แสงธรรมนำใจ > หยาดฝนแห่งธรรม
คำสอนสำหรับผู้บำเพ็ญโยคะ (ท่าน สัตยา ไสบาบา)
ฐิตา:
คำสอนสำหรับผู้บำเพ็ญโยคะ
(ท่าน สัตยา ไสบาบา)
(1) จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า เลิกละการยึดติดกับอัตตา ราว กับว่ามันไม่เคยดำรงอยู่เลย อัตตาเปรียบดังฟองน้ำอันน้อยนิดเมื่อปล่อยวางลง ได้จักเข้าสู่มหาสมุทรอันไพศาล เธอกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอคือนิรันดร เธอคือ สิ่งทั้งมวล
(2) กิเลสและความร่านอยากจะต้องได้รับการแปรรูป จนกระทั่ง เธอเป็นนายเหนือใจ กิเลสทำให้ใจไม่สงบและทำให้ใจไปเร่งเร้าประสาทสัมผัสดุจ สุนัขที่วิ่งตามหลังนาย การควบคุมประสาทสัมผัสอันใดอันหนึ่งไม่เพียงพอหรอก เธอจะต้องควบคุมมันทั้งหมดให้ได้โดยสมบูรณ์
(3) วินัยที่แท้จริงคือการทำลายล้างกิเลส โจรผู้ฉลาดยังอาจหาทาง ลักขโมยได้เป็นร้อยวิธีแม้นายยามจะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม ฉันใดก็ฉันนั้น ต่อให้ เธอพยายามควบคุมประสาทสัมผัสสักเพียงใดก็ตาม ใจของเธอก็จะชักนำประสาท สัมผัสให้มาอยู่ข้างมัน และใช้มันสนองกิเลสของใจจนได้
(4) การประพฤติใดๆ ที่ยังมีจิตสำนึกของการเป็นร่างกายอยู่เป็น การกระทำที่มีอัตตา สภาวะไร้ตัวตนจะไม่มีทางบรรลุได้ ขณะที่ยังติดอยู่กับจิตสำนึก ของการเป็นร่าง
การมีจิตสำนึกแห่งความเป็นเทพ และนึกถึงพระเจ้าแทนร่างกายร่างนี้ จักนำ “เปรมะ” หรือความรักมาสู่ตัวเธอ ด้วยแรงบันดาลใจและการชี้แนะจาก พระเจ้า เธอจักสามารถบรรลุสิ่งดีงามมากมายโดยเธอแทบไม่ต้องประกาศออกมา เลยว่า เธอไร้อัตตาในวิสัยทัศน์ของเธอ เพราะสำหรับตัวเธอสิ่งที่เธอทำลงไป ทั้งหมด มันเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นลีลาของพระเจ้า และเป็นงานของ พระเจ้า
(5) จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นกระจกเงาที่ดีที่สุดในการสะท้อน สัจธรรม หลักวิชาคำสอนทางจิตวิญญาณต่างๆ ล้วนมีไว้เพื่อชำระดวงจิตให้สะอาด ทั้งสิ้น ในทันทีที่จิตใจสะอาดความจริงทั้งหลายจักปรากฏออกมาเองโดยทันใด สัจธรรมทั้งหมดในจักรวาลจักเผยตัวเองออกมาในใจเธอ ถ้าเธอมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์พอ
(6) เธอต้องลดการสนทนาอภิปรายและการโต้แย้งทั้งหลายลง ให้เหลือน้อยที่สุด เพราะนี่เป็นสาเหตุในการบ่มเพาะจิตใจชิงดีชิงเด่น และนำไปสู่ ความโกรธกับการแก้แค้น จงอย่าดิ้นรนเพื่อให้โลกยกย่องสรรเสริญ จงอย่าโกรธ หรือน้อยใจเมื่อโลกไม่นับถือเธอหรือยอมรับความดีของเธอ ข้อนี้เป็นเรื่องแรกที่เธอ ต้องเรียนรู้ หากเธอคิดจะเดินบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ
(7) จงฝึกตนให้เป็นสุขสบายได้ในทุกสถานที่ จงดำรงชีวิตอย่าง เบิกบานใจไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่แห่งใด จงสำราญอยู่ในอาณาจักรแห่งจิตใจของเธอ ที่นั่นเธอจักบูชาพระเจ้าที่เธอเลือกสรรเป็นที่พึ่งของเธอ จงทำตนให้เป็นอิสระจากผล กระทบทั้งปวงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นคนหรือธรรมชาติ
( 8 ) เธอจงมองดูกลุ่มเมฆที่ลอยฟ่องอยู่บนท้องฟ้า จงสังเกตให้เห็น ว่า กลุ่มเมฆไม่เคยผูกพันใกล้ชิดแน่นแฟ้นยั่งยืนกับท้องฟ้าที่กลุ่มเมฆอาศัย ซุกซ่อนตัวอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเลย ฉันใดก็ฉันนั้นกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอ กับร่างกายสังขารของเธอ เพราะธรรมชาติของตัวเธอคือปรมาตมัน ขณะที่ร่างกาย สังขารเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ชั่วคราวที่คอยปิดบังซุกซ่อนสัจธรรม
(9) สิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า ตัวเธอก็คือพระเจ้าที่อยู่เหนือและอยู่พ้น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เธอไม่ใช่ร่างกายอันผูกพันอยู่กับกาลเวลา และตกอยู่ ในเครื่องร้อยรัดของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เธอจงมีจิตใจแน่วแน่มั่นคงอยู่เสมอ ว่า เธอเป็นธรรมชาติแห่งพรหม จงนึกคิดดังนี้อยู่เป็นนิจ แล้วเธอจะเติบโตไปสู่ความ เป็นผู้รู้แจ้งได้
(10) กระบวนการในการชำระจิตสำนึกภายในของมนุษย์ให้ สะอาดด้วยการฝึกจิตเป็นเอกคัตตา คือความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวในความคิด คำพูด ความรู้สึก และการกระทำโดยมุ่งไปที่พระเจ้า จักทำให้มนุษย์ผู้นั้นพ้น มลทินและข้อบกพร่องทั้งปวง เมื่อจิตสำนึกภายในมีความบริสุทธิ์สะอาดปราศจาก ความขุ่นมัวแล้ว พระเจ้าจะสถิตอยู่ ณ ที่นั้น และมนุษย์ผู้นั้นจะมีโอกาสได้ประจักษ์ พระเจ้าภายในตัวเขา
ฐิตา:
(11) “ไวราคยะ” หรือการสละละวางไม่ยึดติดนั้นขึ้นอยู่กับ “ญาณ” และ “ภักติ” หากขาดการสละละวางแล้วทุกอย่างก็ไร้ผล “ไวราคยะ” จึงเป็นบันได ขั้นแรกของความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ ผู้บำเพ็ญโยคะจะต้องตระหนักในองค์ สาม “ภักติ” “ญาณ” และ “ไวราคยะ” โดยจะแยกจากกันมิได้ หรือจะปฏิบัติ แยกกันก็ไม่ได้
(12) ผู้มีญาณหยั่งรู้จะสามารถละความเกลียดชังในตัวได้ เขาจะ เป็นผู้ที่รักในสรรพสิ่ง เขาจะไม่ถูกอัตตาของตนทำให้แปดเปื้อนทะนงตน และเขาจะ กระทำอย่างที่ตัวเขาได้ลั่นวาจาเอาไว้
(13) ชีวิตมนุษย์คือสิ่งที่มีวิวัฒนาการสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย และ เพื่อที่จะให้ความหมายแก่ชีวิตมนุษย์นั้น คนเราจำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรทางจิต วิญญาณ เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ โดยนัยนี้อุปนิสัยจึงมีความสำคัญ ที่สุด เพราะ อุปนิสัยสามารถทำให้ชีวิตเป็นนิรันดร์เอาชนะความตายได้
คนบางคนกล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ แต่ก็หาเป็นความจริงไม่ อุปนิสัยต่างหากที่เป็นอำนาจ ดังนั้น คนเราทุกคนพึงพากเพียรฝึกฝนเปลี่ยนแปลงตนเอง จนกระทั่งมีอุปนิสัยที่ไม่มีที่ติและปราศจากความชั่วร้ายใดๆ
(14) ในบรรดาคุณลักษณะที่ประกอบกันเพื่อให้อุปนิสัยมีความ สมบูรณ์ไร้ที่ตินั้น ความรัก ความอดทน ความอดกลั้น ความหนักแน่นมั่นคง และกุศลจิต เป็นคุณลักษณะที่ประเสริฐที่สุดที่คนเราจำต้องปลูกฝัง และยึดมั่น ไว้เป็นอุปนิสัย
(15) ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ ของมนุษย์ที่แก้ไขมิได้ โดยความพาก เพียรตั้งใจอย่างจริงจัง ความเคยชินอาจเปลี่ยนได้ อุปนิสัยอาจขัดเกลาได้
การตั้งใจบำเพ็ญประโยชน์ด้วยความเสียสละก็ดี การละวางก็ดี การ อุทิศตนก็ดี การสวดมนต์ภาวนาก็ดี การวิปัสสนาก็ดี ล้วนสามารถเป็นเครื่องช่วย ขจัดอุปนิสัยเก่าแก่ดั้งเดิมที่พันธนาการมนุษย์ไว้กับโลกได้ แล้วเสริมสร้างอุปนิสัย ใหม่ให้กับชีวิตของเรา ซึ่งจักชักนำเราให้ดำเนินไปในทางธรรมได้
(16) คนทุกคนพึงตั้งคำถามกับตนเองว่า : บรรดามหาตมะและมหา บุรุษผู้ทรงคุณวิเศษทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนตัวเรา มีร่างกาย เป็นคนเหมือนเรา ในเมื่อพวกท่านสามารถบรรลุถึงความดีพร้อมทุกประการได้ แล้วทำไมตัวเราจะทำสำเร็จเช่นเดียวกันไม่ได้เล่า ถ้าหากเราปฏิบัติตามครรลอง ของพวกท่าน?
หากเรามัวพะวงแต่หาข้อผิดข้อบกพร่องของผู้อื่น ตัวเราจักได้รับ ประโยชน์อันใด? ด้วยเหตุนี้เธอพึงตั้งเจตจำนงเป็นอย่างแรกก่อนว่า เธอจะเสาะหา ข้อบกพร่องผิดพลาดภายในตัวของเธอเอง แล้วพยายามแก้ไขข้อบกพร่องนั้นๆ เพื่อเป็นผู้ที่ดีพร้อม
(17) ต่อหน้าความตาย ยศศักดิ์ อำนาจ และเกียรติทั้งหลายจะมลาย หายไปสิ้น เมื่อเธอได้ตระหนักในเรื่องนี้แล้วจงอุตส่าห์พยายามทั้งกลางวันและ กลางคืน เพื่อชำระร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อจักได้ ประจักษ์แจ้งในอาตมันโดยการรับใช้มนุษย์ชาติ
เธอพึงดูแลรักษาร่างกายของเธอให้ดี ในฐานะที่มันเป็นยานพาหนะ รับใช้ แต่จงจำไว้ว่าเธอมิใช่ร่างกายอันนี้ และร่างกายนี้ก็หาใช่ตัวเธอไม่
(18)ตัต ตวัม อสิ : สูเจ้าคือสิ่งนั้น นี่คืออัญพจน์ที่สูงส่งและ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เธอคืออาตมันที่ไม่อาจทำลายได้ การที่เธอมีร่างกายร่างนี้ก็เพื่อ อาตมันและเพื่อประจักษ์แจ้งในพระเจ้าในตัวเธอ ดังนั้นเธอต้องพร้อมที่จะพลี ร่างทุกขณะ ร่างกายนี้เป็นเพียงเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าประทานให้มา จงใช้ ร่างกายนี้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวเถิด
(19)ยามใดที่เราปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นการถวายแด่พระเจ้านั้น สิ่งที่ดี สิ่งที่ดีกว่า และสิ่งที่ดีที่สุดจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อนอื่นฉันและเธอ จะกลายเป็นเรา จากนั้นเราและพระเจ้าจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนแต่ละคน หรือ “ชีวา” ควรรวมเป็นสิ่งเดียวกับสรรพสิ่งก่อน จากนั้นค่อยรวมกับปรมาตมัน นี่แหละคือความหมายของมนตร์ “โอม ตัต สัต”
(20)ปรมาตมันเท่านั้นที่เป็นสัจธรรม เป็นความจริง ปรมาตมันคือ ความรัก จงเพ่งสมาธิภาวนาถึงปรมาตมันว่าเป็นความรัก เป็นความจริง
จงคบหาอยู่ในหมู่วิญญูชนคนดี มีความมักน้อย ปล่อยวาง แล้วเธอ จะมีจิตใจที่เข้มแข็งและมีศานติภายใน
ฐิตา:
(21) เธอจงประกอบกิจการงานทุกอย่างด้วยพลังความสามารถที่เธอ มีอยู่ เธอจงพูดและจงทำด้วยความสัตย์จริง ในช่วงแรกๆ เธออาจผิดพลาดไปบ้าง เธออาจประสบความทุกข์ยากลำบาก แต่ในที่สุดเธอจักประสบความสำเร็จและบรรลุ บรมสุข เธอจักประจักษ์ในความจริงและปรมาตมันโดยผ่านการประพฤติปฏิบัติ และการดำเนินชีวิตของเธอ
(22) หากคนใดเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจอย่างแท้จริง จะรับทราบได้ โดยคุณลักษณะที่เขามีอยู่ นั่นคือ ความจริง ความเมตตา ความรัก ความอดทน ความอดกลั้น และความสำนึกในพระคุณ ผู้ใดที่มีคุณลักษณะเหล่านี้ ความ อหังการ์จะไม่อาจเกิดมีได้ ดังนั้นเธอจงหมั่นเพิ่มพูนคุณลักษณะดังกล่าว
(23) ความสุขอันถาวรยั่งยืนนั้นจักหาได้ด้วยวิชาความรู้จากคัมภีร์ อุปนิษัทเท่านั้น ความรู้นี้เป็นคำสอนของเหล่าฤาษีเกี่ยวกับ ศาสตร์แห่งการบรรลุ ความเป็นพระเจ้าของคนเรา มีแต่ความรู้อันนี้เท่านั้นที่จักช่วยมนุษย์ให้รอดและ นำสันติสุขมาให้ สิ่งที่สูงกว่านี้หามีไม่ ไม่ว่าเธอจะศึกษาวิชาความรู้ใดๆ มาเพื่อการ ประกอบอาชีพ เธอก็ควรสนใจศึกษาความรู้จากคัมภีร์อุปนิษัทนี้ด้วย
(24) ท้องฟ้าอาจทอดเงาลงไปในหม้อน้ำเมาได้ แต่ก็มิได้เกิด มลทินจากสิ่งนั้น อาตมันก็เช่นกัน อาตมันบริสุทธิ์ไร้มลทินสถิตอยู่ในร่างกายซึ่งเป็น เพียงพาหนะ ผลของการกระทำไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด จักติดตรึงอยู่เฉพาะกับ ร่างกาย มิได้เข้าไปถึงอาตมันที่สถิตอยู่ข้างใน
(25) จงอย่าท้อถอยไปเลย ความทุกข์ยากเหนื่อยยากในโลกนี้เป็น เพียงสิ่งลวงตาและชั่วคราว จงตั้งใจให้มั่นในความจริงอันยิ่งใหญ่คือพระเจ้าผู้ทรง อำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง แล้วมุ่งหน้าเดินไปตามทางแห่งภักติอย่างกล้าหาญ และมุ่ง ปฏิบัติธรรมด้วยความอุทิศตัว
(26) จิตใจนั้นจำต้องหันไปหาคุณความดีอยู่ตลอดเวลา เธอพึง สำรวจตรวจตราการกระทำของตัวเธออยู่ทุกขณะจิต การสำรวจเช่นนี้เปรียบได้ ดังการใช้เครื่องมือสลักหินแท่งแห่งบุคลิกภาพของมนุษย์ให้เป็นรูปประติมากรรม อันงดงาม หากเครื่องมือสลักผิดพลาดอาจทำให้เสียรูปไป ดังนั้นแม้การกระทำใดๆ เพียงเล็กน้อยก็จำต้องระมัดระวังตั้งใจให้มากที่สุด
(27)กระแสน้ำที่ไหลสาดกระจายไปรอบๆ มิได้พุ่งตรงไปใน ทิศทางเดียวกันย่อมเป็นการสูญเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น จะมีประโยชน์อะไรกับแรง ดลใจดีๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่และไม่แน่ไม่นอน? กระแสแห่งแรงดลใจที่ดีจะต้อง ไหลพุ่งเป็นลำอย่างต่อเนื่องตลอดทั่วเขตความคิดอันศักดิ์สิทธิ์ และในที่สุดต้องไหล เชื่อมเข้ากับมหาสมุทรอันไพศาลด้วยบรมสุข ในขณะจิตดับ บุคคลที่สามารถบรรลุ เป้าหมายเช่นนั้นได้ย่อมเป็นผู้ที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง
(28) วัตถุประสงค์ของการบำเพ็ญจิตทั้งหลายคือ การสลายทำลาย ‘ใจ’ สักวันหนึ่งการทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่เธอทำไว้จะทำให้เธอประสบความ สำเร็จในการสลายมันลงได้เพื่อชัยชนะอันนี้ ความดีทั้งหลายที่เธอก่อไว้ในอดีตจะ ร่วมกันส่งผล แม้จะเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มีอันไหนที่สูญเปล่าเลย
(29) คุณสมบัติแบบมนุษย์ที่ดีในสมัยก่อนเสื่อมสลายไปไหนเสีย แล้วล่ะ? สัจธรรม ขันติ ศีลธรรม วินัย ...เมื่อไหร่เธอจึงจะปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้ ขึ้นในตัวล่ะ? จงลุกขึ้นเถิด จงตื่นเถิด จงสถาปนาการปกครองสมัยพระรามอันเป็น ยุคสมัยที่จิตใจของผู้คนยังเปี่ยมด้วยสัจธรรม เปรม และสันติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเถิด
(30) เมื่อรูปและนามของพระเจ้าตามที่ผู้ภักดีต่อพระองค์แต่งปั้น ขึ้นหรือคิดขึ้นได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสภาวะอันปราศจากรูปและปราศจากคุณ ลักษณะใดๆ แล้ว เราเรียกสภาวะนั้นว่าพรหม และเมื่อพรหมอันเดียวกันนั้น ปรากฏคุณลักษณะ หรือรูปร่างต่างๆ ขึ้นมา สิ่งที่ปรากฏขึ้นมานี้คือสิ่งที่เรียกว่า พระราม พระกฤษณะ พระวิษณุ หรือพระศิวะ
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ภักดีต่อพระเจ้า บรรลุถึงสภาวะความสุขที่ดื่มด่ำอันเกิดจากการรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พระเจ้าแล้ว ลักษณะพิเศษทั้งหลายที่ต่างกันระหว่างเขาคนนั้นกับพระเจ้าก็จะมลาย หายไป
ฐิตา:
(31) เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเหลือเกินที่ชีวิตนี้ของมนุษย์ซึ่งมีค่าราว กับเพชรที่ประเมินค่าไม่ได้ ถูกมนุษย์กระทำราวกับเป็นเหรียญเก่าๆ ที่ไร้ค่า! ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาสำนึกเสียใจถึงเวลาที่ได้สูญเปล่าไปโดยมิได้สำรวม จิตทำสมาธิถึงพระเจ้า หรือฝึกฝนบำเพ็ญเพียรวิธีต่างๆ เพื่อเข้าถึงพระเจ้า
มันจะมีประโยชน์อะไรที่คิดมาวางแผนขุดบ่อน้ำ ในเมื่อบ้านถูก ไฟไหม้ไปแล้ว? การที่จะมาเริ่มสำรวมจิตคิดถึงพระเจ้าเมื่อใกล้ตาย ก็เหมือนกับการ เริ่มขุดบ่อน้ำเมื่อไฟไหม้ไปแล้วนั่นเอง
(32) บุคคลที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้านั้น เขาจะต้องเป็นผู้มีจิตใจ เปี่ยมไปด้วยความรัก เขาจะต้องยืนอยู่เคียงข้างธรรมะหรือความถูกต้อง เขาจะพูด แต่ความจริง หัวใจของเขาเอิบอาบไปด้วยความปราณี เขาจะไม่ประพฤติผิด เขาจะ หลีกเว้นจากบาป เขาจะยอมสละละทิ้งทุกอย่างได้อย่างยินดี เขาจะเป็นผู้ดำรงอยู่ใน ทางสายกลาง เขาจะง่วนอยู่กับการทำความดีเพื่อผู้อื่น เขาจะไม่เห็นแก่ตัว เขาจะ ปราศจากความกังวลความเคลือบแคลงใจใดๆ เขาจะไม่ยินดีต่อคำสรรเสริญ แต่ ปรารถนาจะได้ยินผู้อื่นได้รับคำสรรเสริญ
(33) โดยการควบคุมอินทรีย์ต่างๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย แรงกระตุ้นให้เกิดกิเลสจะถูกทำลาย และการตั้งมั่นแห่งจิตจะมีมากขึ้น การควบคุม อินทรีย์ภายนอกจะช่วยการควบคุมภายในได้ในหลายๆ ทาง แต่การประสบ ความสำเร็จในการควบคุมภายนอกนั้น ทำได้ยากกว่าการควบคุมภายใน
(34) มีประตูเข้าสู่มายาอยู่สองทางสำหรับสัตว์โลก ทางหนึ่งคือ อาการกระหายอยากของอัตตา ทางที่สองคือ อาการกระหายอยากของลิ้น มนุษย์ ทุกคนจะต้องคอยควบคุมความกระหายอยากทั้งสองนี้เอาไว้ เพราะตราบใดที่มันยัง อยู่ มันจะนำความทุกข์โศกมาให้ เพราะมันเป็นต้นตอของบาป และบาปนี่เองที่เป็น ปุ๋ยให้ความเจริญงอกงามแก่มายา
(35) ไม่ว่าตัวเธอจะสาละวนอยู่ในกิจกรรมใดก็ตาม เธอจะต้องพึง ระลึกถึงสิ่งต่อไปนี้อยู่เสมอ ดุจเป็นลมหายใจเข้าออกของตัวเองว่า “ฉันเกิดมา เพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อรู้แจ้งในอาตมันที่เป็นตัวตนที่แท้ของฉัน”
กิริยาอาการทุกอย่างของเธอไม่ว่าการกิน การเดิน การเรียน การรับใช้ การเคลื่อนไหว อาการเหล่านี้เธอพึงกระทำโดยมีความเชื่อมั่นว่ามันจะนำพาเธอมา อยู่เบื้องหน้าของพระเจ้าได้
ทุกๆ สิ่งที่เธอทำลงไปเธอควรทำด้วยจิตใจที่อุทิศแด่พระเจ้า
(36) เธอต้องระลึกไว้ว่า ความหิว ความกระหาย ความเบิกบาน ความเศร้า ความทุกข์โศก ความลำเค็ญ และความโกรธ เหล่านี้เป็นได้แค่สิ่งที่ กระตุ้นให้ตัวเธอมุ่งเข้าถึงพระเจ้าเท่านั้น ถ้าหากเธอมีทัศนคติในเชิงบวกเช่นนี้แล้ว บาปย่อมไม่อาจแปดเปื้อนสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ได้ และตัวสิ่งกระตุ้นเหล่านี้เองก็จะสูญ สลายไร้ร่องรอยไม่เหลือทั้งนามและรูป
(37) บุคคลผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์โศก ย่อมไม่รู้สึกสนใจในงานเลี้ยง ฉลองหรือการต่อสู้ ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลที่บำเพ็ญโยคะอย่างแท้จริง ผู้ซึ่งครุ่น คำนึงถึงแต่พระเจ้าย่อมไม่ลิ้มรสหรือคิดคำนึงถึงโลกียวิสัยที่เป็นแหล่งของความ สนุกสนานเพลิดเพลิน
(38) แทนที่จะตกเป็นทาสของสิ่งที่ไม่ยั่งยืนและสิ่งจอมปลอม หรือ สูญเปล่าเวลาอันมีค่าไปกับการเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ เธอจงอุทิศเวลาทุกขณะจิต ของเธอเพื่อการค้นหาสัจธรรมและการใคร่ครวญถึงพระเจ้าที่เป็นความจริงแท้ ตลอดกาล การอุทิศตัวเช่นนี้แหละที่เป็นหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์
(39) เธอควรแลเห็นร่างกายของเธอเป็นดุจทุ่งนา เห็นการทำดีของ ตัวเธอเป็นเมล็ดพันธุ์พืช และเธอจงบ่มเพาะพระนามของพระเจ้าด้วยความช่วย เหลือจากหัวใจของเธอที่เป็นดุจชาวนา เพื่อที่เธอจักสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตซึ่ง ก็คือตัวพระเจ้าได้ แต่ เธอจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างไรเล่า ถ้าหากเธอไม่ได้ปลูก อะไรลงไปก่อน?
(40) มนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มที่จะกระทำความผิดโดยไม่รู้ตัว ดุจไฟ ที่ไม่ว่าจะเปล่งแสงเจิดจ้าเพียงใดก็ยังมีควันพวยพุ่งออกมา คนเราก็เช่นกัน ต่อให้ ทำดีมากแค่ไหนก็ยังมีความชั่วแฝงเข้ามาได้เล็กๆ น้อยๆ เธอจึงควรทำความเพียร เพื่อลดทอนความชั่วให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งความดีเพิ่มมากขึ้นอีก และความชั่วลดน้อยลง
ฐิตา:
(41) การรับใช้พระเจ้านั้น ไม่ใช่ดูกันที่จีวรสีเหลืองหรือที่พิธีกรรม ทางศาสนา หรือที่การบวงสรวง หรือที่การโกนผม หรือที่การอุ้มบาตร ฯลฯ แต่ดู การมีหัวใจที่บริสุทธิ์สะอาดต่างหาก การใคร่ครวญอย่างไม่สะดุดขาดตอนถึง พระเจ้าต่างหาก การมีความรู้สึกว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว และเป็นสิ่งที่พระเจ้า สร้างขึ้นมาต่างหาก การไม่ยึดติดกับประสาทสัมผัสต่างหาก การรักทุกสิ่งอย่าง เท่าเทียมกันต่างหาก การพูดแต่ความสัตย์ต่างหาก ที่เป็นลักษณะของการรับใช้ พระเจ้าที่แท้จริง
(42) จงอย่าลำพองเมื่อมีคนมาสรรเสริญเยินยอเธอ และจงอย่าหดหู่ เมื่อมีใครมาตำหนิว่าร้ายเธอ ขอให้เธอจงมีจิตใจที่แข็งแกร่งดุจราชสีห์ เธอต้องรู้จัก วิเคราะห์และแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดของตัวเธอเอง ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย
(43) เธอควรดำเนินชีวิตแบบที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้แก่สิ่งมี ชีวิตใดๆ เธอควรมีใจรักและแน่วแน่มั่นคงในการทำดีเพื่อให้คนอื่นเป็นสุข และใน การเคารพบูชาพระเจ้านี่คือธรรมะสำหรับมนุษย์
(44) ยิ่งเชื้อเพลิงมีคุณภาพดีเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้แสงเพลิงโชติ ช่วงสว่างมากขึ้นเพียงนั้น ไฟมีพลังอำนาจในการให้แสงสว่างตามธรรมชาติของมัน ฉันใดก็ฉันนั้น ไฟปัญญาของผู้บำเพ็ญโยคะก็เช่นกัน เธอจะต้องหมั่นเติมเชื้อเพลิง แห่งการสละกิเลส เชื้อเพลิงแห่งความสงบสุข เชื้อเพลิงแห่งสัจธรรม เชื้อเพลิงแห่ง ความกรุณา เชื้อเพลิงแห่งขันติ และเชื้อเพลิงแห่งกุศลกรรมอยู่เสมอ ยิ่งเธอปฏิบัติ เช่นนี้มากขึ้นเท่าใด การบำเพ็ญโยคะของเธอก็จะยิ่งมีผลดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
(45) ผู้ประสงค์จะสถิตอยู่ในพรหมโลก จะต้องแสวงหาความวิเวก ฝึกฌานและมนตร์อย่างสม่ำเสมอ เขาต้องแสวงหาความแน่วแน่ในจิตโดยการ ฝึกฝนตามแนวนี้ ขณะเดียวกันเขาจะต้องมีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือสิ่งมี ชีวิตอยู่ตลอดเวลา เขาจะต้องทำงานโดยไม่คาดหวังในผลที่จะได้รับ เมื่อบุคคล เช่นนี้ลงมาเกิดบนโลกนี้ทุกข์ทั้งหลายจะมลายไปสิ้น
(46) สิ่งใดที่เป็นความเห็นแก่ตัว เธอจะต้องสละทิ้งไป เธอจักต้อง พยายามทำความดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ สิ่งที่ควรเป็นความปรารถนาของเธอคือมุ่งสร้าง ความสุขสวัสดิ์แก่ชาวโลก เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในใจ เธอควรเพ่งจิตถึงพระเจ้า นี่คือหนทางที่ถูกต้อง
(47) เมื่อใดที่เธอมีจิตเป็นสมาธิจดจ่อในพระเจ้าและแสวงหาสัจธรรม อยู่ทุกขณะจิต แม้ว่าร่างกายและอินทรีย์ของเธอจะมิใช่ผู้กระทำกรรม หัวใจของคน ที่มิได้พยายามปลูกฝังความคิดอันศักดิ์สิทธิ์ลงในจิตใจ ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมของ ความเลวความชั่วร้าย บุคคลที่ปรารถนาความหลุดพ้นและเข้าถึงความยิ่งใหญ่จัก ต้องจดจำสิ่งนี้เอาไว้ในใจให้จงได้
(48) ในการเข้าฌานถึงพระเจ้านั้น มันไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลา และสถานที่ เรื่องอย่างนี้ไม่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือฤกษ์เวลาพิเศษเฉพาะเลย เพราะเมื่อใดก็ตามที่ใจของเธอเข้าอยู่ในฌานถึงพระเจ้าได้ที่นั่นก็เป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ และเวลานั้นก็เป็นฤกษ์งามยามดีอยู่ในตัว
(49) มนุษย์จะต้องอุทิศตนให้แก่ธรรมะ และจดจ่อในพระธรรม เสมอ เพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสันติ และโลกก็จะสุขในสันติ
มนุษย์ไม่อาจจะไขว่คว้าสันติที่แท้จริงได้ และมนุษย์ไม่อาจชิง ความเมตตาของพระเจ้าได้โดยวิธีอื่นใด นอกจากการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม เท่านั้น
(50) พระเจ้าคือสภาวะรูปแห่งธรรมะ เธอจะช่วงชิงความเมตตา จากพระเจ้าได้ก็โดยอาศัยธรรมะเท่านั้น พระเจ้าคือตัวธรรมะนั้นเอง คัมภีร์พระเวท ทั้งหลายคือการประกาศอันกึกก้องถึงเกียรติภูมิแห่งธรรมะ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version