ริมระเบียงรับลมโชย > สุนทรียสนทนา - ไดอะล็อก (Dialogue)
สุนทรียสนทนา : ศิลปะแห่งการสนทนา
มดเอ๊กซ:
การสนทนาแบบเดวิด โบห์ม
เดวิด โบห์ม บอกว่ากรณีที่คนสองคนพูดคุยกันเมื่อนาย ก.พูด นาย ข.ฟัง แล้วนาย ข.ก็จะพูดกลับมาเป็นปฏิกิริยาหรือการตอบสิ่งที่นาย ก.พูด เมื่อนาย ก. ฟังนาย ก. ก็จะรู้ว่า สิ่งที่นาย ข. ฟังตนนั้นไม่ได้เข้าใจตรงกันเสียทีเดียว มีความใกล้เคียงแต่ก็แตกต่าง แล้วนาย ก. ก็ตอบโต้กลับไปอีก นาย ข. ก็เห็นอะไรคล้ายกับที่นาย ก. เห็น คือเห็นความคิดความเข้าใจของตนเอง และเห็นความคิดของนาย ก. ที่แตกต่างออกไป เนื้อที่ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปนั้น ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ขึ้นในการสนทนาคือทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้น
แต่การสนทนาที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ได้นั้น ผู้สนทนาจะต้องฟังซึ่งกันและกัน อย่างปราศจากอคติ และไม่พยายามจะมีอิทธิพลเหนือกันและกันด้วย แต่ละฝ่ายจะต้องให้ความสำคัญกับสัจจะและความบรรสานสอดคล้องเป็นอย่างแรก เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น โดยพร้อมจะทิ้งความคิดเก่าและความตั้งใจเก่า โดยพร้อมจะไปยังอะไรที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าหากทั้งสองต่างก็ต้องการสื่อความคิดหรือมุมมองของตนเท่านั้น การสนทนาแบบโบห์มก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแต่ละคนจะฟังคนอื่นผ่านม่านความคิดของตนเอง ที่มักจะพยายามคงรักษาความคิดของตนเอาไว้ โดยพยายามจะปกป้องความคิดของตนด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าความคิดของพวกเขาจะบรรสานสอดคล้องกันภายในระบบคิดของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม
ที่จริงการสนทนาแบบโบห์มนั้น มีความจำเป็นสำคัญ กิจกรรมหลายๆ ด้านของชีวิต ถ้าผู้คนจะต้องร่วมมือกัน พวกเขาจะต้องสามารถสร้างอะไรร่วมกันขึ้นมาได้ โดยผ่านการพูดคุยและการกระทำร่วมกัน มากกว่าจะเป็นการส่งผ่านความคิดข้อมูล ที่คนสื่อสารมีอำนาจเหนือผู้อื่นและผู้อื่นเป็นผู้รับอย่างเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่มีส่วนร่วมคิดด้วยแต่อย่างใด
ศิลปินก็เหมือนกัน ศิลปินไม่ได้คิดครั้งเดียวแล้วก็สำแดงความคิดออกมากับวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองใช้ แต่ศิลปินจะพูดคุยเหมือนกัน คือพูดคุยกับวัสดุที่เขาใช้ ตลอดจนกับผลงานที่เสร็จแต่ละชิ้น ผลที่ออกมาไม่ตรงกับความคิดเดิมทีเดียวนัก คือความแตกต่างให้เกิดความคิดใหม่ เป็นขบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในการทำงาน
นักวิทยาศาสตร์ก็พูดคุยกับธรรมชาติในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีความคิด ก็นำไปทดสอบกับการสังเกต และเมื่อพบว่า (จะเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดา) สิ่งที่ได้สังเกตจะเพียงละม้ายคล้ายคลึงกับความคิดที่เขามีอยู่ในใจเท่านั้น และไม่เหมือนกันเลยทีเดียว ดังนั้นความคิดใคร่ครวญในความละม้ายคล้ายคลึงและความแตกต่าง เขาก็จะได้ความคิดใหม่และก็เอาความคิดใหม่ไปเป็นตัวตั้งในการสังเกตการณ์อีก ก็จะมีการโผล่ปรากฏของสิ่งใหม่เสมอ อันนี้ก็มีการนำไปใช้ในวิถีชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งก็ได้ก่อให้เกิดโครงสร้างใหม่ๆ ทางความคิด ความรู้ของมนุษย์
ทีนี้ต่อเรื่องนี้ จะมีความละเอียดอ่อนซับซ้อนอยู่ประการหนึ่ง คือในการพูดคุยกันนั้น คนหนึ่งมักจะคิดว่าตนได้ฟังคนอื่นอย่างดีแล้วโดยปราศจากอคติใดๆ แต่คนอื่นกลับไม่ฟังตนเพราะมีอคติอยู่ ทั้งนี้จึงเป็นการง่ายที่เราแต่ละคนจะเห็นว่าคนอื่น “ถูกขัด” อยู่ด้วยอะไรบางอย่าง โดยไม่รู้ตัว พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งในความคิดของตนเอง ในเรื่องที่พวกเขามักจะให้ค่าอย่างสูง
ธรรมชาติของอาการ “ถูกขัด” นั้น เป็นอะไรที่ไร้ความละเอียดอ่อนหรือ “มึนงงไม่รู้สึกตัว” (เป็นอาการของยาชา ยาสลบ) ทำให้ไม่รับรู้ในความขัดแย้งในตัวเองของตน เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือทำอย่างไรเราจะรู้ตัวถึงอาการที่ “ติดขัด” เหล่านี้ ถ้าหากผู้นั้นตื่นตัวและใส่ใจ ก็อาจจะมองเห็นว่า เมื่อมีการยกประเด็นคำถามบางประการ ก็จะมีความรู้สึกกลัวที่ผลักไสเขาออกไปจากการพิจารณาปัญหาอันนั้น และจะมีแรงดึงดูดบางประการที่จะหันเหเขาไปสู่ประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้เขามีความสุขสนุกสนาน ดังนั้นคนเราก็จะหนีออกไปจากสิ่งที่รบกวนจิตใจของเราอยู่เรื่อยไป ผลที่เกิดขึ้นก็คือเขาพยายามปกป้องความคิดของเขาเองอย่างแยบคาย ในขณะที่เขาควรจะได้รับฟังคนอื่นพูดอย่างจริงจัง
เมื่อเรามาสนทนากัน เราควรตื่นตัวกับความกลัวที่แยบยล และการดึงดูดที่จะทำให้เราเขวไปเรื่องอื่นที่ได้ “ขัด” เราจากความสามารถที่จะรับฟังได้อย่างอิสระ แต่ถ้าแต่ละคน สามารถใส่ใจได้เต็มเปี่ยมกับ “สิ่งที่ขัด” เราในการสนทนา ในขณะเดียวกันที่สามารถรับฟังเนื้อหาของการสนทนาไปได้ด้วย เมื่อนั้น เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ระหว่างพวกเรา บางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะช่วยยุติปัญหาในปัจจุบันอันแก้ไขไม่ได้ทั้งที่เป็นของปัจเจกบุคคลและสังคม
มดเอ๊กซ:
การสนทนากับสมมติฐาน
คำว่า Dialogue ซึ่งเป็นคำที่โบห์มนำมาใช้นั้นมาจากภาษากรีกว่า dialogos ที่ logos แปลว่า “ถ้อยคำ” และ dia แปลว่าผ่าน ไม่ใช่แปลว่า “สอง” หมายถึงถ้อยคำหรือความหมายที่ไหลผ่านกลุ่มคนเป็นสายธารแห่งความหมาย ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ไม่ใช่ discussion ที่แปลว่าแยกสิ่งต่างๆ ออกมา discussion ก็มักจะเป็นการโต้แย้ง เอาชนะคะคานกันมากกว่า หมอประสาน ต่างใจ เคยตีความคำว่า dia เท่ากับ “ผ่า” หรือ “ฝ่า” ถ้อยคำ ไปให้พ้นข้อจำกัดของถ้อยคำ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะลงลึกกันขนาดไหน
หนังสือเรื่องวิญญาณวาทที่อาจารย์สุลักษณ์แปลมาจากหนังสือของท่านนัท ฮัน ซึ่งเวลานี้เป็นพระอาจารย์เซ็นที่สามารถใช้ภาษาอย่างกวี สื่อสารกับคนทั่วโลกได้มากที่สุด วิญญาณวาทพูดถึงการรับรู้สามแบบ แบบที่หนึ่งคือการับรู้แบบตัวแทน ดังเช่นตั้งชื่ออะไรขึ้นมา เช่นต้นไม้ ก้อนเมฆ สัตว์ พืช เป็นต้น แบบที่สองคือภาพลักษณ์ ก็คืออะไรที่อธิบายคุณลักษณะของตัวแทนนั้นๆ การรับรู้ทั้งสองแบบแรกเป็นความรู้ แต่ก็เป็นความรู้อย่างมีข้อจำกัด ประการแรกก็ติดข่ายอยู่ในทัศนะแห่งอัตตา คือมีเรากำหนดว่าโต๊ะเป็นโต๊ะนั้น เราได้กำหนดไปอย่างอัตโนมัติด้วยว่า สิ่งอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ใช่โต๊ะ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นโต๊ะกับสิ่งที่ไม่ใช่ก็โยงใยกันและสอดแทรกในกันและกัน ซึ่งทัศนะอย่างหลังจึงเป็นการรับรู้แบบที่สาม คือการรับรู้อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกว่าตถตา ประการที่สอง ภาพลักษณ์ก็เป็นส่วนขยายของอัตตา อธิบายคุณลักษณะของอัตตาในด้านต่างๆ ที่เป็นความเป็นจริงอย่างเสี้ยวส่วนที่หยิบฉวยขึ้นมาทึกทักขึ้นมาว่าเป็นคุณลักษณะของสิ่งนั้นๆ เมื่อความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนตัวเข้ามาตามกาลเวลา คุณลักษณะนั้นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปด้วย มิอาจจะตั้งมั่นอยู่ได้
การจะเข้าถึงตถตาในสรรพสิ่งได้นั้น เราต้องเอาสติเข้ามากำกับการรับรู้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยตัวอย่างของการเอาสติเข้ากำกับการมอง การฟัง เป็นต้น โดยมองให้ลึกซึ้ง ฟังอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะไปยึดติดที่ความจริงระดับตัวแทนและภาพลักษณ์
โบห์มให้เราตระหนักว่า ความคิดของเราที่เรามักจะคิดว่าเป็นสัจจะนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น นอกจากนี้เราจึงไปยึดความคิดขึ้นมาเป็นของเรา เป็นตัวเรา คือเป็นตัวกูของกู ที่ท่านพุทธทาสพูดถึงนั้นเอง เราจึงเห็นว่าคนอื่นเห็นผิดมองผิด การเปิดใจเรียนรู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
โบห์มบอกว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นเข้ามามีส่วนกำหนดความคิดอ่านของเรามากกว่า ๙๐% เราไม่ได้มีความคิดอ่านเป็นของตนเองสักเท่าใด แต่กำหนดโดยสังคมที่กำเกิดภาษาและวัฒนธรรมมาใช้ร่วมกัน เรามักจะคิดว่า สิ่งที่มากับภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นสัจธรรม อันมั่นคงถาวรไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้ ถ้าหากคิดเช่นนี้ การสนทนาแบบของโบห์มก็เกิดขึ้นไม่ได้
โบห์มบอกว่าในขณะที่เราสนทนานั้น เราควรรู้ว่า ทุกความคิดเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่มีอะไรเป็นสัจจะอันสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ใจจึงเปิดออก ให้สายธารแห่งความหมายไหลเวียนไปได้ อันอาจเกิดการเรียนรู้ร่วมกันในระหว่างการสนทนา ถ้าโยงวิญญาณวาทของมหายานมาผสมผสานกับ dialogue ของเดวิด โบห์ม เราจะเป็นว่าการรับรู้ในระดับตัวแทนและภาพลักษณ์นั้นก็คือการไปยึดติดกับสมมติฐาน มาเหมาเอาว่าเป็นสัจธรรม ถ้ามองให้ทะลุลงไปถึงตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะรู้เท่าทันว่าสมมติฐานก็คือสมมติฐาน หากความเป็นจริงจะอยู่ลึกลงไปกว่าสมมติฐานที่ปรากฏ การสนทนาแบบโบห์มจึงเปิดโอกาสให้เรามองเห็นความเป็นจริงมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เราสัมผัสกับตถาตามากยิ่งขึ้น
มดเอ๊กซ:
องค์ประกอบสำคัญของการสนทนาแบบโบห์ม
โบห์มว่าจำนวนคนต้องมากพอที่ให้เกิดพลวัตของการสนทนา คือควรจะมากกว่า ๒๐ อาจจะถึง ๔๐ เลย ๔๐ คนยังนั่งล้อมวงได้ โดยวงยังไม่ใหญ่จนเกินไป ถ้ารู้สึกว่าใหญ่เกินก็ให้นั่งซ้อนกันเป็นสองวง ที่นั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน หมายถึงการที่ทุกๆ คนเท่าเทียมกัน จริงๆ แล้วการสนทนาแบบโบห์มไม่มีผู้ดำเนินการ ก็อาจจะมีผู้ดำเนินการได้บ้าง เพื่อที่จะไม่มีผู้ดำเนินการได้ในที่สุด
การสนทนาแบบโบห์มเป็นการแสวงหาความรู้ร่วมกันโดยไม่มีกำหนดวาระ ไม่มีหัวข้อเรื่อง แรกๆ ก็อาจจะพูดคุยกันเรื่องว่าจะพูดคุยกันอย่างไร พูดคุยอะไร ทำไม แล้วการสนทนาก็จะดำเนินไปได้เอง เรื่องส่วนตัวจะพูดบ้างก็ได้ เอาเฉพาะในส่วนที่มันจะโยงใยเข้ามาเกี่ยวร้อยกับความเป็นส่วนรวม โบห์มว่าการสนทนาแบบของเขาไม่ได้เป็นการเยียวยาทางจิตวิทยาหรือการพัฒนาตัวเองแบบกลุ่มเผชิญหน้า (encounter group) แต่ถ้าการพูดคุยและการเรียนรู้ จะไปมีผลเยียวยาก็สุดแล้วแต่
โบห์มพูดถึงคำสองคำบ่อยๆ ในการว่าด้วยการสนทนาของเขา คือคำว่า tacit และ coherence คำหลังหมายถึงความบรรสานสอดคล้อง อาจารย์นิธิเคยแซวอาจารย์สุลักษณ์ว่าใช้คำว่าประสานสอดคล้องไม่ได้หรือ ผมเองก็ยังชอบที่จะใช้บรรสานสอดคล้องโดยอัตโนมัติ โบห์มยกตัวอย่างแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ก็คือภาวะของแสงที่มีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบอย่างบรรสานสอดคล้อง เลเซอร์จึงมีพลังมหาศาล จะเอาไปใช้ทำอะไรได้มากมายด้วยพลังอันนี้ แสงทั่วไปปกติที่เราเห็นเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่บรรสานสอดคล้องอย่างแสงเลเซอร์ กลุ่มสนทนาของโบห์มก็มีเป้าหมายอันหนึ่งของการเข้าถึงการบรรสานสอดคล้องอันนี้ เพื่อพลังสร้างสรรค์สูงสุด เพื่อปัญญาอย่างดีที่สุดที่มนุษย์จะก่อเกิดร่วมกันได้ โดยเขาได้พูดถึง collective thought หรือความคิดที่คิดร่วมกันของกลุ่มคนเอาไว้ แยกเป็นประเด็นต่างหากออกไปด้วย
tacit หมายถึงอะไรที่เกิดขึ้นด้วยอย่างไม่สามารถเห็นได้ชัด เวลาสนทนาโบห์มว่า มันไม่ใช่ทั้งถ้อยคำที่พูดคุยกันและไม่ใช่ภาษาท่าทาง แต่มันอยู่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง โบห์มพูดไว้ด้วยว่า tacit เป็นปริมณฑล ที่ลี้ลับเป็นตัวก่อเกิดของขบวนการคิดด้วย
เมื่ออ่านวิญญาณวาทที่อรรถาธิบายโดยท่านติช นัท ฮัน ก็นึกว่าอาจจะพ้องพานกับเรื่อง tacit ของโบห์มนี้ก็เป็นได้
วิญญาณวาทแตกวิญญาณที่อาจจะแปลว่าตัวรู้ หรือ consciousness ออกไปอีกจากหกของฝ่ายสูตรยานคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอีกสองคือมนัสและอาลัยวิญญาณ ส่วนใจธรรมดาในชั้นต้นคือ consciousness หรือสำนึกรู้ปกติ เขาใช้คำว่ามโนวิญญาณ ลึกลงไปอีกสองขั้นคือมนัสและอาลัยวิญญาณ อันนี้ลี้ลับหรือ tacit
ท่านนัท ฮัน ว่าเมื่อเราฉายแสงแห่งสติทาบกับมโนวิญญาณตลอด ไม่ว่าจะรับเรื่องจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือรับเรื่องจากธรรมารมณ์ก็ตาม หากฝึกแสงแห่งสตินั้นให้เข้มข้นด้วยความบรรสานสอดคล้องขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะส่งไปเห็นการทำงานของมนัสและอาลัยวิญญาณ อันเป็นที่มาของขบวนการก่อเกิดความเป็นไปทั้งหลายแห่งจิตทั้งมวล
โบห์มว่า เราไม่ได้สนใจเฉพาะว่าเราคิดอะไรเท่านั้น แต่เราให้ความสำคัญกับขบวนการก่อเกิดความคิดด้วย ซึ่งลี้ลับแยกแก่การเข้าถึง แต่เมื่อการสนทนาได้สรรค์สร้างความบรรสานสอดคล้องแห่ง collective thought ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ขบวนการแห่งการคิดจะโผล่ปรากฏให้เราเห็นได้เอง
ระยะเวลาของการสนทนาแต่ละครั้งต้องยาวนานพอให้คลี่คลายออกไปสู่ผลได้ดังกล่าว อย่างน้อยก็ ๓-๔ ชั่วโมง แต่โบห์มจะพูดที่ ๕-๖ ชั่วโมงต่อครั้ง ความถี่ก็ได้ตั้งแต่ทุกสัปดาห์ ทุกปักษ์ ทุกเดือน สองเดือนครั้ง เวลาต่อเนื่องก็พูดกันที่หนึ่งปี หรือสองปี เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วก็เลิกลากันไป คงจะไปเริ่มกลุ่มใหม่ๆ อีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มดเอ๊กซ:
ธรรมชาติของความคิดที่เป็นสมบัติร่วม
โบห์มพูดถึงปัญหาต่างๆ ของโลกที่มีอยู่มากมาย นับวันก็แต่จะสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น และตัวปัญหาก็เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพ บางทีมันอาจจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากภายนอกก็ได้ บางทีมันอาจจะมีเค้าเงื่อนมาจากเจ้าตัวความคิดของมนุษย์เรานี้เอง
ดังเช่นเมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา เราก็ไปคิดค้นวิธีแก้ไขอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา วิธีใหม่นั้นนอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาเก่าแล้วยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก แล้วเราก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างใหม่นั้นอีก ได้ปัญหาอย่างใหม่กว่าขึ้นมาอีก เป็นไปเช่นนี้อย่างไม่รู้จบหรือว่าที่จริงปัญหาที่แท้ซ่อนเงื่อนอยู่ในขบวนความคิดนี้เอง
และก็น่าคิดว่าขบวนการคิดนี้เป็นปัจเจกสักเพียงใด เพราะตั้งแต่เกิดมา ที่มาของความคิดก็มาจากคนอื่นๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือสังคม ความคิดของเราที่อาจจะคิดขึ้นมาบ้างก็เป็นผลผลิตของความคิดร่วมที่มีอยู่ในภาษาและวัฒนธรรมนั้นเอง ดังนั้นมันจึงเหมือนกับอยู่ในมหาสมุทรแห่งความคิดที่เป็นของส่วนรวมของมนุษยชาติ และถ้าหากมันเป็นอย่างผิดทาง มันก็จะผิดทางกันไปหมด
มันเหมือนกับเชื้อไวรัส ยิ่งมีวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้นเท่าไร เจ้าเชื้อไวรัสนี้ก็แพร่ไปได้กว้างไกลเพียงนั้น
เป็นไปได้ไหมว่าแหล่งที่มาของปัญหามันลึกซึ้งมาก อาจจะมีอะไรผิดพลาดที่ขบวนทั้งหมดของความคิด อันเป็นของส่วนรวมที่เป็นของพวกเราทั้งหมด โดยปกติแล้วความคิดส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัจเจก หากก่อเกิดในวัฒนธรรมทั้งมวล และแผ่สยายปีกปกคลุมพวกเราอยู่ โครงสร้างอันลึกซึ้งของความคิดนี้แหละเป็นแหล่งที่มาและดำรงอยู่ตลอดเวลาควบคู่กับมนุษยชาติ
โบห์มมองไปว่า เป็นไปได้ไหมที่ปัญหานี้เกิดขึ้นมาระหว่างรอยต่อของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง อันเป็นรอยต่อระหว่างสมองเก่ากับสมองใหม่ รอยต่อที่ยังไม่ลงรอยดีนัก คือมันเกิดขึ้นที่สมองใหม่สามารถสร้างตัวแทนของการรับรู้ (representation) ขึ้นมา คือสร้างนามธรรมให้กับการรับรู้ และเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ แต่ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถใหม่ที่ได้มา แต่เกิดกับการที่เราไม่สามารถแยกแยะตัวแทนของการรับรู้กับการรับรู้และเรานำทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานเข้าเป็นชุดใหญ่แห่งตัวแทนของการรับรู้ขึ้นมา และอันนี้ก็เข้ามาเป็นรากฐานของความคิดทั้งปวง
โดยทั่วไป เราไม่สามารถสังเกตเห็นการเชื่อมโยงระหว่างตัวแทนของการรับรู้กับการรับรู้ ความคิดนั้นดูเหมือนว่าจะขาดความสามารถที่จะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ขบวนการนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว เป็นไปอย่างซ่อนเงื่อนงำอยู่ภายใน และมองไม่เห็น เราจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลองจินตนาการเห็นข้อมูลมาจากอายตนะ (ประสาทรับรู้) ที่สมองจัดระเบียบหาความหมายทางหนึ่ง และมีสายธานของข้อมูลมีทางหนึ่งมาจากความคิดและสองทางนี้ผสมผสานกันเข้าเป็นหนึ่ง เป็นผลรวมของตัวแทนแห่งการรับรู้ขึ้นมา ที่ผิดพลาดขึ้นมาไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่เราไม่ได้ตระหนักรู้ว่ามันเกิดขึ้นต่างหาก
การเกิดขึ้นของตัวแทนการรับรู้นี้ ก่อขึ้นมาเป็นสมบัติร่วมของมนุษยชาติ กลายเป็นโลกๆ หนึ่งที่ส่วนใหญ่พวกเราจะมองมันว่าเป็นโลกของความเป็นจริง บางคนอาจจะใช้คำว่าสามัญสำนึกแทน “โลกที่เป็นจริง” ใบนี้ เราจะมองโลกๆ นี้ ที่มนุษย์สร้างขึ้นและเป็นสมบัติร่วมใบนี้ว่าเป็นโลกมายาก็ย่อมได้ มันคงเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงอยู่ด้วยบ้าง แต่มันเป็นการตีความเพียงอย่างหนึ่ง ที่อาจตีความได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด และก็เป็นการตีความที่มีความผิดพลาดอยู่มากมาย ดังจะเห็นได้จากปัญหาที่แก้ไม่ตก และขยายตัวใหญ่โตรุกลามอยู่ในทุกวันนี้ จนถึงขนาดที่มนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลก
โลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกมายาหรือสมบัติร่วมแห่งโลกตัวแทนการรับรู้ที่มนุษย์สร้างร่วมกันมานี้ให้นิยามและตีความความเป็นตัวตนของปัจเจกบุคคลไว้ด้วย ได้ให้เนื้อที่ปัจเจกไว้ โดยนิยามปัจเจกนั้น แท้ที่จริงก็ถูกกำหนดด้วยโลกแห่งมายานี้เอง ซึ่งหมายความว่า ความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ แท้จริงก็ดำเนินไปในกรอบกำหนดของโลกมายาใบนี้ เนื้อที่ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นปัจเจกมากมายนั้น แท้ที่จริงก็ยังหนีไม่พ้นกรอบของโลกมายาใบนี้ เป็นเหมือนสีสันสไตล์ที่ดูแตกต่างแต่แท้จริงแล้วก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใดเลย
ถ้าการแก้ไขปัญาของโลกยังอยู่ที่การคิดโดยอาศัยตัวแทนของการรับรู้เช่นเดิม ก็จะไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน ความคิดนั้นก็ยังจะวนเวียนอยู่ในปัญหาเหมือนเดิม แต่ถ้ารื้อไปถึงการรับรู้โดยแทนที่จะไปอาศัยตัวแทนของความรับรู้อย่างสำเร็จรูปอยู่อย่างนั้น เรากลับมองให้ลึกซ้องผ่านพ้นความเป็นตัวแทนของการรับรู้ เข้าไปรับรู้โดยตรงและก่อรูความคิดขึ้นมาใหม่ ขบวนการคิดย่อมแปรเปลี่ยนไป โลกย่อมแปรเปลี่ยนไป
แต่เนื่องด้วยธรรมชาติของความคิดนั้นเป็นสมบัติร่วม การจะสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่า ที่ไม่วนเวียนอยู่กับมหาสมุทรแห่งตัวแทนของการรับรู้อย่างเดิมที่เป็นปัญหา เราต้องสร้างโลกร่วมกันเป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังผลักดันให้เกิดโลกใหม่ได้
แล้วโลกใหม่จะไปติดอยู่ในกรอบของอคติหนึ่งใดหรือหลายๆ อคติหรือไม่? แน่นอนสิ่งนั้นย่อมเป็นไปได้ แต่ด้วยการสนทนาที่เปิดใจแสวงหาสัจจะด้วยท่าทีที่สอบทานตัวแทนแห่งการรับรู้ได้เสมอพลวัตของวงสนทนานั้น ย่อมช่วยกันสามารถสลายอคติต่างๆ ให้เบาบางลงไปได้ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้โบห์มจึงนำเสนอรูปแบบการสนทนาแบบของเขา และก็มีการนำการสนทนาแบบนี้ไปใช้มากขึ้นทุกทีแล้ว ใน
หลายวงการ ในระดับโลก
มดเอ๊กซ:
คุณภาพชีวิตกับการสนทนา
คนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะทราบว่า การกระทำหนึ่งๆ ที่จะให้ออกมาดีนั้นต้องเตรียมการมากน้อยเพียงใด เราจะจินตนาการถึงภาพน้ำแข็งลอยน้ำ ที่ส่วนโผล่ปรากฎเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบหรือเศษหนึ่งส่วนสิบเอ็ดของส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น สิ่งที่พูดไปในเรื่องของการสนทนาในภาคที่หนึ่งและสอง ก็จะทำให้เกิดขึ้นได้ เราต้องตระเตรียมคุณภาพชีวิตอันเป็นบาทฐานที่สำคัญพร้อมกันไป และสัดส่วนก็คงเป็นสิบส่วนต่อผลได้ที่จะเอื้อให้ศิลปะแห่งการสนทนาเพียงส่วนเดียวแต่นั่นอาจจะหมายถึงว่า คนที่ก้าวมาหยิบจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน บาที อาจจะได้พัฒนาคุณภาพชีวิต อันมีส่วนช่วยสนับสนุนศิลปะแห่งการสนทนานี้ไปได้ไกลลิบแล้วก็เป็นได้
ในที่นี้คงไม่ได้ลงลึกไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปเสียเลยทีเดียว แต่ก็จะแตะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกัน โดยจะลงลึกพอสมควรที่จะให้แผนที่โดยสังเขปว่าอะไรจะเข้ามาเป็นตัวเอื้อบ้าง? อย่างไร?
และในทางกลับกัน เราจะเห็นได้ด้วยว่าการสนทนาก็จะย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือสำคัญในขบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง!
:47:
http://www.budpage.com/dialogue.shtml
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version