พระพุทธองค์ท่านให้หนีด้วยปัญญา เปรียบประหนึ่งว่า เรามีเสี้ยนหรือหนามน้อยๆ ตำเท้าเราอยู่ เดินไปปวดบ้าง หายปวดบ้าง บางทีก็เดินไปสะดุดหัวตอเข้า ปวดขึ้นมาก็คลำดู คลำไปคลำมาไม่เห็นเลย เลยขี้เกียจดูมัน ก็ปล่อยมันไป ต่อไปเดินไปถูกปุ่มอะไรขึ้นมาก็ปวดอีก มันเป็นอย่างนี้เรื่อยไป เพราะอะไรนะ? เพราะเสี้ยนหรือหนามนั้นมันยังอยู่ในเท้าเรา ยังไม่ออก ความเจ็บความปวดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อมันปวดมา ก็คลำหามันไม่เห็น ก็ปล่อยไป นานๆ เจ็บอีก ก็คลำอีกอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ ทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นนะ เราต้อง
กำหนดรู้มัน ไม่ต้องปล่อยมันไปเมื่อมันเจ็บปวดขึ้นมา "
เออ ไอ้หนามนี่มันยังอยู่นี่นะ" เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้น ความคิดที่ว่าจะเอาหนามออกจากเท้าเราก็มีพร้อมกันมา ถ้าเราไม่เอามันออก ความเจ็บปวดมันก็เกิดขึ้น เดี๋ยวก็เจ็บเดี๋ยวก็เจ็บ อยู่อย่างนี้ ความสนใจที่จะเอาหนามออกจากเท้าเรามันมีอยู่ตลอดเวลา ผลที่สุดวันหนึ่งต้องตั้งใจเอาหนามออกให้ได้เพราะมันไม่สบาย อันนี้เรียกว่าการ
ปรารภความเพียรของเรา ต้องเป็นอย่างนั้น มันขัดตรงไหน มันไม่สบายตรงไหน ก็ต้อง
พิจารณาที่ตรงนั้น แก้ไขที่ตรงนั้น แก้ไขหนามที่มันยอกเท้าเรานั่นแหละงัดมันออกเสีย
จิตใจของเรามันติดอยู่ที่ตรงไหน เราจะต้องรู้จักอยู่อย่างนั้น คลำไปคลำมาก็รู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ว่าความเพียรของเราไม่ถอยเหมือนกัน ไม่หยุด ท่านเรียกว่า วิริยารัมภะปรารภความเพียรอยู่เสมอ เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเมื่อไรในเท้าของเรานะ ปรารภว่าจะเอาหนามออก จะบ่งหนามออกเสมอไม่ได้ขาดเลย ทุกข์ทางใจมันเกิดขึ้นมา เรื่องกิเลสตัณหานี้เราก็มีความรู้สึกปรารภความเพียรอยู่เสมอว่า จะพยายามฆ่ามัน
พยายามละมันอยู่ตลอดเวลาตามไปไม่หยุด อีกวันหนึ่งมันก็จนมุมเรา ถึงที่นั้นเราก็ตะครุบมันได้
ฉะนั้นเรื่องสุขทุกข์นี้ เราจะทำอย่างไร? ถ้าไม่มีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเอาอะไรเป็นเหตุ? ถ้าไม่มีเหตุ ผลมันจะเกิดตรงไหนเล่า? นี่เรียกว่าธรรมมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อผลมันจะดับไปนั้นเพราะเหตุมันดับไปก่อน ผลมันจึงดับไปด้วย มันเป็นในทำนองอันนี้ แต่ว่าเราไม่ค่อยเข้าใจจริง อยากแต่จะหนีทุกข์ รู้อย่างนี้เรียกว่ารู้ไม่ถึงมัน ความเป็นจริงแล้ว ท่านอยากจะให้รู้โลกที่เราอยู่นี้ ไม่ต้องหนีไปไหน
จะอยู่ก็ได้ จะไปก็ได้ ให้มีความรู้สึกอย่างนั้นให้พิจารณาให้ดี มันสุขมันทุกข์มันอยู่ตรงไหน? อะไรที่เราไม่ยึดหมาย หรือไม่มั่นหมายกับมัน อันนั้นไม่มี ทุกข์มันก็ไม่เกิด ไอ้ที่ทุกข์มันเกิด มันเกิดจากภพ มันมีภพที่จะเกิด มันก็ต้องไปเกิดที่ภพ ตัวอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นนี้แหละมันเป็นภพให้ทุกข์เกิด ทุกข์มันเกิดขึ้นดูเถอะอย่าไปดูไกลๆ
ดูปัจจุบันนี้ ดูกายดูจิตของเรานี้ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมา เพราะอะไรมันเป็นทุกข์? ดูเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อสุขเกิดขึ้นมามันเป็นอะไรมันจึงสุข? ดูเดี๋ยวนั้นมันเกิดตรงไหน ให้มันรู้จักตรงนั้น
ทุกข์เกิดที่อุปาทานสุข เกิดที่
อุปาทานทั้งนั้นพระโยคาวจรเจ้าผู้ประพฤติปฏิบัติแล้ว เห็นจิตว่าเป็นอยู่อย่างนี้ มันเกิดๆ ตายๆ เป็นของไม่แน่นอนสักอย่างหนึ่งเลย ถ้าพิจารณาแล้วท่านดูมันทุกวิธี มันเป็นของมันอย่างนั้นไม่มีอะไรแน่นอน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วเกิด ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารเดินไปท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น นั่งท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น จะเอาตรงไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น เอาโลกก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเหมือนแท่งเหล็กใหญ่ๆ ที่เขาเอาเข้าเตาหลอมแล้วนั้นแหละ ร้อนไปทั้งแท่งเลย ยกขึ้นมา เอามือไปแตะดูข้างบนมันก็ร้อน ข้างๆ มันก็ร้อน มันร้อนทั้งนั้นใช่ไหม? ที่ไม่ร้อนไม่มีเพราะมันออกจากเตาหลอมมา เหล็กทั้งแท่งไม่มีเย็นเลย
อันนี้ถ้าหากว่าเราไม่พิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่รู้เรื่องจะต้องเห็นชัด จะต้องไม่เกิด จะต้องไม่ให้มันเกิด
ให้รู้จักการเกิดแม้แต่ที่ว่า "แหม คนนี้ทำไม่ถูกใจฉัน ฉันเกลียดที่สุด" ไม่มีแล้ว "คนนี้ทำฉันชอบที่สุด" ไม่มีแล้ว มีแต่
อาการในโลกที่พูดกันว่าชอบที่สุด ไม่ชอบที่สุดเท่านั้น แต่พูดอย่างใจอย่าง คนละเรื่องกัน จะต้องเอา
สมมุติของโลกมาพูดกันให้มันรู้เรื่องกับโลกเท่านั้น ไม่มีอะไรแล้ว มันเหนือ ต้องให้มันเหนืออย่างนั้น อันนั้นเป็นที่อยู่ของพระ พวกเราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นต้องพยายาม อย่าไปสงสัย