ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ความรู้สึกและเวทนาอารมณ์กับการเป็นโรค  (อ่าน 1405 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


นานๆ ทีถึงได้เขียนเรื่องโรค (ภัยไข้เจ็บ) กับเรื่องแพทย์โดยเฉพาะและพยาบาลหรือวิชาชีพอะไรที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข โรคกับการรักษาและป้องกันโรคที่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแพทย์ที่แยกกันไม่ออกสักที  ฉะนั้นบางทีผู้อ่านอาจคิดว่าผู้เขียนคงจะเขียนบทความที่แพทย์หรือพยาบาลบางคนเกิดมาอ่านเข้าอาจจะเข้าใจว่าที่ผู้เขียนอุตส่าห์เรียนจบมาทางแพทย์  แล้วหันไปเป็นนักคิดนักเขียนที่เขียนเรื่องค่อนข้าง “หนัก” นั้น โดยเฉพาะในระยะหลังๆ สุดท้ายแล้วก็กลับมาตายรัง คือหนีไม่พ้นที่จะกลับมาเขียนเรื่องของแพทย์-เรื่องของโรค (ภัยไข้เจ็บ) พูดอย่างนี้ - หากมองเฉพาะบริบทอันป็นเนื้อหาสาระของบทความของผู้เขียนในด้านนี้แล้ว น้ำหนักของบทความที่ผู้อ่านต้องคิดหนักแล้ว - ก็จะมีทั้งถูกและไม่ถูก คือถูกนั้นบางทีผู้เขียนอาจจะเขียนตรงไปตรงมา คือ ง่ายๆ ดั่งที่ผู้เขียนว่า “กลับมาตายรัง” (ต้องขอโทษที่พูดคล้ายกับว่าทำให้แพทยศาสตร์พยาบาลศาสตร์เป็นวิชาที่ง่าย) แต่ที่พูดว่าไม่ถูกคือบทความของผู้เขียนวันนี้ก็ไมใช่ง่ายนัก คือก็ต้องคิดหนักอยู่ดี เพราะมันเกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่นๆ ที่ต้องคิดหนักและจำต้องรู้พอสมควร อย่างน้อยก็ต้องรู้จิตวิทยาใหม่ พุทธศาสตร์ ลัทธิพระเวท และควอนตัมแม็คคานิกส์บ้าง ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกันนั้นจะนำมากล่าวต่อไป

ความจริงโดยเฉพาะแพทยศาสตร์นั้น ผู้เขียนค่อนข้างรู้จักดี เพราะว่าได้คลุกคลีและได้สอนทั้งนักเรียนแพทย์และอาจารย์มานาน 20 กว่าปี เมื่อ 30-40  ปีก่อนอย่างใกล้ชิด ก่อนจะลาออกมาทำงานการเมืองที่ลักษณะวิสัยที่แตกต่างกับวิชาแพทย์และอุปนิสัยกับการมองชีวิตส่วนตัวมากนัก งานทางการเมืองที่ยิ่งนานยิ่งเกลียดและกลัวนักการเมืองมากจนไม่กล้าพูดถึง พร้อมๆ กันนั้นก็เกลียดและกลัวอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับระบบสังคมของมนุษย์ ทุกๆ ระบบเลย เป็นต้นว่า ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบการแพทย์และการรักษา ระบบการทหาร ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีที่เอาม้าแกลบมาแข่งกับม้าเทศ ระบบเศรษฐกิจที่สนับสนุนแต่ตัณหาราคะ ที่ชาวฝรั่งตะวันตกคิดขึ้นมา และ “เหมือนบังคับ” ให้เราทั่วทั้งโลก - ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะคิดผิดๆ ว่าฝรั่งทั้งฉลาดทั้งเก่งและสวยกว่าผิวพรรณอื่นๆ จนกระทั่งพากันฉิบหายไปทั่วทั้งโลกดั่งที่มนุษย์ไม่ว่าอยู่ ณ ที่ใดของโลก - กำลังประสบเคราะห์กรรมอยู่เดี๋ยวนี้ - อย่าได้คิดว่ารายการนี้เป็นรายการด่าฝรั่ง  (ส่วนใหญ่) เป็นอันขาด เป็นการพูดตามเนื้อผ้าจริงๆ ว่าไปแล้ว เป็นฝรั่งส่วนน้อย ในราวๆ ประมาณ 25-30% (ดู Paul H. Ray ที่อ้างมาหลายหนแล้วประกอบ) ต่างหาก และลัทธิพระเวทโดยเฉพาะพุทธศาสนาที่ผู้เขียนคิดว่าจะเป็นผู้ช่วยโลก เป็นผู้นำโลกให้ผ่านพ้นวิกฤติโลกโดยไม่สิ้นสูญพันธุ์ไปทั้งหมด  วิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ไปได้ ระบบหรือหลักการที่ว่า - ซึ่งที่สำคัญพอๆ กับระบบเศรษฐกิจ - ทั้งยังมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยกรีก และลึกล้ำยิ่งนัก  และกระทบกับโลกในมุมกว้างและลึกมากกว่าระบบเศรษฐกิจ นั่นคือ ระบบการศึกษาหรือระบบความรู้ ซึ่งตั้งบนวัตถุรูปกาย (mater หรือ physical) อันเป็นความจริงทางโลกที่ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ ความจริงทางโลกที่มีความรู้อื่นๆ ที่คิดว่าจริงตามมาเป็นกระพรวนที่ล้วนแล้วแต่ผิดธรรมชาติอย่างแรง ทำให้มนุษย์เราและโลกฉิบหายดังกล่าว แม้ว่าความรู้ (เทคโนโลยีเป็นการเฉพาะ) นั้นสามารถทำให้มนุษย์มีคุณภาพของชีวิตดีขึ้น แต่ผลเสียมีมากกว่ามากนัก มากจนผู้เขียนคิดว่าโลกแทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเลยทีเดียว นั่นคือ หลักการวัตถุนิยม หรือแม็ตทีเรียลลิซึ่ม (materialism) นั่นคือ ความรู้หรือหลักการที่มองเฉพาะความจริงทางโลกหรือทางสังคม ซึ่งประกอบด้วยวัตถุ (matter) ที่แข็งกระด้าง หรือรูปกาย (physical) ซึ่งผู้เขียนจำเป็นต้องพูดซ้ำๆ เพราะว่ามันสำคัญมากๆๆ

และเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าดุร้ายหรือเป็นคน - ซึ่งภาษาทางวิชาการหรือองค์ความรู้จะเรียกว่าชีววิทยา (biology) เหมือนๆ กัน ทั้ง 2 เป็นชีวิตเหมือนๆ กัน รู้จักเอาตัวรอด (existentialism) เหมือนๆ กัน เพราะต่างก็มองเห็นเหมือนกัน มีหู มีจมูก มีลิ้น และมีประสาทสัมผัสที่เหมือนๆ กัน แต่ทำไม? สัตว์จึงไม่มีคุกตะราง แถมสัตว์ที่ดุร้าย มนุษย์คนใดก็ฆ่าได้และก็ไม่ผิดด้วย ไหนว่าสังคมจะต้องมีความเป็นธรรมไง? เพราะก็เป็นชีวิตเหมือนกัน มันจึงได้มีการเลือกปฏิบัติ มันจึงได้มีความเป็น 2 (dualism) มันจึงได้มีความจริงทางธรรมและมีจิตหรือนามยังไงล่ะ!

ในขณะเดียวกันฝรั่งตะวันตกที่รวยกว่าด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ใช่ของตน ก็ได้กำหนดกรรมโดยรวมให้แก่มนุษยชาติทั่วทั้งโลกจากการคิดและการกระทำที่ผิดธรรมชาติที่ว่านั้น   

มนุษย์เรานั้นผู้เขียนคิดเอาเองว่า มักจะมีความสับสนในเรื่อง 2 สิ่ง 2  ประการ คือ เรื่องของความจำอย่างหนึ่ง กับเรื่องของความจริงอีกอย่างหนึ่ง  ทั้งนี้ ทั้ง 2 อย่างทั้งความจำและความจริงนั้นจำต้องสัมพันธ์กับโลกหรือจักรวาล รวมทั้งการเกิดและการดับ (ตาย) ในภพภูมินั้นๆ (ชาติ-อันโต) เช่น  การเกิดและการตายของคนเราในโลกภพ สำหรับความจำนั้น อดีตนักควอนตัมฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโอเรกอน (Amit Goswami : Visionary  Window,  1999) บอกว่าเกิดจากอิเล็กตรอน (ที่มาเป็นคู่ๆ) ตัวหนึ่งของคู่ที่จะวิ่งไปพบกับ สิ่งที่มองเห็นในครั้งแรก เช่น ดอกไม้ แต่อิเล็กตรอนอีกตัวหนึ่งของคู่นั้น (ที่รู้จักลักษณะของสิ่ง (ดอกไม้)) นั้น โดยมันจะติดต่อกับอิเล็กตรอนตัวแรกโดยอัตโนมัติ (non-local connection) ซึ่งจะวิ่งไปยังอมิกดาลาของสมอง (ที่เก็บความจำชั่วคราว) ซึ่งเมื่อมองเห็นสิ่งนั้นอีกที (ดอกไม้) ก็จะจำได้ และจะนำไปเก็บไว้ที่ฮิปโปแคมปัส (ที่เก็บความจำระยะยาว) นั่นคือ การบริหารตัวรู้หรือจิตสำนึกอย่างหนึ่งของสมอง (ในที่นี้คือความจำ) ส่วนเรื่องของความจริงที่มนุษย์เราชอบสับสนนั้น คือ ความจริงทางโลก กับความจริงทางธรรม (ความจริงที่แท้จริง) ที่ใครๆ ที่ยังไม่บรรลุธรรมจริงก็ย่อมสับสนทั้งนั้น นั่นคือ ทวิตา  หรือความเป็น 2 (dualism) นั่นเอง ซึ่งรวมทั้ง “ความรู้ที่ฝรั่งตะวันตกคิดขึ้น”  แต่ทุกวันนี้ก็อย่างที่ผู้เขียนใช้คำว่า “ความรู้อื่นๆ ที่ตามมาเป็นกระพรวน” นั่นแหละ ความรู้ที่คนทั่วทั้งโลกใช้กันในทุกวันนี้ ยกเว้นศิลปศาสตร์ (arts and  aesthetics) และศาสนศาสตร์ หรืออะไรที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ (spirituality)  อย่างลึกซึ้ง

วันก่อนลูกชายซื้อสตูลิ้นมาฝากจากสีลมที่กินประจำตั้งแต่ยังเรียนแพทย์  และเคยพาลูกมากินเมื่อยังเล็กๆ ลูกชายคนนี้จบที่อเมริกาและอยู่ที่อเมริกานานมากๆ จนมีนิสัยเป็นฝรั่งเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ถามใน 2-3 ประเด็นที่สำคัญๆ  ที่ตอบไปแล้วไม่รู้ว่าเข้าใจทั้งหมดหรือไม่? เพราะพูดฝรั่งปนไทย และเพิ่งอายุ  50 กว่าๆ จึงพูดเร็วจนตอบไม่ทัน ที่ถามแสดงอุปนิสัยอเมริกัน ที่รู้เฉพาะแต่ความจริงทางโลกสถานเดียว เช่น เพื่อนคนหนึ่งที่จบที่อเมริกาและเทียวไปเทียวมาตลอด ที่สำคัญคือมีสติปัญญาเป็นยอด ก็เป็นเช่นเดียวกันที่ไม่รู้สัจธรรมหรือความจริงที่แท้จริงเลย ซึ่งเป็นความรู้ที่ตั้งต้นและลงท้ายที่วัตถุ (matter) ที่ฝรั่งและคนอเมริกัน 70-80% ที่คิดว่าจริงแท้ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์แบบนักวิชาการส่วนใหญ่ของไทยที่ฉลาดมากๆ คำถามของลูกมีว่าหนึ่ง มรรควิถี (path) ของชีวิตกับความสุขคืออะไร ก็ตอบไปว่า (จริงๆ แล้วไม่รู้ว่าลูกเข้าใจหรือไม่? เพราะว่าผู้เขียนมีเส้นเลือดตีบที่สมองซีกขวาบางส่วน) มรรควิถีที่สำคัญที่เกี่ยวกับ “ตัวกู” (self) นั้น - คิดเอาเองว่าในความจริงทางธรรม - ไม่มีหรอก ที่เราคิดว่าเป็นการเลือกของเรา (choices) นั้น เราเลือกเกิดเพื่อให้ตัวกู  (self) มาอยู่กับเรา ส่วนเป็นประเทศใด ผิวดำ-ขาว สูง-ต่ำ รวย-จน หรือเกิดเป็นขี้ข้า แม้กระทั่งการเลือกคู่ครอง (จริงๆ) การเลือกอาชีพ (จริงๆ) ฯลฯ เราก็เลือกไม่ได้ คนเวียนเกิด-ตายไปเรื่อยๆ จึงต้องคิดถึงกรรมที่กระทำในแต่ละภพนั้นๆ อย่าห่วงว่าจักรวาลนี้ต้องดับสักวัน แต่จักรวาลวิทยาใหม่ที่ตรงกับพุทธศาสนา - มีอายุไม่ถึง 10 ปี (พิสูจน์ด้วยทฤษฎีสตริง) บอกว่าจักรวาลมีอย่างไม่สิ้นสุด ทั้งหมดจึงเป็นไปด้วยกรรมที่มี 2 คือ ปัจเจกกรรม กับกรรมโดยรวม คิดว่าภพภูมิไหนก็ไม่ควรจะสร้างอกุศลกรรม

เร็วๆ นี้ก็จะมีกรรมร่วมของมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ที่ตายกันเป็นเบือ แต่ก็ไม่ใช่ตายหมดทั้งเผ่าพันธุ์ ซึ่งไม่ว่ามนุษย์เราจะเชื่อปฏิทินของชาวมายาอินเดียนแดง ลัทธิพระเวท กับเจมส์ ลัฟล็อก และบางคนขององค์การนาซา ฯลฯ หรือ 2020 หรือไม่? พร้อมๆ กันนั้นเกิดมีการวิวัฒนาการทางจิตไปสู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ในวงกว้างและลึกอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน  ทั้งหมดนั้นคือกรรมร่วมของมนุษย์ที่จะส่งผลให้เราคิดใหม่ เห็นใหม่ เหตุผลใหม่ มีระบบความเชื่อใหม่ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องเลือกทางเดินของเราใหม่

พูดนอกเรื่องมาเสียนาน ขอเข้าเรื่องโรคที่คิดว่าจะไม่เขียนมากเท่าไหร่?  เพราะว่าชีวิตสัตว์โลกที่มนุษย์ก่อขึ้นมานั้นหนักหนาสาหัสโดยได้ทำลายสรรพชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แต่ชีวิตอื่นๆ ด้วยแทบจะทั้งหมดจากความหลงใหลและยึดติดในความรู้ที่ผิดธรรมชาติ ระบบที่ผิดธรรมชาติ สังคม (ที่ฝรั่งคิด ทั่วทั้งโลกใช้) ที่ผิดธรรมชาติ มนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์จึงต้องรับกรรมนั้น ดูเม็กซิโก ดูนิวซีแลนด์ ดูญี่ปุ่น ดูปักษ์ใต้ ดูนิสัยความเคยชิน และ “กูก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกนี่หว่า” ทั้งหมดมันจึงไม่หมดเพียงแค่นี้ สายเกินไปที่คิดจะเปลี่ยน หรือหนี-จะหนีไปไหน?

ความรู้สึก (feeling) นั้นแตกต่างจากคำว่าเวทนาเล็กน้อย แต่อาจใช้แทนกันได้ เพราะว่าเวทนานั้น มักเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นอารมณ์เสมอไป บางคนจึงใช้เวทนาแทนอารมณ์ ซึ่งไม่ถูกต้อง ความรู้ของฝรั่ง (ซึ่งเดี๋ยวนี้ใช้กันทั่วโลก) มักแบ่งตัวรู้หรือจิตสำนึก (จิตใจ) เป็น 4 ระดับ คือ ความรู้สึก (ส่วนมากเป็น physical) อารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ

ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ผู้เขียนคิดว่าความรู้โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์วัตถุกายภาพแม็ตทีเรียลลิสต์ที่เราทั่วทั้งโลกเรียนหรือรู้ รวมฝรั่งทั้งหมดทุกประเทศที่เราในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเรียนหรือใช้อยู่ขณะนี้ และอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล “ไปชุบตัวเมืองนอก” ที่รวมผู้เขียนด้วยในอดีตที่ไม่นานนักถึงปัจจุบันได้เรียนรู้ความรู้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 30% และนั่นเป็นความรู้ทางโลกล้วนๆ  ทั้งนี้ ยกเว้นความรู้ศิลปศาสตร์ทั้งหลายที่ว่านั้น และสำหรับวิทยาศาสตร์ แน่นอนต้องยกเว้นฟิสิกส์ใหม่ ชีววิทยาใหม่ จิตวิทยาใหม่ จักรวาลวิทยาใหม่

การเป็นโรคนั้น เฉพาะโรคใหม่ๆ ที่เป็นผลของไฮเทคโนโลยีหรือเป็นผลของธรรมชาติที่ถูกกดขี่สุดๆ เช่น โรคจากกัมมันตรังสี เอดส์ มะเร็ง หรือกระทั่งโรคที่เกิดจากการกินสัตว์ที่ไม่ควรจะกิน โรคพวกนี้เป็นผลของวิถีชีวิตที่เสรีสุดๆ  และมีคุณภาพที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด ดื่ม กิน เที่ยว สูบ ฯลฯ ไม่อั้นและไม่ยั่น จนกระทั่งการเอาตัวให้รอดและมีชีวิตอยู่ให้ได้ในโลกนี้เป็นไปได้ยาก อย่าลืมคำว่าทุกอย่างในโลกนี้ “จะต้องเป็นไปตามความสมดุลพอเพียงพอดีถึงจะยั่งยืนตามเวลาของมัน (homeostasis) อย่างมะเร็งที่ไม่ใช่โรคเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้มาเป็นที่หนึ่งในการคร่าชีวิต ที่แม้แต่เด็กที่ไม่เป็นมะเร็งในอวัยวะทั่วๆ ไป ปัจจุบันพบลิทโฟมา-ลิวคีเมียมากขึ้น และนั่นก็ไม่เกี่ยวกับเพราะประชากรของโลกมีมากขึ้น.

http://www.thaipost.net/sunday/100411/36926
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...