ฤๅษีวยาส...ผู้รจนามหาภารตะยุทธ มหาภารตะ ภาคแรก "การพนันสกา" ในหนังสือมหาภารตะสองเล่มแรก เราจะเรียนรู้ปูมหลังของภารตะ (เรียกอีกหนึ่งว่า กุรุ หรือ ครู) เรื่อยเรียงไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างโอรสทั้งห้าของปาณฑุกับเหล่าเการพซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เรื่องเล่าโดยนักปราชญ์ผู้หนึ่ง นามว่า วยาสะ ชื่อนี้มีความหมายว่า “ผู้รวบรวม” (ที่จริงแล้วผู้ประพันธ์มหากาพย์มหาภารตะเป็นคนนิรนามเชื่อว่าน่าจะมีผู้ประพันธ์หลายคนกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย มารดาของวยาสะคือ สัตยาวตี ซึ่งมีความหมายว่า “ความจริง” ดังนั้นวยาสะจึงเป็น “
บุตรแห่งความจริง”
ในเรื่องที่เล่าให้ผู้สืบสกุลของเหล่าปาณฑพฟัง วยาสะกล่าวว่า “ถ้าพวกเธอสดับอย่างใคร่ครวญแล้ว สุดท้ายพวกเธอจะกลายเป็นคนอื่นไป” ดูเหมือนว่าในเรื่องไม่กล่าวถึงวยาสะบ่อยนัก บอกแต่เพียงว่าเป็นบิดาแห่งปาณฑุและธฤษตราษฎร์เท่านั้นเอง
- -
บรรพบุรุษแห่งปาณฑุและเการพสันทนุ กษัตริย์แห่งหัสตินาปุระ ทรงอภิเษกสมรสกับคงคาผู้แสนงดงามและเป็นเทพีแห่งสายน้ำจำแลงมา คงคาจะประทับอยู่กับสันทนุตราบใดที่พระองค์ไม่ทรงตรัสถามถึงการกระทำของพระนาง หลายปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันทั้งสองมีโอรสด้วยกันเจ็ดพระองค์ แต่คงคาโยนโอรสแต่ละองค์ลงสู่แม่น้ำ สันทนุเศร้าโศกเสียใจมากแต่จำต้องรักษาสัจจะสัญญาของพระองค์
ในที่สุด เมื่อโอรสองค์ที่แปดประสูติ สันทนุทรงตรัสถามคงคาว่าพระนางเป็นใครและทำไมจึงกระทำเช่นนั้นคงคาเปิดเผยพระองค์และตรัสว่าโอรสของพระนางเคยประทับในสวรรค์แต่ได้รับคำสาปให้กลายเป็นมนุษย์ พระนางจึงไถ่โทษโอรสทุกองค์เสียแต่เนิ่นโดยการโยนลงให้จมน้ำตายทันทีที่ประสูติ แล้วคงคาก็จากสันทนุไปพร้อมกับเทวรัตน์โอรสองค์สุดท้องเนื่องจากสันทนุผิดสัญญา
เทวรัตน์ มีชื่อท้ายซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า ภีษมะ นามนี้มีความหมายว่า "
แห่งการตัดสินใจอย่างแน่วแน่" ได้มาหลังจากสาบานว่าจะไม่แต่งงานหรือมีบุตร บิดาของเทวรัตน์ใคร่แต่งงานใหม่ (กับสัตยาวตี มารดาของวยาสะ) แต่เงื่อนไขการแต่งงานมีอยู่ว่าภรรยาคนที่สองจะเป็นมารดาของกษัตริย์ในวันหนึ่งวันใด เพื่อเสริมพระเกียรติยศให้เป็นไปตามพระประสงค์ของบิดา ภีษมะจึงให้สัจจะสาบานว่าไม่ว่าพระองค์หรือบุตรของพระองค์จะไม่อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์
หลายปีผ่านไปกึ่งภราดาองค์หนึ่งของภีษมะตายในสนามรบและองค์อื่นๆ ต่างก็ถึงวัยอภิเษกสมรส ในนามแห่งกึ่งภราดา ภีษมะฉุดพี่น้องสามสาวและต่อสู้ชนะคดีความกับโจทย์ผู้ฟ้องร้องระหว่างทางกลับบ้าน ภีษมะทราบว่าหญิงหนึ่งในสามพี่น้องนามว่าอำภา คัดเลือกโจทย์เตรียมฟ้องไว้เรียบร้อยแล้ว ภีษมะจึงยินยอมปล่อยนางนั้นไปแต่คู่หมั้นของนางไม่ต้องการนางอีกต่องไป เมื่อเขาทอดทิ้งเช่นนั้นนางจึงกลับมาหาภีษมะและต้องการให้ภีษมะแต่งงานกับนางแต่ภีษมะปฏิเสธ เนื่องจากยึดมั่นกับถ้อยสาบานของตน อำภาจึงสาบานว่าวันหนึ่งนางจะฆ่าภีษมะเสียถึงแม้ว่าทวยเทพได้ประทานพลังให้ภีษมะเลือกวันตายของตนได้ตามถ้อยสาบานก็ตาม
ความสำคัญของอำนาจแห่งคำสาบานปรากฏชัดเจนตลอดทั้งเรื่องของมหากาพย์ มีอยู่ครั้งหนึ่งกล่าวถึงการสาบานกลายเป็นความจริงและต้องปฏิบัติตามให้สำเร็จดังตั้งใจไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้นก็ตาม เมื่อบิดาของภีษมะและกึ่งภราดาทั้งคู่ของตนถึงแก่กรรมก่อนวัยอันสมควรโดยไร้ทายาทสืบสกุล ภีษมะปฏิเสธการแต่งงานกับภรรยาม่าย (มากกว่าหนึ่งคน) ของน้องเลี้ยงของตน (น้องสาว-หลายคน-ของอำภา) ภีษมะจะไม่ฝืนคำสาบานของตนเลยถึงแม้ว่าการดำรงความโสดนั้นไม่ทำให้อะไรแตกต่างไปจากเดิมอีกต่อไปก็ตาม
เจ้าหญิงทุกองค์ในวัยเยาว์มีหน้าที่ให้กำเนิดบุตรและธิดา แต่ใครจะเป็นบิดาของบุตรและธิดานั้นเล่าไม่มีชายอื่นคนใดอีกแล้วในครอบครัวนอกจากภีษมะ แต่ภีษมะก็ทรงปฏิเสธสตรีเสียแล้ว ดังนั้นสัตยาวตีมเหสีองค์ที่สองของกษัตริย์สันทนุจึงตรัสถามโอรสองค์แรก ซึ่งก็คือวยาสะผู้ประพันธ์มหากาพย์ว่าจะยกวยาสะให้แก่เจ้าหญิงสององค์ วยาสะจึงไปหาแต่ทั้งสององค์ไม่ชอบวยาสะเนื่องจากการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัดต่อคำสาบานว่าจะใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสนเยี่ยงคนเข็ญใจ วยาสะจึงสกปรกโสโครกและมีกลิ่นตัวเหม็น
วยาสะอธิบายให้เจ้าหญิงฟังว่าแต่ละองค์จะต้องอดทนเพื่อให้กำเนิดโอรส อย่างไรก็ตามโอรสองค์แรกจะเกิดมาตาบอด เนื่องจากเจ้าหญิงองค์แรกนั้นหลับตาเสียเมื่อเห็นวยาสะ และโอรสองค์ที่สองจะมีพระฉวีซีด เนื่องจากเจ้าหญิงองค์ที่สองนั้นซีดพระองค์เมื่อสัมผัสวรกายกับวยาสะ โอรสบอดทรงพระนามว่า
ธฤษตราษฎร์ องค์ที่มีพระฉวีซีดทรงพระนาม
ปาณฑุวยาสะมีโอรสองค์ที่สามทรงพระนามว่าวิฑูร เกิดแต่สาวพรหมจรรย์ผู้หนึ่งเนื่องจากพระเชษฐาพระเนตรบอดและไม่เหมาะสมกับราชบัลลังก์ ปาณฑุจึงได้เสวยราชสมบัติแห่งกรุงหัสตินาปุระวันหนึ่งขณะทรงล่าสัตว์อยู่ในป่า ปาณฑุทรงยิงละมั่งตัวหนึ่งขณะจับคู่ผสมพันธุ์ ละมั่งตัวนั้นแท้ที่จริงเป็นนักบวชพราหมณ์จำแลงมา จึงสาปแช่งปาณฑุว่า ถ้าปาณฑุร่วมรักกับมเหสีองค์หนึ่งองค์ใดในสององค์ (กุณตี และมัทรี) แล้วจักสวรรคตทันที เมื่อทรงตระหนักทราบว่าพระองค์ไม่สามารถมีโอรสและธิดาได้ปาณฑุจึงสละราชบัลลังก์ และปลีกพระองค์ไปประทับอยู่ในภูเขาพร้อมมเหสีทั้งสององค์ กุณตีมเหสีองค์แรกกล่าวแก่ปาณฑุว่า พระนางมีอำนาจมนตราอยู่ จึงสาธยายมนต์ลับอ้อนวอนเทพเจ้าองค์หนึ่งให้ประทานบุตรสักองค์มาให้สมดังปณิธาน
ด้วยอำนาจแห่งมนตรา กุณตีจึงให้กำเนิดโอรสสามองค์ ประกอบด้วย
ยุธิษฐิระ ธรรมเทพบุตร โอรสองค์แรกผู้เปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม
องค์ที่สองคือ ภีมะ วายุเทพบุตรผู้แข็งแรงที่สุดในหมู่ชนทั้งหลาย
และองค์ที่สาม อรชุน อินทราเทพบุตรนักรบผู้ไม่มีใครต่อกรได้และมัทรี มเหสีองค์ที่สองของปาณฑุ ก็ได้รับพลังอำนาจนี้ด้วยเช่นกัน พระนางมีโอรสฝาแฝดสององค์ คือ นกุลและสหเทพ ดังนั้นปาณฑุจึงมีโอรสห้าองค์ที่สืบเชื้อสายมาจากทวยเทพโดยตรง จากมเหสีทั้งสององค์ คือ ภราดาปาณฑพ วีระบุรุษแห่งมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่เรื่องนี้
หลายปีผ่านไปวันหนึ่งปาณฑุพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัญหาของพระองค์กับมัทรี แต่เนื่องจากเกรงว่าปาณฑุจักถึงแก่ความตาย มัทรีจึงพยายามผลักไสปาณฑุออกไป แต่การดิ้นรนต่อสู้ของพระนางกลับเร่งเร้าให้อำนาจแห่งดำกฤษณาของปาณฑุทวีขึ้นทันทีที่ทั้งคู่ร่วมรักกันปาณฑุก็สวรรคตตามคำสาปแช่ง และมัทรีด้วยความจงรักภักดีต่อพระสวามีจึงยินยอมตายตามด้วยในเชิงตะกอน
ในขณะนั้น
ธฤษตราษฎร์กลายเป็นกษัตริย์แล้วถึงแม้พระเนตรบอดก็ตาม พระองค์ทรงอภิเษกกับกัณธารี ด้วยการจัดแจงขึ้นมา เมื่อทรงทราบถึงความพิการของพระสวามีพระนางจึงตัดสินพระทัยปิดพระเนตรของพระองค์ด้วยการคาดผ้าผูกตาซึ่งพระนางจะไม่ยอมถอดออกอีกเลย เพื่อร่วมเคราะห์กรรมในโลกมืดเยี่ยงเดียวกับพระสวามี แล้วหลังจากทรงครรภ์นานผิดปกติถึงสองปี พระนางให้กำเนิดเนื้อกลมๆ ก้อนหนึ่งออกมา วยาสะบอกให้พระนางแยกก้อนเนื้อนั้นออกเป็นหนึ่งร้อยส่วนและเอาไปใส่ไว้ในโอ่งน้ำมันเนย โดยการนี้พระนางจึงกลายเป็นพระมารดาของโอรสหนึ่งร้อยองค์ ซึ่งก็คือ ภราดาเการพ นั่นเอง
องค์แรกที่ประสูติมาคือ
ทุรโยธน์ มีลางร้ายบอกเหตุแห่งความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อทุรโยธน์ประสูติมาสู่โลก กล่าวคือหมาไนเห่าหอนคำรามพายุบ้าคลั่งเพลิงพิโรธลุกลามไปทั่วเมือง ธฤษตราษฎร์ทรงกังวลพระทัยกับลางร้ายนี้มาก วิฑูรจึงทูลว่าโอรสองค์แรกนำเอาความเกลียดชังและการทำลายล้างมาสู่โลก วันหนึ่งจะทำลายล้างวงศ์ของตนวิฑูรรบเร้ากษัตริย์ให้จำกัดโอรสองค์นี้เสียแต่ธฤษตราษฎร์ทรงเพิกเฉยต่อคำแนะนำของวิฑูร
ธฤษตราษฎร์ทรงเป็นนักปกครองที่อ่อนแอ พระองค์มักยกอ้างถึงความบอดของตน
เพื่อปฏิเสธการเผชิญหน้ากับความจริงและความฝืนพระทัยในการเผชิญกับการตัดสินพระทัยอันยากยิ่ง ต่อมาทุรโยธน์จึงจูงจมูกได้อย่างง่ายดาย พระองค์ทรงเอาแต่โทษชาตากรรม ชอบแต่หาข้ออ้างมาแก้ตัวกับความเฉื่อยชาของพระองค์เอง
อาทิ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครจักไปหยุดยั้งไว้หาได้ไม่แล้วข้าฯ จักทำอะไรได้
ชาตากรรมคือพลังอำนาจทั้งมวลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คณะมนตรีแห่งธฤษตราษฎร์แนะนำว่า "โอ พระองค์ แน่นอนล่ะว่าผู้ใดซึ่งประสบเหตุการณ์เลวร้าย อันเป็นผลจากการกระทำของตนเองไม่ควรตำหนิกล่าวโทษเทพเจ้า ชาตากรรม หรืออื่นใด เราแต่ละคนต่างก็ได้รับผลจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น"