ภาคสอง : การจาริกสู่ อิกซท์แลน
...and I will leave. But the birds will stay, singing:
and my garden will stay, with its green tree, with its water well.
Many afternoons the skies will be blue and placid,
and the bells in the belfry will chime,
as they are chiming this very afternoon.
The people who have loved me will pass away,
and the town will burst anew every year.
But my spirit will always wander nostalgic
in the same recondite corner of my flowery garden.
The Definitive Journey
Juan Ramón Jiménez
๑๘. วงแหวนของหมอผี ในเดือนพฤษภาคมปี ๑๙๗๑ ผมไปหาดอนฮวนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของการเป็นศิษย์ผู้ฝึกฝนเพื่อจะเป็นหมอผี การไปหาดอนฮวนในครั้งนี้ก็เหมือนกับการไปเยี่ยมเยียนหลายๆ ครั้งตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา คือไปเพื่อแสวงหาความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับแกอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อนของดอนฮวน ดอนเกนาโร หมอผีชาวอินเดียนแดงเผ่ามาซาเต็กมาพักอยู่กับแกด้วย ผมพบทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกันทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมเยียนในระหว่างหกเดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าจะเป็นการดีหรือไม่ที่จะถามว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อดอนเกนาโรกล่าวชี้แจงออกมาว่า แกชอบทะเลทรายทางแถบเหนือมาก และแกกลับมาที่นี่อีกทันเวลาที่จะพบกับผมพอดี ทั้งสองคนหัวเราะออกมาราวกับว่าได้ทราบถึงความลับอะไรบางอย่าง
"ผมกลับมาที่นี่ก็เพื่อคุณเท่านั้น" ดอนเกนาโรบอก
"จริง" ดอนฮวนสนองคำพูดนั้น
ผมกล่าวเตือนความทรงจำของดอนเกนาโรว่า เมื่อผมมาที่นี่ในครั้งที่แล้วนั้น ความพยายามที่แกจะช่วยให้ผม "หยุดโลก" เป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับผม นี่เป็นการพูดอย่างเป็นกันเองที่สุดแล้วเพื่อชี้ให้ดอนเกนาโรทราบว่าผมกลัวแกมาก ดอนเกนาโรหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่พร้อมกับเขย่าตัวและถีบเท้าทั้งสองไปมาเหมือนกับเด็ก ดอนฮวนเลี่ยงที่จะมองมาทางผม แกหัวเราะออกมาเหมือนกัน
"คุณคงไม่พยายามที่จะช่วยผมอีก ใช่ไหม ดอนเกนาโร" ผมถาม
คำถามของผมทำให้ทั้งสองหัวเราะขึ้นมาอีกพักใหญ่ ดอนเกนาโรหัวเราะพลางพร้อมกับกลิ้งตัวไปมาบนพื้น ต่อมาแกนอนคว่ำหน้าลงทำท่าว่ายน้ำบนพื้นนั่นเอง เมื่อผมเห็นแกทำเช่นนั้นผมก็ทราบว่าตามไม่ทันเสียแล้ว อย่างไรก็ตามในขณะนั้นร่างกายของผมคงรู้ขึ้นมาว่า ผมได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ผมเองก็ไม่ทราบว่าจุดจบนั้นเป็นอะไรแน่ นิสัยชอบเห็นทุกสิ่งว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งและสิ่งที่ประสบมาร่วมกับดอนฮวนทำให้ผมเชื่อว่าจุดจบนั้นอาจจะเป็นการจบชีวิตของผมด้วย
ในครั้งสุดท้ายที่ผมมาพบกับหมอผีทั้งสองนี้ ดอนเกนาโรผลักดันให้ผมเข้ามาสู่ปากเหวแห่ง "การหยุดโลก" ความพยายามที่แกใช้กับผมนั้นพิลึกพิลั่นและตรงไปตรงมาจนดอนฮวนเองถึงกับต้องบอกให้ผมผละไปก่อน
การแสดง "พลัง" ของดอนเกนาโรนั้นพิเศษสุดและน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่แกแสดงนั้นกระตุ้นให้ผมพิจารณาตัวเองใหม่โดยสิ้นเชิง ผมเดินทางกลับตรวจดูบันทึกที่ผมได้จดเอาไว้นับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนที่จะเป็นหมอผี และสำรวจความรู้สึกใหม่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างลึกลับถึงแม้ว่าผมจะไม่ทราบอย่างชัดเจนนัก จนกระทั่งผมเห็นดอนเกนาโรว่ายน้ำบนบกในครั้งนี้
การทำท่าว่ายน้ำบนพื้นเริ่มขึ้นเมื่อดอนเกนาโรนอนคว่ำหน้าลง ซึ่งลงรอยกันสนิทกับการกระทำที่ประหลาด น่าพิศวงหลายครั้งที่แกแสดงให้ผมดู ให้ตอนแรกหัวเราะอย่างหนักจนร่างของแกสั่นเทิ้มไปหมด ต่อมาแกเอาเท้าทำเป็นจังหวะสอดคล้องกับการวาดมือทั้งสอง และดอนเกนาโรเริ่มเลื่อนตัวไปกับพื้นทีละเล็กละน้อยราวกับว่าแกนอนคว่ำหน้าบนไม้กระดานที่มีไม้กลมรองเอาไว้แกว่ายไปทางโน้นทางนี้และวนอยู่ในบริเวณหน้าบ้านของดอนฮวน ยักย้ายไปมารอบๆ ตัวของผมและดอนฮวน
ดอนเกนาโรเคยแสดงสิ่งบ้าๆ บอๆ เบื้องหน้าของผมมาแล้ว และทุกครั้งที่แกแสดงเช่นนั้นดอนฮวนยืนยันว่าผมเกือบจะ "เห็น" ทุกคราวไป แต่ความล้มเหลวที่ทำให้ผมไม่ "เห็น" นั้นเนื่องมาจาก การที่ผมยืนกรานในความพยายามที่จะอธิบายการกระทำทุกอย่างของดอนเกนาโรด้วยความเห็นธรรมดาสามัญ แต่คราวนี้ผมระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อแกทำท่าว่ายน้ำ ผมก็ไม่พยายามที่จะอธิบายหรือทำความเข้าใจในสิ่งที่มองเห็น ผมมองดูเฉยๆ และแม้จะทำเช่นนั้นผมก็อดที่จะตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกทีเดียว ดอนเกนาโรเลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยท้องและอกจริงๆ นัยน์ตาของผมเริ่มมองไขว้กันขณะที่ผมดู ผมเริ่มรู้สึกหวาดกลัวและถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าถ้าหากผมไม่หาคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้แล้ว ผมอาจจะ "เห็น" และความคิดที่จะเกิดขึ้นนั้นจะทำให้ผมวิตกกังวลขึ้นมา คำคาดการณ์ที่น่าวิตกเป็นการล่วงหน้านั้น ในส่วนหนึ่งทำให้ผมถอยกลับเข้ามาสู่จุดเดิมคือติดอยู่กับข่ายของความพยายามอย่างสามัญอีกครั้งหนึ่ง
ดอนฮวนคงเฝ้าดูผมอยู่ ทันใดนั้นแกเอามือมาแตะตัวของผมทำให้ผมหันไปดูแกทันที และในขณะที่ผมหันหน้าไปนั้นผมก็ละสายตาออกจากดอนเกนาโรแวบหนึ่ง เมื่อผมหันกลับมามองดอนเกนาโรอีกครั้งก็เห็นแกมายืนข้างตัวของผม คางของแกเกือบจะวางอยู่บนไหล่ของผม ผมสะดุ้งเฮือกๆ อยู่นาน และมองดูแกสักหนึ่งนาทีแล้ว ผมกระโดดผึงออกไปทางด้านหลัง
การทำท่าแปลกใจของดอนเกนาโรน่าขำมากทำให้ผมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ถึงจะหัวเราะผมก็อดที่จะสังเกตไม่ได้ว่าการหัวเราะนั้นผิดปกติมาก ร่างกายของผมสั่นกระตุกเป็นช่วงๆ ซึ่งมีกำเนิดจากช่องท้อง ดอนเกนาโรเอามือมาวางไว้ที่ท้องของผมและสิ่งที่ไหวเป็นระลอกตรงนั้นหยุดลง
"เจ้าหนูคาลอสนี้มีอะไรเกินธรรมดาเสมอไปแหละ!" แกพูดโพล่งออกมาราวกับว่าเป็นคนชอบบ่นจู้จี้
ต่อมาดอนเกนาโร พูดต่อโดยเลียนท่าทางของดอนฮวนว่า "คุณไม่รู้หรือว่า นักรบเขาไม่หัวเราะอย่างนั้น"
การแสดงท่าล้อเลียนของแกใกล้เคียงมากซึ่งทำให้ผมหัวเราะหนักขึ้น
ต่อจากนั้นทั้งสองคนออกจากบ้านไปด้วยกัน และหายไปเกือบสองชั่วโมงเกือบจะถึงเวลาเที่ยง เมื่อกลับมาถึงทั้งสองนั่งอยู่หน้าบ้าน ไม่พูดคุยกันเลย คงง่วง เหนื่อยและอาจจะพูดได้ว่าใจลอย ทั้งสองนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่นาน แต่แม้จะอยู่ในท่านั้นก็เห็นได้ว่าสบายและผ่อนคลาย ดอนฮวนเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกับว่าแกกำลังหลับแต่มือของแกประสานกันอยู่บนตักและนิ้วหัวแม่มือนั้นไหวไปมาเป็นจังหวะ
ผมขยุกขยิกและเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง แต่ต่อมาผมรู้สึกว่าสงบลงได้จริงๆ ผมคงเคลิ้มหลับไปเพราะเสียงหัวเราะหึๆ ของดอนฮวนทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมา ผมลืมตาและพบว่าทั้งสองกำลังจ้องดูผมอยู่
"ถ้าคุณไม่พูด คุณก็หลับ" ดอนฮวนพูดพร้อมกับหัวเราะ
"เห็นจะจริง" ผมตอบ
ดอนเกนาโรนอนหงายลงกับพื้นแล้วถีบเท้าทั้งสองไปมาในอากาศ ผมคิดว่าแกกำลังจะทำตลกพิสดารอีกแล้ว แต่ทันใดแกก็ผลุดลุกขึ้นนั่งในท่าขัดสมาธิ
"ในตอนนี้คุณน่าจะรู้สึกในสิ่งหนึ่งแล้ว" ดอนฮวนพูด ""ผมเรียกสิ่งนั้นว่า ลูกบาศก์เซนติเมตรของโชค เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือไม่ก็ตาม จะมีลูกบาศก์เซนติเมตรของโชค (cubic centimetre of chance) ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเราเป็นครั้งคราว ความแตกต่างระหว่างนักรบกับคนธรรมดาก็คือ นักรบจะรู้สึกในการปรากฏตัวอันนี้และหน้าที่อย่างหนึ่งของเขาก็คือตื่นตัว รอคอยอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อว่าในขณะที่ลูกบาศก์เซนติเมตรของเขาโผล่ขึ้นมา เขาก็จะมีความรวดเร็ว ความกล้าหาญอันเหมาะเจาะที่จะหยิบมันขึ้นมา...
"โอกาส โชค พลังส่วนตัว หรือคุณจะเรียกมันว่าเป็นอะไรก็แล้วแต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดเอาการ มันเหมือนกับกิ่งเล็กๆ ของต้นไม้ที่งอกออกมาเบื้องหน้าของเราและหมายจะให้เราเด็ด แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว เรามักจะมีงานยุ่ง หมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือไม่ก็โง่เขลา หรือขี้เกียจที่จะไปนำพาว่านั่นเป็นลูกบาศก์เซนติเมตรแห่งโชคดีของเราเอง แต่ในทางตรงกันข้าม นักรบจะตื่นตัว ทำตนให้กระชับอยู่เสมอไป และมีแรงที่จะกระโดดหรือมีความอาจหาญพอที่จะฉวยมันเอาไว้"
"ชีวิตของคุณมีความกระชับหรือเปล่าล่ะ" ดอนเกนาโรถามขึ้นอย่างกะทันหัน
"ผมคิดว่ากระชับ" ผมตอบด้วยความมั่นใจ
"คุณคิดว่า จะมีความสามารถปลิดลูกบาศก์เซนติเมตรแห่งโชคลงมาได้ไหมล่ะ" ดอนฮวนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเชื่อนัก
"บางทีผมอาจจะหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าในระยะนี้ผมมีสติดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา" ผมตอบด้วยความจริงใจ
ดอนเกนาโรผงกหัวเห็นด้วย "ใช่" แกพูดออกมาเบาๆ
"เจ้าหนูคาลอสมีชีวิตที่กระชับและตื่นตัวเต็มที่จริง"
ผมกลับรู้สึกว่า ทั้งสองกำลังล้อเลียนอยู่ บางทีการพูดถึงสภาวะที่กระชับในชีวิตของผม อาจทำให้ดอนฮวนและดอนเกนาโรหงุดหงิดขึ้นมาก็ได้
"ผมไม่คิดจะคุยโวหรอก" ผมบอก ดอนเกนาโรเลิกคิ้วแล้วทำรูจมูกให้บานออก แกชำเลืองดูสมุดบันทึกของผมแล้วแกล้งทำเป็นเขียนหนังสือ
"ผมคิดว่าคาลอสมีสติดีขึ้นกว่าทุกคราวที่ผ่านมา" ดอนฮวนพูดกับดอนเกนาโร
"เขาอาจจะสติดีจนเกินไป" ดอนเกนาโรพูดสวนออกมา
"อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้" ดอนฮวนยอมรับ ผมไม่ทราบว่าจะพูดสอดขึ้นมาในเรื่องอะไรจึงหุบปากเงียบ
"คุณจำคราวที่ผมดับเครื่องรถของคุณได้หรือเปล่า" ดอนฮวนถามขึ้นมาลอยๆ คำถามของแกโพล่งขึ้นมาและไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดกันอยู่นั้นเลย แกพาดพิงถึงครั้งหนึ่งที่ผมสตาร์ทรถไม่ติดจนดอนฮวนบอกให้ผมลองใหม่และรถจะติดอย่างแน่นอน ผมบอกว่าคงไม่มีใครลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้
"นั่นไม่มีความหมายอะไร" ดอนฮวนกล่าวตามจริง "ไม่มีความหมายอะไรเลย ใช่ไหมเกนาโร"
"จริง" ดอนเกนาโรพูดอย่างไม่มีน้ำเสียง
"คุณหมายความว่าอย่างไรดอนฮวน" ผมพูดในทำนองคัดค้าน "สิ่งที่คุณทำในวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงจริงๆ"
"นั่นไม่ใช่การพูดมากเกินจริงหรอก" ดอนเกนาโรย้อน ทั้งสองหัวเราะออกมาอย่างดัง ดอนฮวนเอามือตบหลังของผม
"เกนาโรสามารถที่จะทำสิ่งที่ยิ่งไปกว่าการดับเครื่องยนต์รถของคุณ" ดอนฮวนพูดต่อ "จริงไหม เกนาโร"
"จริง" ดอนเกนาโรพูดพร้อมกับย่นริมฝีปากเหมือนเด็กๆ
"ดอนเกนาโรทำอะไรได้ล่ะ" ผมถาม พยายามที่จะแสดงว่าไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น
"เกนาโรอาจทำให้รถของคุณหายไปได้เลย!" ดอนฮวนร้องออกมาด้วยเสียงดังก้องกังวาน แล้วแกพูดต่อในระดับเสียงเดิม "จริงหรือเปล่า เกนาโร"
"จริง!" ดอนเกนาโรสวนขึ้นด้วยเสียงที่มนุษย์อาจทำให้ดังที่สุดได้
ผมกระโดดโหยงโดยไม่ตั้งใจ ร่างของผมกระตุกอยู่สามสี่ครั้ง
"อะไรกันนะ ดอนเกนาโรสามารถที่จะทำให้รถของผมหายไปทั้งคันได้อย่างนั้นรึ" ผมถาม
"ผมหมายถึงอะไรล่ะ เกนาโร" ดอนฮวนถาม
"คุณหมายถึงว่า ผมสามารถที่จะเข้าไปนั่งในรถของเขาติดเครื่องแล้วขับออกไป"
ดอนเกนาโรตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีเคลือบแคลง
"ขับไปเลยอย่างนั้นรึ เกนาโร" ดอนฮวนถามขึ้นกึ่งล้อเลียน
"ผมขับไปแล้ว!" ดอนเกนาโรพูดพร้อมกับย่นหน้าแล้วชายตามาทางผม
ผมสังเกตเห็นว่าขณะที่แกนิ่วหน้าคิ้วของแกกระตุกเล็กน้อย นัยน์ตาของแกมีแววซุกซนและคมปลาบ
"อย่างนั้นรึ!" ดอนฮวนพูดเบาๆ "เราไปที่นั่นเพื่อดูรถกันดีกว่า"
"ใช่!" ดอนเกนาโรสนอง "เราไปที่นั่นเพื่อดูรถกันดีกว่า"
ทั้งสองยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า ผมไม่ทราบว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่ดอนฮวนทำสัญญาณบอกให้ผมยืนขึ้น
เราเดินขึ้นเนินเล็กๆ หน้าบ้านของดอนฮวน ทั้งสองเดินขนาบผมไป ดอนฮวนอยู่ทางขวามือส่วนดอนเกนาโรอยู่ทางซ้าย ห่างออกไปข้างหน้าราว ๖ ฟุต แต่ก็อยู่ในคลองสายตาของผม
"เราไปดูรถกันดีกว่า" ดอนเกนาโรพูดถ้อยคำเดิมขึ้นมาอีก
ดอนฮวนโบกมือไปมาราวกับว่ากำลังถักทอเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ดอนเกนาโรก็ทำอย่างเดียวกันพร้อมกับพูดว่า "เราไปดูรถกันดีกว่า" ซ้ำๆ ซากๆ ทั้งสองเดินท่าขย่ม เท้าที่ก้าวออกไปนั้นยาวกว่าธรรมดาส่วนมือก็ไหวไปมาราวกับว่าจะปัดหรือตีสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหน้า ผมไม่เคยเห็นดอนฮวนทำตลกอย่างนี้มาก่อนจึงรู้สึกกระดากที่จะมองดู
เราเดินขึ้นมาถึงยอดเนิน ผมมองลงไปข้างล่างระยะทางประมาณ ๕๐ ฟุต ตรงที่ผมจอดรถเอาไว้ บริเวณกระเพาะของผมกระตุก รถไม่ได้อยู่ที่นั่น! ผมวิ่งลงไปตามเนิน มองไม่เห็นรถจากที่ตรงไหนเลย ผมรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างมาก และไม่เข้าใจอะไรเลย
เมื่อผมมาถึงในตอนเช้าผมจอดรถไว้ที่นี่ คงสักครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมยังกลับมาเอาสมุดเล่มใหม่ที่ใช้เขียนบันทึก ตอนนั้นผมคิดว่าจะเปิดหน้าต่างรถเอาไว้เพื่อระบายความร้อน แต่ยุงและแมลงที่มากมายในแถบนั้นทำให้ผมเปลี่ยนใจ ผมปิดประตูรถไว้เหมือนเดิม ผมมองไปรอบๆ อีกครั้ง
ผมไม่เชื่อเลยว่ารถจะหายไป ผมเดินไปจนสุดบริเวณที่เป็นที่โล่ง ดอนฮวนและดอนเกนาโรเดินตามไปด้วยและมายืนข้างตัวผม ทำท่าเหมือนกับที่ผมทำอยู่ คือจ้องมองไปข้างหน้าเพื่อดูว่าจะพบรถที่ไหนบ้าง ครู่หนึ่งที่ผมรู้สึกอิ่มเอิบขึ้นมา ผลักไสความหงุดหงิดออกไป ทั้งสองทราบถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม จึงเดินไปรอบตัวของผมพลางเคลื่อนไหวมือไปมาเหมือนกับกำลังกลิ้งแป้งเพื่อทำขนม
"คุณคิดว่าอะไรเกิดขึ้นกับรถยนต์คันนั้นเกนาโร" ดอนฮวนถามเหมือนไม่มีแรง
"ผมขับมันไปนะสิ" ดอนเกนาโรตอบแล้วทำท่าเปลี่ยนเกียร์รถแรง ๆ ขณะที่ขับมันไป แกย่อตัวลงราวกับว่ากำลังนั่งและอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งโดยใช้กล้ามเนื้อตรงขาเท่านั้นเพื่อพยุงร่างเอาไว้ ต่อมาแกเลื่อนน้ำหนักตัวมาที่ขาขวา เหยียดขาซ้ายออกไปเพื่อเลียนท่าเหยียบคลัช ดอนเกนาโรทำเสียงรถยนต์ด้วยริมฝีปาก และที่เยี่ยมที่สุดคือ แกทำเป็นว่าตกลงไปในหลุมตามถนนทำให้รถกระโดดขึ้นๆ ลงๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกอย่างจริงจังถึงนักขับรถผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ยอมปล่อยพวงมาลัยแม้รถจะผกโผนเพียงใดก็ตาม
การแสดงของดอนเกนาโรเยี่ยมยอดจริงๆ ดอนฮวนหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน ผมอยากมีส่วนร่วมในความสนุกสนานนั้น แต่ผมคลายอารมณ์ลงมาไม่ได้ ผมรู้สึกว่าถูกคุกคามและไม่สบายใจจริงๆ ความวิตกกังวลชนิดที่หาที่มาไม่ได้จากชีวิตที่ผ่านมาแล้วเกิดขึ้นกับผม ผมรู้สึกไหม้อยู่ในอก และเริ่มเตะก้อนหินเล็กๆ อยู่บนพื้น และในที่สุดก็ขว้างก้อนหินเหล่านั้นออกไปด้วยความโมโหไม่รู้สึกตัวและไม่คาดมาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ในขณะเช่นนั้น ความโกรธดูเหมือนจะอยู่ข้างนอก แล้วมันจู่เข้ามาหาตัวของผมโดยรอบ ต่อมาความหงุดหงิดขุ่นเคืองนั้นออกจากตัวของผมไปอย่างประหลาดเหมือนกับตอนที่มันจู่เข้ามา ผมหายใจลึกและรู้สึกตัวว่าดีขึ้น
ผมไม่กล้ามองดูดอนฮวน การที่ผมแสดงอาการโกรธออกมานั้นทำให้ผมอาย แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากจะหัวเราะ ดอนฮวนเดินเข้ามาแล้วเอามือตบหลังของผม ดอนเกนาโรเอื้อมมือมาโอบไหล่
"ไม่เป็นไรน่า!" ดอนเกนาโรพูด "ทำตามอารมณ์ต่อไปสิ ชกจมูกตัวเองให้เลือดไหลออกมา ต่อจากนั้นคุณอาจหยิบเอาก้อนหินแล้วทุบเอาฟันออก มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น! ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำให้คุณดีขึ้น คุณก็อาจจะทุบลูกอัณฑะของคุณด้วยหินก้อนเดียวกันนี้โดยวางมันลงบนหินใหญ่ก้อนนั้นก็ได้"
ดอนฮวนหัวเราะคิกๆ ออกมา ผมบอกกับทั้งสองว่าผมรู้สึกอับอายที่ทำอะไรออกมาอย่างแย่ที่สุด ผมไม่ทราบว่าอะไรจู่ลู่เข้ามาสู่ตัวของผม ดอนฮวนบอกว่า ผมรู้ชัดทีเดียวว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้และอาการที่แกล้งทำเป็นไม่รู้นั่นเองทำให้ผมโกรธ
ดอนเกนาโรทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด แกตบหลังของผมครั้งแล้วครั้งเล่า
"สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน" ดอนฮวนบอก
"ที่พูดอย่างนั้นคุณหมายความว่าอย่างไร ดอนฮวน" ดอนเกนาโรถามเลียนเสียงของผม พลางล้อเลียนความเคยชินที่ผมชอบถามปัญหาต่างๆ กับดอนฮวน
ดอนฮวนกล่าวถ้อยคำบ้าๆ บอๆ ออกมาเช่น "เมื่อโลกเอาหัวลง เรากลับเอาหัวขึ้น แต่เมื่อโลกเอาหัวขึ้น เรากลับพลิกหัวลง และตอนนี้เมื่อโลกและตัวเราตั้งหัวขึ้น เรากลับคิดว่าเอาหัวลง..." แกพูดในทำนองนี้ไปเรื่อยๆ พร่ำเพ้อถึงถ้อยคำที่เข้าใจไม่ได้ ส่วนดอนเกนาโรก็ล้อเลียนการจดบันทึกของผม แกเขียนลงบนสมุดบันทึกที่มองไม่เห็น พร้อมกับผึ่งรูจมูกของแกไปด้วยในขณะที่ไหวมือไปมา ดวงตาก็เบิกกว้างจ้องเขม็งดูดอนฮวน ดอนเกนาโรเลียนท่าที่ผมพยายามเขียนโดยไม่มองดูที่สมุด เพื่อจะไม่ให้การสนทนาในขณะนั้นชะงัก การแสดงของแกสนุกจริงๆ
ผมรู้สึกเป็นปกติและสบายขึ้นมาในทันใด เสียงหัวเราะของทั้งสองทำให้อบอุ่น ผมปลดปล่อยความรู้สึกหมกมุ่นออกไปและหัวเราะเต็มเสียง แต่ในขณะต่อมานั้นจิตก็ตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัว หงุดหงิด และสับสนในอีกลักษณะหนึ่ง ผมคิดว่า ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้เลย ความจริงมันเข้าใจไม่ได้เลยตามลำดับเหตุผลที่ผมคุ้นเคย ในอันที่จะตัดสินโลก แต่กระนั้นก็ตาม ในฐานะที่เป็นผู้รับรู้สิ่งต่างๆ ผมก็รู้ว่ารถไม่ได้จอดอยู่ที่นั่น ความคิดผุดขึ้นมา เหมือนกับทุกคราวที่ดอนฮวนทำให้ผมเผชิญกับอุบัติการณ์ที่พิลึกพิลั่น ว่าผมถูกหลอกด้วยกลวิธีสามัญ เมื่อถูกบีบคั้น จิตของผมกลับมาคิดในโครงสร้างเดิมโดยอัตโนมัติและซ้ำๆ ซากๆ อยู่เสมอไป