ผู้เขียน หัวข้อ: รอดชีวิตเพราะบารมี พระอาจารย์อุบาลี  (อ่าน 1707 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



รอดชีวิตเพราะบารมี
พระอาจารย์อุบาลี อตุโล

: Palungjit .com

เป็นที่ประจักษ์ในหมู่ศิษย์แล้วว่า.หลังจากได้มาพบพระอาจารย์ ได้สนทนา ได้มาร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านแล้ว เหมือนชีวิตนี้มีคำตอบ มีทางออก ท่านมีเมตตากับศิษย์เสมอเหมือนกัน หลังจากฝากตัวเป็นศิษย์ท่านระยะหนึ่งพบว่าท่านเป็นที่พึ่งของศิษย์ได้ทั้งใน ทางโลกและทางธรรม ไม่มีคำถามใดที่ท่านตอบไม่ได้ ไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่มีทางออก ผู้ที่มีทุกข์ร้อนมาก็มักจะผ่อนคลาย แต่ละวันของท่านจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น อาจกล่าวได้ว่าไม่มีวันใดเลยที่กุฏิของท่านจะว่างเว้นจากผู้ที่ไปกราบ นมัสการท่านเพื่อสนทนาธรรม ปรึกษาปัญหาต่าง ๆ รวมถึงปัญหาชีวิต เป็นที่น่าสังเกตว่าปัญหาในหลาย ๆ เรื่องมิอาจตอบได้โดยใช้โลกิยปัญญา คือ ปัญญาในทางโลก หากแต่เป็นโลกุตรปัญญา คือ ปัญญาที่พ้นวิสัยโลกโดยแท้จริง

                         

ในกรณีนี้ ขอยกตัวอย่างเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับศิษย์ของท่านในเดือนธันวาคม ๒๕๔๗ กล่าวคือ ครอบครัวของคุณณัชนนท์-คุณพรวณี เรืองชัยนิคม อาศัยอยู่ตำบลในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก มีหน้าที่การงานมีหลักฐานที่มั่นคง เข้ามาเป็นศิษย์พระอาจารย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และตามปรกติคุณพรวณีจะมาถวายอาหารพระอาจารย์ทุกวัน ในเวลา ๑๐.๐๐ น. ซึ่งท่านจะฉันอาหารเพียงมื้อเดียว วันหนึ่งพระอาจารย์ปรารภขึ้นว่า ท่านจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาหลวง และจะไปเก็บว่านที่หายากข้างบนนั้นด้วย คุณพรวณีพร้อมด้วยคณะศิษย์รวม ๘ คน ด้วยความศรัทธาจึงตามพระอาจารย์ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาหลวงด้วย คุณพรวณีเล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่ไม่เคยเดินป่า หรือใช้ชีวิตในป่ามาก่อนความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ต้องนอนกลางดินกินกลางป่า ไฟฟ้าก็ไม่มี เวลากลางคืนแอบนอนร้องไห้พลางคิดในใจว่า จะไม่กลับขึ้นมาบนเขาหลวงอีก เวลาผ่านไป ๒ วัน ๓ คืน จึงได้กลับมาใช้ชีวิตปรกติที่บ้าน ต่อมาอีกไม่ถึงสัปดาห์ พระอาจารย์ปรารภขึ้นว่า มีความจำเป็นจะต้องพาศิษย์คณะเดิมขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาหลวงอีก ในวันที่ ๒๔ – ๒๕ – ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ การไปคราวนี้ให้จัดเตรียมหาสังฆทานไป ๙ ชุด นิมนต์พระ ๙ รูป จะจัดถวายมหาสังฆทานข้างบนเขาหลวงด้วย โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลให้ทราบว่าทำไมจึงต้องกลับขึ้นไปบนเขาหลวงอีก ทั้งๆ..ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ และทำไมต้องเป็นศิษย์คณะเดิม

ในขณะเดียวกัน คุณพรวณีและสามีคือคุณณัชนนท์พร้อมกับลูกสาว ๑ คนมีกำหนดจะเดินทางไปพักผ่อนที่ภูเก็ต สถานที่ที่จะไปพักคือ เกาะพีพี มีตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว มีกำหนดไปพักผ่อนระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๖ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ โดยไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบเลย แม้พระอาจารย์ก็ไม่ทราบ ส่วนคุณพรวณีนั้น ได้ปฏิญาณกับตนเองไว้ว่าจะไม่กลับขึ้นไปที่เขาหลวงอีก และมีกำหนดการจะไปพักผ่อนดังกล่าว จึงได้บอกกับพระอาจารย์ว่า “พระอาจารย์คะ การไปเขาหลวงครั้งนี้ โยมไม่ไปด้วยนะคะ ...” พระอาจารย์ไม่ตอบอะไร กลับเมินหน้าไปทางอื่น แม้ครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ครั้นครั้งที่ ๓ คุณพรวณีก็กล่าวเช่นเดิมอีก พระอาจารย์หันหน้าไปมองด้านหลัง พร้อมกับกล่าวว่า .... “ชีวิตของโยม...แล้วแต่โยมจะกำหนด...โยมเลือกเอาเอง...พระอาจารย์ช่วยได้เท่านี้..

ครั้นได้ฟังดังนี้ คุณพรวณีจึงคิดว่า คำพูดของพระอาจารย์คงมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ จึงยกเลิกกำหนดการไปพักผ่อนที่เกาะพีพี และร่วมกับศิษย์คณะเดิมขึ้นไปปฏิบัติธรรมและถวายมหาสังฆทานบนเขาหลวงตามคำ ของพระอาจารย์เวลาล่วงไปถึงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ พระอาจารย์ และคณะศิษย์ทั้ง ๘ คน ได้เดินทางลงจากเขาหลวง คะเนระยะทางได้ประมาณครึ่งทาง ประกอบกับถึงเวลา ๑๐.๐๐ น. พอดี คณะศิษย์จึงได้จัดอาหารถวายพระอาจารย์ บริเวณที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวข้างทาง ในระหว่างนั้น มีนักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นไปบนเขาหลวง และหยุดพักตรงจุดที่พระอาจารย์ฉันอาหารอยู่ พลางพูดขึ้นว่า “ตายกันเป็นพัน....” พระอาจารย์กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นพันหรอกโยม...ตายเป็นหมื่น...”

คุณ พรวณีได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความสงสัยว่า เรื่องที่นักท่องเที่ยวและพระอาจารย์พูดขึ้นมานั้น หมายถึงเรื่องอะไร เพราะอยู่บนเขาหลวงนั้นตัดขาดจากการรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง การสื่อสารทางโทรศัพท์ก็ไม่สามารถทำได้ จึงถามนักท่องเที่ยวคนนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณ...” นักท่องเที่ยวตอบว่า “เกิดคลื่นยักษ์ที่เรียกว่า สึนามิ ขึ้นที่ภูเก็ต บริเวณเกาะพีพี พังหมดเลย...” สิ้นเสียงตอบ ข้อสงสัยที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของคุณพรวณี ที่ว่าเหตุใดพระอาจารย์จึงต้องชวนให้คณะศิษย์ ขึ้นมาปฏิบัติธรรม ถวายมหาสังฆทานบนเขาหลวง คำพูดของนักท่องเที่ยวนี่เอง คือคำตอบพระอาจารย์ช่วยชีวิตครอบครัวของคุณพรวณีไว้ถึง ๓ ชีวิต มิทันที่จะกล่าวคำใดออกมาได้ เสมือนในคอมันตีบตัน น้ำตาเริ่มไหลออกมาเหมือนมิอาจควบคุมได้ คุณพรวณีก้มลงกราบพระอาจารย์ ๓ ครั้ง พลางหวนคำนึงถึงคำที่พระอาจารย์พูดกับนักท่องเที่ยวคนนั้น ยังดังก้องอยู่ในหู... “ไม่ได้เป็นพันหรอกโยม......ตายกันเป็นหมื่น...” ในดวงจิตบังเกิดความเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย ๒ ประการ คือ

๑. พระอาจารย์กำหนดรู้วาระจิตว่าครอบครัวของเรา (คุณพรวณี) มีกำหนดไปพักผ่อนที่เกาะพีพี ระหว่างวันที่ ๒๕ – ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๗
๒. พระอาจารย์ทราบล่วงหน้า ในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ จะเกิดคลื่นยักษ์ขึ้นที่ภูเก็ตและภาคใต้ ยังผลให้มีคนตายนับหมื่นคนนี่คือความรู้สึกของศิษย์พระอาจารย์คนหนึ่ง ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า พึงใช้วิจารณญาณของท่านไตร่ตรองดูเถิด

ข้อมูลเพิ่มเติม เรื่อง สึนามิในประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ.๒๐๐๔) - สึนามิจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย...คลื่นสึนามิครั้งแรกในประเทศไทย เกิดจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ.๒๐๐๔) ระลอกคลื่นยักษ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตล่าสุดจำนวนกว่า ๑๖๕,๐๐๐ ราย(มากกว่า ๑๐๕,๐๐๐ รายเสียชีวิตในอินโดนีเซีย)…คลื่นสึนามิได้ถาโถมเข้าถล่มและคร่าชีวิตผู้คน จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่ใกล้กับจุดเกิดแผ่นดินไหว เช่น..อินโดนีเซีย,..ไทย,..และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของ มาเลเซียไปจนถึงพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรในบังคลาเทศ, อินเดีย, ศรีลังกา, หมู่เกาะมัลดีลฟ์, และ แม้กระทั่งโซมาเลีย, เคนยา, และแทนซาเนีย ซึ่งตั้งอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันออก



เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
จักทำกรรมใด กรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น



เยสญฺจ สุสมารทฺธา
นิจฺจํ กายคตา สติ
อกิจฺจํ เต น เสวนฺติ
กิจฺเจ สาตจฺจการิโน
สตานํ สมฺปชานานํ
อฎฺฐํ คจฺฉนฺติ อาสวา


ส่วนชนเหล่าใด เจริญสติในกายเป็นนิตย์
ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำเฉพาะสิ่งที่ควรทำเสมอ
สำหรับชนผู้มีสติ สัมปชัญญะพร้อมมูลเหล่านั้น
อาสวะมีแต่จะหมดไป


ขอบคุณที่มาของบทความ
http://watchantawantok.org/webboard/...cseen#msg23606
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ