แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
ฮยากุโจและหมาป่า "เซ็น" วิถีแห่งการรู้แจ้ง
ฐิตา:
ด่านที่ไร้ประตู ลำดับเรื่อง(ในต้นฉบับ) ๓๖
ลำดับการแปล ๓
ชื่อเรื่อง พบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง(เล่ม ๒)
โกอาน
โกโซถาม “ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง เธอจะทักทายท่านว่าอย่างไร โดยไม่ใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง บอกฉันมาซิ เธอจะทักท่านว่าอย่างไร ?”
คำวิจารณ์ของมูมอน
หากเธอสามารถให้คำตอบที่ตรงเป้าได้ในทันที ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมาก แต่หากไม่ได้ ก็จงมีสติอยู่ทุกขณะ
บทร้อยกรองของมูมอน
ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง
จงทักทายโดยไม่ใช้ทั้งวาจาและความเงียบ
ฉันจะต่อยเขาอย่างรุนแรงที่สุด
จงคว้ามันให้ได้ในทันที ไม่มีชักช้า
ไขปริศนา โกอาน
วันหนึ่ง ท่านอาจารย์โฮเอน พูดกับเหล่าศิษย์ว่า “หากเธอพบนักปฏิบัติผู้บรรลุเต๋า ไม่เพียงพอที่จะทักทายด้วยการพูด และไม่เหมาะที่จะเงียบเสียง ในสถานการณ์เช่นนั้น เธอจะทักทายท่านอย่างไร? “
แม้คำถาม “ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง เธอจะทักทายท่านว่าอย่างไร โดยไม่ใช้ทั้งการพูดหรือการเงียบเสียง บอกฉันมาซิ เธอจะทักท่านว่าอย่างไร ?” นำมากล่าวที่นี่ในฐานะเป็นคำสอนของท่านโฮเอน แต่สันนิษฐานว่าผู้แต่งคือท่านอาจารย์เคียวเก็น ชิกัน ซึ่งถูกกล่าวถึงใน “ศิษย์ของเคียวเก็นอยู่บนต้นไม้”
มีบันทึกใน”การสืบทอดดวงประทีป” ดังนี้
ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไร้สิ่งใดปิดบัง
จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเชื่อสิ่งอื่นใด
ถ้าพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง
จงทักทายท่านโดยไม่ใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง
ไม่ว่าถ้อยคำในโกอานจะเริ่มต้นมาจากเคียวเก็นหรือโฮเอน ก็ไม่เกี่ยวกับคุณค่าของโกอานในแบบของเซน ท่านอาจารย์โฮเอนอาจเห็นคุณค่าแบบเซนและนำมาเป็นโกอานเพื่อช่วยจาระไนศักยภาพของเหล่าศิษย์ก็ได้
“บุรุษแห่งมรรค” คือผู้บรรลุแล้วถึงสัจจะหรือแก่นแห่งเซน และท่านก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือทวินิยมแห่งการพูดและการเงียบเสียง “ถ้าเธอพบบุคคลเช่นนั้น ผู้ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ทวินิยมแห่งการพูดและการเงียบเสียง จะทักทายท่านอย่างไร?” ด้วยการถามเหล่าศิษย์เช่นนั้น ท่านอาจารย์โฮเอนกดดันลูกศิษย์สู่ขั้วที่สมบูรณ์แห่งความขัดแย้ง ด้วยความหวังจะช่วยให้ลูกศิษย์ได้พบอิสระอย่างแท้จริง
ตามที่ได้อธิบายแล้วในโกอานบทที่ยี่สิบสี่ “ทิ้งเสียทั้งการพูดและการเงียบเสียง” สัจจะแห่งจักรวาล หรือ แก่นแห่งเซน อยู่ต่างหากจากบรรดา ชื่อ รูปลักษณ์ และการจำแนกให้เกิดความเปรียบเทียบทั้งปวง ด้วยการเงียบเสียงหรือไร้วาจา “สมภาพ” ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของสัจจะก็เปิดเผย ด้วยการพูด “การจำแนกแตกต่าง” ซึ่งเป็นอีกครึ่งของสัจจะก็เปิดเผย บุรุษแห่งเซนควรยืนอยู่ข้างสัจจะสมบูรณ์ ซึ่งอยู่นอกเหนือ “สมภาพ ความเหมือน” หรือ “การจำแนกแตกต่าง” เว้นเสียแต่เขาจะเป็นอิสระในการใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง โดยไม่ไปผูกมัดกับทั้ง “สมภาพความเหมือน”และ”การจำแนกแตกต่าง”เท่านั้น เขาจึงสมควรได้รับการยกย่องเป็นบุรุษแห่งเซน
ด้วยการแสดงท่าทีเช่นนี้ ท่านอาจารย์โฮเอนผลักดันเหล่าศิษย์ “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ เธอจะทักทายท่านอย่างไร?” อาจมีบางคนตอบอย่างรวดเร็วไม่สะทกสะท้านว่า “มันง่ายมาก ผมทักท่านได้โดยไม่ยากเย็นอะไร” อย่างไรก็ดี คำทักทาย ต้องมีความชัดเจน แจ่มแจ้งมาจากก้นบึ้งแห่งบุคลิกภาพของตนเองด้วย และยังต้องอยู่นอกเหนือทวินิยมทั้งในกาละและเทศะ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ง่ายๆเลย
เพราะคำไม่มีรูปแบบที่ตายตัวและความหมายที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ บุรุษแห่งเซนพูดโดยไม่ใช้ลิ้น เพราะความเงียบไม่มีรูปลักษณ์และความหมายที่ตายตัว เมื่อบุรุษแห่งเซนเงียบเสียง ก็ยังมีกิจกรรมเปี่ยมชีวิตชีวาดำรงอยู่ในการเงียบเสียงเช่นนั้น นี่คือกิจกรรมของบุรุษแห่งมรรค
อาจารย์เซนให้คำไขปริศนาที่สำคัญอย่างน่าสนใจดังนี้ “ถ้าไม่พูดสิ่งที่มีในใจ เธอจะปวดท้องทุรนทุราย หากพูด ลิ้นเธออาจบาดคอเธอขาดได้ จงพูดเท่าที่ควร และเงียบเสียงเท่าที่เห็นว่าควร” นี่เป็นคำไขปริศนาที่ยอดเยี่ยม หากแต่คำไขนี้รู้สึกมีค่าแค่ในทางจริยธรรม ฉันขอเตือนว่าอย่าแปลคุณค่าของโกอานแค่เพียงระดับจริยธรรม เพราะคุณค่าแบบเซนจะหายไป
ในวิมลเกียรตินิเทสสูตร คำถาม “พูดและเงียบ” ถูกยกมาเป็นบทสนทนาระหว่างท่านวิมลเกียรติอุบาสกและมัญชุศรีโพธิสัตว์ผู้ทรงปรัชญาปารมิตา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากในพุทธศาสนา(มหายาน) ท่านมัญชุศรีพร้อมด้วยโพธิสัตว์อื่นๆอีกมากมายเยี่ยมไข้ท่านวิมลเกียรติ ขณะหนึ่ง ท่านวิมลเกียรติถามท่านมัญชุศรีว่า “โพธิสัตว์บรรลุถึงธรรมแห่งความไม่เป็นคู่(อทวินิยมธรรม)อย่างไร?” ท่านมัญชุศรีตอบ “ตามความคิดของข้าพเจ้า อทวินิยมธรรม ไม่ใช่คำ ไม่ใช่การพูด ไม่ใช่การแสดง ไม่ใช่การรู้แจ้ง และดำรงอยู่ต่างหากจากถ้อยสนทนาทั้งปวง โพธิสัตว์บรรลุอทวินิยมธรรมด้วยอาการอย่างนี้ “ หลังจากตอบแล้ว ท่านได้ถามบ้าง ซึ่งท่านวิมลเกียรติได้แต่ “เงียบเสียง” ท่านไม่พูดแม้เพียงคำเดียว เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ท่านมัญชุศรีจึงยกย่องท่านเป็นอย่างสูงว่า “ มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้ ไม่ใช่คำ ไม่ใช่การพูดอย่างแท้จริง ท่านบรรลุถึงอทวินิยมธรรมอย่างแท้จริง”
หากอธิบายอทวินิยมธรรมโดยถ้อยคำว่า “ไม่ใช่คำ ไม่ใช่การพูด และอื่นๆ” มันก็เป็นการผูกมัดเข้ากับคำและการพูดเรียบร้อยแล้ว หากพูดว่า “ดำรงอยู่ต่างหากจากถ้อยสนทนาทั้งปวง” มันก็เป็นการผูกมัดกับคำและการพูดแล้วเช่นกัน และหากพูดว่า การ”เงียบ” ของวิมลเกียรติอุบาสกเป็นคำตอบที่ยิ่งใหญ่ การ“เงียบ”ของท่านก็ทำให้เสียหายเช่นกัน
บรรดาอาจารย์แห่งเซนพยายามกำจัดอวิชชาของมนุษย์โดยการกดดัน “ทักทายท่านโดยไม่ใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง”
ท่านอาจารย์โสเอน ผู้เป็นอาจารย์สอนเซนแก่ดร.ซูสุกิ เขียนบทร้อยกรองว่าด้วย
“ความเงียบของวิมลเกียรติอุบาสก”
เนิ่นนานนัก ลำนำเก่าๆปกคลุมทั่วไพสาลี
สามพันปีล่วงไป นี่คือผู้รู้ความหมาย
ไพเราะนัก ทั้งคำพูด และคำเขียน
เสียงแห่งความเงียบ คือสัจจะจากท่านวิมลเกียรติ
ฐิตา:
ลำนำเก่าๆ พาดพิงไปถึงอทวินิยมธรรม นั่นคือธรรมแท้ที่อยู่นอกเหนือการพูดและการเงียบเสียง ท่านวิมลเกียรติอุบาสกขับลำนำเรื่องอทวินิยมธรรมในเมืองไพสาลี แต่ไม่มีผู้ใดซึมซาบความหมายได้ สามพันปีต่อมา ที่นี่มีผู้จับฉวยหัวใจแห่งลำนำได้ คำพูดและคำเขียนช่างไพเราะยิ่งนัก ทั้งปากและปากกาล้วนสร้างสรรค์ผลงานชั้นเยี่ยม การทำเช่นนั้น คือการดำรงอยู่กับสัจจะว่าด้วยเสียงแห่งความเงียบของท่านวิมลเกียรติ
ท่านอาจารย์โสเอนเขียนอย่างอิสระและพูดอย่างไพเราะจับใจ กิจกรรมบริสุทธิ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากสัจจะจากความเงียบของท่านวิมลเกียรติ เฉพาะเมื่อบุคคลอยู่นอกเหนือทวินิยมแห่งการพูดและการเงียบเท่านั้น ที่เขาจะบรรลุอิสรภาพและสร้างสรรค์ผลงานที่แท้
มีบทสนทนาในลักษณะเดียวกันโดยอาจารย์ท่านอื่น เช่น ใน “การสืบทอดดวงประทีป” เล่มสิบสาม ในบทว่าด้วยอาจารย์ชูซาน โชเนน พระรูปหนึ่งถามว่า “มีคนกล่าวว่า หากพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง ต้องไม่ทักทายท่านด้วยการพูดหรือการเงียบเสียง กระผมสงสัยว่าควรจะทักทายท่านอย่างไร?” และอาจารย์ท่านตอบว่า “ฉันเห็นคำตอบทั่วทั้งสามพันโลก(คือทั้งจักรวาล)”
ในคัมภีร์ โกโตะ อีเก็น(บันทึกประวัติอาจารย์เซนชาวจีน) ,.ในบทว่าด้วยอาจารย์เซปโป กิเซน “อาจารย์แต่โบราณกล่าวว่า หากพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง ไม่ควรทักทายท่าน ทั้งการพูดและการเงียบเสียง กระผมสงสัยว่า ควรจะทักทายท่านอย่างไร?” ท่านอาจารย์ตอบว่า “เชิญจิบน้ำชา”
อาจารย์ชูซานกล่าวว่า “ฉันเห็นคำตอบทั่วทั้งสามพันโลก(คือทั้งจักรวาล)” อาจารย์เซปโปกล่าวว่า “เชิญจิบน้ำชา” เป็นคำตอบที่ไม่ผูกมัดกับการพูดและการเงียบเสียงได้อย่างไร และทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เว้นไว้เสียแต่ว่าท่านสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนและมั่นใจได้ มิฉะนั้นท่านก็เพียงแต่มีชีวิตอยู่ได้เพราะความเมตตาสงสารของ คำพูด และความเงียบเท่านั้น
ไขปริศนา คำวิจารณ์ของท่านมูมอน
“หากเธอสามารถให้คำตอบที่ตรงเป้าได้ในทันที ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมาก แต่หากไม่ได้ ก็จงมีสติอยู่ทุกขณะ”
โดยการอ้างถึงคำสอนของโบราณาจารย์ “ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง จงทักทายท่าน โดยไม่ใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง ” ท่านอาจารย์โฮเอนยืนยันคำถามกับบรรดาศิษย์ว่า “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ เธอจะทักทายท่านอย่างไร?”ท่านอาจารย์มูมอน วิจารณ์โกอานบทนี้ว่า ถ้าเธอสามารถตอบคำถามได้ตรงจุด คือต้อนรับได้ถูกต้องได้เรื่องราวก็ควรจะยินดีกับเธอ ท่านแสดงความชื่นชมเซนของบุคคลเช่นนั้นเป็นอย่างสูงก็หมายถึงว่าบุคคลเช่นนั้นมีไม่มากนัก เป็นการกระตุ้นการฝึกฝนของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ท่านมูมอนก้าวต่อไป “ถ้าเธอไม่สามารถทักทายท่านได้ถูกต้องถูกเรื่องถูกราว และไม่สามารถตอบสนองต่อคำขอร้องของท่านโฮเอน การฝึกฝนของเธอการยังห่างไกลจากความสมบูรณ์ จงหมั่นเพียรฝึกฝนต่อไป และจงมีสติอยู่ทุกขณะ” “ทุกขณะ” คือ “อะไรที่เธอทำทุกขณะเวลาในชีวิตของเธอ” เป็นคำเตือนที่ต้องใช้ความพากเพียรปฏิบัติตามราวกับฝนทั่งให้เป็นเข็ม ท่านอาจารย์มูมอนกระตุ้นเตือนให้พวกเราไขว่หาธรรมะแท้ซึ่งอยู่นอกเหนือการพูดและการเงียบเสียง รวมทั้งมีอยู่ในชีวิตจริงแห่งการเดินยืนนั่งนอนด้วย นั่นก็คือทุกขณะเวลาแห่งชีวิตประจำวันของเรา
อะไรที่เป็นผู้เห็น อะไรที่เป็นผู้ได้ยิน อะไรที่เป็นผู้คิด จงสืบค้นไปเรื่อยว่า มันเป็น”อะไร” ค้นแล้วค้นเล่า จนกระทั่งไม่มีใครที่เป็นผู้เห็น ผู้ได้ยิน หรือผู้คิด เมื่อเธอได้ผ่านพ้นขั้วแห่งการเห็น,การได้ยินและการคิดอย่างแท้จริงแล้ว วิสัยทัศน์อย่างใหม่จะเกิดขึ้นแก่เธอ
ท่านฮะกูอินมักเขียนบทร้อยกรองวิจารณ์ภาพกวนอิมโพธิสัตว์
ด้วยจักษุ พระองค์ สดับ เสียงขับขาน .ในฤดูกาล ใบไม้ผลิ
ด้วยโสต พระองค์ ทอดทัศนา หลากสีสัน แห่งสิงขร
ท่านกำลังบอกว่าบุรุษแห่งเซนจะต้องอยู่เหนือทุกการได้ยิน และทุกการเห็นใช่หรือไม่?
แน่นอนว่าเราต้องมีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ถ้าเธอยังคงฝึกฝนด้วยความพากเพียร
ด้วยความอุทิศตนอย่างจริงใจ ต้องมีวันหนึ่งที่ดวงตาของเธอจะเปิดออกสู่ ธรรมแท้แห่งเซน ซึ่ง..
..อยู่เหนือ การพูดและการเงียบเสียง
ไขปริศนา บทร้อยกรองของท่านมูมอน
ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง
จงทักทายโดยไม่ใช้ทั้งวาจาและความเงียบ
ฉันจะต่อยเขาอย่างรุนแรงที่สุด
จงคว้ามันให้ได้ในทันที ไม่มีชักช้า
ในบทร้อยกรองวิจารณ์โกอานบทนี้ ท่านมูมอนย้ำโกอานอีกครั้งและกล่าวต่อว่า “ถ้าเธอพบบุรุษแห่งมรรคระหว่างทาง จงทักทายโดยไม่ใช้ทั้งวาจาและความเงียบ” มีคำพูดปรัมปราว่า “ทุกครั้งที่มันปรากฏ มันก็ใหม่เสมอ” ถ้าใครไม่ซึมซาบบทร้อยกรองสองบรรทัดแรก ซึ่งเป็นเซนของท่านโฮเอนที่ทำงานของมันอย่างเต็มเปี่ยมด้วยอิสระ ก็ไม่สมควรได้รับการรียกขานว่า บุรุษแห่งเซน ส่วนสองบรรทัดที่เหลือเพิ่มมาโดยปราศจากความจำเป็นใดๆ
นี่เป็นความกรุณาอย่างล้นเหลือของท่านมูมอน และยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมเป็นพิเศษว่า “ถ้าฉันพบบุคคลเช่นนั้น ฉันจะต่อยเขาอย่างรุนแรงสุดแรงของฉัน” นี่เป็นการทักทายที่หยาบคาย ใช่หรือไม่ และท่านยังกล่าวต่อไปอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนแจ่มแจ้ง คมชัดรัดกุม ว่า”เธอมัวพูดอะไรเหลวไหลไร้สาระอยู่” แล้วจึงกล่าวต่อว่า “จงคว้ามันให้ได้ในทันที อย่ามัวชักช้า”
วิเคราะห์จริงๆแล้ว ในเซนก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า คว้ามันหรือไม่คว้ามัน ด้วยกำปั้นจงอยู่นอกเหนือกำปั้น ในความเจ็บปวดจงอยู่นอกเหนือความเจ็บปวด แล้วจงมองและเห็นมัน ธรรมะแท้อยู่ที่นั่นแล้ว
ท่านอาจารย์มูมอนวิจารณ์ท่านมูมอนว่า “ฉันไม่ชอบสองบรรทัดสุดท้ายเลย ท่านมูมอนผิดพลาดอย่างมหันต์” ยิ่งกว่าเรียกว่าผิดพลาดอย่างมหันต์ ฉันอยากพูดว่าอย่างนี้ ท่านมูมอนหยาบคายอย่างไม่จำเป็น อวดความเป็นพระเซนเกินไป ท่านควรรู้ความควรไม่ควรและใช้เซนอย่างสงบ
บัดนี้ หากเธอพบบุรุษแห่งเซนระหว่างทาง จงทักทายท่านโดยไม่ใช้ทั้งการพูดและการเงียบเสียง เธอจะทักทายท่านอย่างไร ฉันต้องการคำตอบตรงไปตรงมา
ฐิตา:
ด่านที่ไร้ประตู ลำดับเรื่อง(ในต้นฉบับ) ๑๒
ลำดับการแปล ๔
ชื่อเรื่อง ซุยกันเรียกตนเอง
โกอาน
ทุกๆวันท่านซุยกันจะเรียกตนเอง “ท่านอาจารย์” แล้วขานรับเอง “ครับ ท่านอาจารย์” แล้วท่านก็ถามอีก”ท่านตื่นหรือยัง?” แล้วตอบ”ตื่นแล้ว” แล้วพูดต่อ “อย่าให้ใครหลอก ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน” แล้วตอบ “ไม่ครับ ผมจะไม่ให้ใครหลอก”
คำวิจารณ์ของมูมอน
ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าขายเองซื้อเอง ท่านมีหน้ากากปีศาจมากมายไว้เล่น ทำไม?nii(ไน้) อันที่เป็นผู้เรียก อันที่เป็นผู้ขานรับ อันที่เป็นผู้ตื่น อันที่ไม่ให้ใครหลอก ถ้าเธอคิดว่าเป็นเรื่องจริง เธอกำลังเข้าใจผิด หากเธอเลียนแบบท่านอาจารย์ซุยกัน เธอยังเข้าใจแบบสุนัขจิ้งจอก
บทร้อยกรองของมูมอน
ผู้แสวงหามรรคไม่เห็นธรรมแท้
พวกเขาเห็นแต่วิญญาณอย่างเก่าๆ
ทำให้เวียนวนอยู่ในวัฏฏะไม่มีที่สิ้นสุด
แต่คนยังคงหลงจับฉวยแทนมนุษย์แต่ดั้งเดิม
ไขปริศนา โกอาน
ท่านอาจารย์ชิเกน แห่งซุยกัน ถือกำเนิดในบิเนทสุ ออกบวชตั้งแต่เยาว์วัย และเป็นธรรมทายาทของท่านอาจารย์กันโตะ เซนกัตสุ(๘๒๘-๘๘๗) ครั้งแรกที่ท่านพบท่านกันโตะ ท่านถามว่า “อะไรคือสัจธรรมนิรันดร? “ ท่านกันโตะตอบว่า “เธอพลาดเสียแล้ว” ท่านซุยกันจึงถามกลับว่า “มันเป็นอะไรเมื่อผมพลาด?” ท่านอาจารย์ซุยกันจึงตอบว่า “มันก็ไม่เป็นสัจธรรมนิรันดรอีกต่อไป” ท่านซุยกันต้องปฏิบัติโดยขบโกอานนี้อย่างหนักหน่วงจนตรัสรู้ในที่สุด ต่อมาท่านย้ายไปอยู่ที่ตันกิว ที่ซึ่งท่านนั่งนิ่งอย่างกับคนโง่ราวกับก้อนหินตลอดวัน ประชาชนทั้งหมดรักและเคารพท่าน นี่คือประวัติของท่าน และนิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดซุยกัน ท่านเป็นผู้นำสงฆ์ที่เข้มงวดเฉียบขาดและถูกต้องเที่ยงตรง จึงได้รับการยกย่องจากทุกๆคน
โกอานบทนี้มีชื่อเสียงเพราะฟังดูแปลกๆเหมือนนิยาย ทั้งๆที่ใครๆก็รู้จัก แต่กลับมีน้อยคนที่รู้ซึ้งถึงความหมายแบบเซนที่ซ่อนอยู่ภายใน
ไม่ต้องกล่าวมากไป โกอานคือการพูดและการกระทำที่ออกมาจากประสบการณ์เบื้องลึกของเหล่าอาจารย์เซน เบื้องหลังพื้นผิวแห่งการพูดและการกระทำของท่านเหล่านี้ก็มีสัจจะแห่งเซน ซึ่งอยู่เหนือการแสดงออกเหล่านั้น คุณค่าพื้นฐานของโกอานอยู่ที่นักศึกษาเซนสามารถเจาะทะลุ และเข้าถึงแก่นแห่งเซนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการแสดงออกเหล่านั้น ผู้ไม่เคยปฏิบัติเซนสามารถเปิดดวงตาแห่งเซนด้วยโกอาน ส่วนผู้ที่ดวงตาแห่งเซนเปิดออกแล้ว ก็สามารถขัดเกลาจิตวิญญาณแห่งเซนให้ประณีตขึ้น
คุณค่าทางจริยธรรมที่พบจากโกอานเป็นคุณค่าที่รองลงมา หากใครสนใจคุณค่าแบบนั้น ก็เท่ากับละทิ้งคุณค่าขั้นพื้นฐานไปเสียสิ้น แน่นอนว่าเซนไม่ได้ละทิ้งคุณค่าทางจริยธรรม แต่มันออกมาจากสัจจะแห่งเซนอีกชั้นหนึ่ง
บ่อยทีเดียวที่ผู้คนแปลความหมายของ “ท่านอาจารย์” ในโกอานนี้ เพียงแค่ระดับศีลธรรม และคิดว่าท่านอาจารย์ซุยกันแค่เพียงตรวจสอบตนเองเท่านั้น หากมันเป็นเพียงเท่านี้ มันก็ไม่เป็นโกอานอีกต่อไป หากเป็นแค่คำสอนระดับศีลธรรม ท่านอาจารย์ซุยกันก็หมดความน่านับถือในฐานะอาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่ไป
ไม่จำเป็นต้องกล่าวมากเกินไป ท่านมูมอนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสอนศีลธรรม แต่ใช้เป็นโกอานเพื่อให้สานุศิษย์ได้สัมผัสกับเซนของท่านซุยกัน และมีความลุ่มลึกในเซนมากขึ้น มีชีวิตอย่างเซนอย่างแท้จริง
โกอานกล่าวว่า ทุกๆวันท่านซุยกันจะเรียกตนเอง “ท่านอาจารย์” แล้วก็ขานรับเองว่า “ครับ ท่านอาจารย์”
ก่อนนี้ ท่านอาจารย์ซุยกันเคยฝึกเซนอย่างขยันขันแข็งและยาวนานภายใต้การสอนของอาจารย์กันโตะ บรรลุเซนและกลายเป็นอาจารย์เซนผู้ทรงคุณวุฒิ หลังจากนั้น ทุกกิจกรรมของท่านล้วนเป็นผลงานจากความเป็นเซนของท่าน สำหรับท่านซุยกัน คำว่า“ท่านอาจารย์”ที่แท้จริง มีชีวิตและแสดงออกในคำเรียกและคำขานรับของท่าน หากเราไม่สามารถจับฉวย “ท่านอาจารย์”ที่แสดงตนอย่างชัดแจ้งนี้ได้ เราก็พลาดจากแก่นแห่งโกอานบทนี้ไป
ขอออกนอกเรื่องสักเล็กน้อยเพื่ออธิบายการใช้คำว่า “ท่านอาจารย์” (การแปลในที่นี้ทำให้เสียอรรถรสทางภาษาไป เพราะคำเดิมในภาษาอังกฤษคือ Master ซึ่งมีความหมายได้หลายอย่าง”-ผู้แปล) หมายถึงมีความเชี่ยวชาญ มีอำนาจเหนือบางอย่าง เป็น(เจ้า)นายเหนือสถานการณ์ภายนอก แต่ในที่นี้เป็นความเชี่ยวชาญ เป็นอำนาจ เป็น(เจ้า)นายที่สมบูรณ์ ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ เป็นผู้สร้างและใช้ความเป็นนายเสียเองอย่างอิสระยิ่ง เป็นความที่ไม่ต้องระบุว่าเป็นอะไร ไม่สามารถคาดคิดได้ว่าเป็นอะไร เป็นความสมบูรณ์ในตนเอง มีนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวมันเอง การเรียกด้วยถ้อยคำนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะจะผลักดันเราเข้าสู่การระบุและการคาดคิดต่างๆ ท่านอาจารย์เอไซได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ไม่สามารถเรียกชื่อมันได้ตลอดไป“
ด้วยความจำเป็น ท่านอาจารย์ซุยกันจึงเรียกสิ่งนี้ว่า “ท่านอาจารย์” อาจารย์กูไตชูหนึ่งนิ้ว อาจารย์เอโน(เว่ยหล่าง)เรียก “หน้าตาแต่ดั้งเดิม” ท่านรินไซเรียก “บุรุษที่แท้แต่ไร้ชื่อ” รายชื่อที่แตกต่างกันทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาอาจารย์ใช้เรียกเพื่อชี้ตรงไปยังสัจจะหนึ่งเดียวกัน (ฉันอยากพูดว่า คำว่า “ฉัน” ในประโยค “ต่อหน้าอับราฮัมคือฉัน” ก็หมายถึงสัจจะที่ไม่สามารถเรียกชื่อได้นี้เช่นกัน)
เซนไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากประสบการณ์ที่ แต่ละคนได้เปิดดวงตาทางจิตวิญญาณสู่ความเป็น(เจ้านาย)อาจารย์ที่สมบูรณ์นี้ และเป็นมันเสียเอง ซาโตริ(การตรัสรู้)คือประสบการณ์นี้ บุคคลต้องยอมมอบกายใจให้แก่สิ่งนี้ ท่านมูมอนเน้นจุดนี้มากเมื่อท่านกล่าวไว้ในโกอานบทแรก “ในการปฏิบัติเซน ศิษย์ต้องผ่านด่านที่เหล่าอาจารย์แต่โบร่ำโบราณสร้างไว้ เพื่อการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ ศิษย์ต้องขุดรากถอนโคนจิตแบบจำแนกแยกแยะทิ้งไป”
ท่านอาจารย์กูโดแห่งวัดเมียวชินจิในเกียวโตได้ประพันธ์บทร้อยกรองชื่อ “หน้าตาแต่ดั้งเดิม”
นี่คือวัยเยาว์แห่งธรรมชาติอันงดงาม
ถ้าไม่ยิ้มกับเธอ แบบหัวใจต่อหัวใจ
เธอจักต้องเสียเลือดหมดหัวใจ
ซีไชที่ว่างามยังดูซูบเซียว
โยกิที่ว่าสง่ายังหลบสู่มุมมืด
อำนาจสมบูรณ์ซึ่งไม่สามารถระบุถึงหรือคาดคิดถึงได้ เป็นอิสระจากขอบขีดแห่งปวงกาละและเทศะ ไม่ตกอยู่ภายใต้การเกิดและตาย อยู่เหนือตัวกูและของกู แม้ว่ามันอาศัยอยู่กับปัจเจกชนใดแต่ไม่สามารถจำกัดขอบขีดมันได้ ท่านอาจารย์กูโดเรียกอำนาจที่สมบูรณ์นี้ว่า “วัยเยาว์แห่งธรรมชาติอันงดงาม” ซึ่งงามบริสุทธิ์ไร้มลทินเสริมแต่ง เรื่องนี้กล่าวอ้างถึง ซีไชและโยกิผู้ที่เลื่องลือกันว่างามที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ท่านกล่าวว่าเมื่อเผชิญกับวัยเยาว์แห่งธรรมชาติอันงดงาม แม้สตรีที่หายากสุดเช่นนั้นในจีนยังดูซูบเซียว เพราะเหตุนี้ ท่านกูโดกล่าวว่า บุคคลต้องขุดรากถอนโคนความฉลาดแบบจำแนกแยกแยะออกไป และต้องยิ้มกับเธอแบบหัวใจต่อหัวใจ นั่นคือจับฉวยสิ่งนี้ไว้แม้ต้องเสี่ยงชีวิต หากพลาดไปก็ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ซุยกัน เป็นอาจารย์เซนที่ยิ้มหัวใจต่อหัวใจกับความเยาว์แห่งธรรมชาติอันงดงามภายหลังการฝึกอย่างหนักและยาวนานภายใต้การอบรมของอาจารย์กันโตะผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว แม้ภายหลังประสบการณ์นี้ ซุยกันก็ยังคงเรียกขาน “มัน” หรือ “ท่านอาจารย์” ซึ่งเป็นชื่อที่ท่านซุยกันใช้เรียกความเยาว์แห่งธรรมชาติอันงดงาม ท่านเป็นอยู่ มีความสุข และใช้งาน “ท่านอาจารย์” ในตัวท่านเอง และชีวิตอย่างเซนของท่านก็ได้รับความชื่นชมจากสานุศิษย์รุ่นหลังอย่างสูง ท่านอาจารย์ผู้เรียก และ ท่านอาจารย์ผู้ขานรับ ไม่มีทางเป็นสองคน แต่ต้องเป็นท่านอาจารย์ที่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวแห่งความเป็นนายที่สมบูรณ์ สิ่งที่แจ่มชัดคือจิตแห่งเซนของท่าน สุขุมคัมภีรภาพคือประสบการณ์เซนของท่าน ท่านจึงสมควรได้รับคำยกย่องจากใจจริงของเราทั้งหลาย
ท่านซุยกันตั้งคำถามและตอบต่อไปในการเป็นอยู่ มีความสุข และใช้งาน “มัน” “ท่านตื่นหรือยัง?” “ตื่นแล้ว” “อย่าให้ใครหลอก ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน” “ไม่ครับ ผมจะไม่ให้ใครหลอก” ถ้าเราอ่านบทสนทนานี้อย่างผิวเผิน จะเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่ายๆธรรมดาๆ “ท่านอาจารย์ ความเป็นนาย(ในสถานการณ์ต่างๆ หมายถึงเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัด ) ชัดเจนและมั่นคงดีหรือ? “ “ใช่ครับ ท่านอาจารย์” “อย่าปล่อยให้ใคร บดบังความเป็นนายของเธอ” “ไม่ ไม่เลย” เราจักต้องมองให้เห็นอย่างแจ่มชัด ณ บัดนี้ ถึงการเรียกตนเอง ขานรับตนเอง และความมั่นคงและชัดเจนของเซนของท่าน เราจะต้องอ่านเรื่องนี้อีกครั้งด้วยสายตาแห่งเซน ที่ได้มาจากประสบการณ์และการปฏิบัติ
“ท่านตื่นหรือยัง” “ตื่นแล้ว” “อย่าให้ใครหลอก ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน” “ไม่ครับ ผมจะไม่ให้ใครหลอก” การถามเองตอบเองนี้หมายถึงอะไร อาจารย์เซนท่านหนึ่งกล่าวว่า “ต้องเป็นพระเป็นเจ้าแห่งพระเป็นเจ้าจึงสามารถทำเรื่องนี้ได้โดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ” “ท่านอาจารย์”ของซุยกันแสดงตัวให้เห็นได้อย่างปลอดโปร่งในการกิน นุ่งห่ม สนทนา ยิ้ม และไม่เคยถูกหลอกโดยสิ่งใดๆ ถ้าท่านยืน ท่านก็ตื่นที่นั่น ถ้าท่านนั่ง ท่านก็ตื่นที่นั่น
เพราะความโปร่งใสเห็นได้ชัดของเซนของท่านซุยกัน ความเป็นอยู่อย่างเซนของท่าน “ประชาชนจึงรักและเคารพท่าน และนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดซุยกัน”
ฐิตา:
บุรพาจารย์แห่งเซน ได้วิจารณ์ให้เห็นเค้าเรื่องถึงความบริสุทธิ์และถูกต้องเที่ยงตรงถึงการเป็นอยู่อย่างเซนของท่านซุยกัน “มังกรยินดีในแก้วมณี” น่าพิศวงขนาดไหนที่ท่านซุยกันอาศัย ชื่นชมยินดี และใช้ “มัน” ในตัวท่าน โดยเรียกและขานรับด้วยตัวท่านเอง น่าพิศวงเช่นเดียวกับ มังกร รักและยินดี ในแก้วมณี
วิญญาณแห่งเซนที่ลุ่มลึกและกระจ่างชัด ในการเป็นอยู่ ความร่าเริง การใช้ “มัน” ในตัวเขาไม่ควรตีความผ่านๆอย่างผิวเผินแค่ตามตัวหนังสือเพียงระดับศีลธรรม คือการตรวจสอบตัวเองเท่านั้น
ทำไมท่านอาจารย์ซุยกันจึงใช้ชีวิต ร่าเริง ใช้”มัน”อย่างเคร่งครัดเช่นนั้น เราไม่ควรมองข้ามความกรุณาที่ล้นหลั่งไปสู่อนุชนรุ่นหลัง รวมทั้งเซนของท่านที่เต็มไปด้วยความชัดแจ้งจนมองเห็นได้ด้วยตา นั่นเป็นเหตุผลให้ท่านมูมอนนำโกอานบทนี้มาสอนสานุศิษย์ พูดสั้นๆ ท่านอาจารย์ของท่านซุยกันคืออาจารย์ของเธอ ของฉัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้
มีโกอานอีกบทที่สืบเนื่องจากโกอานบทนี้ วันหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งมาพบอาจารย์เกนชา “อาจารย์เกนชาถามพระว่า “เมื่อเร็วๆนี้เธออยู่ที่ไหน?” พระตอบว่า “อยู่กับอาจารย์ซุยกันครับ ท่าน” ท่านอาจารย์จึงถามต่อว่า “ใช่ อาจารย์ซุยกันสอนศิษย์อย่างไร ?” ภิกษุรูปนั้นกล่าวอย่างละเอียดถึงเหตุการณ์ทุกวันที่อาจารย์ซุยกันถามและตอบตนเอง เมื่อได้ยินดังนั้น อาจารย์เกนชาจึงถามต่อว่า “ทำไมเธอจึงไม่เรียนต่อไปกับอาจารย์ซุยกัน?” พระภิกษุตอบ “ท่านซุยกันมรณภาพแล้ว” ต่อคำตอบนี้ อาจารย์เกนชาจึงตั้งคำถามที่คิดไม่ถึงว่า “หากเธอถามท่านซุยกันเดี๋ยวนี้ “ท่านอาจารย์” ท่านซุยกันจะตอบหรือไม่?” โชคไม่ดี ภิกษุได้แต่เงียบ ไม่พูดตอบแม้แต่คำเดียว
ท่านซุยกันมรณภาพแล้ว และท่านเกนชาก็ถามว่า “หากเธอถามท่านซุยกันเดี๋ยวนี้ “ท่านอาจารย์” ท่านซุยกันจะตอบหรือไม่?” ทำไมท่านจึงอาจหาญตั้งคำถามเช่นนั้น เซนของท่านเกนชาทำงานอยู่เบื้องหลังคำถามนี้ ท่านพยายามปลุกพระให้ตื่นขึ้นมาพบอาจารย์(หรือนาย)ที่แท้ที่อยู่เหนือกาล,เวลา,เธอ,ฉัน,ชีวิต และความตาย น่าเสียดายที่พระไม่สามารถตอบสนองความกรุณาของท่านเกนชาได้ถูกต้อง
ในยุคสงครามกลางเมืองในญี่ปุ่น มีขุนนางท่านหนึ่งนามว่า โอตะ โดกัน ได้สร้างคฤหาสน์หลังงามในเอโด หรือโตเกียวในปัจจุบัน ท่านเรียนเซนกกับท่านอุนโกะ ซึ่งอาศัยอยู่ในวัดใกล้กันชื่อว่า เซอิโชจิ และขยันในการปฏิบัติเซนมาก ท่านอุนโกะให้โดกันขบโกอาน “ท่านอาจารย์ของซุยกัน” และให้โดกันปฏิบัติอย่างหนัก ท่านปฏิบัติอย่างจริงจังและจริงใจเป็นเวลานาย และในวันหนึ่งก็แทงทะลุสู่แก่นของ “ท่านอาจารย์”
ท่านอุนโกะต้องการทดสอบผลการปฏิบัติ จึงถามว่า
“ขณะนี้ บัดเดี๋ยวนี้ “ท่านอาจารย์” อยู่ที่ไหน?”
ขุนเขาตอบ
เสียงระฆังจากวัด
ท่ามกลางแสงจันทร์
เป็นคำตอบจากโดกันในทันทีทันใด และท่านอุนโกะก็ยอมรับ
บทร้อยกรองของโดกันเหมือนกับการตอบตนเองของท่านซุยกันหรือไม่ หรือต่างกัน อาจารย์ที่แท้คงอยู่ตลอดไป กับท่านซุยกันหรือโดกันก็ได้ ขณะนี้ หรือในอดีต ท่านเป็นความคิดรวบยอดที่ไม่มีชีวิต แน่นอนว่าท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ในขณะนี้เสมอ และตื่นอยู่ในขณะแห่งการยืนและนั่งของเธอ เธอผู้มีตา(แห่งเซน)จงมองท่านเสียในบัดนี้ เธอผู้สามารถใช้ท่าน จงใช้ท่านเสียตรงๆ ท่านมูมอนกระตุ้นเราดังนี้
ไขปริศนา คำวิจารณ์ของท่านมูมอน
ท่านมูมอนวิจารณ์ “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าขายเองซื้อเอง ท่านมีหน้ากากปีศาจมากมายไว้เล่น ทำไม? Nii(ไน้) อันที่เป็นผู้เรียก อันที่เป็นผู้ขานรับ อันที่เป็นผู้ตื่น อันที่ไม่ให้ใครหลอก ถ้าเธอคิดว่าเป็นเรื่องจริง เธอกำลังเข้าใจผิด หากเธอเลียนแบบท่านอาจารย์ซุยกัน เธอยังเข้าใจแบบสุนัขจิ้งจอก”
คำวิจารณ์นี้แบ่งได้เป็นสามส่วน ส่วนแรกเหมือนกับท่านมูมอนใส่ร้ายท่านซุยกัน”ทุกๆวัน ท่านเรียกตนเองและตอบตนเอง” “ท่านขายเองแล้วก็ซื้อเอง การแสดงเดี่ยวของท่านหมายความว่าอย่างไร ที่ไปเล่นเอาปีศาจทุกชนิดมาแสดงบนเวทีทีละตัวทีละตัวอย่างนั้น ?” ท่านมูมอนไล่ต้อนท่านซุยกัน นี่เป็นวิธีการที่นิยมใช้เพื่อยกย่องแบบเซน ที่จริงแล้วท่านยกย่องเซนของท่านซุยกัน
“nii(ไน้)” เป็นคำอุท่านเพื่อเน้นย้ำความหมาย มันมีความหมายว่า “นั่นไง” “จงมองดูซิ” คาดคั้นเอาคำตอบ เมื่อท่านพูดพาดพิงถึงปีศาจ มีความเชื่อของชาวบ้านว่า เมื่อใช้ป้ายตัวอักษร nii(ไน้) ปิดเหนือประตูบ้านแล้ว จะขับไล่อัปมงคลทั้งปวงได้
เราจะต้องมองให้เห็นความเท่าทันของท่านมูมอน เมื่อท่านซุยกันเป็นท่านอาจารย์เสียเองอย่างเต็มที่ และนำไปทุกที่ทั้งขณะมาและไป นั่งและนอน
ส่วนที่สองคือ “อันที่เป็นผู้เรียก อันที่เป็นผู้ขานรับ อันที่เป็นผู้ตื่น อันที่ไม่ให้ใครหลอก ถ้าเธอคิดว่าเป็นเรื่องจริง เธอกำลังเข้าใจผิด” ท่านพูดถึงพฤติกรรมต่างๆของท่านซุยกัน เดี๋ยวก็เรียกตนเอง เดี๋ยวก็ขานรับตนเอง เดี๋ยวก็บอกให้ตนเองตื่น เดี๋ยวก็พูดว่าจะไม่ให้ใครหลอก “จงอย่ายึดมั่นถือมั่นกับหลากหลายใบหน้าเหล่านี้” ท่านมูมอนเตือนสานุศิษย์อย่างเข้มงวด โดยพื้นฐาน ท่านอาจารย์ ก็คือ ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะปรากฏในรูปแบบไหน ปราชญ์โบราณวิจารณ์ว่า “ลาอยู่ในบ้านทางตะวันออก ม้าอยู่ในบ้านทางตะวันตก” อยู่กับต้นหลิวมันก็ปรากฏเป็นสีเขียว อยู่กับดอกไม้มันก็ปรากฏเป็นสีแดง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็เป็นสัจจะที่แท้เสมอ และไม่เคยพลาดจากความเป็นท่านอาจารย์เลย ด้วยคำวิจารณ์เต็มไปด้วยความกรุณา ท่านมูมอนพยายามผลักดันให้เหล่าสานุศิษย์มองเห็นสาระในเซนของท่านซุยกัน
ประโยคสุดท้าย “หากเธอเลียนแบบท่านอาจารย์ซุยกัน เธอยังเข้าใจแบบสุนัขจิ้งจอก” บางคนอาจสรุปว่า ท่านอาจารย์หมายถึงสัจจะสมบูรณ์ที่อยู่เหนือคำบรรยายทั้งปวง สิ่งที่ควรทำคือ เพียงแต่เรียก “ท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์! “ หากพวกเขาเลียนแบบท่านซุยกันทำนองนี้ โดยปราศจากเซน ก็เป็นความเข้าใจที่ตายไปแล้ว เป็นความเข้าใจเซนที่ผิดและไร้ชีวิตจิตใจ เรียกว่า เซนสุนัขจิ้งจอก หลังจากกั้นรั้ว(กันศิษย์ออกนอกทาง)แล้ว ท่านมูมอนก็แสดงสัจจะที่แท้แก่เหล่าศิษย์ ท่านมูมอนว่ากล่าวตักเตือนด้วยความกรุณาที่แท้จริง
ไขปริศนา บทร้อยกรองของท่านมูมอน
ผู้แสวงหามรรคไม่เห็นธรรมแท้
พวกเขาเห็นแต่วิญญาณอย่างเก่าๆ
ทำให้เวียนวนอยู่ในวัฏฏะไม่มีที่สิ้นสุด
แต่คนยังคงหลงจับฉวยแทนมนุษย์แต่ดั้งเดิม
บทร้อยกรองนี้แต่งโดยท่านอาจารย์โชสะ มูมอนนำมากล่าวโดยไม่ได้ดัดแปลงแก้ไขแม้น้อยนิด ใช้มันเป็นคำแนะนำโกอานบทนี้ด้วยความสามารถในเซนของท่านเอง “มนุษย์แต่ดั้งเดิม” ตรงกับ “ท่านอาจารย์” ของท่านซุยกัน มูมอนใช้บทร้อยกรองนี้อย่างเปี่ยมด้วยความกรุณา พยายามบดขยี้ความฝันลวงๆของประชาชนผู้ยังติดกับความคิดแบบแบ่งแยกโดยเห็นเป็นมนุษย์แต่ดั้งเดิม ซึ่งเป็นเหตุแห่งอวิชชาโดยแท้จริง
ในวัยแห่งการฝึกเซนของฉัน ฉันสวดบทร้อยกรองนี้ต่อหน้าอาจารย์ของฉัน ยากที่จะจบบรรทัดแรกโดยไม่พูดอะไรต่อเติม “ผู้แสวงหามรรคไม่เห็นธรรมแท้” ท่านก็รุกเร้า “ปล่อยบทร้อยกรองไว้ตามเดิม บอกธรรมแท้ของเธอมาเดี๋ยวนี้!” ฉันจำได้ว่าได้แต่เงียบกริบภายหลังถูกบีบบังคับด้วยคำถามของท่าน
คำว่า ธรรมแท้ หมายถึงแก่นแห่งเซน
และก็เป็นจิตวิญญาณของบทร้อยกรองนี้ด้วย
พูดอีกอย่าง จากคำนี้ ท่านอาจารย์ มนุษย์แต่ดั้งเดิม จึงเกิดมีขึ้น
ผู้แสวงหามรรคมากมายไม่รู้แจ้งท่านอาจารย์ที่แท้จริง เพราะพวกเขายึดมั่นอยู่กับอาลัยวิญญาณ ซึ่งคิดว่าเป็นต้นธารของชีวิตของพวกเขา แท้จริงแล้วนี่คือเหตุแห่งการเวียนว่ายในวัฏฏะอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และควรจะบดขยี้ถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือเชื้อ น่าเศร้าเพียงใดที่เห็นพวกเขาหลงผิดเห็นเป็น ท่านอาจารย์ที่แท้ มนุษย์แต่ดั้งเดิม ด้วยบทร้อยกรองนี้ท่านมูมอนหวังให้เราเปิดดวงตาแห่งสัจจธรรมสู่ ท่านอาจารย์ที่แท้ อย่างสมบูรณ์
ถ้าใครบ่งชี้ถึง ท่านอาจารย์ที่แท้ และตั้งหลักเกณฑ์ว่ามีอยู่นอกตัวเขาแล้ว
นั่นก็เป็นอุปาทานและเหตุแห่งอวิชชาโดยแท้ อาจารย์เซนแต่โบราณ
ได้ตักเตือนอนุชนรุ่นหลังด้วยบทร้อยกรองต่อไปนี้
นกน้ำมาแล้วไป
ไม่เหลือร่องร่อย
แต่มันก็รู้
หนทางของตนเอง
เริ่มแปล วันจันทร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
แปลเสร็จ วันอังคารที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ฐิตา:
ด่านที่ไร้ประตู ลำดับเรื่อง(ในต้นฉบับ) ๑๑
ลำดับการแปล ๖
ชื่อเรื่อง โจชูเห็นธรรมชาติที่แท้ของสองอนาคาริก
โกอาน
โจชูเดินทางมาถึงอาศรมแห่งหนึ่ง แล้วถามว่า “มีคนอยู่ไหม?”
อนาคาริกคนหนึ่งชูกำปั้นขึ้น ท่านโจชูจึงพูดว่า” น้ำตื้นเกินกว่าจะทอดสมอเรือ”
แล้วเดินจากไป มาถึงอาศรมอีกแห่ง แล้วถามเช่นเดิม
อนาคาริกอีกคนทำเหมือนเดิม ท่านจึงพูดว่า
“ท่านมีเสรีที่จะเอาหรือให้ ประหารชีวิตหรือให้ชีวิต” แล้วทำความเคารพอนาคาริกนั้น
คำวิจารณ์ของมูมอน
ทั้งคู่ชูกำปั้น ทำไมท่านรับรองคนหนึ่งแต่ไม่รับรองอีกคนหนึ่ง
ขอให้บอกมาว่าอะไรคือแก่นของความลึกลับซับซ้อน
ถ้าเธอรู้ เธอจะเห็นท่านโจชูไม่ถูกผูกมัดในการพูดสิ่งที่ต้องการ
มีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะยกใครขึ้นหรือกดใครลง
อันที่จริง เป็นโจชูเองที่ถูก-อนาคาริกทั้งสองมองเห็น ธรรมชาติที่แท้ ?
ถ้าเธอเห็นว่า อนาคาริกคนหนึ่งเหนือกว่าอีกคน เธอยังไม่ได้รับดวงตาแห่งเซน
หากบอกว่าทั้งสองไม่ต่างกัน เธอก็ยังคงไม่ได้รับดวงตาแห่งเซน เช่นกัน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version