ริมระเบียงรับลมโชย > สุนทรียสนทนา - ไดอะล็อก (Dialogue)
สุนทรียสนทนา : ศิลปะแห่งการสนทนา
มดเอ๊กซ:
ศิลปะแห่งสนทนา
วิศิษฐ์ วังวิญญู
สถาบันขวัญเมือง เชียงราย
การสนทนาที่ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
ที่นำการสนทนามาเทียบเคียงกับการเรียนรู้ ก็เพราะมองว่าการเรียนรู้เป็นคุณลักษณะหลักที่สำคัญยิ่งเพื่อชีวิตคือองค์กรที่จัดองค์กรตัวเองอย่างเป็นเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้
ถ้าเราเป็นคนละเอียดอ่อน และเมื่อมีโอกาสอยู่ในวงสนทนา ลองถอยตัวเองออกจากฐานะของผู้เข้าร่วม มาเป็นผู้สังเกตการณ์ เมื่อสังเกตดูการสนทนาที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป ของคนทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้ และลองประมวลข้อสรุปออกมาสิว่า มันจะบอกอะไรกับเราบ้าง?
หนึ่ง ในวงสนทนานั้นจริงๆ แล้วไม่ค่อยมีใครฟังใคร ยิ่งถ้ากินเหล้าคุยกันด้วยแล้ว จะเกิดอาการต่างคนต่างพูดเลยด้วยซ้ำ และในกรณีที่ยังฟังกันบ้าง การฟังก็เพื่อจะเก็บวลีหรือถ้อยคำที่เข้าทาง หรือที่สอดคล้องกับความคิดและมุมมองของตน และก็จะสอดแทรกเข้ามาพล่ามเรื่องที่ตนเองอยากจะพูดเลยทีเดียว อันนี้ก็เป็นเหตุผลนะครับว่า ทำไมงานสังคมจึงเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครเรียนรู้อะไรจากใคร ไม่มีความอิ่มเอมใจอันเกิดจากการสนทนาที่แท้จริง อย่างดีที่สุดก็ทำได้แค่อวดมั่งมีและอวดเก่งเท่านั้น และไม่มีอะไรมากกว่านี้
โบห์มเองก็พูดเรื่อง dialogue ระดับโลกที่องค์กรระดับโลก เช่นสหประชาชาติชอบใช้ โบห์มตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ dialogue ในความหมายของโบห์ม หากเป็นการเจรจาต่อรองผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่หลักการ มุมมอง โลกทัศน์ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้เลย ปัญหาจึงมิอาจแก้ไขได้ เพราะตัวปัญหาหลักคือมุมมองและโลกทัศน์ที่แข็งตัวยังดำรงอยู่อย่างถาวรโดยไม่แปรเปลี่ยน
เพราะฉะนั้น การสนทนาเพื่อขายความคิดเพื่อให้คนอื่นมาคล้อยตามความคิดของตน จึงไม่ใช่การสนทนาแบบโบห์ม การสนทนาแบบโบห์มผู้เข้าร่วมต้องเปิดใจ พร้อมเปลี่ยนมุมมองและสมมติฐานอย่างกล้าหาญและหฤหรรษ์
มดเอ๊กซ:
การฟังอย่างมีคุณภาพ
การปล่อยให้เสียงและความเป็นตัวตนทั้งหมดของผู้อื่นเข้ามาในตนนั้นก็คือช่วงหลับและตื่นขึ้นเพื่อจะรวบรวมประมวล สร้างความหมายให้กับสิ่งที่ฟังเป็นช่วงตื่น ในการฟังจะมีช่วงหลับ-ตื่น นี้สลับกันไปอย่างมีศิลปะ
แต่ในการฟังบ่อยครั้งเราจะหลุดลอยไปในโลกของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งอารมณ์หรือความคิดก็ตาม บางทีเครื่องแต่งกายของคู่สนทนาสักชิ้นอาจจะทำให้เราระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง และเราก็ลอยละล่องไปในความทรงจำนั้น บางทีถ้อยคำบางคน ทำให้เราเพลิดไปกับความคิดของเราเองอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว
เราจะหลุดออกมาจากโลกของเราเองได้อย่างไร เพื่อยินยอมและซึมซับโลกของผู้อื่นเข้ามา ทั้งเนื้อหาและรูปลักษณ์ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความสั่นไหวภายในทั้งมวลของผู้พูด
ด้วยเหตุนี้ การฟังจึงเป็นทั้งศิลปะที่เป็นพื้นฐานและเป็นศิลปะชั้นสูง ที่เราอาจจะต้องฝึกฝนไปตลอดชีวิต เมื่อเทียบเคียงกับการปฏิบัติในพุทธศาสนาแล้ว เราจะต้องฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายความว้าวุ่นของอารมณ์ต่างๆ ในใจเราให้สงบลง และถ้าฝึกได้ดีจะถึงจุดที่ “ว่าง” จากอารมณ์รบกวนทั้งหลาย และอีกด้านหนึ่งต้องฝึกปัญญาคือวิปัสสนาที่เราจะว่างจากความคิดของเราเอง เพื่อรับความคิดของผู้อื่นเข้ามา
ความคิดนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่ขาดเป็นห้วงๆ อย่างที่เป็นอิฐก่อสร้างหรือเป็นตัวต่อที่ใช้สำหรับสร้างอะไรต่างๆ ของเด็ก ที่จะเอาไปต่อตรงไหนก็ได้ แต่ความคิดเป็นโครงข่ายที่มีแม่บทหรือกระบวนทัศน์กำกับอยู่ ในกระบวนทัศน์หนึ่งๆ ก็จะมีสมมติฐานเป็นตัวรองรับอยู่ ก็ในเมื่อเรายังไม่ได้รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมนั้น (ถ้าการรู้แจ้งนี้มีจริง) ความคิด ความรู้ ความเข้าใจของเราทั้งหมด ก็ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานต่างๆ หรือชุดของสมมติฐาน แต่โดยอัตโนมัติเรามักจะไปยึดถือเอาว่าสมมติฐานของเราเป็นสัจจะความจริง ถือเอาว่า ชุดของสมมติฐานของเราเป็นสามัญสำนึก ที่ทุกคนจะต้องรู้และมันเป็นทั้งฐานของสัจธรรมทั้งมวล นี่แหละคืออุปสรรคตัวสำคัญของการฟัง มันทำให้เรามืดบอดต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือชุดแห่งสมมติฐานของเรา
มดเอ๊กซ:
ฟังอย่างเป็นกระจกเงา
แก้ปัญหาเมื่อสัมพันธ์กับคนที่มีอารมณ์ลบ
เป็นความอิ่มเอมใจอย่างหนึ่ง เมื่อได้รับทราบว่าขบวนการฝึกอบรมก่อให้เกิดผล ก็เนื่องด้วยในโครงการหัวใจใหม่ชีวิตใหม่ ซึ่งรักษาโรคหัวใจอย่างเป็นองค์รวมนั้น เราได้ให้ความสำคัญกับการดูแลจัดการความเครียดมาเป็นอันดับหนึ่ง การนำเอาการฝึกสติในชีวิตประจำวันเข้ามาเพิ่มคุณภาพให้ผู้เข้าร่วมได้บ่มเพาะอารมณ์บวก ดุจดังคนสวนที่รดน้ำพรวนดินอารมณ์บวกทั้งหลาย เช่นความรัก ความแจ่มใส ความมีพลังชีวิตเป็นต้น และให้พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์ลบเช่นความโกรธ ความหงุดหงิด และอื่นๆ
การอบรมเช่นนี้คนไข้โรคหัวใจซึ่งเป็นคนแบบเอ (โกรธง่าย ก้าวร้าว จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ มองเห็นคนอื่นเป็นต้นเหตุของปัญหา โดยมักจะไม่มองเห็นข้อจำกัดของตนเอง) หลายต่อหลายคนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบ ๑๘๐ องศา คือกลับลำบุคลิกภาพเลยทีเดียว พวกเขากลับไปขออภัยเพื่อนและญาติมิตรที่พวกเขาระเบิดอารมณ์ใส่โดยปราศจากเหตุผลที่ดีพอ และพวกเขาก็สามารถหยุดปฏิกิริยาแบบฉับพลันที่มีต่อคนอื่นๆ ในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาจจะใช้วิธีเก็บความรู้สึกเอาไว้ หรือเดินเลี่ยงออกมาจากสถานการณ์อันล่อแหลม พวกเขาก็สามารถลดการแสดงอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดในทันทีทันใดได้มาก บางคนสามารถไปไกลกว่านั้นโดยสามารถหยุดโกรธก่อนโกรธและเอาความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจเข้ามาแทนที่ หลายคนเริ่มมองความคับแคบและข้อผิดพลาดของตนเอง ท่านหนึ่งที่ทะเลาะกับภรรยาจนเกือบจะเลิกกันแล้ว กลับมาเห็นความงามของภรรยา และเนื่องจากสุขภาพก็ฟื้นฟูดีขึ้น ความสัมพันธ์แบบรักใคร่ก็กลับคืนมาดังเดิม สรุปแล้วคนไข้หลายต่อหลายคน หลายต่อหลายรุ่นฟื้นคืนสุขภาพ ความเป็นปกติ ความแจ่มใสปลอดโปร่ง ทั้งกายและใจกลับคืนมา
เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๕ ผมได้รับเชิญฝึกอบรมเรื่อง ศิลปะการจัดการเรียนการสอนให้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในการนำเสนอเรื่องการใช้ปัญญาอารมณ์ในศิลปะการสอนนั้น อาจารย์ท่านหนึ่งยกประเด็นขึ้นมาว่า เราอาจจะจัดการกับอารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิดของตนเองได้ แต่ถ้าเราไปพบความโกรธ ความหงุดหงิดของคนอื่นขึ้นมาล่ะ เราจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในกรณีที่เราไม่สามารถเดินหนีออกไปได้ แต่จะต้องเผชิญหน้ากันเพื่อจัดการงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ทีมฝึกอบรมที่มาจากสถาบันขวัญเมืองและเสมสิกขาลัย ได้เสนอแนวทางแห่งการฟังอย่างเป็นกระจกเงาเพื่อเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างก้าวร้าว การฟังอย่างเป็นกระจกเงาก็คือการฟังแต่ละช่วงของการพูดอย่างระเบิดอารมณ์ (หรือไม่ระเบิดอารมณ์) ของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วพูดกลับไปว่า เราได้ยินเขาพูดอย่างไร ในความเข้าใจของเรา โดยให้อีกฝ่ายหนึ่งสามารถแก้ไขได้ว่าเราสรุปความได้ถูกต้องหรือเปล่า เช่น
อีกฝ่ายหนึ่ง “คุณย้ายโต๊ะนี้ได้อย่างไรโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า”
เรา “ผมได้ยินว่า ผมย้ายโต๊ะได้อย่างไร โดยไม่บอกคุณล่วงหน้า” ฯลฯ ไปตลอดการสนทนา
วิธีนี้ได้ผลเกือบจะทุกกรณี ทั้งนี้เพราะประการแรก อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณได้ฟังเขาหรือเธอเป็นอย่างดี โดยรับรู้ทุกถ้อยกระทงความก็เมื่อถึงเวลาที่คุณจะพูด เขาหรือเธอก็มีแนวโน้มที่จะรับฟังคุณเป็นอย่างดีเช่นกัน
ประการที่สอง ผู้พูดมีโอกาสได้รับฟังสิ่งที่ตนพูดโดยขบวนการฟังอย่างกระจกเงานั้น ทำให้เขาหรือเธอมีโอกาสตั้งสติ และรับรู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร ขบวนการเช่นนี้จะมีผลต่อการลดความรุนแรงของอารมณ์ของอีกฝ่ายได้มาก
ประการที่สาม ฝ่ายผู้ฟังก็จะได้ฟังจริงๆ ไม่ใช่ฟังอย่างด่วนสรุป ฟังอย่างรวบรัด และฟังอย่างสรุปใจความเอาเองอย่างที่ผู้ฟังต้องการจะสรุปแบบลากความเข้าข้างตัวเอง ที่ยิ่งจะทำให้ปัญหาการสื่อสารยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
ประการที่สี่ การฟังอย่างนี้ที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งสติได้นั้น คุณภาพการฟังก็จะยิ่งลุ่มลึกยิ่งขึ้น ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ทำให้มองก้าวไปถึงบริบทหรือสภาพแวดล้อม ความเป็นไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อจำกัด หรือสถานการณ์อันบีบคั้นของอีกฝ่ายหนึ่งก็จะปรากฎขึ้นในการรับรู้ นอกจากนี้หากฝึกฝนตนเองอย่างแยบคายขึ้นเสมอๆ ก็จะปรับคลื่นอันละเอียดอ่อนกว่าคำพูดและภาษาท่าทางนั้นๆ อันนี้จึงนับเป็นสุดยอดของการฟังคืออาจจะทำให้ล่วงรู้ถึงความปรารถนาและความคับข้องใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
ในโลกที่เราให้คุณค่ากับหน้าตาและภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าคุณค่าด้านในนั้น เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ผิวๆ ของความเป็นจริง เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ความหมายของถ้อยคำอย่างแบนๆ โดยรวบเข้าไปในความจำได้หมายรู้ในอดีตของเรา อันเป็นความทรงจำที่ตายซากขาดชีวิตชีวา เป็นอาการลงร่อง เป็นเครื่องจักรอันปราศจากวิญญาณและเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ความหมายใหม่ๆ แง่มุมใหม่ของถ้อยคำ ยังไม่รวมถึงการประกอบถ้อยคำอย่างมีความเป็นวรรณศิลป์ อันอาจก่อเกิดจินตนาการที่ทะลุทะลวงกำแพงที่ขวางกั้นความเข้าใจทั้งหลาย โดยยังไม่ได้พูดถึงคลื่นหัวใจที่อาจเชื่อมโยงกันได้อย่างง่ายๆ ในชั่วขณะที่ใจเปิดให้กันและกัน ตรงนั้นเองที่เราจะทราบถึงความปรารถนาและความคับข้องใจที่เป็นกุญแจไปสู่ความเข้าใจส่วนในสุด
การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ ไม่ได้มีไว้ใช้เฉพาะกรณีคนห่างตัวเท่านั้น แม้แต่ในความสัมพันธ์ของคู่รักและเพื่อสนิทที่มีปัญหาความขัดแย้งหรือความร้าวฉานตลอดจนแม้กรณีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่เริ่มจะห่างเหินด้วยเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ให้กระชับมั่นยิ่งขึ้น การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ก็จะช่วยได้มาก
มดเอ๊กซ:
การบริโภคนิยมกับการสนทนา
การไถ่ถอนจากอำนาจของบริโภคนิยมมิใช่ทำกันได้ง่ายๆ แม้ว่าเราจะเข้าใจโดยพุทธิปัญญา ถึงคุณและโทษของการดำรงชีวิตอยู่ในวิถีแห่งการบริโภค แต่เราก็ไม่สามารถละเลิกการบริโภคต่างๆ นั้น และไม่สามารถสร้างสรรค์ชีวิตอันปลอดพ้นจากการบริโภคมาได้ อันที่จริงบริโภคนิยมเป็นอาการเสพติดชนิดหนึ่งที่เป็นแบบทั้งชีวิต ในทุกแง่มุมของชีวิต เพราะฉะนั้น อีกก้าวหนึ่งของการนำไปสู่การเสพติดยาของเยาวชนที่อยู่ในโลกของบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว จึงเป็นไปได้โดยง่ายดาย
นักคิดที่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องตื้นของปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดีคือไอวาน อิลลิช ที่เขาได้เห็นถึงการถอดถอนอำนาจของปัจเจกบุคคลที่จะดำรงชีวิตอย่างผู้กระทำการ และหาญกล้าให้การศึกษาตนเอง เรียนรู้ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาพูดถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ ที่ผู้เชี่ยวชาญได้คิด ตัดสินใจ ออกแบบสังคม และความเป็นไปในชีวิตผู้คน เขาพูดถึงการที่สังคมได้มอบอำนาจหรือถูกฉกฉวยอำนาจไปให้กับระบบโรงเรียน ในที่นี้ไม่ได้หมายเฉพาะถึงโรงเรียนที่เยาวชนเข้าไปรับการศึกษาเท่านั้น หากหมายถึงระบบโรงเรียนในทุกแง่มุมของชีวิตมนุษย์ที่สามัญชนถูกริดรอนอำนาจในการคิด ตัดสินใจและออกแบบชีวิต หากเขาจะต้องทำตามสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เห็นว่าดีงาม ปริมณฑลของชีวิตด้านต่างๆ ก็มีเช่น เศรษฐกิจ สาธารณสุข พาณิชยกรรม การศึกษา การพักผ่อน การบันเทิง สื่อสารมวลชนและอื่นๆ อีกไม่รู้จบ
แต่ลักษณะร่วมกันที่เกิดขึ้นในทุกๆ ปริมณฑลของชีวิตก็คือ มนุษย์เปลี่ยนสภาพจากผู้คิด ตัดสินใจ ออกแบบและกระทำการ มาเป็นผู้เสพอย่างเฉื่อยชา อิลลิชได้ยกตัวอย่างเรื่องของดนตรี ที่เดิมในหมู่บ้านที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณีทั่วไป ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก การมีวงดนตรีสองสามวงในหมู่บ้านหนึ่งๆ นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา การใช้ดนตรีและเพลงโดยชาวบ้านเล่นและร้องกันเองในกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต และเมื่อมีวิทยุมีเทปเพลงเข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็หายไปทีละเล็กทีละน้อย จนสูญสิ้นไป เมื่อมนุษย์ไม่ได้กระทำก็ไม่เกิดขึ้น การประดิษฐ์คิดค้น พลิกแพลงก็ไม่เกิดขึ้น เรื่องอื่นๆ ในปริมณฑลอื่นๆ ก็เกิดขึ้นมาในทำนองเดียวกัน
เรี่องของการสนทนาก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน ดังเพื่อนของคนหนึ่งคือแกรนด์ โอลสัน ผู้ได้เคยมาเป็นพีซคอในเมืองไทยเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ณ เมืองสุพรรณบุรี ก็สามารถเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อเขามาอยู่ในฐานะของอาสาสมัครสันติภาพที่เมืองสุพรรณบุรีนั้น บ้านพ่อแม่คนไทยที่เขามาอยู่ด้วยเป็นชานเมืองที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ไม่มีโทรทัศน์ เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ สมาชิกในครอบครัวขยายนั้นก็นั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าซ และในวงสนทนานี้เองที่ทำให้เขารู้จักสังคมไทย ความโอบอ้อมอารี ความอุดหนุนเกื้อกูลกันในสภาพสังคมชนบทและมิติของพุทธธรรมที่กลมกลืนลงสู่วิถีปฎิบัติในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ในสังคมสหรัฐอเมริกาหมดไปแล้ว การสนทนาที่แท้จะหากได้ยาก ต้องดั้นด้นหาเพื่อนที่อาจจะคุยกันได้อย่างถูกใจ แต่ไม่ได้มีอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เมื่อแกรนต์กลับมาเยี่ยมเมืองไทยต่อมาเป็นลำดับ สองสามปีครั้ง เขาก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับที่เป็นไปในสังคมอเมริกา โทรทัศน์ได้เข้ามาจับจองใจกลางบ้าน และการสนทนาอย่างเดิมก็หายไปจากครอบครัว ทุกคนก็เริ่มยุ่งยากกับกิจการต่างๆ จนแทนไม่มีเวลาให้กับการสนทนาที่แท้อีกต่อไป
เมื่อมองในแง่มุมมอง ภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิปัญญา การสนทนาจะเป็นเวทีที่ก่อเกิด เมื่อเวทีการสนทนาหายสูญไป หรือกระพร่องกระแพร่ง ประชาชนคนสามัญก็ขาดการเข้าร่วมในการก่อเกิดแปรเปลี่ยนและวิวัฒนาภาษา วัฒนธรรม ภูมิปัญญาอีกต่อไป หากกลายเป็นผู้กระทำอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเหยื่อที่ถูกกระตุ้นได้ง่ายจากสื่อโฆษณา และความคิดก็ถูกครอบงำด้วยบรรษัทข้ามชาติ อันผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีมิติอยู่ในกรอบของกระบวนทัศน์เก่า อันเป็นมุมมองซึ่งขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของชีวิตและวิวัฒนาการของชีวิตโดยสิ้นเชิง
ถ้าพูดแบบภาษาของพวกโพสต์โมเดิน ก็หมายการถูกแย่งชิงวาทกรรม เมื่อปราศจากวาทกรรม ประชาชนสามัญก็ยากไร้โดยสิ้นเชิง ในอำนาจของการปรับเปลี่ยนตนเองและสังคม
ดังนั้น เราจึงต้องสร้างช่องว่างให้กับพื้นที่ที่เสียในทศวรรษที่ผ่านมา อัตเน่ รีดเดอร์ นิตยสารทางเลือกเล่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกาได้พูดถึง “การปฏิวัติในห้องนั่งเล่น” ดังปาจารยสารฉบับหัวกะทิที่ผมเป็นบรรณาธิการอยู่ในเวลานั้น ก็เอาความคิดนี้มาเล่นต่อ สาระสำคัญก็คือ เราควรจะลดความสำคัญของโทรทัศน์ลงไป โดยการจำกัดเวลาดู ย้ายที่ออกไปจากใจกลางบ้าน คืนห้องนั่งเล่น ให้กับการสนทนาและนอกจากจะสนทนากับสมาชิกในบ้านแล้ว ก็เชิญเพื่อนๆ เข้ามาสนทนาด้วย จัดกรอบโครงของเวลาใหม่ ให้มีเวลาสนทนายาวนานกว่าสามชั่วโมงขึ้นไป เวลาอุดมคติของโบห์มคือ ๕-๖ ชั่วโมง ผมนึกถึงกลุ่มปัญญาชนอังกฤษอย่างบรูมเบอรี่ที่มีเวอร์จิเนีย วูลฟ์ ยอช เบอนาด ชอร์ เป็นต้น พวกเขาอยู่ด้านกันทั้งบ่าย จนจรดดึกดื่น อยู่ด้วยกัน พูดคุยเดินเล่น ฯลฯ การก่อเกิด ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจึงจะเป็นไปได้
ปาจารยสารหัวกะทิอีกฉบับหนึ่ง คณะบรรณาธิการตัดสินใจร่วมกันจั่วหัวว่า “ความสุขไม่ต้องซื้อหา” เรามักพากันหลงลืมไป และพากันไปยึดติดสื่อกันงอมแงม เพราะที่จริงแล้วสื่อก็รายงานเรื่องราวของมนุษย์นั้นเอง และเรื่องราวของมนุษย์อาจนำมาบอกเล่ากันโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อแต่อย่างใด โดยเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ ผมคิดเรื่องที่หันเหมุมมองเรื่องหนึ่งโดยตั้งคำถามทักทายว่า แทนที่เราจะเขียนนิยายขึ้นมาจากเรื่องราวของผู้คน ทำไมเราจึงจะไม่คิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตของเราเองก็คือนิยายที่ยิ่งใหญ่ และการดำรงชีวิตของเราอย่างเต็มเปี่ยม ก็คือการขีดเขียนนิยายดีๆ ออกมาเล่มหนึ่งโดยไม่ต้องขีดเขียนบันทึกอย่างไรเล่า
ในมุมมองของวิญญาณวาท เราไปติดอยู่ในโลกของตัวแทนและภาพลักษณ์ แต่เราไม่ได้สัมผัสความจริงคือตถาตา ไม่ว่าด้วยการเห็น การฟัง ได้กลิ่น ชิมรส สัมผัส แต่เราอยู่กับภาพลักษณ์ของประสบการณ์ทางอายตนะเหล่านี้ ผ่านสื่อต่างๆ เราอยู่กับร่องเดิมของแผ่นเสียงที่ตกร่อง ด้วยเหตุนี้เราจึงหิวโหย แต่สิ่งที่เราบริโภคเป็นเพียงภาพลักษณ์ของความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถให้ความอิ่มเอมอันใดได้ เราจึงกระหายหิวและต้องบริโภคอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่ไม่สามารถดับความกระหายหิวได้ ภาพที่แสดงให้เห็นอาการดังกล่าวได้ชัดเจนคือเปรต ที่มีปากเท่ารูเข็มและมีท้องใหญ่โตมโหฬาร
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่เป็นไวยากรณ์หลักของชีวิตนั้นก็คือ “ชีวิตคือการเรียนรู้” และเนื่องด้วยว่าชีวิตนั้นมีธรรมชาติเป็นเครือข่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตก็คือ “เครือข่ายแห่งการเรียนรู้” การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ เริ่มจากการตั้งสมมติฐาน แล้วจึงลงมือปฏิบัติตามสมมติฐานนั้น และนำผลกลับมาพูดคุย กลั่นกรองประสบการณ์และหาความหมายกันในเครือข่าย ซึ่งมีการสนทนาเป็นกุญแจดอกสำคัญ
มดเอ๊กซ:
การสนทนาเชิงวิวัฒน์ในกระบวนทัศน์ใหม่
การสื่อสาร
โลกมนุษย์ได้ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ดังเราคิดว่าโลกาภิวัตน์ได้รวมโลกเข้าเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังมีปัญหาการสื่อสาร คนที่มีความคิด อุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม และอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ในประเทศที่เจริญมากๆ ทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งและความรุนแรงในความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับไม่ลดลง ปัญหาการหย่าร้างเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมตะวันตก ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกลายเป็นศิลปศาสตร์ที่ขาดหายไปในโลกที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาถึงขีดสุด
ปัญหาอย่างหนึ่งทึ่อยากจะตั้งข้อสังเกตไว้ให้ใคร่ครวญดูก็คือ เป็นไปได้ไหมว่าเราเข้าใจพื้นฐานของการสื่อสารผิดไป หรือคลาดเคลื่อนไป เทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นมาก็ไปรับใช้วิถีแห่งการสื่อสารผิดๆ นั้น ไม่ทำให้มนุษย์เข้าใจกันได้มากขึ้นไปกว่าเดิม เทคโนโลยีที่สูงล้ำก็เลยไม่ได้มีส่วนช่วยลดทอนความขัดแย้งและความรุนแรง
คิดว่าความคิดหลักของการสื่อสารของโลกยุคโลกาภิวัตน์ก็คือ หนึ่งเราควรมีภาษาและวัฒนธรรมหนึ่งเดียว ที่คนจะเข้าใจกันเหมือนกันไปหมดทั่วโลก และสองข้อมูลคือความรู้ ยิ่งข้อมูลเผยแพร่ออกไปทางอินเตอร์เนตให้รับรู้กันได้มากๆ คนก็จะมีความรู้มากยิ่งขึ้น คนมีความรู้มากยิ่งขึ้นโลกก็จะมีความสงบสันติยิ่งขึ้น อันนี้ก็อยากลองให้ใคร่ครวญดูว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? หรือมันควรจะเป็นเช่นไรกันแน่?
อีกความคิดหนึ่งของผมเอง ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตและการอ่าน ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่าโลกในทุกวันนี้ เรากำลังออกห่างไปจากการสนทนาทั้งในบ้าน โรงเรียนและที่ทำงาน การพูดคุยกันเป็นไปตามบทบาทที่ตายตัว แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกันในฐานะของความเป็นมนุษย์ ที่จะแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกัน ในบ้านเราพากันนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ โลกแห่งการงานก็ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เราก็กลายเป็นผู้รับการบันเทิงจากโทรทัศน์อย่างเป็นผู้ถูกกระทำเท่านั้น บางบ้านแม้เวลากินข้าวก็นั่งดูโทรทัศน์กันไปด้วย การพูดคุยกันที่เคยมีในสังคมแบบเดิมจึงขาดหายไป ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ในโรงเรียนกระแสหลักส่วนมาก ครูก็จะมีบทบาทตายตัวคือผู้สอน คือผู้ถ่ายทอดข้อมูลที่เราเข้าใจกันว่าเป็นความรู้ การพูดคุยกันจริงๆ ระหว่างครูกับศิษย์ในฐานะของมนุษย์ด้วยกันจึงไม่เกิด หากจะมีบ้างก็คงเป็นข้อยกเว้นของครูบางคนที่เข้าใจและพยายามทำตัวแหวกระบบออกมา ที่ทำงานก็เช่นกัน การพูดคุยดำเนินไปในบรรยากาศของโครงสร้างอำนาจที่ชัดเจนว่าใครเป็นคนตัดสินใจ ใครเป็นคนอนุญาตให้ใครพูดได้ และจะพูดได้เมื่อไร บทบาทตามโครงสร้างอำนาจก็ชัดเจนจนไม่เหลือที่ไว้ให้กับการพูดคุยระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
วิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมก็ทำให้โอกาสที่จะเกิดการสนทนาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น เพราะมนุษย์คุ้นเคยกับการเสพการบริโภคในฐานะของผู้รับไม่ใช่ในฐานะของผู้กระทำ การเรียนก็กลายเป็นการเสพข้อมูลความรู้ การทำงานก็มีมิติของการกระทำอยู่ในกรอบที่คับแคบ หากไม่ใช่งานที่ซ้ำซากจำเจก็เป็นงานทที่ไม่อาจมีอำนาจตัดสินใจอะไรได้ งานที่สร้างสรรค์และกระทำการจึงเป็นงานของคนส่วนน้อยที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดปิรามิด เมื่อเป็นเช่นนี้ วัฒนธรรมการบริโภคก็มีส่วนเสริมให้ความสยบยอมต่อสภาพสังคมที่เป็นอยู่เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมกับโอกาศของการสนทนาหายไปด้วยการเบียดบังของการพักผ่อนและการบันเทิงแบบเสพที่ผู้รับไม่ได้กระทำการหรือคิดอ่านเรียนรู้ขวนขวายหาความหมายอันใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหาทางออกจากวังวนของปัญหานี้ได้อย่างไร?
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version