OLDBOY บางคูวัด
หนังช่างคิด
โดย ... OLDBOY บางคูวัด
ขณะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในฮอลีวู๊ดยังพอได้อาศัยใบบุญจาก “ซูเปอร์ฮีโร่” จากสำนักคอมมิกส์ หรือค่ายการ์ตูนต่างๆ เท่าๆ กับที่เก็บกวาดอานิสงส์จาก “วีรบุรุษ” จากนิยาย-เรื่องจริงปนแต่งได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเรื่องราว ของ “ซีโร่” บรรดามนุษย์โหลยโท่ย คนพันธุ์เกรียน หรือ เรื่องเล่าแบบ “แอนตี้ฮีโร่” ก็เฟื่องฟูตามแนวทางของตัวเองได้มากขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน
เมื่อคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อย เอียน เลี่ยน กับ คนเก่งคนดีมากศีลธรรม ที่ดำเนินชีวิตตามขนบครรลองอันสูงส่ง เลิศเลอเฟอร์เฟ็กต์ ชนิดช่องว่างทางคุณธรรมห่างจากปุถุชนทั่วไปหลายขุม
คนจริง สีเทาๆ กระดำกระด่างที่ไม่ไกลห่างไปจากคนตัวเป็นๆ ที่เห็นกันอยู่ในชีวิตนี่ต่างหากที่น่าจะ “เข้าพวก” กันมากกว่า
อาจจะห่าม เกรียน เพี้ยน เยอะไปบ้าง แต่ก็ “แนว” ชัดเจนไม่ซ้ำซาก มีความคิดสร้างสรรค์ และมักกล้าที่จะแตกต่าง
ดังนั้นก็อย่าได้แปลกใจที่ สังคมไทยจะเปิดพื้นที่ยืนให้กับคนอย่าง “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามองนค์ หรือ “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กลมวิศิษฐ์ ได้ก้าวออกมามีบทบาท เติมสีสัน เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในท่ามกลางกระแสหลัก
เฉกเช่นเดียวกับที่ในปี 2010 ที่ผ่านมา มีภาพยนตร์ 2 เรื่องที่ถูกผลิตออกมาเติมเต็มความรู้สึกทำนองเดียวกันนั้นในความคิดของผม ได้แก่...
Kick Ass “เกรียนโคตรมหาประลัย” งานกำกับภาพนตร์โดย Matthew Vaughn (เคยมีงานเล็กๆ ที่น่าประทับใจเรื่อง Stardust-2007) และ Scott Pilgrim vs The World ผลงานของผู้กำกับขวัญใจชาวอินดี้ เด็กแนวทั้งปวง เอ็ดการ์ ไรท์ Edgar Wright (เจ้าของผลงานสุดคัลท์ที่ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกมากมายจาก Shuan of the Dead และ Hot Fuzz)
ยอมรับแต่โดยดีว่า ผมดูทั้ง 2 เรื่องนี้ สนุกแทบบ้า ทั้งขำ ทั้งฮา มันเขี้ยว แสบจิต สะใจ และให้รางวัล “เจ๋งโคตร” ไปหมดเนื้อหมดตัว โดยมิพักต้องถามหาเหตุผลหรือชวนเถียงว่า หลายคนดูแล้วรู้สึกว่า “งั้นๆ”
ทั้ง 2 เรื่องแทบจะเป็นตัวแทนหรือมุมมองจาก “วัยรุ่น” ที่มีอารยธรรมร่วมกันทั่วโลก วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ หล่อ สวย รวย เก่ง ชาติตระกูลเลิศล้ำโดดเด่น แสนดี ฯลฯ ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่คือคนที่ไร้ตัวตน จมอยู่กับสิ่งที่ชอบเหมือนๆ กันทั่วโลกนั่นคือ สังคมออนไลน์ โลกเสมือนจริงในอินเตอร์เน็ต อ่านการ์ตูน เล่นเกม บ้าดนตรี หลีหญิง เล็งหนุ่ม
พร้อมกับฝันว่าสักวันหนึ่ง ตัวตนของเขาจะได้รับการยอมรับเชิดชูกับเขาบ้าง และหากจะไปให้ถึงจุดหมายนั้นก็ต้องต่อสู้ เอาชนะอุปสรรค เอาชนะใจตัวเอง ก้าวข้ามวันวัย เติบใหญ่เข้าใจโลกให้ได้ด้วยตัวเอง
โครงเรื่องของ Kick Ass เล่าถึง Dave เด็กหนุ่มประเภท nobody ที่ไม่เก่ง ไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างนอกจากมุอ่านการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่จนแตกฉานแล้วก็เก็บมาคิดว่า ในชีวิตจริงทำไมไม่เห็นมีใครกล้าอุทิศตัว ใส่หน้ากาก-ชุดหนัง ออกไปปรามปราบโจรชั่วและความเลวร้ายกันจริงๆ บ้าง(เลยวะ)
ด้วยความเกรียนเข้าขั้น Dave ผู้ไม่มี “พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่” ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีผู้มีอุปกรณ์ใฮเทคอะไรกับเขาก็เสร่อแต่งชุดเห่ยๆ ใส่หน้ากากที่ดูแล้วออกไปทางหน้าปลวกมากกว่าน่าเชื่อถือ ลุยไปทำหน้าที่พลเมืองดี ผลก็คือโดยกุ๊ยข้างถนน ”ตื้บเละ” แต่ก็ดูจะคุ้มค่าเพราะว่าคลิปจาก CCTV ถูกแพร่ไปทั่วโลกไซเบอร์ ซูเปอร์ ฮีโร่พันธุ์ใหม่ Kick Ass ก็ดังชั่วข้ามคืน
จากจุดนั้น เรื่องราวก็พา Dave เตลิดไปเรียนรู้ชีวิตจริง โหดจริง เจ็บจริง โดยมี ซูเปอร์ฮีโร่ลึกลับ พ่อ-ลูกสาว ก้าวเข้ามาสร้างความครึกครื้นมากขึ้นอีก ซึ่งที่สุดแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงที่ Dave ใช้ความห่วยขั้นเทพของเขาปกป้องโลกได้หรือเปล่า หากเรื่องราวกำลังผลิตคำตอบบางประการให้กับเขา ตลอดจนคนที่เฝ้าดู เชียร์ อยู่โดยรอบ(รวมถึงเราผู้ชมด้วย)
นอกจากแก่นเรื่องจะเข้มข้นชวนคิดสไตล์แอนตี้ฮีโร่(แม้จะไม่ดาร์คเท่ากับ WATCHMEN) แล้ว การคุมสไตล์ จังหวะ บอกได้คำเดียวว่า Cool มากมาย มีมุกตลกร้ายลึก แสบสะดุ้ง แถมพกด้วยการเล่นแร้งงงงส์(สาดกระสุน/ชักมีดจ้วงกันเลือดสาดดด) แบบไม่มีเม้มตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
ส่วน Scott Pilgrim vs The World ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูน ผลงานการสร้างสรรค์ของ Bryan Lee O’Malley ที่ ชนะเลิศ กวาดรางวัลในแคนาดา สร้างความฮือฮาในระดับปรากฎการณ์มาตั้งแต่ปี 2004
เนื้อหายิ่งดูจะเบาโหวง บ้าบอหนักข้อเข้าไปอีกเมื่อ สก๊อต พิลกริม (รับบทโดย ไมเคิล เซร่า) มือเบสหน้ามึน ของวงดนตรีวัยรุ่น Sex Bob-omb ผู้แชร์ห้องร่วมกับรูมเมทเกย์นักล่า(จับผู้ชายกินไม่เลือก) เกิดเบื่อที่จะคบกับ เด็กสาววัยทีน(นาฟต์ สาวหมาย อายุ 17 ในเรื่อง) เพราะดันไปปิ๊งกับ ราโมนา พาวเวอร์(รับบทโดย แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด) สาวพังก์ผมสีม่วง
โจทย์ท้าทายทะยอยเข้ามาเยี่ยมอาทิ จะบอกเลิกสาวหมวยยังไงดี ทำอย่างไรจึงจะชนะใจกิ๊กใหม่ ขณะที่ความก้าวหน้าทางดนตรีและอนาคตของวงก็ต้องดันกันต่อไป แต่นั่นแค่สิวๆ เพราะของจริงที่ สก๊อต ต้องฝ่าด่านให้ได้คือ อดีตแฟนเก่าของ ราโมนา ที่เรียงหน้ากันเข้ามาประลอง ด้วยแม่ไม้กังฟูบ้าง ซัดกันข้างถนนเหมือนในเกม สตรีทไฟต์เตอร์บ้าง ไปจนกระทั่งใช้พลังภายในอภินิหารผ่านการประชันดนตรีบนเวที หรืองัดเพลงดาบออกมาหั่นคอกัน
และภายใต้โครงเรื่องนี้ ผู้กำกับ เอ็ดการ์ ไรต์ มันมือเป็นอย่างยิ่งกับการใช้เทคนิคสารพัดเข้าไปในงานด้านภาพ เหมือนผสมผสานกันระหว่างฉากต่อสู้ของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ย้อนยุค ต่อยกันทีก็มี Banggg!! หนักข้าเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ยังเอามาเล่นกราฟฟิก zzzzzzzzzzzzzz เฉยเลย
ฉากต่อสู้ที่ไม่ต้องพะวงเรื่องเหตุผล ความสมจริง จึงจัดเต็มให้เป็นเหมือน สก๊อต คือคาแร็กเตอร์ในเกมคอนโซล หรือเกมยอดฮิตที่เล่นเก็บเลเวล, เพิ่มอาวุธ ไปจนถึงอัพเพิ่มชีวิต เพิ่มขีดความสามารถ สะสมคะแนน(ไปจนกระทั่งแจ๊กพ้อตแตก 7,000,000 คะแนน) ฯลฯ
ดังนั้นนอกเหนือไปจากจะหัวเราะหุๆ บางช่วง ฮาแตกลงไปดิ้นในหลายๆ มุกแล้ว ยังมีเผลออุทาน...ศาสตร์ๆๆๆ คิดได้ไงเนี่ย! เป็นระยะ
ด้วยสไตล์ที่โดดเด่น เสื้อผ้าหน้าผมมีดีไซน์เฉพาะตัว กราฟฟิกเฟี้ยวซะ อาร์ตไดเร็กชั่นก็แนวจริงอะไรจริง บทพูดสั้นๆ ชัดๆ คมๆ และที่สำคัญที่สุดคือ จังหวะ หรือการเลือกมูฟเมนต์ในแต่ละฉากแต่ละตอน ไม่รู้จะ cool ไปไหนนะ เห้อ....
หากเหนืออื่นใด มิใช่แค่ สไตล์ที่เจ๋งโคตร โดนใจคนชอบเสพของใหม่ ฉีกๆ เท่านั้น “สาร” ที่ส่งออกมาผ่านบุคลิก วีรบุรุษเฮงซวย หรือ ฮีโร่เส็งเคร็งพวกนั้น กลายเป็นคำถามท้าทายกลับมาเช่นกันว่า แล้วเรายังจะเลือกรอความหวังจาก “ยอดมนุษย์” ผู้เพียบพร้อม ไร้ที่ติอีกต่อไปดีไหม
ในความคิดของผม น่าจะดีซะอีก หากบรรดาผู้อาสาทั้งหลาย จะมีความหลากหลาย ดีมั่ง มั่วบ้าง อาจบื้อในบางเรื่อง แต่ก็ทนมือทนเท้า พร้อมที่จะยอมรับความผิด ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ แก้ไขให้ดีกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่ดีที่สุด หรือสมบูรณ์แบบก็ตาม
อย่างน้อย ฮีโร่พันธุ์เกรียนผู้น่ารักเหล่านี้ ก็ดูมีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีอารมณ์ แตะต้องได้ ทำไม่ดีก็จิกด่ากันไปตามเนื้อผ้า ถ้าสร้างสรรค์ความฮา สร้างความสุขได้ในบ้างเรื่องก็อวยกันไป
ดีกว่าวีรชนคนดี คนเก่ง เพียบพร้อม ไร้ที่ติ และไม่เคยยอมรับว่าทำอะไรผิดเลย...
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306998302&grpid=01&catid=no&subcatid=0000Kick-Ass - Teaser TrailerKick-Ass - Trailer 2