ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีแผ่นดินไหวอาจผิดก็ได้-แต่นึกถึงกรรมบ้าง  (อ่าน 1693 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


จริงๆ แล้วผู้เขียนกลับมาจากการ “ชุบตัว” ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อต้นปี  1960 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สภาคองเกรสของอเมริกายกเลิกกฎหมายที่ห้ามอะไรๆ  ที่เป็น “เอเชียน” ห้ามเข้าอเมริกา ซึ่งข้อห้ามนี้รวมทั้งคน แต่สำหรับหมออาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะผู้เขียนเดินทางเข้าอเมริกาตั้งแต่ต้นปี 1957 ในขณะที่กฎหมายยังใช้บังคับ จึงต้องใช้วีซ่าการแลกเปลี่ยนคน คล้ายๆ กับคนพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้เขียนตอนไปใหม่ๆ ยังถูกสัมภาษณ์ด้วยหนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง (Boston Globe) และวีซ่ากับการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ได้ช่วยให้ผู้เขียนรอดพ้นจากการเข้าคุกและขึ้นศาลอเมริกาในกรณีขับรถยนต์โดยไม่มีใบขับขี่ไปชนรั้วบ้านเขาพัง ที่ยกเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะว่าในช่วงนั้นนับเป็นช่วงเวลาที่มีการศึกษาค้นคว้าและสังเกตปฐพีวิทยา นำมาซึ่งความเข้าใจของวิทยาศาสตร์ว่าด้วยโลก และดิน หิน น้ำ และบรรยากาศที่เราเรียนเราใช้ - เรียนอยู่ทุกวันนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนที่ของทวีป (continental drift) ไปทางเหนือและทางตะวันตกตลอดเวลา ซึ่งได้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทวีปให้ลอยห่างขึ้นที่ทฤษฎีนี้อธิบายไม่ได้ และนักวิทยาศาสตร์ต่างพากันลืมเลือนสาเหตุที่ทำให้ทวีปลอยห่างจากกัน ซึ่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็เกิดจากช่องว่างที่เกิดจากทวีปลอยห่างจากกันนี้เอง   

                                                                                                           
และทฤษฎีการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกของอัลเฟรด เวกจ์เนอร์ (plate tectonic theory) นี้ก็ได้ใช้อธิบายส่วนใหญ่ของการเกิดแผ่นดินไหวในปัจจุบันได้  ซึ่งทฤษฎีที่ว่านี้ได้รับการยอมรับในทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์นานนับสิบปี หลังจากที่ผู้เขียนกลับมาถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

ทฤษฎีเพลตเทคโทนิกที่อธิบายการเกิดของแผ่นดิน การเคลื่อนที่ของทวีป และตอนหลังๆ มานี้ใช้อธิบายแผ่นดินไหวทางอ้อมและทางตรงได้ด้วย ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าชั้นหินเปลือกโลก (crust) ที่บางมากเมื่อเทียบกับเส้นผ่าศูนย์กลางโลก (ที่บาง 12-40 ไมล์) ที่มีราวๆ 1 โหลแผ่นใหญ่ (ไม่นับแผ่นหรือแขนงเล็กที่อยู่ระหว่างแผ่นที่ใหญ่กว่าที่เกิดจากการเบียดเสียดชนกระแทกกัน  มันจึงเหมือนกับรองเท้าแตะหรือโฟมที่อยู่ในกระทะเคี่ยวน้ำตาลปึกที่ร้อนจัดอยู่ตลอดเวลาอยู่ข้างใต้ ทำให้รอยแยกเล็กๆ ระหว่างรองเท้าแตะ โฟมหรือชั้นเปลือกโลกสามารถนำของเหลวเช่นน้ำตาลปึกที่ร้อนจัด (magma) ที่อยู่ลึกลงไปข้างใต้เช่นในใจกลางโลกให้ขึ้นมาบนผิวโลก) หรือในทางกลับกัน เราอาจอธิบายภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการของผิวโลก การเปลี่ยนแปลงของแนวภูเขา การเกิดและการหายไปของแผ่นดินและเกาะแก่งต่างๆ ตลอดเวลาของประวัติศาสตร์ของโลก นั่นคือการเกิดของโลกที่เป็นตามเหตุปัจจัยของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นการเตรียมล่วงหน้าไว้เพื่อมนุษย์ ดู cosmological anthropic principle อันเป็นความจริงของควอนตัมเม็คคานิกส์)  ซึ่งผู้เขียนเชื่อมั่นว่าเมื่อมีวิวัฒนาการของสัตว์โลกเกิดขึ้น เมื่อมีวิวัฒนาการของ  “ชีวิต” เกิดขึ้น วิวัฒนาการของรูปและนามหรือกายและจิต แล้วเท่านั้นที่กฎแห่งกรรมหรือกฎแห่งจิตจะทำงาน

ตรงนี้ก่อนจะหาว่าผู้เขียนคิดไกลตัวเกินไป อยากจะขอร้องให้ผู้อ่านช่วยคิดตามการเขียนของผู้เขียนใน 2 ประเด็นตามหัวเรื่องของบทความวันนี้ 1.ในทางปฐพีวิทยา ซึ่งจะเล่าต่อไปที่คิดว่าทฤษฎีที่เราใช้หรือเรียนกันที่เกี่ยวกับแผ่นดินไหวในขณะนี้ “อาจผิดก็ได้” นั้น ผู้เขียนคิดว่าผิดอย่างไร? 2.ในฐานะที่ผู้เขียนเขียนเรื่องศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา และวัฒนธรรมเวดิค หรือลัทธิพระเวท  ที่พูดเรื่องของกรรมมานาน ใคร่ขอให้ผู้อ่านช่วยไตร่ตรองด้วยว่า ชาวโลก คนไทยหรือคนกรุงเทพฯ ประกอบกรรมอย่างไรหรือไม่? ที่เรามัวเมาบ้าคลั่งอยู่กับกิเลสตัณหาโลกียกาม และคงไว้ซึ่งระบบสังคม ระบบการเมือง โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจทุนนิยม - มากหรือน้อยโดยไม่คิดถึงอะไรนอกจากหากำไรสูงสุดให้ได้  กับเงิน เงินและเงิน - ที่พูดว่าไม่คิดถึงอะไรที่ว่านั้นคือสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอย่างกับว่า “เป็นมนุษย์เสียอย่างทำอะไรไม่ผิด” - ขออย่างเดียว - อย่าผิดกฎหมายเป็นใช้ได้ ซึ่งแปลก! ที่เราเอาความคิดคนกับตัวหนังสือมาคุมคน

                                                                                                                                                                                             
ในทางปฐพีวิทยานั้น ทีแรกมีแต่น้ำตื้นๆ แผ่นดินงอกจากทวีปแอนตาร์กติกเมื่อ 400 ล้านปีมานี้เอง และทวีปทั้งหมดก็มีเพียงหนึ่งเดียวเรียกว่าแพงเกีย  ที่หมายถึงแผ่นดินทั้งหมด ทฤษฎีเพลตเทคโทนิกเป็นทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยส่วนใหญ่ไม่คิดอะไรจึงว่าตามๆ กันไป อย่างไรก็ตาม  มันก็เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีคนเรียนอยู่แล้ว และที่พูดนี้ก็ไม่ได้กระแนะกระแหนใคร เมื่อไม่ค่อยมีคนเรียนมากก็มีคนสงสัยน้อย ทำให้คนค้นคว้าวิจัยน้อยไปด้วย ทฤษฎีเพลตเทคโทนิก (plate tectonic) ที่ใช้ในปัจจุบันสามารถใช้อธิบายแผ่นดินไหวได้ แต่ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ เช่นเดียวกันกับภัยธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าน้ำท่วม ดินถล่ม พายุร้าย ไล่ไปจนถึงแผ่นดินไหว  สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด จนกระทั่งดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลกก็ทำนายและป้องกันไม่ได้ สาเหตุ - ที่มาของภัยธรรมชาติ “จึงน่าคิด” 

เร็วๆ นี้เองเมื่อผู้เขียนมาเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ใหม่ๆ ก็เริ่มจะมีนักปฐพีวิทยาบางคนมีความสงสัยในทฤษฎีดังกล่าวขึ้นมาว่า ถ้าหากว่าโลกในยุคสมัยดึกดำบรรพ์มีการไหลเลื่อนเคลื่อนที่ของทวีปเดียวๆ ที่เรียกแพนเกียเป็นกอนโดว่า เป็นลอเรเซีย ฯลฯ เป็นในสภาพปัจจุบัน ทำไมหรือ? หากว่านักวิทยาศาสตร์ล้วนเชื่อกันแทบจะเป็นเอกฉันท์เลยว่า แผ่นดินทางทิศตะวันออกของทวีปอเมริกาที่เหมือนจะเป็นผืนเดียวกันกับ คือ ฟิต (fit) “อย่างเหมาะเหม็ง” กับแผ่นดินทางทิศตะวันตกของทวีปแอฟริกา และแปลก! ที่แผ่นดินของทั้ง 2 ทวีป  นับก็วันยิ่งลอยห่างจากกันไปทุกที

ทฤษฎีปฐพีวิทยาทฤษฎีใหม่ผิดแผกไปจากทฤษฎีเก่าหรือเพลตเทคโทนิกแทบจะเป็นตรงกันข้าม คือทฤษฎีเก่าหรือทฤษฎีเพลตเทคโทนิกของอัลเฟรด  เวกจ์เนอร์ ที่มีความคงที่เสถียรหรือเกือบจะคงที่เสถียรของขนาดของโลกเมื่อพิจารณาจากเส้นผ่าศูนย์กลางแล้ว มีสภาพที่เป็นตรงกันข้าม ทฤษฎีใหม่ที่มีมาตั้งแต่ปี 1958 (โดยแซม วาร์เรน คารี ที่ไม่มีใครสนใจ) และได้รับการสนับสนุนยืนยันในเร็วๆ นี้ จากนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก โดยได้หลักฐานจากการวิจัยด้วยการใช้อ่านคลื่นแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงกลับไป - มาในผืนดินที่สันเขากลางมหาสมุทรแอนแลนติกที่คาดว่าเป็นแหล่งควบคุมการเคลื่อนที่ของชั้นเปลือกโลก (magnetic stripping) และการศึกษาชั้นหินใต้พื้นมหาสมุทร (ในแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น) ซึ่งผลของการวิจัยพบ 2 อย่าง คือ 1.โลกได้ขยายตัวตลอดมาในประวัติศาสตร์ตั้งแต่อุบัติการณ์ขึ้นมา โดยมีรัศมีของโลกจะเพิ่มขึ้น 22 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งนั่นเป็นขนาดที่มหึมามากๆ ลองคิดดูว่าโลกจะมีขนาดใหญ่ขึ้นไปเท่าไร? หากเราเอาอายุของโลก 4,600 ล้านปีคูณเข้าไป นั่นคือคร่าวๆ โลกก็ขยายตัวออกไปถึงประมาณ 4,600,000,000 x 44 มิลลิเมตร หรือมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าเก่าหรือเกือบเท่าตัวของโลกที่เกิดขึ้นใหม่ๆ (คิดบนเส้นผ่าศูนย์กลางโลกที่ 12,000 กิโลเมตร) แต่มวลหรือน้ำหนักยังคงมีเท่าเดิม ผู้เขียนเข้าใจว่าโลกที่เล็กกว่าน่าจะหมุนรอบตัวเองได้เร็วกว่า อ่านที่ไหนไม่รู้ว่าก่อนที่จะมีออกซิเจนในชั้นบรรยากาศ โดยโลกเราหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าทุกวันนี้ คือวันหนึ่งๆ มีเพียง 18 ชั่วโมง (ไม่ยืนยัน) 2.ข้อมูลที่โลกขยายตัว  (expand) ตลอดเวลาที่โลกเกิดขึ้นมานี้สามารถใช้อธิบายการลอยออกไปห่างกันในทุกวันนี้ของทวีปต่างๆ ได้สบายมาก หากหลักฐานเป็นเช่นนี้ เราคงจะต้องเปลี่ยนแปลงทฤษฎีเพลดเทคโทนิกกันใหม่ และอธิบายการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ (James Maxlow : Overview of Earth Expansion Tectonics ;  Nexus Vol.17 (3), 2010) เว็บไซต์ jamesmaxlow.com นั่น - เป็นเรื่องของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่มีมากมาย “ที่จริงๆ แล้วเราไม่รู้ แต่ยอมรับกันในชมรมวิทยาศาสตร์ก่อนที่จะแพร่กระจายเข้าสู่สาธารณะ” เป็นเราเองที่ยอมรับเช่นนั้น  ซึ่งพอนานๆ เข้าก็กลายเป็นความจริงไป

ความจริงแท้ๆ นั้นหากพูดให้ถูก เราไม่สามารถรู้ได้จริงๆ นอกจากได้นิพพาน และแม้กระนั้นผู้ที่อยู่นอกพุทธศาสนาอาจจะไม่เชื่อ ไม่เชื่อแม้แต่ความเป็นสอง (dualism) แม้ว่าควอนตัมฟิสิกส์จะบอกเช่นนั้นก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้จักฟิสิกส์ใหม่นั้น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงแทบไม่รู้ว่ามันมี 2 ความจริง คือ ความจริงทางโลกที่มองเห็น กับความจริงทางธรรมที่มองไม่เห็น เพราะเป็นความจริงที่เห็นได้ สัมผัสได้ด้วยจิตไร้สำนึกจักรวาลสู่ในสมอง ก่อนการบริหารของสมองจนกว่าได้วิวัฒนาการของสมองในบุคคลผู้นั้นสามารถจะผ่านพ้น (transcend) เข้าสู่ภาวะจิตวิญญาณ (spirituality)

ผู้เขียนเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรรม และเท่าที่รู้มาก็เป็นเรื่องของเมคคานิกส์ธรรมดาๆ คือเป็นเรื่องของสาเหตุที่ต้องก่อผลตามมาเป็นธรรมดา เพียงแต่ในพุทธศาสนานั้น การเกิด-การตายมันไม่รู้จักจบจักสิ้น ตราบใดที่ยังมีการเกิด-การตายอยู่ในสังสารวัฏนี้ และสังสารวัฏก็คือโลกหรือจักรวาล (เรียกภพภูมิในพุทธศาสนา) ใดๆ ก็ตามที่มีจำนวนไม่สิ้นสุด ไม่ใช่จะมีแต่โลกนี้จักรวาลนี้แห่งเดียว ซึ่งก็พิสูจน์ได้ด้วยทฤษฎีสตริงในทางคณิตศาสตร์ ไม่ใช่ทฤษฎีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เรายอมรับกันเอง เช่นทฤษฎีในบทความนี้ ซึ่งก็มีทฤษฎีมากมายที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เรายอมรับกันเองไม่ว่าบนเหตุผลอะไรดังได้กล่าวไว้แล้ว

ตรงนี้ใครจะคิดว่าเป็นความบังเอิญ ผู้เขียนไม่รู้ แต่เป็นเรื่องที่น่าเอาไปคิด  ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าในจักรวาลนี้หรือในโลกนี้จะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นเรื่องของความบังเอิญที่แท้จริง นอกจากในวงแคบเล็กๆ หรือเป็นการพูดเล่นไปเท่านั้นเอง เพราะความบังเอิญอย่างแท้จริงอันเป็นเรื่องของชีวิต - ไม่มี เช่นเดียวกันกับเรื่องของการเลือก (choices) หรือโอกาสที่เราคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะเลือก ซึ่งพวกนักการเมืองล้วนรับปากประชาชนของตน แต่ความจริง - ไม่มี หาไม่แล้วทุกคนคงเลือกสถานที่เกิด เลือกประเทศหรือเลือกสีผิว เลือกความสูง ต่ำ ดำ ขาว  เลือกสวย หล่อ และเลือกตายได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จักรวาลนี้ล้วนมีกรรมเป็นผู้กำหนดในวงกว้าง และมีเหตุปัจจัยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในวงที่แคบลงมาเป็นธรรมดา (self-organizing system) ขอบอกซ้ำอีกครั้งว่าสิ่งใดหรือเรื่องราวอะไรๆ ที่เกี่ยวกับโลกกับจักรวาลในวงกว้าง หรือเกี่ยวข้องกับชีวิตของ  “มนุษย์” โดยรวม หรือปัจเจกบุคคล (collectively and individually) หรือแคบลงมาอีกหน่อย (ที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า chances หรือ random) ที่มาเองโดยเราไม่ได้เลือก ทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยสถิติมักจะคิดกันเป็นหนึ่งในร้อย ซึ่งก็ไม่มีเหตุผล.

http://www.thaipost.net/sunday/070511/38245
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 08, 2011, 08:52:23 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...