องการบวชเพียงระยะสั้น ๆ แต่หลังจากได้มีโอกาสเรียนรู้แนวทางวิปัสสนาจากเจ้าอาวาสวัดที่บวชอยู่ทำให้เริ่มสนใจหลักธรรมอย่างจริงจัง โดยแรกคิดอยากไปสวรรค์ คิดจะไปพรหมโลก พอวิปัสสนามาก ๆ เข้าก็อยากไปนิพพาน อยากเป็นพระอรหันต์อย่างเดียวแน่แท้ จิตจึงมุ่งตรงไปทางนั้น
   
คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นในใจหลวงตาบัวเพื่อรอวันหาคำตอบ  ถึงกับตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า “เมื่อจบเปรียญ 3 ประโยคแล้ว จะออกปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลัง” จนเมื่อเรียนจบเปรียญ 3 ประโยคในปีที่ท่านบวชได้เพียง 7 พรรษาเท่านั้นเอง ก็ย้ายมาเรียนต่อที่วัดสุทธจินดาในเมืองโคราช แวะเวียนหาเวลาว่างไปฟังเทศน์จาก พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นแรกของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ก่อนจะเข้ากรุงเทพฯ มาศึกษาพระธรรมต่อที่วัดบรมนิวาส และช่วยดูแลคณะตามมอบหมาย ก่อนจะเดินทางต่อไปศึกษาปริยัติที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ 
 


กราบปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์
“หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต”

   
ดูเหมือนการมาที่วัดเจดีย์หลวง เป็นโอกาสดีที่หลวงตามหาบัว ได้มีโอกาสพบเจอ หลวงปู่มั่น เพราะเป็นจังหวะที่ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ได้อาราธนาหลวงปู่มั่นมาจำวัดแห่งนี้พอดี  มีการเล่าขานกันว่าตอนนั้นหลวงตามหาบัวทำได้แต่เพียงแอบมองหลวงปู่มั่นจากรอยแยกไม้ฝากุฏิ ด้วยความชื่นชมอริยสงฆ์ผู้น่านับถือ ไม่นานหลวงปู่มั่นได้เดินทางไปจำวัดที่อื่น ทำให้ความคิดการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาบัวต้องพับเก็บไว้ก่อน หลังจากนั้นหลวงตาบัวสอบได้มหาเปรียญ ภาษาบาลี 100 คะแนนเต็ม พร้อมได้นักธรรมตรี–โท–เอก
   
แต่ด้วยมุ่งหมายจะฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่มั่น ก็ต้องรอนแรมเดินทางจากโคราชออกไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามป่าเขาอย่างจริงจัง โดยตั้งจิตมุ่งมั่นจะพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ จากนั้น ปีพ.ศ.2485 เดินทางไปยัง จ.อุดรธานี เพื่อตามหาหลวงปู่มั่น แต่กลับคลาดกันเมื่อหลวงปู่ไปกิจนิมนต์ที่ จ.สกลนคร ทำให้หลวงตาบัวต้องพักจำวัดอยู่สามเดือน ก่อนติดตามไปยัง จ.สกลนคร เพื่อขอกราบเป็นลูกศิษย์ตามเป้าหมายที่วางไว้ พอไปถึงก็มืดค่ำ ศิษย์ที่คิดจะฝากตัวเดินไปในความมืดจนเจอศาลาเล็ก ๆ ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านจึงเดินเข้าไปจนเจอพระอาจารย์มั่นกำลังเดินจงกรม
 

   
แม้ได้ฝากตัวเป็นศิษย์สมใจหมาย แต่คำถามเกี่ยวกับ “นิพพาน” ยังคงวนอยู่ในหัวสมอง จนต้องถามหาคำตอบกับพระอาจารย์มั่น ผู้เป็นอาจารย์ช่วยไขปริศนาธรรม โดยตอบว่า “ท่านมหามรรคผลนิพพานอยู่ที่ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นอากาศ แร่ธาตุต่าง ๆ เป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส ...มรรคผลจริง ๆ อยู่ที่หัวใจ ขอให้ท่านกำหนดจิตจดจ่อด้วยสติที่หัวใจ ท่านจะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรมทั้งกิเลสอยู่ในใจ แล้วขณะเดียวกันท่านจะเห็นมรรคผลนิพพานไปตามลำดับ”
   
หลักธรรมที่พระอาจารย์ไขความข้องใจ ส่งผลให้การบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมของหลวงตามหาบัวเริ่มแน่วแน่มากขึ้น ถึงระยะแรกจะทดท้อบ้าง แต่มีความมุ่งมั่น จนย่างเข้าสู่พรรษาที่ 2 จึงออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่าง ๆ  แต่เมื่อทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่นล้มป่วยอย่างหนักที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร หลวงตามหาบัวจึงกลับมาดูแลปรนนิบัติรับใช้อาจารย์อย่างใกล้ชิด เมื่อยามว่างจากการดูแลก็ยังฝึกเดินจงกรมไม่ขาด จนราวตี  2 เศษของวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.  2492 หลวงปู่มั่นจึงได้ละสังขารอย่างสงบ ที่วัดป่าสุทธาวาส สิริรวมอายุได้ 80 ปี
   
ภายหลังต้องสูญเสียพระอาจารย์ที่เคารพบูชา หลวงตามหาบัวจึงได้ออกธุดงค์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา มีโอกาสไปจำวัดหลายแห่ง ทั้งใน จ.สกลนคร มุกดาหาร จนถึง จ.จันทบุรี กระทั่งปี พ.ศ.2498 ได้หวนกลับคืนมาตุภูมิ จ.อุดรธานี เพื่อมาปรนนิบัติโยมมารดาที่ล้มป่วยด้วยโรคชรา ชาวบ้านซึ่งเลื่อมใสศรัทธาจึงร่วมใจบริจาคที่ดินประมาณ 163 ไร่ ให้สร้างวัดป่าบ้านตาด เพื่อให้หลวงตามหาบัว ได้ใช้ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.  2499 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน วัดป่าบ้านตาดขยายใหญ่มากขึ้น มีอาณาบริเวณประมาณ 300 ไร่ มีประชาชนจากทั่วประเทศมาปฏิบัติธรรม ในปี พ.ศ.  2542 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวิสุทธิมงคล ท่านจำวัดอยู่วัดป่าบ้านตาดจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตจึงได้ละสังขารไปอย่างสงบ เมื่อเวลา 03.53 น. วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 สิริอายุรวม 97 ปี 5 เดือน 18 วัน (77 พรรษา)
   
....การเติบใหญ่ของผู้คนไม่ต่างจากต้นไม้โน้มเอนหาแสงแดดเพื่อสังเคราะห์เลี้ยงตน แต่กว่าจะโอนเอนให้สมดังหมายต้องผ่านการชนะใจตนเองก่อน เหมือนกับปริศนาธรรมของหลวงตามหาบัว ที่ได้ค้นพบหลักธรรมนำทางบำเพ็ญเพียร !!.
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่าง

“โครงการผ้าป่าช่วยชาติ”
บรรลุเป้าหมายมอบทองคำ 12,087.50 กิโลกรัม
เงินดอลลาร์ 10,803,600 ดอลลาร์สหรัฐ

   
หากถอยหลังกลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ราวในปีพ.ศ. 2540 หลวงตามหาบัว เคยมีอาการอาพาธอย่างรุนแรงด้วยโรคท้อง  อาการเช่นนี้เป็นติดต่อกันถึง 8 เดือนไม่ปรากฏว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นแต่อย่างใด มีแต่หมดกำลังลงไปทุกวัน ๆ จนทำให้หลวงตาเริ่มปลงใจ พูดเปรยกับคนใกล้ชิดทำนองว่า “ธาตุขันธ์ของร่างกายเรานี้ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2541” แต่ราวปาฏิหาริย์ หลวงตาได้รักษาตัวด้วยการฉันยาสมุนไพรโบราณและใช้ธรรมโอสถทำให้อาการต่าง ๆ ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นกลับมาเป็นเสาหลักในด้านพระพุทธศาสนา ด้านการปฏิบัติธรรม และด้านการช่วยเหลือความทุกข์ยากต่าง ๆ ให้กับชาวบ้าน โดยเฉพาะโครงการ “ผ้าป่าช่วยชาติ” ที่ดึงพุทธศาสนิกชนชาวไทยหลอมดวงใจเป็นหนึ่ง ร่วมกันช่วยเหลือประเทศชาติที่กำลังประสบสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ
 

   
โครงการผ้าป่าช่วยชาติ ของหลวงตามหาบัว มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือประเทศชาติ สังคม และประชาชนทั่วไปให้หลุดพ้นจากความเดือดร้อนทางด้านจิตใจและทางวัตถุ หลวงตาจึงสละตัวออกมาเป็นผู้นำทำโครงการที่จะช่วยประเทศชาติประชาชน เชิญชวนประชาชนช่วยกันบริจาคทองคำ เงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำเข้า “คลังหลวง” ช่วยกอบกู้สถานภาพของประเทศ เริ่มต้นเปิดโครงการมาตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2541 โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน
   
หลวงตามหาบัว ตั้งเป้าจะระดม ทองคำเข้าคลังหลวงให้ได้ทองคำน้ำหนัก 10 ตัน หรือ 10,000 กิโลกรัม และเงินดอลลาร์ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้าท้องพระคลังหลวง บัญชีฝ่ายออกบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นทุนสำรอง เพื่อเพิ่มพูนพระคลังหลวงให้แน่นหนามั่นคงมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น เป็นศักดิ์ศรีและหลักประกันประเทศชาติในอนาคต สำหรับสินทรัพย์ (ทองคำและดอลลาร์) ที่ “โครงการช่วยชาติ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” ที่เปิดรับบริจาคตั้งแต่ 12 เม.ย.41 -9 ม.ค.53 นำเข้าคลังหลวงแล้วทั้งสิ้น 15 ครั้ง นับรวมทองคำและดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงไปแล้วทั้งสิ้น ทองคำ 967 แท่ง น้ำหนัก 12,087.50 กิโลกรัม ดอลลาร์ (รวมดอกเบี้ย) 10,803,600 ดอลลาร์สหรัฐ
   
ในวันที่ 3 มี.ค.54 ก่อนจะถึงกำหนดพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงตามหาบัว จะมีกำหนดการนำทองมอบคลังหลวง เป็นครั้งที่ 16 ถือเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นการปิดโครงการ “ผ้าป่าช่วยชาติ กับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” จากเดิมได้มอบทองคำไปแล้วประมาณ 12 ตันเศษ จะเพิ่มเป็น 12.5 ตัน หรือเทียบเท่ากับทองคำประมาณ 1,000 แท่ง โดยพระลูกศิษย์จะมาถวายบังสุกุลระดมทองด้วย ถือเป็นการปิดโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯ หลังจากเปิดโครงการมายาวนานกว่า 14 ปี
 

   
’การเสนอหลวงตามหาบัวบันทึกในกินเนสส์บุ๊กก็เพื่อให้โลกได้รับรู้ถึงความประเสริฐของท่านได้มีต่อประเทศไทยและเป็นการบูชาคุณต่อหลวงตามหาบัว ผลงานเช่นนี้ไม่รู้ว่าในรอบ 100 ปีจะมีใครทำได้บ้างหรือไม่“ นายถนอม บุตรเรือง อดีตผู้บริหารสำนักผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและอดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) พร้อมคณะของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำหนังสือยื่นใบสมัครหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์หรือกินเนสส์บุ๊ก (Guinness Book of World Records) ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกที่สุดในโลกด้านต่าง ๆ เพื่อลงบันทึกเรื่องราวของหลวงตามหาบัว ว่า เป็นเอกชนหรือปัจเจกบุคคลเพียงคนเดียว ที่สามารถรวบรวมทองคำบริสุทธิ์ 99.99 % ตามมาตรฐานสากลแต่ละแท่งมีน้ำหนัก 12.5 กก. ภายใต้โครงการผ้าป่าช่วยชาติ ได้ทั้งหมดกว่า 12 ตัน มอบให้แก่ประเทศไทย ขณะนี้ทางกินเนสส์บุ๊กได้รับใบสมัครเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับได้แจ้งหนังสือตอบกลับมาแล้วว่าขอเวลาพิสูจน์เรื่องราวประมาณ 3 เดือนจึงจะทราบผล
   
“เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร” นี่คือปณิธานของหลวงตามหาบัว ด้วยอุปนิสัยที่โดดเด่นประจำตัวหลวงตามหาบัว ตั้งแต่วัยหนุ่มนั้น คือมีเมตตาธรรม มีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่น และผู้ด้อยโอกาสกว่า จตุปัจจัยไทยทานที่ได้รับมาจึงไม่เคยเหลือเก็บ มีเท่าไหร่นำออกแจกจ่ายคนรอบข้างตลอดมา เห็นได้จากตอนเริ่มตั้งวัดป่าบ้านตาด ปี พ.ศ.2499 ก็สงเคราะห์ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก คนจน คนเจ็บป่วย คนพิการ  และเด็กกำพร้าจำนวนมาก รวมทั้งการช่วยเหลือเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งท่านเน้นเป็นกรณีพิเศษจนถือเป็นกิจวัตรประจำวันก็ว่าได้
   
มีคำกล่าวหลายตอนที่แสดงได้ชัดเจนถึงความเสียสละของท่าน “…พอตื่นขึ้น…สิ่งแรกที่คิดถึงก่อนอื่นก็คือเรื่องการช่วยโลก ไม่มีแม้แต่น้อยที่คิดถึงเรื่องตัวเอง… พระช่วยโลกไม่ได้ ใครเล่าจะช่วยได้…”   
หรือคำกล่าวที่ว่า “…ไปดูที่ไหน ๆ เราดูจริง ๆ ช่วยจริง ๆ… ถ้าเรายังไม่ตายแล้ว เราจะช่วยตลอดไป ไม่ว่าโรงพยาบาลไหน ๆ ช่วยทั้งนั้น โรงร่ำโรงเรียนก็ปลูกให้เป็นหลัง ๆ ขาดอุปกรณ์อะไร ๆ บ้าง ให้ ให้ ให้ ไม่ว่าแต่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ เราก็ให้…” ว่ากันว่าความมุ่งมั่นจริงจังของหลวงตา ได้ช่วยสงเคราะห์โลกในหลาย ๆ ด้าน คิดเป็นจำนวนเงินมากมายมหาศาลหลายพันล้านบาท  นอกเหนือจากโครงการผ้าป่าช่วยชาติแล้ว ด้านการแพทย์ ท่านได้บริจาคครุภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้สถานพยาบาล และโรงพยาบาลต่าง ๆ จำนวน 217 แห่ง ใน 49 จังหวัด รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน คือที่ประเทศลาว อีก 7 แห่ง และพม่า 1 แห่ง 
   
ด้านสังคม ได้จัดตั้งกองทุนและมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้ยากจน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ เช่น กองทุนสงเคราะห์คนพิการ กองทุนช่วยเหลือผู้ยากจนและไร้ที่พึ่ง มูลนิธิเมตตามหาคุณ ฯลฯ รวมถึงการช่วยเหลือสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ นอกจากนี้ ยามเกิดน้ำท่วม พายุถล่ม หรือไฟไหม้ ท่านก็จะสั่งซื้อข้าวสารอาหารสดและแห้ง ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย
   
ด้านการศึกษา ได้ช่วยเหลือเรื่องสื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ ทุนการศึกษา ค่าอาหารกลางวัน ไปจนถึงสร้างอาคารเรียน ห้องสมุด และอื่น ๆ ให้โรงเรียนหลาย ๆ แห่ง นอกจากนี้ท่านยังได้แต่งหนังสือธรรมะ มากเกือบ 100 เล่ม อาทิ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือมหาคุณของชาติ, เกิดกับชาติ ต้องช่วยชาติ, ธรรมวินัยกู้ศาสนา, สู่จุดหมายแห่งชัยชนะ, แว่นส่องธรรม, เข้าสู่แดนนิพพาน, รากแก้วของศาสนา พระธุดงคกรรมฐาน, และธรรมะออกจากใจ ฯลฯ
   
ในส่วนของด้านศาสนา หลวงตามหาบัว ได้ให้ความสำคัญกับวัดกรรมฐานเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมอันเป็นงานหลักในพุทธศาสนา ท่านจึงให้การอุปถัมภ์ค้ำชูในด้านต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น ซื้อที่ดินสร้างวัด ศูนย์ปฏิบัติธรรม สร้างศาลา และขุดสระ  สร้างกำแพงล้อมรอบเพื่อรักษาสัตว์ป่าและสภาพป่าภายในวัด บริจาคจตุปัจจัยไทยทานให้กับวัดกรรมฐานในถิ่นทุรกันดารกว่า 100 วัด ในจังหวัดใกล้เคียง ทั้งยามปกติ และในเทศกาลบุญสำคัญ
   
ขณะเดียวกัน ก็ให้ความอนุเคราะห์หน่วยราชการต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งการสร้างสาธารณประโยชน์ ทั้งสร้างถนน สร้างสะพาน ขุดสระน้ำให้ชาวบ้านได้ใช้  รวมทั้งการเมตตาต่อสัตว์ ทั้งการช่วยเหลือสัตว์พิการนานาชนิด ทั้งสร้างตึก 3 ชั้น และซื้อที่ดิน  ให้เงินค่าอาหารทุกเดือนเดือนละนับแสนบาทให้แก่สัตว์พิการหลายพันชีวิต ที่สถานสงเคราะห์สัตว์พิการ นนทบุรี, บ้านสัตว์พิการ พุทธมณฑล กรุงเทพฯ และอีกหลายแห่งที่มิได้เก็บบันทึกไว้  นับว่าท่านได้สร้างคุณอเนกอนันต์ให้แก่โลกใบนี้โดยแท้.
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
เราตายแล้ว จะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก

ละสังขารสู่พระนิพพาน
   
’…เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล !!“
   
ช่วงปี พ.ศ. 2541 ช่วงที่หลวงตามหาบัว อาพาธทรุดหนักก็เริ่มปลงใจ พูดเปรยกับคนใกล้ชิดทำนองว่า “ธาตุขันธ์ของร่างกายเรานี้ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันเข้าพรรษา ปี พ.ศ. 2541 อย่างแน่นอน จึงอยากให้สร้างเมรุ เตรียมเอาไว้เผา ตรงบริเวณหน้าศาลาการเปรียญหลังใหญ่” ซึ่งทางลูกศิษย์ก็ได้จัดสร้างเมรุ แบบเรียบง่าย ใช้ก้อนอิฐก่อเป็นเชิงตะกอน เมื่ออาการอาพาธของหลวงตามหาบัว เริ่มทรุดหนักลงไปเรื่อย ๆ ทางคณะสงฆ์และญาติโยมได้กราบเรียนขออนุญาตหลวงตา ให้คณะแพทย์ของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น มาช่วยตรวจรักษา ซึ่งในครั้งนั้นคณะแพทย์ได้ตรวจพบก้อนผิดปกติบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย  อย่างไรก็ตามหลวงตาก็ไม่อนุญาตให้คณะแพทย์ตรวจวินิจฉัยรักษาต่อแต่ประการใด จากนั้นหลวงตาก็ได้รักษาตัวด้วยการฉันยาสมุนไพรโบราณและใช้ธรรมโอสถ จนทำให้อาการต่าง ๆ ของหลวงตาเริ่มดีขึ้นค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น มีกำลังวังชามากขึ้น จนหายเกือบเป็นปกติ

   

เวลาเนิ่นนานผ่านมา 12 ปี ราวปลายปี พ.ศ. 2553 อาการอาพาธได้กำเริบขึ้นมาอีกต้องเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี แต่หลวงตามหาบัว ไม่ยอมนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล คณะแพทย์จึงต้องไปคอยดูแลที่วัดป่าบ้านตาด โดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น มาร่วมให้การรักษาจนเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 อาการอาพาธไม่ดีขึ้น คณะแพทย์และคณะสงฆ์จึงอาราธนานิมนต์หลวงตาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นบ้าง หลวงตามหาบัวจึงขอให้คณะแพทย์ช่วยพากลับไปที่วัดป่าบ้านตาด แต่ทางคณะแพทย์ยังเฝ้าดูแลรักษาหลวงตาอย่างใกล้ชิด โดยให้นอนรักษาตัวอยู่ในห้องปลอดเชื้อภายในกุฏิ โดยห้ามประชาชนศิษยานุศิษย์เข้าเยี่ยม แพทย์ต้องงดให้ฉันอาหารเพราะหลวงตาจะอาเจียนออกมาตลอดเวลา โดยเปลี่ยนมาให้สารอาหารทางเส้นเลือด แต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ในวาระสุดท้ายของการครองผ้าเหลือง ท่านละสังขารอย่างสงบที่กุฏิวัดป่าบ้านตาด ตอนช่วงใกล้สางวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ.2554 ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนทั่วไป รวมทั้งศิษยานุศิษย์และญาติโยม
   
พุทธศาสนิกชนชาวไทยและลูกศิษย์ลูกหาทั้งในและต่างประเทศ ต่างพากันโศกเศร้าเมื่อทราบข่าวร้าย ภาพคลื่นมหาชน จากทั่วสารทิศ ทั้งพระภิกษุและประชาชนหลั่งไหลมุ่งหน้าไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบสรีระของท่าน สื่อมวลชนทุกแขนงนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องทุกแง่ทุกมุม หลังจากที่หลวงตามหาบัวได้ละสังขารไปแล้ว คณะสงฆ์และญาติโยมจึงได้นิมนต์สรีระของท่านมาไว้บนชั้น 2 ของศาลาเล็กหลังเก่า ที่สร้างมาพร้อมกับการตั้งวัดใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและศิษยานุศิษย์ได้ไปสักการะ
 

   
“เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสารต่อโลก เพราะหลังจากนี้ไปแล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่บริจาคมาทั่วประเทศ เราจะยกให้คลังหลวงของเราหมด เป็นวาระสุดท้ายของเราที่ช่วยโลกอย่างเต็มหัวใจ” คำกล่าวของหลวงตามหาบัว ที่เคยสั่งเสียไว้กับลูกศิษย์

“ในหลวง” ทรงรับสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว
ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์

   
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโกศโถและทรงรับสรีระหลวงตามหาบัวไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 7 วัน ในการนี้พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ถวายพวงมาลาพระราชทานที่หน้าโกศสรีระสังขารหลวงตามหาบัว (และได้กราบบังคมทูล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงทราบ และขอพระราชทานเพลิงสรีระหลวงตามหาบัว ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554 ณ เมรุจำลองใหม่หน้าศาลาการเปรียญหลังใหญ่)
   
ในส่วนของเมรุ (จิตกาธาน) ที่จัดไว้ในงานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงตามหาบัว ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีร่วมกับเทศบาลนครอุดรธานี ออกแบบเป็นรูปทรงกลม ฐานกว้างประมาณ 40 เมตร เป็นเนินดิน 3 ชั้น สูงประมาณ 3.80 เมตร โดยชั้นที่ 1 จะปลูกต้นจั๋งป่า (ไม้ตระกูลปาล์ม ที่หลวงตาชอบปลูกไว้ในบริเวณวัด) แล้วจะวางกระถางบัวหลวงสลับกันไป ชั้นที่ 2 พื้นปูด้วยหินศิลาแลง และชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นที่ตั้งเมรุ รอบ ๆ ฐานจะตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับ โดยไม้ดอกไม้ประดับนั้น จะวางอยู่บนกระบอกไม้ไผ่สูงประมาณ 1.20 เมตร แล้วฐานกระบอกไม้ไผ่นั้น จะผ่าแยกออกเป็นสามแฉกเพื่อเป็นฐานรองรับน้ำหนักของต้นไม้
   
ส่วนบนยอดสุดเป็นกลดกว้าง 8 เมตร คล้ายกับเมรุของ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ขึงลอยอยู่ด้านบน เพื่อที่จะคลุมสรีระองค์หลวงตามหาบัว รวมทั้งการประดับประดาด้วยโคมไฟรอบ ๆ ฐานแต่ละชั้นประมาณ  200 ดวง โดยหลอดไฟจะส่องเข้าไปหาเมรุ นอกจากนั้น ก็มีการติดตั้งไฟแบบขาสูง 1.50 เมตร ประดับตามบันไดแต่ละชั้นอีก 40 จุด ความกว้างของเมรุ (จิตกาธาน)  ประมาณ 175.5 เซนติเมตร ยาว 262.5 เซนติเมตร สูง 172 เซนติเมตร โดยใช้ก้อนอิฐประสานก่อรอบนอก จำนวน 842 ก้อน นอกจากนี้ยังใช้อิฐทนไฟทนความร้อน จำนวน 653 ก้อน ก่อรอบภายในเมรุ ใช้สีทองทาอิฐตัวเมรุ มีประตูเป็นแผ่นสเตนเลส และช่องลมแต่ละด้านนั้นมีลูกกรงเหล็กติดตั้งอยู่รอบนอก ส่วนภายในจะมีตะแกรงสเตนเลสไว้รองรับละอองเถ้าถ่านไม่ให้กระจายออกไปข้างนอก สำหรับพื้นของชั้นที่ตั้งเมรุ จะปูด้วยหินอ่อนรอบเมรุ
 

   
สำหรับฟืนที่เลือกมาใช้ในงานพระราชทานเพลิง เลือกใช้ “ต้นจิก” แปรรูปเป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนมีขนาดกว้าง 4x4 นิ้ว ยาว50 เซนติเมตร สาเหตุที่เลือกต้นจิก เพราะคนโบราณมีความเชื่อว่าจะช่วยเผาให้อัฐิเป็นสีขาวนวล นอกจากนี้ต้นจิก ตามพุทธประวัติกล่าวว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์และต้นไทร แห่งละ 7 วัน แล้ว จึงเสด็จไปประทับใต้ต้นจิกอีก 7 วัน ในขณะที่ประทับใต้ต้นจิกนี้ ได้มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน อากาศก็เย็นมาก จึงมีพญานาคชื่อมุจลินท์มาขดเป็นวง 7 รอบล้อมพระองค์ พร้อมกับแผ่พังพานปรกพระองค์ไว้ อัศจรรย์!! “หลวงตามหาบัว”
   
แม้หลวงตามหาบัวจะละสังขารไปแล้ว  แต่ยังมีเรื่องราวอัศจรรย์ปรากฏให้พุทธศาสนิกชนได้รับรู้ อย่างเช่นเรื่อง เส้นเกศาของท่าน กลายเป็นพระธาตุ โดยลูกศิษย์รายหนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงตามาช้านาน ได้นำเส้นเกศาหลวงตาไปบูชาไว้บนหิ้งพระประมาณ 1 ปี พอท่านอาพาธหนักจึงไปกราบไหว้เกศา ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านหายจากอาการอาพาธ หลังจากนั้นได้เปิดฝาที่ใส่เส้นเกศาออกดู ก็ต้องประหลาดใจ  เมื่อพบเส้นเกศาแข็งราวกับเส้นใยไหม หรือใยแก้ว  มีแสงเปล่งประกายเป็นสายรุ้ง  และมีพระธาตุเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ  4 ก้อน อยู่รวมกับเส้นเกศา เมื่อพระเลขาฯ ของหลวงตาเห็น ก็ยืนยันว่าเป็นพระธาตุจริง 
   
เหมือนกับฟันของหลวงตามหาบัวที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต ผบ.ตร. และ รมว.แรงงานฯ ลูกศิษย์ใกล้ชิด ได้ไปบูชาก็กลายเป็นพระธาตุไปแล้ว  รวมทั้งน้ำเหลืองและเลือดที่ได้มาจากการทำความสะอาดบาดแผลนิ้วเท้าของหลวงตาตอนที่ยังไม่ละสังขาร ก็กลายเป็นก้อนแข็งคล้ายเม็ดทราย หรือเม็ดน้ำตาลทราย ส่องแสงประกายแวววับเช่นกัน หรือเรื่องที่ญาติโยมซึ่งไปร่วมกราบสรีระสังขารหลวงตาที่วัดป่าบ้านตาด และได้นั่งฟังเทศนาธรรมเสร็จสิ้นในตอนเย็น ทันทีที่กล่าวคำว่า “สาธุ” ก็จะได้ยินเสียงของสรรพสัตว์ที่เลี้ยงไว้ภายในวัดร้องเซ็งแซ่ดังขึ้นด้วย  รวมไปถึง “เต่า” ตัวหนึ่ง คลานต้วมเตี้ยมมุ่งหน้าไปยังศาลาตั้งบำเพ็ญสรีระสังขารของหลวงตา ซึ่งญาติโยมส่วนใหญ่เชื่อว่ามันต้องการจะไปกราบสรีระสังขารของหลวงตา เพราะปกติเต่าซึ่งอาศัยอยู่ในป่าตัวนี้มักเดินไปยังกุฏิหลวงตาบ่อย ๆ เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่
   
หรือปริศนาเรื่องการต่ออายุขัยของหลวงตามหาบัว ที่พระอาจารย์แบน หรือหลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์  จ.สกลนคร  เคยกล่าวกับศิษย์ตอนหลวงตามหาบัว เจริญอายุได้  90  ปี ว่า “ให้รีบไปกราบหลวงตามหาบัวเสียไวๆ ที่สุดเถิด เพราะหลวงตาท่านเข็นสังขาร (ต่ออายุ) มาให้นานถึง 10 กว่าปีนี่แล้วนะ!!”.
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=510&contentId=124976
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


เพื่อ 'หลวงตามหาบัว' ทำดีตามคำสอนไม่ได้ไปอุดรฯก็ทำได้!


5 มี.ค. 2554 นี้ ชาวพุทธจากทุกสารทิศทั่วไทยจำนวนมาก มายมหาศาล รวมตัวกันอยู่ ณ วัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เพื่อกราบสรีระสังขาร และร่วมงานพระราชทานเพลิง พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ขณะเดียวกันก็คงจะมีชาวพุทธอีกเป็นจำนวนมากเช่นกันที่อยากจะไปที่ วัดป่าบ้านตาด แต่ ไม่มีโอกาสได้ไป...ด้วยข้อติดขัดต่าง ๆ
   
ได้ไป-ไม่ได้ไป...นี่อาจมิใช่ประเด็นสำคัญ
   
ที่สำคัญ...คือสิ่งที่ควรทำถวายหลวงตา.....
   
’คนที่ไม่มีโอกาสได้มานั้น ก็สามารถแสดงความระลึกถึงหลวงตาได้หลายวิธี“ ..เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร พระครูอรรถกิจนันทคุณ หรือ พระอาจารย์นภดล นนทโน ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ระบุผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” พร้อมทั้งขยายความว่า... วิธีแสดงความระลึกถึงหลวงตา ก็เช่น การรวมตัวกันไปที่วัดในพื้นที่เพื่อกราบครูบาอาจารย์ที่นับถือ เพื่อเป็นที่พึ่ง-ที่ตั้งของจิตใจ และในวันงานพระราชทานเพลิงหลวงตาก็มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งคนที่ไม่ได้มาที่วัด ก็อยู่กับบ้าน รวมตัวกันเปิดชมการถ่ายทอดได้
   
“ระหว่างนั้นก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย ทำจิตใจให้สงบ แล้วระลึกถึงหลวงตา เท่านี้ก็เท่ากับนึกถึงท่านแล้ว และทำอย่างนี้ก็ถือเป็นกุศโลบายที่ฉลาดมาก ๆ แบบหนึ่งด้วย”
   
นอกจากนี้ ก็มีสื่อที่ทำสารคดีเรื่องราวของหลวงตามหาบัวในแง่มุมต่าง ๆ เยอะมาก โดยเฉพาะในเรื่อง การเสียสละ และความเพียร ซึ่งเป็นวิถีและปฏิปทาของหลวงตาที่น่ายกย่อง ซึ่งเมื่อได้ชมหรือทราบแล้ว ก็สามารถนำมาเป็นตัวอย่าง เป็นจุดเดิน เป็นกำลังใจให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี ’คำสอน คำสั่งของท่าน หากน้อมนำมาปฏิบัติ ก็เท่ากับเราได้ระลึกถึงหลวงตา โดยที่ไม่ต้องมาที่วัดก็ได้“
   
พระอาจารย์นภดล กล่าวอีกว่า... ปัจฉิมโอวาทของหลวงตาก่อนละสังขาร ท่านได้กล่าวไว้ว่า มือของตัวท่าน กับมือของลูกศิษย์ ญาติมิตร เพื่อนฝูง ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ซึ่งหลักนี้สำคัญมาก เพราะสามารถนำไปใช้ได้ เช่นเดียวกับการทำงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อสังคม ต้องไว้เนื้อเชื่อใจ เปิดใจกัน ยอมรับกัน งานก็จะสามารถเดินหน้าไปได้ และการทำงานไม่ได้ใช้เพียงมือทำงาน แต่ต้องใช้ใจทำงานด้วย 
   
ด้าน ประสิทธิ์ ชักโยง ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว อาสาสมัครงานพระราชทานเพลิง กล่าวเสริมผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ผู้ที่ไม่สามารถมาร่วมงานที่วัดป่าบ้านตาด ก็สามารถระลึกถึงหลวงตาได้ โดยพนมมือระหว่างพิธี ซึ่งก็มีการถ่ายทอดสดตลอดพิธี ศิษยานุศิษย์ และประชาชน ก็สามารถติดตามชมได้   
   
’อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถระลึกถึงหลวงตาได้ คือการนึกถึงคำสอนของท่าน ระลึกถึงและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เช่น บาป-บุญมีจริง นรก-สวรรค์มีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง นิพพานมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เท่านี้ก็เท่ากับได้ระลึกและแสดงความเคารพต่อท่านแล้ว“ ...ลูกศิษย์หลวงตามหาบัวระบุ
   
ขณะที่ พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระรามเก้า กาญจนาภิเษก ก็ให้แง่มุมเพิ่มเติมผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... การแสดงความเคารพและระลึกถึงหลวงตามหาบัวนั้น ทำได้หลายรูปแบบ เช่น การหันหน้ากราบทางทิศที่ท่านอยู่ งานพระราชทานเพลิงแม้จะไม่ได้ไป ก็สามารถ นำรูปท่านมาระลึกถึง ก็ได้ พร้อมกับการเปิดโทรทัศน์ชมไปด้วย วิธีนี้ก็สามารถทำได้ หรืออาจจะฝากดอกไม้จันทน์ หรือจตุปัจจัย ไปกับคนที่ได้เดินทางไปร่วมงานก็ได้ หรือระหว่างพิธีก็ กรวดน้ำ ไปพร้อมกันด้วยก็ได้ หรืออีกวิธีคือระหว่างพิธีก็ นั่งสมาธิ
   
“พระสารีบุตรจะแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ก็ด้วยการกราบตรงทิศที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ก่อนนอนทุกครั้ง พระอนุรุทธก็นั่งสมาธิดูพระพุทธเจ้านิพพาน” ...พระราชญาณกวีระบุ   
   
พร้อมทั้งระบุถึงกรณีของหลวงตามหาบัวอีกว่า... การละสังขาร ของหลวงตามหาบัว ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมานั่งโศกเศร้าเสียใจหรือคร่ำ ครวญร้องไห้ แต่กลับทำให้เราระลึกถึงว่าหลวงตาท่านอุบัติมาในโลกนี้ชั่วคราว เพื่อสั่งสอนประชาชนให้รู้จัก ทาน-ศีล-ภาวนา บุญ-บาป ชาตินี้-ชาติหน้า นรก-สวรรค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็อุบัติในโลกนี้ชั่วคราว อุบัติมาในโลกนี้เมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว  ซึ่งปัจฉิมโอวาทของท่านที่กล่าวกับบรรดาภิกษุคือ “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไป เป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”   
   
สำหรับหลวงตามหาบัว ท่านก็สืบทอดสั่งสอนต่อ และคำสอน ของหลวงตาถือเป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ชาวพุทธควรปฏิบัติตามที่ท่าน สอนสั่งไว้ โอวาทธรรมที่หลวงตาท่านมักจะกล่าวสั่งสอนศิษยานุศิษย์ตลอดชีวิตของท่านก็คือเรื่องบาป-บุญ นรก-สวรรค์ พระพุทธ เจ้ามีจริง นิพพานมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ’หากเราระลึก และปฏิบัติตาม การจะได้ไปหรือไม่ได้ไปร่วมงานที่วัด ก็คงไม่แตกต่างกัน“ ... พระราชญาณกวี กล่าว       
   
สรุปคือจะได้ไป-ไม่ได้ไปวัดป่าบ้านตาด...ไม่ใช่แก่น
   
อยู่ในศีลธรรมต่างหาก...ที่ควรทำถวายหลวงตา !!!.
 
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=23&contentId=124862

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ประชาชนนับล้านพร้อมใจนั่งสมาธิตั้งจิตภาวนาถวายหลวงตามหาบัว




ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศนับล้านคน ที่เดินทางมาร่วมพิธีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขาร พร้อมใจนั่งสมาธิตั้งจิตภาวนา ถวายแด่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ล่าสุดเจ้าหน้าที่ปิดถนนเข้าออกวัดป่าบ้านตาดเพื่อเตรียมร่วมรับเสด็จฯแล้ว...

ที่บริเวณทางเข้าวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ซึ่งมีประชาชนเดินทางมาร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขารหลวงตามหาบัว ซึ่งทางวัดได้ทยอยแจกดอกไม้จิก ที่ทำเป็นลักษณะฟืนแท่งเล็ก ๆ เนื่องจากทางวัดไม่อนุญาติให้นำไม้จันทร์หรือไม้ขนิดอื่นๆ มาใช้ ในพิธีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว โดยประชาชนทุกเพศทุกวัยนับล้านคนได้พร้อมใจกันนั่งสมาธิอย่างสงบ เพื่อตั้งจิตอธิษฐานภาวนาถวายแด่หลวงตามหาบัว ก่อนที่จะมีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขารหลวงตามหาบัวในช่วงเย็น





โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้รับไม้จิกแล้ว ได้ทยอยต่อแถวนำไม้จิกไปวางไว้ในหีบที่ทางวัดได้จัดไว้ให้ บริเวณด้านหน้าจิตกาธาน ก่อนพิธีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขารหลวงตามหาบัว จะเริ่มต้นขึ้น อีกทั้งประชาชนยังได้รับแจกธงสีฟ้าที่มีพระนามาภิไธย ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บริเวณหน้างาน เพื่อใช้ในการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จฯด้วย



 
ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จจากกรุงเทพมหานคร ถึงท่าอากาศยานกองบิน 23 จ.อุดรธานี ในเวลา 16.30 น. หลังจากนั้นจะประทับรถยนต์พระที่นั่ง มาถึงวัดป่าบ้านตาดเพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงถวายสรีระสังขารหลวงตามหาบัวในเวลา 17.00 น.



 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ปิดถนนที่ผ่านเข้าออกวัดป่าบ้านตาดทั้งหมดแล้ว โดยประชาชนที่เพิ่งเดินทางมาถึง รถรับส่งจะส่งให้ลงรถก่อนถึงทางเข้าวัดประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อเตรียมการสำหรับรอรับเสด็จฯ.
 
http://www.thairath.co.th/content/misc/153715
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ยิ่งกว่ามหัศจรรย์

วันนี้ (5 มี.ค.) สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นาถจะเสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพพระ ธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน ณ  วัดป่าบ้านตาด  อำเภอเมือง  จังหวัดอุดรธานี


หลวงตาท่านละสังขารเมื่อวันที่ 30 มกราคม หลังครองเพศสมณะถึง 77 พรรษา รวมสิริอายุ 97 ปี

คาดว่าจะมีคณะสงฆ์และพี่น้องประชาชน ที่เคารพศรัทธาจากทั่วสารทิศเดินทางไปกราบสรีรสังขารเป็นวาระสุดท้าย  และร่วมถวายเพลิง ศพหลายแสนคน

เป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีญาติโยมไปร่วมงานมากเป็นประวัติการณ์

"แม่ลูกจันทร์" คงไม่ต้องสาธยายให้ ยืดยาว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าหลวงตา มหาบัวท่านเป็นเสาหลักของพระสายวัดป่า  ซึ่งมุ่งเน้นเคร่งครัดแนวทางปฏิบัติธรรมวิปัสสนา  สืบทอดจากหลวงปู่ชา แห่งวัดหนองป่าพง

หลวงตาท่านเทศน์สั่งสอนญาติโยมว่าเกิดเป็นคนอย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ ต้องมีสติ ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท และยึดมั่นการ บำเพ็ญความดี

แนวทางการสั่งสอนของหลวงตาใช้ภาษาง่ายๆ อธิบายหลักธรรมง่ายๆ ทำให้ฟังเข้าใจง่าย  และเกิดผลทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

"แม่ลูกจันทร์"  เห็นว่านอกจาก  "หลวงตามหาบัว"  จะเป็นปูชนียสงฆ์ที่ชาวพุทธเชื่อถือศรัทธาเลื่อมใสทั่วประเทศไทย

ในแง่ของความเป็น  "บุคคล"  หลวงตา มหาบัว  คือผู้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ประเทศไทย  และประวัติศาสตร์โลกอีกยาวนาน

เพราะหลวงตามหาบัวได้ใช้พลังศรัทธาบารมีของท่าน  รวมกับพลังศรัทธาของญาติ โยมจัดทอดผ้าป่าช่วยชาติเพื่อระดมเงินและทองคำสมทบเข้าคลังหลวง เพื่อเป็นทุนสำรองของประเทศไทย

คิดเป็นยอดเงินบริจาคทั้งสิ้นกว่า 10 ล้านเหรียญดอลลาร์

และเป็นทองคำหนักกว่า 12,000 กิโล หรือหนักกว่า 12 ตัน

วันนี้  ทองคำน้ำหนักกว่า 12 ตัน  ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ ได้หลอมเป็นทองคำแท่งก้อนละ 12.5 กก. รวมจำนวน 960 ก้อน  เก็บรักษาไว้ในห้องมั่นคงของธนาคารแห่งประเทศไทย

เป็นทองคำสำรองที่ใช้ค้ำประกันค่าเงินบาทของไทยให้แข็งแกร่งตามความประสงค์ของหลวงตา

ยิ่งราคาทองคำตลาดโลกสูงขึ้นมากเท่าไหร่ มูลค่าทองคำแท่ง 12 ตัน ที่หลวงตาบริจาคให้เป็นสมบัติของชาติก็ยิ่งทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ส่วนเงินดอลลาร์กว่าสิบล้านเหรียญที่หลวงตามหาบัวรับบริจาคด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ธนาคารชาติได้แยกเป็นกองทุนหลวงตามหาบัว เพื่อเป็นทุนสำรองรักษาเสถียรภาพเงินคงคลัง

"แม่ลูกจันทร์"  เห็นว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ อย่างยิ่งที่พระสงฆ์องค์เดียวสามารถระดมเงินดอลลาร์ถึง 10 ล้านเหรียญ  และทองคำแท่งหนักถึง 12 ตัน

สมควรอย่างยิ่งที่กินเนสส์บุ๊กจะบันทึกเป็นสถิติโลกไปอีกยาวนาน

ข้อสำคัญ  นี่คือสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระสงฆ์ ชาวพุทธผู้ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติดี ไม่ได้ติดยึดกับทรัพย์สินมากมายก่ายกอง

ก่อนที่  "หลวงตามหาบัว"  จะละสังขาร ท่านได้ระบุไว้ในพินัยกรรมว่า  เงินและทองคำที่ญาติโยมมีศรัทธาร่วมบริจาคในงานศพให้ นำเข้าคลังหลวงทุกบาททุกสตางค์

ล่าสุด  มียอดเงินที่มีประชาชนร่วมบริจาคทะลุ 250 ล้านบาท และทองคำหนัก 55 กก.

คาดว่าหลังจากงานพระราชทานเพลิงศพยอดเงินทำบุญจะถึง 300 ล้านบาท  และปริมาณทองคำน่าจะเกิน 60 กก.

เหนือสิ่งอื่นใด  ญาติโยมอุ่นใจที่กองทุนผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตาได้มอบให้แบงก์ ชาติรักษาดูแล

เพราะถ้ามอบให้กระทรวงการคลัง  ก็กลัวจะหวานคอแร้งนักการเมือง.

"แม่ลูกจันทร์"


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Luangta.com รับชมทีวีผ่านดาวเทียม 24 ชม.

http://www.luangta.com/live-flash/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~